เอาสมณศักดิ์เป็นอาวุโสภันเต
วันที่ 2 เมษายน 2548 เวลา 8:30 น.
สถานที่ : วัดป่าบ้านตาด
| |
ดาวน์โหลดเพื่อเก็บไว้ในเครื่อง
ให้คลิกขวาแล้วเลือก Save target as .. จาก link ต่อไปนี้ :
ข้อมูลเสียงแบบ(Win)   วิดีโอแบบ(Win Narrow Band)

ค้นหา :

เทศน์อบรมฆราวาส ณ วัดป่าบ้านตาด

เมื่อวันที่ ๒ เมษายน พุทธศักราช ๒๕๔๘

เอาสมณศักดิ์เป็นอาวุโสภันเต

 

ก่อนจังหัน

 

ข้างนอกเวลานี้กำลังปลูกกระต๊อบขึ้นข้างนอกกำแพง ปลูกกุฏิหลังเล็กๆ ขึ้นด้านนู้น เริ่มขึ้นหลายหลังแล้ว พระท่านทยอยออกไปทางนู้น พระเพิ่มขึ้นทุกวันๆ นะ พระสำหรับวัดนี้เพิ่มขึ้นทุกวัน มาให้พากันตั้งใจจริงๆ นะพระเรา ให้จริงให้จังนะพระ พระพุทธเจ้าเป็นศาสดาเช่นไร ให้เอาธรรมวินัย นั้นละคือองค์ศาสดามากางลงที่หัวใจเรา ที่ตาที่หูเข้าหาหัวใจเรา นั่นละศาสดา คือธรรมคือวินัย ศาสดาเป็นยังไง ดูธรรมดูวินัย แล้วนำธรรมนำวินัยเข้ามา จะได้น้อมองค์ศาสดาเข้ามาสู่ใจของเรา จะได้เห็นความเลิศเลอ

เพราะใจนี้ได้ถึงขั้นธรรมเป็นอันเดียวกันหมด ไม่มีใครยิ่งใครหย่อนกว่ากันบรรดาท่านผู้บริสุทธิ์แล้ว เช่น พระพุทธเจ้า พระอรหันต์ มีความบริสุทธิ์และเป็นความเสมอกันหมด ให้เอาธรรมเอาวินัยที่องค์ศาสดาแสดงไว้เรียบร้อยแล้ว นี่ละคือองค์ศาสดา ให้เข้ามาในหัวใจ ไปที่ไหนอย่าปราศจากศาสดาคือธรรมคือวินัย ใครไม่มีธรรมมีวินัย นั้นคือคนไม่มีศาสนา เป็นพระก็เป็นพระกำพร้า เถลไถลลงแต่นรกอเวจีตลอดไปเท่านั้นแหละ ถ้าไม่มีศาสดาฉุดลากเอาไว้ ศาสดาคือธรรมคือวินัยเป็นเครื่องฉุดลากเอาไว้

ไปไหนอย่าปราศจากสติปัญญา ติดตามธรรม ติดตามวินัย ที่องค์ศาสดาท่านแสดงไว้แล้ว ให้ติดแนบกันไป ผู้นั้นจะสง่างามตลอด ถ้าปราศจากนี้แล้วจะไปอยู่ฟากเมฆก็ไม่มีอะไรแหละ ฟากเมฆก็มีแต่หมอกเท่านั้นไม่เห็นได้เรื่องอะไร ของเลิศของเลอไม่มี ให้พากันตั้งอกตั้งใจนะ เราอยากให้ท่านทั้งหลายได้ดูองค์ศาสดาคือธรรมคือวินัยให้แม่นยำนะ แล้วท่านทั้งหลายจะเป็นผู้แม่นยำๆ ไปโดยลำดับในอิริยาบถทั้งสี่จะชุ่มเย็นเป็นสุข ด้วยหลักธรรมหลักวินัยคือองค์ศาสดาเป็นองค์ประกันตัวเรา ไปไหนไม่เดือดร้อน

ถ้าปราศจากนี้แล้วเก่งขนาดไหนก็เก่งเถอะ มีตั้งแต่จะลงนรกอเวจีทั้งนั้น เก่งของกิเลสมีแต่เก่งเพื่อลงนรกอเวจี เก่งของธรรมเพื่อดีดเพื่อดิ้นขึ้นมรรคผลนิพพาน นี่ละองค์ศาสดาเพื่อมรรคผลนิพพาน ไอ้เทวทัตที่มันแทรกไปกับธรรมของพระพุทธเจ้าเข้าสู่หัวใจเรา เทวทัตนี้จะพาลากลงนรกนะ จำให้ดีพระเราสำคัญมากนะ พระจะเป็นผู้นำของประชาชนทั่วๆ ไป ถ้าเราเป็นผู้นำของเราไม่เป็นท่าแล้วเหลวไหลนะ ไปที่ไหนเหลวไหล ถ้าเราเป็นผู้นำที่ถูกต้องดีงาม เป็นที่ชุ่มเย็นแก่จิตใจของผู้มาเกาะเกี่ยวอาศัยแล้ว โลกก็เย็น เย็นอยู่ที่ตรงนี้นะ เอาละให้พร

 

หลังจังหัน

ผู้กำกับ        มีปัญหาธรรมะครับ แล้วแต่หลวงตาจะพิจารณา จะเทศน์ก่อนหรือจะให้อ่านปัญหาก่อน

หลวงตา       มันก็ดีพอๆ กัน บางทีอ่านปัญหาขึ้นมากระตุกธรรมคือการเทศน์ไปอีก อย่างหนึ่งเป็นเผ็ดร้อนไปเลยก็มี อย่างหนึ่งเทศน์เรียบร้อยแล้วก็มาอ่านปัญหา ตั้งใหม่ขึ้นมาอีกก็มี แต่ยังไงมันก็เป็นประโยชน์ทั้งสองนั่นแหละ ที่เราวิตกวิจารณ์อยู่ตลอดเวลา หนักอยู่ในหัวใจจริงๆ เราพูดนี้แหละเสียงธรรม ให้ท่านทั้งหลายฟังเอา ธรรมคือธรรมของศาสดาแต่ละองค์ๆ ที่นำมาสอนโลกเป็นความถูกต้องแม่นยำและเลิศเลอสุดยอดตลอดมา โลกทั้งหลายตายใจกราบไหว้บูชามาจนกระทั่งปัจจุบันนี้ คือองค์ศาสดาหัวหน้าของพระสงฆ์สาวก พระพุทธเจ้าแต่ละพระองค์เป็นหัวหน้า หัวหน้าพระสงฆ์สาวก หัวหน้าประชาชน ศาสดาองค์เอกเป็นหัวหน้า

