เทศน์อบรมฆราวาส ณ วัดป่าบ้านตาด
เมื่อวันที่ ๑ มีนาคม พุทธศักราช ๒๕๔๘
ติดเราเสียอย่างเดียวติดหมด
ก่อนจังหัน
เคยย้ำเสมอสำหรับนักปฏิบัติของเรา เรื่องสติสำคัญมากนะ ให้สติติดอยู่กับตัวเถอะไม่ค่อยผิดพลาด เอาๆ จับไปปฏิบัติลองดูซิ ธรรมพระพุทธเจ้าหลอกลวงโลกหรือจริง เอานี้ไปจับใส่ตัวเองนั่นละ สติกับปัญญา สติเป็นพื้น ปัญญารอบอยู่ข้างๆ ให้นำไปใช้ ความเคลื่อนไหวของจิตเป็นอันดับหนึ่ง มันจะเคลื่อนไหวไปไหนๆ สติคอยจับๆ ความเคลื่อนไหวกายวาจา ความประพฤติ หน้าที่การงาน อย่างนี้เป็นอันดับที่สอง เอาสติตามจับดูจะเป็นยังไง คำสอนพระพุทธเจ้ากระเทือนโลกมาเป็นเวลานานแสนนาน พวกเราอยู่โลกไหน จะพอสัมผัสกันบ้างหรือกระเทือนกันบ้าง พอให้ตื่นเนื้อตื่นตัวบ้างหรือเปล่า เอาไปพิจารณานะ
นักปฏิบัติเรานี้ละจะเป็นผู้นำเหตุนำผลออกมาให้ชัดเจนในหัวใจตนเอง แล้วกระจายออกไปเพื่อประโยชน์แก่โลกได้ไม่สงสัย นักปฏิบัติเป็นอันดับหนึ่งนะ เป็นผู้นำ นำตัวเอง พระพุทธเจ้าศาสดาองค์เอกท่านนำมาแล้วด้วยธรรมเหล่านี้ สาวกนำมาเป็นอันดับสอง แล้วบรรดาผู้ปฏิบัติทั้งหลายเพื่อมรรคผลนิพพาน เอา อันดับสามเข้าไป จากนั้นก็ประชาชนญาติโยมทั่วๆ ไปหมด นี้ละเป็นสำคัญ ให้ท่านทั้งหลายเอาธรรมพระพุทธเจ้านี้ไปพิสูจน์ตัวเอง ธรรมปลอมหรือเราปลอม จะได้เห็นกันชัดเจนตอนนี้แหละ
ปฏิบัติเร่ๆ ร่อนๆ ไม่ได้หน้าได้หลัง สุ่มสี่สุ่มห้า แล้วก็เลอะๆ เทอะๆ ศาสนาก็เลยกลายเป็นมูตรเป็นคูถไปตามความเลอะเทอะของเราซึ่งเป็นกองมูตรกองคูถอยู่แล้ว เป็นอย่างนั้นเสียมากเวลานี้ อยากให้เอาคำสอนพระพุทธเจ้าไปจับตัวเองดูเป็นยังไง ท่านตรัสรู้มากี่พระองค์พระพุทธเจ้า แม่น้ำมหาสมุทรทะเลหลวงนี้แคบไปนะ บรรดาพระพุทธเจ้าทั้งหลายที่ตรัสรู้มาด้วยธรรมอันเลิศๆ เพราะพระสติพระปัญญา จับอันนี้ให้ดี เอามาพิสูจน์ตัวของเรา
เป็นยังไงพระพุทธเจ้าตรัสรู้กระเทือนโลกมานานสักเท่าไร แล้วกระเทือนจิตใจเราบ้างหรือเปล่าสติธรรม ปัญญาธรรม ท่านประกาศลงมาที่นี่ มาสัมผัสเราบ้างหรือเปล่า หรือนอนไม่ตื่นตลอดกี่กัปกี่กัลป์ต่อไปอีกเหรอ เอามาพิสูจน์นะ นักปฏิบัตินี่ละสำคัญมาก ดูเราให้ดี เอาธรรมมาจับ ธรรมผิดหรือเราผิด เอาเราเสียก่อน เราผิดหรือธรรมผิดเสียก่อน อย่าด่วนว่าธรรมถูกทีเดียว เราอาจจะแย้งว่าธรรมผิดไปก็ได้ เอามาพิสูจน์ จุดสำคัญอยู่จุดนี้ ถ้าลงนำธรรมพระพุทธเจ้าเข้ามาพิสูจน์ตัวเองแล้ว อย่างไรต้องได้ความมาโดยลำดับลำดานะ ศาสนานี้เอก เลิศเลอสุดยอดแล้วจากพระพุทธเจ้าทุกๆ พระองค์ไม่มีเว้น เอามาพิสูจน์ตัวของเราเอง ใครจะไปใครจะอยู่
กิเลสกับธรรมอยู่บนหัวใจเรา ใครจะไปใครจะอยู่ ส่วนมากมีแต่กิเลสกองมูตรกองคูถเต็มหัวใจ ธรรมเผ่น อยู่ไม่ได้เลย จำให้ดีนะ เอาละให้พร
หลังจังหัน