         สาวกทั้งหลายตามเสด็จๆ เข้าสู่มรรคผลนิพพาน แล้วบรรดาประชาชนทั้งหลายตามเสด็จพระพุทธเจ้า ตามรอยพระสงฆ์สาวกท่านโดยลำดับลำดา ก็ขึ้นไปก้าวไปเรื่อยๆ องค์นี้สำเร็จโสดา องค์นี้สำเร็จสกิทาคา องค์นี้สำเร็จพระอนาคา องค์นี้สำเร็จอรหันต์ คือตามท่านผู้ดี ปฏิบัติตนจนถึงขั้นเลิศเลอ บรรดาผู้ตามก็เป็นคนดีไปตามๆ เลิศเลอไปตามๆ ท่านก็มี ลดลงมาก็มี นี่ผู้นำที่ดี ศาสดาเรียกว่าพระองค์นี้เลิศแล้ว นำสัตว์โลกและสาวก

         อย่างเราถือพุทธศาสนา พุทฺธํ ธมฺมํ สงฺฆํ สรณํ คจฺฉามิ นี้เลิศเลอด้วยกัน เป็นผู้นำของเรา เมื่อบรรดาสัตว์โลกได้นึกน้อมถึงท่าน ระลึกถึงท่านมาเป็นจิตเป็นใจแล้วจะไปทำความชั่วช้าลามกอะไรมันสะดุดใจๆ ไม่ระลึกถึงพระพุทธเจ้าก็พระธรรมแล้วก็พระสงฆ์องค์ใดองค์หนึ่งจนได้ คือสามรัตนะนี้ มันสะดุดใจหยุดกึ๊กก็มี นี่ละการนำสิ่งที่เลิศเลอเข้ามาสู่จิตใจ จิตใจถึงจะเป็นฟืนเป็นไฟก็ลดตัวลงมากลายเป็นใจที่ชุ่มเย็นไปเลย นี่อาศัยผู้ดีนำ

         ผู้ดิบผู้ดีนำมีทั้งทางโลกทางธรรม ทางศาสนา ผู้ดีก็คือพระพุทธเจ้า พระสงฆ์สาวก จากนั้นมาก็ครูบาอาจารย์ที่ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบตามหลักศาสนธรรมของพระพุทธเจ้า คือธรรมวินัยเป็นองค์แทนศาสดา เป็นศาสดาของตนซึ่งเป็นผู้นำผู้น้อยแล้ว ตนเองก็อบอุ่นนำธรรมะคำสั่งสอนที่เป็นศาสดาแทนพระองค์นี้กระจายออกไปที่ไหน ก็ได้รับความสงบร่มเย็น ทำความผิดความพลาดอะไรนี้จะต้องระลึกถึงธรรมวินัยคือศาสดา ถึงศาสนาอยู่เสมอ

         นี่พูดรวมเข้ามาหาหัวหน้านะ หัวหน้าเป็นคนดีอยู่ที่ไหนก็ดี ในวัดหัวหน้าเป็นพระที่ดิบที่ดีที่น่ากราบไหว้บูชาโดยลำดับลำดาลงมา บรรดาลูกวัดทั้งหลายก็ชุ่มเย็น ไม่ได้เดือดร้อนนะ มีความสงบร่มเย็น ดูหัวหน้าวัดก็เป็นผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ ครองศีลครองธรรม แม้จะครองยศถาบรรดาศักดิ์ก็ยศถาบรรดาศักดิ์แฝงเข้ามาตามความดีของผู้นั้นๆ ที่ท่านปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ เช่นตั้งสมณศักดิ์ให้เป็นนั้นเป็นนี้ นี่แฝงเข้ามาเป็นเครื่องบูชาความดีของท่านที่ท่านปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ ผู้ที่มองเห็นกันอยู่นั่นท่านก็เสริมเข้ามา เช่นพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงส่งเสริมเข้ามาตั้งสมณศักดิ์ให้ อนุโมทนาสาธุการ เรียกว่าให้มีกำลังใจในการปฏิบัติตัวให้เป็นคนดิบคนดีต่อไป เป็นคติตัวอย่างแก่ตนแล้วก็ให้เป็นคติตัวอย่างแก่ผู้น้อยต่อๆ ไป

         นี่ตั้งสมณศักดิ์ก็ตั้งเพื่อความดีงาม ส่งเสริมผู้ครองสมณศักดิ์นั้นให้เป็นคนดี และมีน้ำใจที่จะปฏิบัติตนให้เป็นคนดียิ่งขึ้น นั่นการตั้งสมณศักดิ์เป็นอย่างนั้น พระผู้เป็นคนดีรับสมณศักดิ์มาก็เป็นสมณศักดิ์ที่สง่างาม อย่างครั้งพระพุทธเจ้าท่านไม่เรียกสมณศักดิ์ ท่านเรียกเอตทัคคะ คือเลิศคนละทางๆ พระสงฆ์สาวกที่พระพุทธเจ้าทรงประทานให้ตั้งเป็นเอตทัคคะมี ๘๐ องค์ ล้วนแล้วแต่เป็นพระอรหันต์ล้วนๆ องค์นี้เลิศทางนั้น องค์นั้นเลิศทางนั้น ดีทางนั้นๆ

         พระในสมัยปัจจุบันนี้จึงได้เอาอันนั้นมาเป็นร่องรอย และตั้งเป็นสมณศักดิ์กันขึ้นมา ทีนี้ตั้งขึ้นเป็นสมณศักดิ์ อันนั้นพระพุทธเจ้าตั้งเอตทัคคะให้บรรดาสาวก ท่านเป็นผู้เลิศเลออยู่แล้ว ตั้งแล้วท่านก็ไม่ได้ลืมเนื้อลืมตัว ไม่เหมือนพวกเราที่มีกิเลส พอได้ดินเหนียวติดหัวแล้วพองตัวขึ้นมา นี่ละเอาความดีความชอบ ความเยินยอสรรเสริญไปตั้งคนมีกิเลส ดีไม่ดีเป็นแกนอยู่ลึกๆ ว่าเป็นอันธพาลอยู่นั้นด้วย แล้วยิ่งมียศถาบรรดาศักดิ์หรือสมณศักดิ์เพิ่มขึ้นไปๆ เลยเป็นอันธพาลใหญ่ เบ่งใหญ่ๆ ดีไม่ดีเหยียบหัวพระพุทธเจ้าก็ได้

         ไม่เหยียบหัวพระพุทธเจ้ายังไง พระพุทธเจ้าตั้งอาวุโสภันเต นี้คือองค์ศาสดาประทานให้มีความเคารพกันตามอาวุโสภันเต แม้ที่สุดแสดงอาบัติก็ต้องมีอาวุโสภันเต เคารพกันความแก่ความอ่อนในการบวชก่อนบวชหลัง อายุพรรษาซึ่งกันและกันตลอดมา ท่านไม่ได้ประมาทกันนะ คิดดูซิแม้แต่แสดงอาบัติก็ยังต้องเคารพ ผู้น้อยก็เป็นภันเตผู้ใหญ่เป็นอาวุโสเคารพกันตลอดมา นี่คือเยี่ยงอย่างอันดีของจอมปราชญ์คือศาสดาของเรา ที่ประทานพระโอวาทนี้ไว้ ให้พระสงฆ์มีความเคารพนับถือกันตามลำดับลำดาแห่งคุณธรรมอายุพรรษา

         แล้วครั้นย้อนเข้ามาปัจจุบันนี้กำลังมันแทรกขึ้นแล้วนะเดี๋ยวนี้ ตั้งขึ้นเป็นสมณศักดิ์ จะเอาสมณศักดิ์ใหญ่กว่าอาสุโสภันเตไปแล้วเห็นไหมล่ะ มันปีนขึ้นมาดินเหนียวติดหัว ปีนขึ้นมาเป็นสมณศักดิ์ขั้นนั้นขั้นนี้ แล้วเอาสมณศักดิ์นี้ไปเหยียบหัวพระพุทธเจ้า เอาสมณศักดิ์ใหญ่กว่าอาสุโสภันเตแล้ว เห็นไหมทุกวันนี้เห็นอยู่นี่ เราเอาคำพูดที่เห็นแล้วมาพูดเป็นคำโกหกไปไหน เพราะฉะนั้นภาษาธรรมจึงไม่มีคำว่าโกหก ตรงไหนผิดบอกว่าผิด ตรงไหนถูกบอกว่าถูก

         อย่างอาวุโสภันเตนี้เป็นหลักเดิมของพุทธศาสนา ที่พระพุทธเจ้าประทานให้แล้ว เลิศเลอมาตลอด ทีนี้สมณศักดิ์นี้ตั้งขึ้นมาเฉยๆ ถ้าหากว่าผู้ลืมตัวก็ดินเหนียวติดหัว ก็ว่าตัวมีหงอน แผ่พังพานขึ้นมาแล้วเป็นอันธพาลใหญ่เลย เวลานี้เป็นแล้วนะ ได้รับสมณศักดิ์นี้พระกำลังแผ่พังพาน เป็นบ้ากันแล้วนะเป็นอันธพาล มียศถาบรรดาศักดิ์หรือสมณศักดิ์สูงเท่าไรยิ่งเป็นอันธพาลใหญ่โต ถ้ากระจายออกไปทางบ้านทางเมือง มีความรู้วิชา มีอำนาจบาตรหลวงในการปกครองบ้านเมืองแล้วยิ่งแผ่ออกไปเป็นอันธพาลไปอีก

         นี่ละถ้าคนไม่ดีเป็นผู้ใหญ่ก็ไม่ดี แหลกเหลวไปหมดทำผู้น้อยให้เดือดร้อนวุ่นวาย ไม่ว่าทางฝ่ายประชาชนญาติโยม ชาติบ้านเมือง ไม่ว่าทางฝ่ายพระสงฆ์ ถ้านอกเหนือความเป็นธรรมแล้วไม่ดีทั้งนั้น ความเป็นธรรมทางฆราวาสก็นำธรรมนี้ไปใช้ไปปกครอง ทางพระก็เรียกว่าแกนของธรรมอยู่แล้วนำธรรมนี้ไปปกครอง ก็มีความสงบร่มเย็นเป็นลำดับไป นี่ละหลักจารีตประเพณีของโลกของธรรมที่ครองกันมาด้วยความสงบร่มเย็น ท่านครองกันมาด้วยวิธีการเหล่านี้

         เช่น พระสงฆ์ท่านนับอาสุโสภันเต แน่ะ พออาวุโสภันเตเคารพกันแล้ว เป็นพระวาจาของพระพุทธเจ้า ไม่ใช่เอาสมณศักดิ์เป็นอาวุโสภันเต ตั้งเป็นเจ้าฟ้าเจ้าคุณขึ้นมาไปนั่งเต๋งเหมงอยู่หัวหน้าพระที่เป็นอาวุโสนั้นมันดูได้ไหม อึ่งอ่างไปนั่งอยู่ที่หัวหน้าพระอาวุโสภันเตที่พระพุทธเจ้าประทานให้แล้วว่าอาวุโสภันเต เป็นใหญ่แล้วอาวุโส ภันเตต้องเคารพ นี่ไปตั้งสมณศักดิ์บวชได้สองสามวันไปตั้งสมณศักดิ์เป็นเจ้านั้นเจ้านี้ เจ้าฟ้าเจ้าคุณ แล้วไปนั่งเต๋งเหมง ยิ่งเป็นสมเด็จแล้วเป็นบ้าสดๆ ร้อนๆ เลย ไปนั่งเต๋งเหมงอยู่กับพระครูบาอาจารย์ผู้เป็นใหญ่เป็นโตด้วยคุณธรรมด้วยคุณสมบัติ มันดูได้ไหม

         เวลานี้เห็นไหมกิเลสมันขึ้นเหยียบหัวธรรม มันเหยียบแล้วนะ ตั้งสมณศักดิ์ให้แล้วมันขึ้นไปเหยียบอยู่บนหัวธรรม คือท่านผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ มีอายุพรรษาเป็นรัตตัญญู เป็นผู้ผ่านราตรีมานาน ไอ้นี้พอบวชขึ้นมาได้ยศถาบรรดาศักดิ์ไปนั่ง ดินเหนียวติดหัวก็ไปนั่งหน้าเป็นอาวุโสอยู่นั่นให้เขากราบ ถ้าเป็นหลวงตาบัวไม่กราบ นอกจากอย่างมากก็จะบอกว่าไอ้ปุ๊กกี้มึงอยากกราบก็กราบไอ้พระเต๋งเหมงตัวนี้ กูนี้ไม่กราบ ดีไม่ดีไอ้ปุ๊กกี้มันก็ไม่กราบ นี่คนเลว ความเลวความไม่ดีไม่ดีนะ

         คนดีเป็นพระฝ่ายศาสนาก็ต้องเป็นคนดีเป็นหัวหน้าเป็นผู้นำที่ดี ทางประชาชนเป็นวงราชการงานเมืองก็ต้องเป็นผู้ดี ปฏิบัติตัวให้เป็นคนดี เป็นที่เคารพนับถือแก่ผู้น้อย พูดอะไรเขาก็เชื่อฟัง ไม่ว่าฝ่ายศาสนาไม่ว่าฝ่ายโลกถ้ามีความดีติดตัวเป็นที่น่าเคารพนับถือแล้ว พูดสั่งเสียหรือสั่งสอนอะไร บังคับอะไรเขาฟังทั้งนั้นละ เพราะขึ้นอยู่กับตัวเป็นหัวหน้าเป็นคนดี เคารพเลื่อมใส ยอมฟังเสียง ถ้าไม่เป็นคนดี โอ๋ย เขาไม่ฟังแหละ ใครจะไปฟังก็รู้อยู่แล้ว มาสั่งอย่างนั้นอย่างนี้ ตัวเป็นสัตว์นรกอเวจี มาปกครองคนดีได้ยังไง