(ลูกศิษย์บังสุกุลให้คนตาย) เออ ตายก็ตายสุดวิสัยจะทำยังไง ผู้ยังอยู่ก็ให้พากันสร้างความดีไว้สำหรับตนเอง ใจนี้จะสืบทอดทั้งดีทั้งชั่วติดกันไปกับใจ สิ่งเหล่านี้อาศัยชั่วกาลเวลา พอตายแล้วเขาก็อยู่อย่างนี้ แต่ใจของเราไม่อยู่ซิ เดี๋ยวไปโน้นไปนี้ ระวังอันนี้ให้ดีนะ การพิสูจน์จิตใจการเกิดตายของสัตว์ ไม่มีใครที่จะเลิศเลอยิ่งกว่าพุทธศาสนา พิสูจน์ตามจนกระทั่งถึงที่สุดเลยเทียว ถึงธรรมธาตุ โอ๋ ไม่สูญ นั่น ถึงธรรมธาตุแล้วก็เป็นธรรมธาตุเลย ไม่สูญ ตั้งแต่ล้มลุกคลุกคลานเกิดภพนั้นภพนี้ คนเก่าแหละเกิดแล้วเกิดเล่า ตายแล้วตายเล่า ภพเก่าภพใหม่เคยเกิดเคยตายมามากต่อมาก มันไม่รู้ คือกิเลสมันกลบรอยๆ ไปหมด ผ่านไปแล้วเหมือนไม่ได้ผ่าน ทำชั่วได้รับความทุกข์ความลำบากมากน้อย เหมือนไม่ได้ทำ เป็นอย่างนั้นละ แล้วก็โดนเอาๆ เพราะจำไม่ได้
เวลาพระพุทธเจ้ามาตรัสรู้ เบื้องต้นท่านภาวนาอานาปานสติ ท่านทรงระลึกย้อนหลังได้เวลาท่านยังทรงพระเยาว์อยู่ พระราชบิดาพาเสด็จไปแรกนาขวัญ แต่ก่อนกษัตริย์ถือการทำนา ท่านไปประทับอยู่ที่ร่มหว้าใหญ่ ภาษาเราเรียกว่าเป็นเด็ก แต่เป็นเด็กโพธิสัตว์จะเป็นพระพุทธเจ้าอยู่นั่นซิ เจริญอานาปานสติจิตใจลงสว่างจ้าไปหมดเลยวันนั้น แปลกประหลาดอัศจรรย์ ทีนี้เวลาออกบำเพ็ญยังระลึกไม่ได้ที่เจริญอานาปานสติ ระลึกไม่ได้ก็ทำสุ่มสี่สุ่มห้า อดพระกระยาหารถึง ๔๙ วัน
คืออดอาหารนี้เพื่อจะตรัสรู้ด้วยการอดอาหาร ไม่ได้มีจิตตภาวนาเข้าแทรก อดเพื่อตรัสรู้ เช่น นอนบนขวากบนหนามก็เพื่อตรัสรู้ด้วยขวากด้วยหนาม อดอาหารก็เพื่อตรัสรู้ด้วยการอดอาหาร มันผิดทางด้วยกันทั้งนั้น พอจิตตภาวนาปั๊บเข้าไปมันก็ถูก ทีนี้เวลาทำไปที่ไหนก็เหมือนว่าหมดกำลัง จึงทรงย้อนหลังระลึกถึงที่เจริญอานาปานสติ ระลึกได้ติดพระทัยปุ๊บเลยทันที อันนี้เป็นที่ถูกต้องละที่นี่ เรื่องการอดอาหารลดปุ๊บเลยทันที ไม่เอา หยุด ทรงเสวยพระกระยาหาร วันนั้นตัดสินพระทัยเสวยพระกระยาหาร อดมา ๔๙ วัน พระโลมาขนนี่หลุดลอยไป เพื่อตรัสรู้ด้วยการอดอาหารโดยถ่ายเดียวมันผิดทาง
พอระลึกอานาปานสติได้ก็ตัดสินพระทัยเลย ลงใจทันที นี่เป็นทางที่ถูกต้องแน่นอน เอาข้างนี้ละ จึงได้ตั้งสัจจะอธิษฐาน คราวนี้จะเอาแบบนี้ เป็นกับตายในแบบนี้ด้วยความลงพระทัย ตอนเช้าไปอยู่ใต้ร่มโพธิ์ใหญ่ นางสุชาดาเอาข้าวมธุปายาสไปถวาย ๔๙ ชิ้น ท่านเสวยหมด ๔๙ ชิ้น คงเป็นชิ้นใหญ่ แล้วก็ตัดสินพระทัยลงเดี๋ยวนั้นเลยว่าเราจะบำเพ็ญอานาปานสติใต้ต้นโพธิ์ต้นนี้ สถานที่นี่เป็นสถานที่ตรัสรู้หรือเป็นสถานที่ตายของเราเท่านั้น ถ้าตรัสรู้ก็ตรัสรู้ที่นี่ ถ้าไม่ตรัสรู้ก็ต้องตายที่นี่ เราจะนั่งภาวนาจนกระทั่งได้ตรัสรู้ถึงจะลุก ไม่ลุกก็ตายเท่านั้น ตัดสินพระทัย จึงได้ทรงเจริญอานาปานสติ
พอปฐมยาม ทรงบรรลุ ปุพเพนิวาสานุสสติญาณ นั่นเห็นไหม พอจับปั๊บติดเลย ถูกต้องแล้ว ได้บรรลุปุพเพนิวาสานุสสติญาณ ระลึกชาติย้อนหลังได้ ที่เกิดมากี่ภพกี่ชาติกี่กัปกี่กัลป์นานเท่าไรๆ พิจารณาย้อนหลังรู้หมดเลย เปิดทางโล่ง ความเกิดตายของเจ้าของมาภพใดชาติใด เกิดสถานที่ใดๆ เป็นกำเนิดแห่งสัตว์ประเภทใดบ้างรู้หมดเลย นี่ปุพเพนิวาสานุสสติญาณ ผลเกิดขึ้นจากเจริญอานาปานสติ นี่เรียกว่าปฐมยาม
พอมัชฌิมยาม ก็บรรลุจุตูปปาตญาณ ทรงพิจารณาดูความเกิดและความตายของสัตว์ทั้งหลายเป็นยังไง มาพิจารณากับพระองค์นี้แบบเดียวกันหมด อู๋ย นักเกิดนักตาย เขาเหมือนเรา เราเหมือนเขา ไม่มีใครแพ้ใครชนะเรื่องภพชาติ มากที่สุด เกินกว่าที่จะนับจะประมาณได้ นอกจากพระญาณหยั่งทราบของพระพุทธเจ้าเท่านั้น ทรงเอาทั้งสองอย่างนี้มาประมวล การเกิดตายของเราก็ดี ของสัตว์ทั้งหลายก็ดี ตายแบบเดียวกัน เกิดแบบเดียวกัน สูงๆ ต่ำๆ ลุ่มๆ ดอนๆ ขึ้นสวรรค์ชั้นพรหม ตกลงไปนรกอเวจี เหมือนกันหมดเลย ไม่ว่าเขาว่าเราไม่มีใครสูงต่ำกว่าใคร เป็นแบบเดียวกัน เพราะไปด้วยความลุ่มหลง
จากนั้นจึงประมวลเอาทั้งสองอย่าง เราก็ดีที่เกิดตายๆ มาจนกระทั่งป่านนี้ แล้วสัตว์โลกที่เกิดตายๆ เหมือนกันกับเรานี้ มีอะไรเป็นสาเหตุพาให้เกิดให้ตายอยู่ไม่หยุดไม่ถอยอย่างนี้ จึงค้นมาหาสาเหตุแห่งความเกิดตายของสัตว์คืออะไร เข้ามาก็มาถึงปัจจยาการ อวิชฺชาปจฺจยา สงฺขารา สงฺขารปจฺจยา วิญฺญาณํ พิจารณาย้อนเข้ามาหาต้นตอของมันที่พาให้เกิด คืออวิชชา พอพิจารณาตรงนั้นๆ เข้าไปถึงตรงนั้นแล้วถอนพรวดเลย อวิชชาตัวพาให้สัตว์ทั้งหลายเกิด ไม่ว่าเขาว่าเราตัวนี้พาให้เกิด
ฟังซิ จิตมันไม่ได้สูญ มันพาให้เกิดอยู่ตลอด นั่นละฐานเกิดตายของสัตว์อยู่ตรงนี้ พอพิจารณานี้ทราบชัดแล้วก็ถอนพรวดขึ้นมา อวิชฺชายเตฺว อเสสวิราคนิโรธา สงฺขารนิโรโธ พออวิชชาดับเท่านั้น สังขารอะไรๆ ที่เป็นเครื่องหนุนของสมุทัยของกิเลสใหญ่คืออวิชชาหนุนออกมา พออวิชชาดับ สังขารดับ วิญญาณอะไรๆ ดับพร้อมกันหมดเลย นิโรโธ โหติ เลย เหล่านี้เป็นนิโรธทั้งนั้น ดับ นั่นท่านบำเพ็ญ
นี่ละพระพุทธเจ้าทรงพิจารณามาตามเหตุตามผลอย่างนี้ ใครจะไปค้านได้ ไม่มีใครค้าน ยอมรับสามแดนโลกธาตุ หากจะค้านก็ค้านตั้งแต่พวกหัวชนต้นเสาเท่านั้น มันไม่ยอมฟังเสียงผิดเสียงถูก ดีชั่วประการใด มันจะฟังตั้งแต่ความรู้ความเห็นความเป็นของตน เชื่อความรู้ความเห็นความเป็นของตนโดยถ่ายเดียว ผิดถูกไม่คำนึง แล้วก็วิ่งตามความรู้ความเห็นของตน พวกนี้ไม่ยอมเชื่ออรรถเชื่อธรรม บืนไปอย่างนั้น ชนไปอย่างนั้น โดนไปอย่างนั้น เกิดตายไปตลอดอย่างนั้น ผู้ที่เชื่อ พระพุทธเจ้าสอนเชื่อก็ถอยตัวกลับเข้ามา ก็มาบรรลุธรรมเรื่อย อย่างพระอรหันต์ทั้งหลาย ตั้งแต่เบญจวัคคีย์ทั้งห้ามา พิจารณาตามพระพุทธเจ้าตรัสรู้ธรรมๆ เรื่อยมา
พอตรัสรู้แล้ว เชื้อพาให้เกิดให้ตายนี้ดับหมด ความไม่เกิดไม่ตายที่อยู่ข้างในนี้ถูกเปิดจ้าออกมา เรียกว่าตรัสรู้ธรรมหรือบรรลุธรรม เป็นธรรมธาตุขึ้นภายในจิตใจล้วนๆ นั่นไม่สูญ เห็นไหมล่ะ สรุปลงแล้ว ถึงขั้นธรรมธาตุแล้วก็เรียกว่าไม่สูญแบบเลิศเลอ จิตดวงนี้ไม่เคยสูญ ให้พากันจำเอานะ นี่ละโอวาทข้อนี้จะไม่มีใคร ในโลกธาตุนี้ไม่มี มีพระพุทธเจ้าเพียงพระองค์เดียวเป็นผู้รื้อถอนภพชาติและดับภพชาติ แล้วประกาศธรรมเหล่านี้แก่โลกทั้งหลายให้ทราบเรื่อยมา ก็คือองค์ศาสดา ขอให้พากันยึดพากันปฏิบัติ