         ให้พากันจำเอานะ นี่เรื่องคนดีคนชั่วเป็นหัวหน้าเสียหายอย่างนี้ ดีอย่างนี้ ถ้าคนดีเป็นหัวหน้าดีไปเรื่อยๆ ถ้าคนชั่วเป็นหัวหน้าไม่ว่าทางชาติศาสนาแหลกไปตามๆ กัน อย่างน้อยบอบช้ำ พากันจำเอานะ เอาละวันนี้เทศน์เพียงเท่านี้ก่อน แล้วมีอะไรว่าขึ้นมา

ผู้กำกับ        ปัญหาธรรมะจากเว็บไซค์หลวงตา คนแรก

         ขณะนี้ผมพิจารณาอารมณ์  มองดูอารมณ์ที่เกิด เช่น โลกธรรม ๘ ล้วนแต่ไม่มีคุณค่าอะไร และความรู้ที่เกิดขึ้นเป็นเพียงลมๆแล้งๆ สิ่งที่รับรู้เป็นชั้นขึ้นมาเหมือนขั้นบันได ผมไม่ปล่อยสติเป็นอันขาดโดยผมบริกรรมพุทโธ แต่จิตยังไม่รวมตัวเป็นความสงบเย็น แต่จิตก็นิ่งอยู่ ผมรู้ว่ายังหยาบ ในใจผมมีแต่ความอยาก เห็นแต่ความยึดมั่นทั้งหมด ผมคิดแก้ไม่ไหว ผมเลยสร้างกำลังใจให้ตนเองโดยพิจารณาจากปฏิปทาของหลวงตา ซึ่งจะต้องผ่านความเป็นความตายมาทั้งสิ้น  ผมกราบเรียนถามหลวงตาว่าผมจะคลายความยึดมั่นในอารมณ์เหล่านี้ได้อย่างไรครับ (จาก คนที่ทุกข์)

หลวงตา       ถ้าเขาจะยึดองค์ไหนที่ว่าดีให้ยึดองค์นั้น ตะกี้นี้เขาว่าจะเอาหลวงตาเป็นที่ยึด ถ้าหลวงตาดี เอา ยึดหลวงตา ถ้าหลวงตาเลวโยนลงทะเล เท่านั้นเอง

ผู้กำกับ        คนที่ ๒ โยมพิจารณาสังขารทั้งหลายให้เห็นไตรลักษณ์ แล้วกำหนดดูทุกข์ประจำสังขารนั้นๆ จากนั้นนำทุกข์นี้มาแจงหาเหตุ และหาทางดับเหตุนั้น  พร้อมทั้งได้เจริญมรรค มาในระดับหนึ่งได้พบเห็นธรรมอย่างหนึ่งคือ ผู้รู้ที่มีองค์ของโพชฌงค์ครบบริบูรณ์  เป็นธรรมอันเข้าถึงได้จากการละขันธ์ทั้งห้าทั้งรูป เวทนา สัญญา สังขาร และวิญญาณ เหลือเพียงอาการรู้อย่างหนึ่ง ในภาวะนั้นมีสติแจ่มชัด สงัดจากสังโยชน์ทั้งปวงเป็นอาการชั่วคราว จากการพิจารณาของโยมคิดว่าภาวะนี้เป็นอรูปอย่างหนึ่ง แต่เป็นที่สงบสงัดจากกิเลสทั้งปวง

         ต่อมาพิจารณาเรื่องอรูปราคะ และรูปราคะ พบว่าเมื่อไม่พึงปรารถนาในอรูปธรรมทั้งปวง รวมถึงภาวะรู้นี้กลับทำให้จิตตกอยู่ในภาวะฟุ้งซ่าน อันเป็นสังโยชน์ข้อที่ 9  วิธีแก้ที่โยมปฏิบัติอยู่คือย้อนกลับมาอยู่ที่อาการรู้เหมือนเดิม เมื่อรู้ชัดอยู่ในผู้รู้ก็ละทิ้งอาการฟุ้งซ่านได้ โยมยังมีความสงสัยในผู้รู้นี้ว่าเป็นธรรมอันควรละ หรือควรยึดถือไว้ เพื่อการเจริญในธรรมอันบริสุทธิ์ยิ่งขึ้นไป การปฏิบัติมาจนถึงทุกวันนี้ก็ได้อาศัยภาวะรู้นี้มาตลอด  แต่ภายหน้านั้นกลับไม่รู้ว่าควรทำอย่างไร

         ทุกวันนี้พระศาสนามีความผิดเพี้ยนไปมาก ไม่มีผู้ใดที่เป็นที่พึ่งในทางธรรมที่ควรไว้ใจได้ เห็นเพียงแต่หลวงตาที่เป็นผู้ถึงที่สุดแล้ว จึงได้กราบเรียนขอความเมตตาจากหลวงตาสอนธรรมที่ยังไม่รู้นี้ ให้ได้รู้ด้วยเถิดค่ะ (จาก แก้วตา)

หลวงตา       ที่เขาพรรณนามานี้ ต้นหลักเขาภาวนายังไง เขามีหลักใจหรือเปล่า หลักใจเช่นเขาบริกรรม เป็นหลักใจสำคัญมากนะ ถ้าเป็นพุทโธหรือคำบริกรรมใดก็ได้ นั่นแน่ใจ ถ้าอยู่ๆ ก็มาทำขึ้นเวลาเป็นขึ้นมามันก็ไม่มีหลักยึด เช่นเรามีเชือกล่ามโซ่เอาไว้นี้ สัตว์ตัวไหนๆ ดึงโซ่มันกลับมา ถ้าปล่อยไปเลยมันเตลิดเปิดเปิงไปได้ ไม่มีหลักยึดของการภาวนาเช่นคำบริกรรมไม่ค่อยเหมาะและไม่เหมาะ ควรจะมีหลักยึดคำบริกรรม จะเป็นคำใดก็ตาม ให้สติเป็นผู้บังคับ จับคำบริกรรมติดกับจิต นี้เป็นความค่อนข้างแน่นอนและแน่นอนเป็นลำดับไป การทำภาวนาโดยไม่มีคำบริกรรมเป็นหลักยึดนี้เราไม่ค่อยแน่ใจ ถ้าเป็นกรณีพิเศษเราแน่ใจด้วย เช่น ขิปปาภิญญา ที่ควรจะรู้อย่างรวดเร็ว มันพลิกแพลงเปลี่ยนแปลงไปทันทีเลยก็ได้ ถ้ามันควรจะค่อยเป็นไปตามเรื่องตามราวก็ควรจะเป็นอย่างนี้ อันนี้ที่เขาพูดพรรณนาไปนี้ ดูหลักยึดไม่ค่อยมี เร่ๆ ร่อนๆ ไปเสีย เอ้า คนต่อไป