ทีนี้พูดถึงเรื่องผู้บำเพ็ญตาม ผู้บำเพ็ญตามก็แบบเดียวกัน คือตามร่องรอยความเกิดตายของตัวเองด้วยธรรมเป็นเครื่องพิสูจน์กัน พิสูจน์การเกิดตายของตัวเองด้วยธรรม ตามเข้าไปๆ แบบเดียวกันถึงปุ๊บ หมด เรื่องความเกิดตายหมด ทีนี้ย้อนเข้ามาหานักปฏิบัติ เอาให้มันเห็นชัดเจนอย่างนี้ นี่เราก็พูดให้พี่น้องทั้งหลายฟัง เอาหลักเกณฑ์ที่ถูกต้องดีงามของพระพุทธเจ้าที่ทรงสอนโลกนั้นมาปฏิบัติตัวเอง เริ่มต้นตั้งแต่ภาวนา นั่นละขึ้น เพราะภาวนาเป็นทางที่รวมแล้ว จะเข้าสู่จุดสุดยอด ทาน ศีลอะไรๆ เป็นมหากุศลมากต่อมาก สร้างมาเท่าไรๆ รวมตัวมารอหมดแล้ว
ทีนี้สร้างจิตตภาวนา นี่สร้างทำนบใหญ่สำหรับรวมน้ำทั้งหลายที่ไหลมา ให้มาลงในจุดใหญ่คือทำนบใหญ่ เหมือนน้ำไหลรวมลงมหาสมุทร บารมีของเราที่สร้างมามากน้อยก็เหมือนกับแม่น้ำสายต่างๆ ไหลลงมาเข้าสู่มหาสมุทร เป็นอันเดียวกันหมดเลย ไม่มีแยกมีแยะว่าน้ำจากสายนั้นสายนี้ จากบนฟ้าอากาศที่ไหน จากห้วยหนองคลองบึงลำคลองใดก็ตาม เมื่อลงมหาสมุทรแล้วเป็นน้ำมหาสมุทรอันเดียวกันหมดเลย นี้บารมีของเราที่สร้างมาด้วยการให้ทาน รักษาศีล กี่ประเภทที่เรียกว่าความดีไหลเข้ามาๆ สร้างทำนบใหญ่คือจิตตภาวนาสำหรับรับความดีทั้งหลายเหล่านี้ ให้เป็นที่รวมแห่งความดี เป็นมหากุศลอันยิ่งใหญ่ แล้วยกตนให้พ้นจากทุกข์ไปได้ในวัฏสงสาร
ทีนี้เวลาเรามาประมวลในตัวของเราเองที่บำเพ็ญ ก็หาที่ค้านพระพุทธเจ้าไม่ได้ เพราะเดินทางสายเดียวกัน รู้ตรงไหนๆ ยอมรับๆ มีแต่อ๋อๆ ไปเรื่อย รู้เจ้าของหายสงสัย นี้เป็นธรรมพระพุทธเจ้าสอนไว้แล้ว อ๋อ ยอมรับ พระพุทธเจ้าสอนไว้แล้ว เรารู้ตรงนี้พระพุทธเจ้าสอนไว้แล้ว อ๋อๆ นั่นเห็นไหมล่ะ ยอมรับๆ ตั้งแต่จิตล้มลุกคลุกคลาน เอากันไปเอากันมาค่อยตั้งตัวได้เป็นความสงบเย็น รวมตัวเข้ามาได้ จากนั้นก็สร้างความแน่นหนามั่นคงขึ้นจนกลายเป็นสมาธิ จากนั้นเป็นปัญญา เป็นแถวทางเดินเข้ามาเรื่อยๆ แน่นหนามั่นคงเฉียบแหลมเข้าไปทุกวัน สติปัญญาธรรมชำระซักฟอกสิ่งที่มัวหมองมืดตื้ออยู่ภายในใจออก ก็เปิดออกๆ จากใจนี่ คืออันนี้กับพระพุทธเจ้าทั้งหลายมันเข้ากันได้หมดเลย พอเข้าไปหาจุดรวมแล้วเข้าอันเดียวกันหมด
เวลาพิจารณาลงไป ทุกอย่างมีกำลังหนาขึ้นๆ เพราะได้รับการบำรุงรักษาตลอด เช่น สมาธิภาวนา เราภาวนาทุกวัน บำรุงทุกวัน จิตใจของเรายิ่งสงบเย็นเข้าไปๆ จากนั้นก็เปลี่ยนสภาพเข้าสู่ความละเอียดเข้าไปเรื่อยๆ กิเลสส่วนหยาบส่วนกลางส่วนละเอียดค่อยหมดไปๆ จากการซักฟอกคือจิตตภาวนา แล้วค่อยสว่างออกๆ จากนั้นขึ้นถึงขั้นปัญญาที่จะผ่านละ ศีล สมาธิ ปัญญา นั่นท่านว่าไว้แล้ว ศีลเป็นภาคพื้นที่เราทั้งหลายจะรักษา เพราะเป็นความดีงามประจำกิริยามารยาท ซึ่งออกมาจากจิตใจที่มีศีลมีธรรมอันดีงามอยู่แล้ว ก็กลายเป็นกิริยาวาจาคำพูด การประพฤติปฏิบัติตัวเอง เป็นของดีไปเรื่อยๆ จากนั้นก็เข้าสู่ใจนี้แหละ
รวมเข้ามาๆ นี่ทำนบใหญ่นะ ไม่ว่าการให้ทานมากน้อยมากี่กัปกี่กัลป์ไม่สูญไปไหน เพราะใจไม่เคยสูญ ธรรมชาตินี้ก็ตามส่งกันไปเรื่อยๆ จนกระทั่งถึงจิตมีความละเอียดลออมันก็รู้ภายในใจ มีแต่อ๋อๆ ยอมรับพระพุทธเจ้า ไม่มีที่ตรงไหนค้านพระพุทธเจ้า ว่าเรารู้อย่างนี้เราพิจารณาอย่างนี้ พระพุทธเจ้ารู้อย่างนั้น พระพุทธเจ้าผิด เราถูก ไม่เคยมี มีแต่ยอมรับปั๊บ พระพุทธเจ้าเหมือนว่าอยู่ในนั้นแล้ว อ๋อๆ ยอมรับพระพุทธเจ้า ทำลงไปจนจิตใจสว่างกระจ่างแจ้งดังเคยเล่าให้ฟัง ตั้งแต่มันมืดดำกำตา จนกระทั่งมันสว่างกระจ่างแจ้ง สว่างขึ้นมาจนกระทั่งอัศจรรย์ตัวเอง นี้ก็เคยเล่าให้ฟังแล้ว
เวลาถึงขั้นมันสว่างจริงๆ มันสว่างจริงๆ นะจิต นี่เราก็ยังไม่ลืม อยู่หลังวัดดอยธรรมเจดีย์ จ.สกลนคร นี้เป็นเดือน ๓ ถวายเพลิงท่านอาจารย์มั่นเสร็จเรียบร้อยแล้วเราก็ขึ้นบนเขา จิตก็ไปเป็นความสว่างกระจ่างแจ้งอยู่ในนั้น ทั้งๆ ที่ยังไม่สิ้นกิเลส มันสว่างเอาเสียจนกระทั่งถึงร่างกายของเรานี้มันเป็นเหมือนแก้วครอบดวงไฟตะเกียงเจ้าพายุ หรือหลอดไฟอยู่ข้างใน ร่างกายนี้เลยกลายเป็นเหมือนแก้วครอบ มันใสไปตามๆ กันหมด เพราะอำนาจของจิตสว่างไสว ร่างกายนี้ก็เป็นอากาศธาตุไปหมด ว่างไปตามๆ กันหมด มองดูโลกธาตุที่ไหนว่างไปหมดๆ มองดูกายเจ้าของนี้ก็แบบเดียวกันไปเลย เป็นเหมือนแก้วครอบหลอดไฟเอาไว้ เช่น หลอดตะเกียงเจ้าพายุหรือหลอดไฟฟ้า นั่นละดวงไฟดวงความรู้แท้ๆ อยู่ตรงนั้น มันส่องแสงกระจ่างออกมา
จนได้นึกในใจเจ้าของ เราไม่ได้ลืมอันนี้ก็ดี ตอนเช้าจวนสว่างเราเดินจงกรมอยู่ ยืนรำพึง มองดูที่ไหนมันจ้าไปหมดเลย โถ ทำไม นั่นเห็นไหมล่ะถึงขั้นมันสว่าง แต่สว่างนี้ไม่ได้สว่างถึงความสิ้นทุกข์นะ สว่างตามขั้นของจิตของธรรม พอถึงขั้นนี้แล้วเกิดความอัศจรรย์ มองไปที่ไหนโลกธาตุนี้มันว่างไปหมดเลย ร่างกายนี้ก็ว่างไปตามๆ กัน ถ้าเป็นแก้วก็เป็นแก้วครอบตะเกียง มันใสกระจ่างไปตามๆ กันหมดเลย จึงได้รำพึงขึ้นมา โห จิตเรานี้ทำไมถึงได้อัศจรรย์ถึงขนาดนี้เชียวนา นั่นเห็นไหมล่ะ ทำไมถึงได้อัศจรรย์ถึงขนาดนี้เชียวนา มองดูที่ไหนมันจ้าไปหมดเลย ธรรมชาตินี้พาให้จ้า หลอดไฟพาให้จ้า หรือหลอดตะเกียงเจ้าพายุพาให้จ้า
พระธรรมท่านกลัวจะติด เห็นไหมล่ะ นี่เราก็ไม่ลืม ก็เราติดแล้วนั่น เราเพลินตัวจนถึงอัศจรรย์ตัวเอง ว่าทำไมจิตใจของเราถึงได้สว่างกระจ่างแจ้งถึงขนาดนี้เชียวนา สักเดี๋ยวพออันนี้ระงับลงไปปั๊บ ธรรมขึ้นแล้ว นี่เรียกว่าธรรมเกิด ฟังซิ พอสงบลงไปก็มีแต่ความสว่างจ้าอยู่งั้น สักเดี๋ยวก็ผุดขึ้นมาภายในใจ เป็นคำพูดเป็นคำๆ ทีเดียว เหมือนว่าพูดอยู่ในหัวใจ พูดออกมาสอนเราเอง ท่านกลัวเราจะติดความสว่างอันนี้ ธรรมท่านเหนือ ผุดขึ้นมาเป็นคำๆ ว่า ถ้ามีจุดหรือมีต่อม ต่อมกับจุดเป็นไวพจน์ใช้แทนกันได้ ถ้ามีจุดมีต่อมแห่งความรู้อยู่ที่ไหน นั้นแลคือตัวภพ ขึ้นมาเป็นคำๆ แล้วจบปุ๊บหายเงียบไป