ผู้กำกับ        ตอนนี้เริ่มทำสมาธิขั้นแรกเจ้าค่ะ จิตยังไม่นิ่งดี แต่ช่วงสามสี่วันมานี้รู้สึกว่านั่งๆ อยู่ยังจับจิตของตัวเองได้ แต่พอเมื่อไรที่จิตมันหลุด(บางทีอยู่ๆ มันก็มีความคิดเกิดขึ้นมาเองโดยไม่ได้สั่งและจิตก็เป็นไปตามความคิดนั้นแวบหนึ่ง) แล้วรู้สึกว่าการทรงตัวมันไม่ดี คืออยู่ๆ ก็จะหงายหลังบ้าง หน้าจะทิ่มบ้าง (อาการวูบๆ มันไวมาก) จิตมันหายไปแล้วก็กลับมาเป็นแบบนี้อยู่พักหนึ่งค่ะ มันเกิดจากอะไรเจ้าคะและจะแก้ไขอย่างไร

หลวงตา       มันอาจจะเป็นอย่างเณรผองวัดห้วยทรายก็ได้ ฟัง เณรผองวัดห้วยทราย จำชื่อมันได้ แกก็ทรมานแกเก่งเหมือนกันจึงน่าชม แกนั่งอยู่ในห้องมันสัปหงกงกงันมีแต่คอยจะหลับ มันเป็นยังไงจะดัดมัน จึงออกจากกุฏิแล้วไปเฉลียง ไปนั่งอยู่เฉลียงหมิ่นๆ ถ้ามันง่วงให้มันตก ว่างั้นนะ พอนั่งไปๆ  เวลาตั้งท่ามันก็ไม่ง่วง พอหยุดจากการตั้งท่ามันจะง่วง พอง่วงก็ฟังเสียงตูมเลย ตก เราก็นั่งภาวนาของเราอยู่กุฏิเงียบๆ ที่ห้วยทราย กลางคืน ฟังเสียงดังตุ๊บ เอ๊ะ มันเหมือนเสียงอะไรตกน้า นึกในใจ สักเดี๋ยวได้ยินเสียงพุมพิมๆ มันเป็นอะไร เราก็ลุกจากที่ กำลังว่าจะลงไป มีเสียงพระเณรปุบปับๆ เข้ามา มันเป็นอะไรได้ยินเสียงตุ๊บตั๊บ ว่าเณรผองตกกุฏิ

แกทรมานแก สู้ภายในห้องไม่ได้ เลยมาสู้นอกห้อง ก็ยังสู้ไม่ได้ยังตกกุฏิ นี่มันอาจจะเป็นอย่างนั้นก็ได้สรุปความลงแล้วนะ ให้ระวังอย่าให้เป็นอย่างเณรผองก็แล้วกัน นี้เป็นตัวอย่างอันดีแล้ว เอาแค่นั้นก่อน พอเป็นคติแล้วไม่ใช่เหรอ ความโงกง่วงนี้นักภาวนาจะรู้ตัวเองเพราะการกินมาก พระท่านจึงไม่ฉันมาก ฉันท่านไม่ได้อิ่มนะ ฉันจิบแจ๊บแล้วไปเงียบๆ นั่นท่านฝึก ฉันพอยังอัตภาพให้เป็นไป เพื่อจิตใจจะได้ก้าวทางด้านจิตตภาวนาได้สะดวกๆ สติก็ดี ผ่อนอาหารลงไปเท่าไรสำหรับนิสัยมากต่อมากจะขึ้นอยู่กับร่างกาย ถ้าร่างกายมีกำลังจะทับใจไม่ให้ภาวนาได้สะดวก ถ้าร่างกายเบาลงทางจิตก็ขึ้นเรื่อย พระท่านฉันจังหันเห็นไหมล่ะ ท่านฉันพอยังอัตภาพให้เป็นไป ฉันปุบปับไปแล้วๆ ท่านไม่ได้อิ่มหนา ก็เราผ่านมาแล้วเรารู้ทั้งนั้น

การภาวนานี้จึงสำคัญอยู่ที่อาหารการกิน กินมากภาวนาไม่ค่อยดี ต้องมีผ่อนอยู่ตลอด ดี ส่วนมากต่อมากเป็นอย่างนี้เพราะมันขึ้นอยู่กับร่างกาย ร่างกายมีกำลังมากแล้วก็เสริมกิเลสราคะตัณหาขึ้น มันเป็นนะ เราพูดอย่างนี้ให้เข้าใจเอานะ มันจะยิบแย็บอันนี้ขึ้นก่อน ราคะตัณหาขึ้นเป็นอันดับหนึ่ง มันจะยิบแย็บขึ้นมาทันทีตัวนี้ รู้แล้วหาวิธีดัดกัน ลดกันลงเอาลงไป จึงได้รู้เรื่องเหล่านี้ เห็นไหมท่านฉันจังหันนิดหน่อยหยุด เพื่อเสริมกำลังทางด้านจิตตภาวนาให้สูงขึ้นๆ สติดีขึ้น ความหมายว่างั้นนะ

การภาวนาดูจิตใจตัวเองซึ่งเป็นมหาเหตุมหาภัย ส่วนมหาคุณยังไม่อยากพูด มันเต็มอยู่ในหัวใจ พอจิตตภาวนาหยั่งเข้าไปตรงนี้จะรู้มหาเหตุ กิเลสตัณหามันก่อฟืนก่อไฟเผาอยู่ตลอดเวลาในหัวใจ ทีนี้ธรรมส่องเข้าไปซัดเข้าไปเท่ากับน้ำดับไฟ สติจับเข้าไปๆ อันนี้จะค่อยสงบลง บังคับกันหนักเข้า บังคับด้วยวิธีการใดหาสาเหตุมัน อะไรบังคับจิตยาก อะไรบังคับจิตได้ง่าย ต้องดูสาเหตุ ก็มาอยู่ในการกินนี้แหละสำคัญมากนะ ลงที่นี่ เพราะฉะนั้นพระท่านจึงมักอดอาหารอยู่เสมอ ผ่อนอาหารเสมอ

ท่านก็ทุกข์เหมือนเรา ท่านจะไม่ทุกข์ยังไงธาตุขันธ์เหมือนกัน แต่ท่านมุ่งต่อธรรม ท่านไม่ถือนี้เป็นใหญ่โตมากยิ่งกว่าธรรม ท่านจึงฝืนกันเรื่อยดัดกันเรื่อย ดูพระวัดป่าบ้านตาดดูเอา ดูพระท่านที่มาฉันจังหันมากๆ ฉันปุบปับสองสามคำแล้วหายเงียบไปแล้ว นี่พอยังชีวิตให้เป็นไปความหมายว่างั้น จิตใจท่านอยู่กับธรรม ท่านทำอย่างนั้นให้ท่านทั้งหลายพิจารณาเอา