เราธรรมดานี้ควรจะจับได้ขณะนั้น พูดแล้วเสียดายพ่อแม่ครูจารย์มั่นท่านล่วงไปก่อนแล้ว เราขึ้นไปบนหลังวัดดอย ถ้าหากว่าท่านยังมีชีวิตอยู่ระยะนั้น เราเกิดอุบายอย่างนี้ขึ้นมา นำอุบายนี้ไปกราบเรียนท่าน จะบรรลุธรรมปึ๋งในเดี๋ยวนั้นเลยนะ มันเป็นจุดที่จะก้าวเข้าแล้ว ก้าวไม่ได้เพราะไม่มีผู้สอน นี่สำคัญมากนะ ก็เลยแบกปัญหานี้ไปตั้งแต่เดือน ๓ เดือน ๖ ถึงได้กลับมา กลับมาบนภูเขาลูกเก่านั่นแหละ แบกจุดแบกต่อมแห่งผู้รู้ไป แก้ไม่ตก ไม่รู้วิธีแก้ เอ๊ะ มันจุดต่อมยังไงกันนาๆ แก้ไม่ตก งง แบกไปอย่างนั้นแหละ แล้วกลับมาอีก กลับมาบนภูเขาลูกนี้
จุดต่อมอันนี้แบกไปแล้วก็แบกกลับมา จึงได้มาปลงกันที่ภูเขาลูกนั้น แต่เวลานั้นผิดกัน สถานที่แม้จะเป็นวัดดอยธรรมเจดีย์แต่เป็นสถานที่อยู่ต่างกัน เวลาเป็นเป็นอยู่ตีนเขา เวลามันเปิดกันแล้วมันเปิดที่หลังเขา เวลา ๕ ทุ่มพอดี คือมันเป็นความสว่างไสวจนเจ้าของติดใจและหลงไปเสียก็ถูก จนกระทั่งธรรมะท่านมาเตือน ว่ามีจุดมีต่อมแห่งผู้รู้อยู่ที่ไหน นั้นแลคือตัวภพ นี่ท่านเตือนขึ้นมา นี่ก็อยู่ไหล่ๆ เขานะ ทีนี้เวลามันมาเปิด มันก็มาเปิดบนหลังเขา อันนั้นจวนสว่าง อันนี้ ๕ ทุ่ม แน่ะ พูดให้ชัดเจน เวลามาเปิดมาเปิดที่หลังเขา
เรื่องอันนี้สรุปลงมาแล้ว จุดต่อมนี้ นั่นละมันเข้าจุดของมันที่จะทำลายจุดอันนี้ แห่งผู้รู้ที่ตัวภพนี้ละ มันก็พิจารณาเข้ามาประมวลเข้ามาๆ ถึงจุดนี้แหละ พอเข้าถึงจุดนี้ก็สรุปกันลงได้ว่า หาอะไรเราก็หามาพอแล้ว ว่างั้นในจิตนะ เราพิจารณาอะไรก็พิจารณาพอแล้ว ไม่มีอะไรที่จะติดใจข้องใจแม้นิดหนึ่ง ปรากฏว่ามันโล่งไปหมดเลย แล้วนี้มันติดอะไร นั่นเวลามันจะมาม้วนเสื่อนะ อะไรๆ มันก็ไม่ติด พิจารณาโลกธาตุนี้ปรากฏว่าหมด มันปล่อยมันวางไปหมด แต่โลกธาตุข้างในมันไม่ปล่อยนั่นซิ อะไรๆ มันก็ปล่อยไปหมด แล้วมันยังติดอะไร ถ้าว่าพ้นมันก็ยังไม่พ้น รู้เจ้าของอยู่ว่ายังไม่พ้น แต่การปล่อยมันก็ปล่อยไปหมดแล้วก็ยังไม่พ้น แล้วมันติดอะไร นี่ซิตอนที่มันจะเอากันนะ เราก็ปล่อยไปหมดโลกธาตุนี้ เคยแบกเคยหามด้วยอุปาทานมานานเท่าไร มันก็ปล่อยไปหมด ในหัวใจไม่มีเลย มีแต่ความสว่างไสว มันก็ติดความสว่างไสวเสีย ไม่รู้
อะไรก็ปล่อยไปหมดแล้ว แล้วมันยังติดอะไรอีก ถ้าว่าไม่ติด เจ้าของก็รู้อยู่ว่ายังไม่พ้น แล้วมันติดอะไร มันก็ย้อนเข้ามาหา ต้องติดผู้รู้ นั่นเอาละนะที่นี่ จะเข้าแล้วนะ ผู้รู้อันนี้มันร้อยสันพันคม มันกระจายเงาออกไปหลอกตัวเองทั่วแดนโลกธาตุ พอทราบเรื่องเงาของตัวเองทั่วแดนโลกธาตุแล้วมันไม่ทราบตัวเอง นั่นเห็นไหมที่นี่ เงาของตัวเองรอบโลกธาตุมันทราบหมด ปล่อยวางได้หมดโดยสิ้นเชิง แต่ตัวเองมันไม่ปล่อย คือจิตตัวผู้รู้นี้มันไม่ปล่อย มันก็มาติดตัวเองนี้แหละ แล้วตัวเองมีอะไรมันถึงติด ก็มันร้อยสันพันคม นั่นเห็นไหม
ดีก็คือใจดวงนี้ ชั่วก็คือใจดวงนี้ เป็นผู้เสกสรรปั้นยอ ว่าเศร้าหมองผ่องใสก็คือจิตดวงนี้เป็นผู้เสกสรรปั้นยอ แล้วความจริงมันลงที่ไหน ก็คือสิ่งเหล่านั้นเขาไม่ได้มีอะไร เป็นอนัตตาทั้งมวลเลย นั่นเห็นไหมล่ะ สิ่งเหล่านั้นเป็นอนัตตา จะยึดอะไรไม่ได้ทั้งหมดเลย เป็นอนัตตาทั้งหมด พอว่าสิ่งทั้งหลายเหล่านั้นเป็นอนัตตา เพราะจิตไปหลอกตัวเองต่างหาก พอว่าอย่างนั้นจิตมันก็ย้อนเข้ามารู้ตัวเองว่าจิตหลอกตัวเอง พออันนี้สงบกึ๊กลงไปว่ามาติดอยู่ที่ตัวเองเท่านั้น นอกนั้นไม่มีที่ติด อะไรปล่อยหมดแล้วแต่ยังไม่ได้ปล่อยตัวเอง มันติดอยู่ที่ตรงนี้
พอว่าอย่างนั้นจิตสงบกึ๊ก เงียบ นี่บทเวลามันจะเป็น ฟังให้ชัดเสียนะมันจวนจะตายแล้ว ท่านทั้งหลายฟังให้ดี จุดสุดท้ายของมัน ของการตามภพตามชาติแห่งจิตดวงนี้ มาลงที่จุดนี้แหละ ปล่อยหมดๆ แต่ยังไม่ปล่อยตัวเองมันก็ยังไม่หมด ว่าว่างหมดๆ แต่ยังไม่ว่างในตัวเองมันก็ยังไม่หมด ทีนี้เวลามันปล่อยไปหมด มันว่างไปหมดแล้ว ตัวเองก็มารู้ตัวเอง แล้วปล่อยตัวเอง ว่างตัวเอง นี่ว่างภายใน พอสงบลงอันนี้ผึงขึ้นมาเท่านั้น นี่เรียกว่าปล่อยตัวเอง ผางขึ้นมาเท่านั้นจ้าไปหมดเลยคราวนี้ ยึดอันไหนที่นี่ ไม่ต้องบอกไม่ต้องถาม สิ้นหรือไม่สิ้นประจักษ์ในทันทีทันใด
พูดแล้วสาธุ ไม่ต้องไปทูลถามพระพุทธเจ้า ธรรมอันเดียวกัน ผู้รู้กับธรรมเป็นธรรมที่สมควรแก่กันอยู่แล้ว ใครรู้เข้าไปเป็นผู้เหมาะสมด้วยกันหมด เสมอกันหมด นตฺถิ เสยฺโยว ปาปิโย ไม่มีใครยิ่งหย่อนกว่าใคร คือธรรมชาติที่ถึงที่สุดตัวเองแล้ว พอมันผางขึ้นเท่านั้นทีนี้หมดปัญหาไปเลย นี่ที่ยุติของจิตใจที่เที่ยวเกิดตายไม่หยุดไม่ถอย ตามรอยมันเข้ามาๆ กระทั่งทุกสิ่งทุกอย่างว่างไปหมดปล่อยไปหมดแล้วยังไม่แล้ว ถ้ายังไม่มาว่างตัวเอง ยังไม่ปล่อยตัวเองยังไม่แล้ว พอว่างตัวเองแล้วปล่อยตัวเองผางแล้วหมดปัญหาโดยประการทั้งปวง
ธรรมประกาศนี้เป็นเวลากลางคืน ๕ ทุ่มเป๋งพอดีเลย วัดดอยธรรมเจดีย์ สถานที่เดียวกัน แต่ที่ต่างกันนิดหน่อย อันนี้อยู่บนหลังเขา เวลาต่างกันหน่อย ตั้งแต่บัดนั้นมาจนกระทั่งป่านนี้ปล่อยอะไรอีก ก็ต้องถามกันอีกว่าเรายึดอะไรล่ะ ไม่ยึดอะไรก็จะปล่อยอะไร เท่านั้นเอง นี่ละจิตดวงนี้ ท่านทั้งหลายฟัง ที่มืดบอดกำดำกำขาวอยู่เวลานี้คือจิตดวงนี้หลงตัวเอง เอาเชือกพันคอตัวเองอยู่งั้นละ พอเปิดตัวเองแล้วปล่อยหมดเลย มันติดตัวเอง เมื่อติดเราแล้วก็ติดเขา ไม่ติดเราแล้วไม่ติดอะไรทั้งโลก ติดเราเสียอย่างเดียวติดหมด ถ้าไม่ติดเราเสียอย่างเดียวเปิดหมด เข้าใจเหรอ เอาละวันนี้พูดเพียงเท่านี้
นี่ที่สุดของจิตที่ว่าไม่สูญ ไม่สูญยังไง ฟังให้ชัดเจนให้ถึงเหตุถึงผลซิ เมื่อถึงนี้แล้วไม่ต้องถามอีกแล้ว สูญหรือไม่สูญรู้แล้ว นั่นแลถ้าจะให้ชื่ออีกทีหนึ่งก็ว่าธรรมธาตุ นี่ที่สุดยุติหมดโดยสิ้นเชิงคือธรรมธาตุเต็มตัวแล้ว เท่านั้นแหละ เอาละพอ
ผู้กำกับ ปัญหาของสันติครับ