เรื่องจิตตภาวนานี้ไม่มีใครสอนไม่มีใครพูด มีหลวงตาบัวองค์เดียวที่เขาว่าอวดอุตริมนุสธรรมอยู่เวลานี้พูด พูดอย่างเต็มเหนี่ยวเพราะความรู้นี้มันได้เข้ากันกับอุตริมนุสธรรม คำว่าอุตริมนุสธรรมคือ อวดธรรมอันเลิศที่มนุษย์ทั้งหลายกราบไหว้บูชาอย่างสูงสุดอันไม่มีในตน แต่ไปพูดอวดว่าตนมี เรียกว่าอวดอุตริมนุสธรรม พูดให้มันชัดเจนเสียวันนี้ แต่หลวงตาบัวนี้เต็มหมดธรรมประเภทนี้ ไม่ว่ามรรคผลตลอดถึงนิพพาน ครองไว้หมดแล้ว เราพูดด้วยมีความจริงเต็มหัวใจเรานำไปพูด อวดอุตริไปที่ไหน เรานำของจริงออกพูด พระพุทธเจ้านำของจริงออกพูด สาวกทั้งหลายนำของจริงออกมาพูด เรารู้ความจริงอันนั้นเราก็นำมาพูดเต็มภูมิของเรา ผิดไปไหน พิจารณาดูซิ

ไอ้พวกตาบอดพวกหูหนวกพวกเปรตทั้งเป็นนี้ ไปยืมหางหมามาติดก้นมันเสียจะได้เป็นหมาเต็มตัว เดี๋ยวนี้ยังเป็นหมาไม่ได้มันเป็นมนุษย์ครึ่งคนครึ่งเปรตครึ่งผีไปมันหาอุตริแสดงความดี ผู้ทำความดีท่านทำอยู่มีอยู่ ได้ของดิบของดีมาพูดบ้างเล็กน้อยมันหาว่าอวด มันทำความชั่วจนฟ้าดินถล่มอยู่เวลานี้ มันชั่วเพราะเหตุไร ชั่วเพราะกิเลสตัณหา เพราะปากของมันนี่แหละ มันอยากให้พูดอย่างนี้ทำอย่างนี้ตลอดไป คิดอย่างนี้ตลอดไป มันไม่อยากให้คิดแบบที่แยกจากสิ่งเป็นฟืนเป็นไฟนี้ออกไป เพื่อเป็นอรรถเป็นธรรมครองหัวใจตนเอง ได้รับความสงบสุข

นี่เราพูดเต็มปากเราจวนจะตายแล้ว เปิดทีเดียวเต็มที่ เราไม่เคยสะทกสะท้านในสามแดนโลกธาตุ ใครจะมาว่าอะไรให้เราว่าไปเถอะ มันก็เห่าว้อกๆ เหมือนหมาเห่าฟ้า หมาเห่าฟ้าเป็นยังไง มันก็เห่าแต่ปากนั่นแหละ สุดท้ายมันก็ไปของมันเอง ฟ้าอยู่ที่ไหนไม่รู้ อันนี้ก็หมาเห่าธรรม ธรรมพระพุทธเจ้าเลยฟ้าไปอีก มันไปหาเห่าหาอะไร ถ้าไม่เป็นบ้าสุดขีดไอ้คนๆ นี้น่ะ มันว่าหลวงตาบัวอวดอุตริมนุสธรรม จะเอาหลวงตาบัวเป็นปาราชิก เราก็บอกให้เอาโคตรมันมาเลยมาฟ้องหลวงตาบัวว่าอวดอุตริมนุสธรรม

คำว่าโคตรนี้ไม่ใช่โคตรแบบเหมือนโลกเขาดูถูกเหยียดหยามย่ำยีกันนะ คำว่าเอาโคตรมานี่ คือคนๆ เดียวไม่มีน้ำหนักมาก ให้เอามาทั้งโคตรจึงมีน้ำหนักมากมาฟ้องหลวงตาบัว เข้าใจไหม เราหมายความว่าอย่างนี้ต่างหาก เราไม่ได้มีแบบโลก ถึงจะพูดกิริยาแบบโลกก็ตาม แต่ธรรมไม่เป็นโลกนะ ธรรมต้องเป็นธรรมตลอดไป เราพูดอย่างนี้ตลอด การแสดงธรรมะถ้ายังมีแสดงอยู่ ธรรมะประเภทนี้จะออกอยู่เรื่อยๆ ตามแง่หนักแง่เบาจะออกไปตลอด จะเป็นอย่างอื่นไปไม่ได้ ที่จะอ่อนข้อกับกิเลสไม่อ่อนเลย ไม่มีทาง กิเลสอยู่ตรงไหนฟาดลงตรงนั้นให้มันหัวแตกไปเลย ถ้าหัวมันไม่แตกให้มันขี้แตกออกไปเลย มันมีทั้งหัวทั้งขี้คนเรา

นี่เราพูดอย่างอาจหาญชาญชัยเลยโลกธาตุไปหมดแล้ว ที่นำมาพูดเหล่านี้ เราไม่อยู่ในวงเห่าว้อกแว้กๆ เหล่านี้ เราพูดตามความจริง เรานำธรรมมาสอนโลกสอนตั้งแต่เริ่มแรกมาได้ ๕๕ ปีนี้เต็มเหนี่ยว ทีแรกออกอยู่ในวงในสอนพระ สอนตั้งแต่แกงหม้อเล็กแกงหม้อจิ๋วเรื่อยๆ จากนั้นมาก็แกงหม้อใหญ่ สอนโลกสงสารมาเป็นเวลา เฉพาะอย่างยิ่ง ๗ ปีนี้ เราเอาธรรมออกสอนโลกกว้างแคบขนาดไหน ถ้าเหล่านี้เป็นอุตริมนุสธรรม เอา ค้านมาธรรมะที่เราเทศน์วันนี้ผิดตรงไหน ที่ว่าเรามาอวดมันไม่จริงนั่น หาว่าเป็นความจริง มาอวดอุตริที่ตรงไหน เอ้าค้านมา

ตั้งแต่พื้นๆ ฟาดถึงพระนิพพาน เอ้า ถามมาเราจะเป็นคนตอบคนเดียวทีเดียว ครองไว้หมดแล้วธรรมเหล่านี้ เราพูดให้ชัดเจนอย่างนี้เราจะตายแล้ว ท่านทั้งหลายจะมัวหลับหูหลับตาให้กิเลสเหยียบหัวอยู่ตลอดเวลาเหรอ ความโลภมันดีขนาดไหน ความโกรธ ราคะตัณหา มันเอาไฟเผาโลกมาตลอด นี้คือโทษของกิเลสเห็นไหมดูเอาซิ ธรรมเครื่องระงับสิ่งเหล่านี้ทำไมจะไม่ฟื้นตัวขึ้นมาบ้างเพื่อระงับดับกันให้มีความสงบร่มเย็นบ้างคนเรา ถ้าไม่งั้นจมนะชาติไทยเรา ศาสนาไทยเราจะไม่มี ก็มีแต่หัวโล้นๆ โกนคิ้วอยู่เฉยๆ อวดตนว่าเป็นพระๆ แล้วโฆษณาว่ากล่าวหาตั้งแต่นรกอเวจีมาเผาตัวและส่วนรวมอย่างนั้นเป็นประโยชน์อะไร

ทางโลกก็เหมือนกัน ความรู้วิชามีมากน้อยเพียงไร เป็นเรื่องของกิเลสทั้งหมดออกทับประชาชนญาติโยม ผู้น้อยเลยจะตาย หรือขี้แตกออกก็ไม่ทราบ เราไม่ได้ถาม เป็นยังไงสูขี้แตกไหม ถูกวงราชการงานเมืองที่ไม่เป็นศีลเป็นธรรมอวดเบ่งนั้นมาหาเหยียบเอานี้ สูขี้แตกไหม เราอยากถามว่างั้น เรายังไม่ได้ถามดู ให้ถามดูตัวเอง ใครขี้แตกไม่แตกก็รู้เอง มันขนาดนั้นนะกิเลสเหยียบธรรมเวลานี้ เรามองดูด้วยธรรมมองดูได้ทุกแง่ทุกมุม เพราะฉะนั้นจึงพูดได้เต็มปากละซี ถึงวาระที่จะพูดพูดได้เต็มเหนี่ยว ไม่เคยสะทกสะท้านกับสิ่งใด ความจริงเต็มหัวใจออกได้ตลอดเวลา หนักเบามากน้อยไม่ต้องบอก ผางออกมาทันทีเลยๆ จะไปคว้าคัมภีร์นั้นคัมภีร์นี้ สาธุ เราไม่คว้า พระพุทธเจ้าคัมภีร์วินัยออกมาเป็นพระไตรปิฎก ออกมาจากคัมภีร์ใน ธรรมพระพุทธเจ้าอยู่ในคัมภีร์ในออกมาเป็นพระไตรปิฎก สาวกทั้งหลายเป็นคัมภีร์ในทั้งนั้น เมื่อเจอคัมภีร์ในแล้วจะไปหาคว้าที่ไหน ออกมาจากนั้นล้วนๆ เลย แง่หนักเบาขนาดไหนที่ควรจะออกแห่งธรรมทั้งหลาย ออกได้ทันทีๆ พากันจำเอานะ แล้วไปปฏิบัติตน

อย่ามานั่งเฝ้ากองกระดูกอยู่เฉยๆ  นี่กองกระดูกด้วยกันทั้งนั้น มันเป็นของดิบของดีอะไร เอาอะไรหุ้มห่อเอาไว้ก็ว่าเป็นของดิบของดี ก็เสื้อผ้าเฉยๆ มาหุ้มห่อ ถ้าแก้ผ้าแล้วก็ไม่ผิดอะไรกับหมาตัวหนึ่ง หมาเขาเฉยนะ เขาเดินไปเฉย ไอ้เราตบนั้นตบนี้ ปล่อยหำบ้างอะไรบ้าง ดังนิทานหนองกะปาด คนๆ นี้เขาอยู่หนองกะปาด อีตาคนนั้นแกเลี้ยงวัวฝูงไว้ ขายวัว ทีนี้เขาไปซื้อวัวที่บ้าน บ้านอยู่ข้างใน ชานบ้านอยู่ข้างนอกสำหรับรับแขกรับคน พวกพ่อค้าเขามาซื้อวัว ต่อรองกันอยู่ตลอด ทางลูกค้าเขาจะให้ตัวละสามบาท ทางเจ้าของจะเอาตัวละสี่บาท เถียงกันยังไม่ลง พอดีเมียขึ้นมาก็มาเห็นผัวนั่งปล่อยหำ เมียมาเห็นหำผัวก็อายเขาเลยขยิบตาใส่ผัว

ไอ้ผัวเข้าใจว่าเมียให้ขึ้นราคาวัว พอเมียขยิบตาใส่ปั๊บ ทีแรกแกจะเอาสี่บาท เขาให้เพียงสามบาท พอเมียขยิบตาใส่เท่านั้น ผัวขึ้นปึ๊บเลย ห้าบาทๆ เขาก็ว่า โอ๊ย ตั้งแต่สี่บาทก็ยังลงกันไม่ได้ ทำไมไปห้าบาทหกบาท ไปเถอะพวกเรา เขาก็แตกฮือลงจากบ้านไป เมียก็ออกมา ที่เขาต่อตัวละสามบาทนั้นควรจะให้เขาแล้ว ทำไมไม่ขายเขาเสียล่ะ ก็เธอขยิบตาใส่ฉัน นึกว่าจะให้ฉันขึ้นราคา ฉันก็ขึ้นห้าบาทละซิ จะไม่ขยิบยังไงก็ปล่อยหำให้เขาดู มันอายเขาจะตายไป อู๊ย เสียดาย มาๆ เขาเปิดหนีหมดแล้ว หำก็ปล่อยไว้ เดี๋ยวนี้มันปิดหรือยังบักนั้นน่ะ ห้าบาทๆ มันขึ้นไปแบบขาดทุน หำก็ปล่อย เงินก็ไม่ได้

ผู้กำกับ        คนต่อไปครับ เมื่อนั่งสมาธิแล้วลมหายใจหาย ไม่มี แต่ความรู้สึกละเอียด ต้องทำอย่างไรต่อไปครับจึงจะเข้าไปให้ลึกถึงสมาธิที่ดีกว่านี้ครับ

หลวงตา       ให้อยู่นั้นก่อนนะ ให้อยู่ละเอียดก่อนอย่าไปกังวลกับอะไร เวลาสงบเข้าไปลมหายใจระงับไปๆ เหมือนไม่มีลมหายใจ เหลือแต่ความรู้ที่ละเอียด ให้อยู่ตรงนั้นก่อนถูกต้องแล้ว ทำไปมันจะค่อยกระจายไปเองแล้วค่อยถามมา ถ้าหลวงตาบัวไม่มีภูมิก็ให้รู้กันเสียที มันได้อวดอุตริมนุสธรรมทั่วโลกมาแล้วนี้ จะไม่มีภูมิก็ให้รู้กันเสีย เอ้าว่าไป ภาวนาไปให้มันละเอียดลงไปอย่างนั้น มันจะค่อยกระจายไปเอง พูดเพียงเท่านี้ก่อน

ผู้กำกับ        คนสุดท้ายครับ ลูกหลานเข้าไปอ่านข้อความในเว็บไซด์แห่งหนึ่ง(วัดป่า) มีข้อความโจมตีลูกศิษย์หลวงตาและพระบางองค์ เมื่อเข้าไปอ่านทำให้จิตใจรุ่มร้อน บางคนเขียนด่ากันไปมา ใช้คำพูดหยาบคาย ยิ่งทำให้คนเขียนและคนที่เข้ามาอ่านมีแต่กิเลสรุ่มร้อนใส่กัน บางคนอ่านแล้วเขียนเข้าไปแนะกันดีๆ ให้เลิกโจมตีกัน จะเป็นการเปิดทางให้มือที่สามกลับมาทำลายลูกศิษย์หลวงตาและองค์หลวงตาได้

         ลูกหลานจึงพิจารณาว่าการปฏิบัติภาวนา ไม่ว่าการเจริญสติ และใช้ปัญญาพิจารณาตามที่หลวงตาเมตตาสอนเสมอมา จะก่อให้เกิดอโหสิกรรมที่ออกมาจากจิตใจจริงได้ อย่างน้อยเมตตาธรรมก็แทรกเข้ามาในใจ และเมื่อใจสงบด้วยธรรมจึงไม่สนใจกับข้อความโจมตีด้วยเหตุของกิเลส หรือแม้ใครจะตำหนิตัวเราเอง ตำหนิหลวงตา ใจที่ฝึกภาวนาในระดับหนึ่งจะค่อยระงับจิตที่โกรธแค้น ระงับความคิดที่จะหาวิธีแก้คืน หรือแม้แต่พูดให้เข้าใจ เพราะผลจากการฝึกภาวนาจึงปัดเรื่องกังวลจิตออก

         พวกลูกหลานจึงไม่เข้าไปอ่านข้อความโจมตีกันในเว็บไซด์นี้อีก และไม่คิดจะพูดให้พวกโจมตีหลวงตาเข้าใจ เพราะคิดว่าพวกนี้ไม่มีวันเข้าใจ ขนาดหลวงตาเมตตาเทศน์ด้วยความบริสุทธิ์ในธรรมของหลวงตาพวกนี้ยังหาเรื่องโจมตีได้ พวกลูกหลานมีแต่กิเลสพูดไปพวกนี้ก็ไม่มีทางฟัง มีแต่เอากิเลสใส่กัน พวกลูกหลานไม่ใช่อกตัญญูที่ไม่คิดตอบโต้ชี้แจงพวกโจมตีหลวงตา แต่พวกลูกหลานพยายามดำเนินจิตตามที่หลวงตาสอนให้ละวาง อย่างนี้พวกลูกหลานพิจารณาถูกหรือไม่เจ้าค่ะ (จาก กลุ่มลูกหลานรักหลวงตาตลอดกาล)

         หลวงตา       ที่ถูกต้องจริงๆ เขาจะเห่าให้เขาเห่าไปเขาเป็นหมา เราไม่เป็นหมาอย่าเห่าตอบ หลวงตาไม่เคยพาเห่าตอบ นี่ถูกต้องแล้ว เอาไปปฏิบัตินะ เขาจะเห่าอย่างไรให้เขาเห่าไปเขามีปาก เรามีหูอยากฟังก็ฟัง ไม่อยากฟังก็ไม่ฟัง เฉยไปเหมือนหมาปล่อยหำ หนองกะปาด เอาละพอ

         ผู้กำกับ        รายงานวันเวลาออกอากาศสถานีวิทยุเสียงธรรม

สถานีวิทยุเสียงธรรมกรุงเทพ FM 103.25 ออกอากาศเวลา ๐๕.๐๐ น.- ๒๓.๓๐ น. และสถานีเครือข่ายทั่วประเทศดังนี้

ภาคเหนือ

1.  เชียงใหม่ (อ.แม่อาย)      FM 103.25         เวลา ๐๕.๐๐ น. - ๒๓.๐๐ น.

2.  เชียงใหม่ (อ.เมือง)          FM 100.25                ออกอากาศเร็วๆ นี้

3.  พะเยา                            FM 104             เวลา ๐๕.๐๐ น. - ๒๓.๓๐ น.

ภาคอีสาน

1.    อุดรธานี                          FM 103.25        เวลา ๐๕.๐๐ น. - ๒๓.๓๐ น.

2.    สุรินทร์                           FM 103.25        เวลา ๐๕.๐๐ น. - ๒๓.๓๐ น.

3.    ขอนแก่น                         FM 104             เวลา ๐๕.๐๐ น. - ๒๓.๓๐ น.

4.    ร้อยเอ็ด                          FM 93.25          เวลา ๐๕.๐๐ น. - ๒๓.๓๐ น.

5.    บุรีรัมย์                           FM 104                     ออกอากาศเร็วๆ นี้

6.    นครราชสีมา                    FM 103.25                ออกอากาศเร็วๆ นี้

7.    อุบลราชธานี                                                     ออกอากาศเร็วๆ นี้

ภาคกลาง

1.    ลพบุรี                             FM 94                      ออกอากาศเร็วๆ นี้

2.    พิษณุโลก                                                ออกอากาศเร็วๆ นี้

ภาคตะวันตก

1.    ประจวบคีรีขันธ์                FM 93.25                  ออกอากาศเร็วๆ นี้

ภาคใต้

1. พังงา                                                               ออกอากาศเร็วๆ นี้

2. สงขลา                             FM 103.75                 ออกอากาศเร็วๆ นี้

 

สถานีเชื่อมสัญญาณสถานีวิทยุเสียงธรรมฯ บางช่วงเวลา ดังนี้

1.    สถานีวิทยุกาญจนบุรี                                          FM 93.25

2.    สถานีวิทยุจังหวัดหนองบัวลำภู                         FM 89

3.    สถานีวิทยุวังสามหมอ จ.อุดรธานี                         FM 105.25

หลวงตา       ก็สรุปได้แต่เพียงว่า การตั้งสถานีวิทยุเพื่ออรรถเพื่อธรรมนั้นเราเห็นด้วยแล้ว ใครจะตั้งที่ไหนก็ตั้ง แต่เอะอะคนนั้นไม่พอเงินขาดเท่านั้นเท่านี้ มาหายุ่งแต่หลวงตาบัว อันนี้ขอบิณฑบาตอย่ายุ่ง มันยุ่งจริงๆ นะ มาทางไหนก็ปั๊บเข้ามานี้ๆ เพราะฉะนั้นเราจึงตัดบทว่าอย่ายุ่ง

 

รับฟังรับชมพระธรรมเทศนาของหลวงตา ได้ที่

www.Luangta.com หรือ www.Luangta.or.th

และรับฟังจากสถานีวิทยุสวนแสงธรรม กรุงเทพฯ และสถานีวิทยุอุดร

FM 103.25 MHz


** ท่านผู้เข้าชมทุกท่านโปรดทราบ
    เนื่องจากกัณฑ์เทศน์บางกัณฑ์มีความยาวค่อนข้างมาก ซึ่งจะส่งผลต่อความเร็วในการเปิดเว็บไซต์ ขอแนะนำให้ทุกท่านได้อ่านเนื้อหากัณฑ์เทศน์บางส่วนจากเว็บไซต์ และให้ทำการดาวน์โหลดไฟล์กัณฑ์เทศน์ที่มีนามสกุล .pdf ไปเก็บไว้ในเครื่องของท่านแทนการอ่านเนื้อหาทั้งหมดจากเว็บไซต์

<< BACK

หน้าแรก