ข้อหนึ่ง.จากการที่หลวงตาสอนให้หนูดูความเกิดดับ มีอะไรเกิดขึ้นก็รู้ อะไรดับไปก็รู้ ไม่มีอะไรก็รู้ การภาวนาของหนูเดี๋ยวนี้ ทุกครั้งที่นั่งภาวนากับนอน จะเห็นแสงสว่างจ้าเป็นสีน้ำเงิน สีขาว สีทอง สีแดง สีส้ม สีชมพู สีเขียว สลับไปเรื่อยๆ อย่างเร็วมากตลอดเวลาที่ภาวนาจนกว่าจะเสร็จ สิบวันที่ผ่านมานี้ยังเห็นแสงสว่างอยู่ แต่ว่ามีพลังหนักๆ และแรงหมุนเข้ามา บางครั้งมาจากหัวแล้วเข้าไปที่บริเวณใจ แล้วไปทางซ้าย ไปทางขวา หมุนอยู่ตลอดจนกระทั่งหนูทนไม่ไหว ก็จะเปลี่ยนเป็นนอนภาวนา คราวนี้พลังที่หนักและแรงนั้นจะยิ่งหมุนแรงขึ้นกว่าเดิม และหมุนเข้ามาจากมือและเท้าอีกด้วย จากนั้นใจและหัวจะดูดพลังเหล่านี้จากภายนอกเข้ามาด้วย เหมือนการชาร์จแบตเตอรี่ แต่บางครั้งก็เหมือนมีเครื่องดูดอยู่บนหัว ดูดเอาพลังจากภายในออกไปภายนอก ตลอดเวลาที่เกิดขึ้นนี้ หนูก็ทำตามที่หลวงตาสอน คือมีอะไรเกิดขึ้นที่ไหน สติก็จะอยู่ที่นั่นเป็นอัตโนมัติ
หลวงตา สีนั้นสีนี้เป็นเงาของจิตทั้งนั้น นักรู้ไม่มีเงา น้ำที่ใสเต็มที่แล้วไม่มีสี ใจที่บริสุทธิ์เต็มที่แล้วไม่มีสีนั้นสีนี้ อันนี้เป็นอาการของจิต ดูไปตามอาการของมันนั่นแหละ มันออกจากจิตนี้ไปเป็นสีนั้นสีนี้ ให้ดูตามอาการเฉยๆ ถ้าเราไม่หลงมันก็ดับของมัน อันนี้มันเปลี่ยนแปลงได้เพราะเป็นอาการ ผู้รู้นี้ไม่เปลี่ยน ถึงจะยังมีกิเลสอยู่นั้นก็ไม่เปลี่ยน ธรรมชาติผู้รู้ไม่เปลี่ยน พอรู้เต็มสัดเต็มส่วนแล้ว ทั้งสีทั้งแสงทั้งอะไรหมดโดยสิ้นเชิง เอาแค่นี้ก่อน อาการมีเท่านี้ก็พิจารณาตรงนี้ พูดกันตามนี้เท่านั้นเอง มันกว้างออกก็พูดกว้าง มันแคบเข้ามาพูดแคบเข้ามา เข้าไปจนหมดแล้วพูดหาอะไร
ผู้กำกับ ข้อสองครับ การภาวนาช่วงนี้หนูจะรู้กิริยาของจิตว่าเป็นอย่างไร เวลาภาวนาถ้าจิตสงบอยู่เฉยๆ ไม่มีอะไรเกิดขึ้น จะรู้สึกไม่พอใจ หนูจะบังคับให้เกิดสัญญาขึ้น แล้วก็ดูอยู่เฉยๆ บางครั้งสัญญาเหล่านี้จะหายไปเอง ก็จะลองดูใหม่ บังคับให้เกิดสังขารขึ้น บางครั้งสังขารก็จะหายไปเองเช่นกัน บางครั้งที่สัญญาและสังขารไม่หายไป หนูก็จะมาพิจารณาว่าทำไมหนูแพ้ และนำมาทำซ้ำอีกหลายๆ ครั้ง จนมันหายไปเองในที่สุด หนูจึงสรุปว่า สิ่งที่นำมาคิดแล้วไม่หายไป แสดงว่าจิตยังไม่อิ่มยังไม่พอ ต้องนำมาพิจารณาซ้ำๆ หาจุดที่ติดขัด จนจิตเบื่อ เหนื่อย อิ่มพอก็จะหยุดไปเอง หนูทำอย่างนี้ได้หรือเปล่าเจ้าคะ
หลวงตา ถูก แต่ที่เข้าใจว่าถูกแล้วนั้นผิด ที่ทำเหล่านี้ยังถูกอยู่ ให้ดูอาการของมัน มันกว้างก็ดูกว้าง มันแคบเข้ามาก็ดูแคบ นี่มันแคบเข้ามาแล้ว ให้ดูตามที่มันเกิดนี้อาการของมันมี ถ้ามีแล้วเรียกว่าเป็นสมมุติๆ มันจะมีอาการ อาการทั้งหมดเป็นสมมุติทั้งมวล เมื่อมันหมดธรรมชาตินั้นแล้วอาการเหล่านี้ก็หมดไปตามๆ กัน ปัญหาก็ไม่มี ให้พิจารณาตามนี้
ผู้กำกับ มีข้อสามอีกข้อหนึ่งครับ
หลวงตา เอาละเราเข้าใจแล้วตั้งแต่ยังไม่พูด จะว่าคุยหรือไม่คุยก็ตามมันเข้าใจ พอพูดอย่างนี้มันเข้าใจไปหมดแล้ว เอาละไม่ต้อง คือมันเป็นอาการด้วยกัน ขี้เกียจฟัง
รับฟังรับชมพระธรรมเทศนาของหลวงตา ได้ที่
www.Luangta.com หรือ www.Luangta.or.th
และรับฟังจากสถานีวิทยุสวนแสงธรรม กรุงเทพฯ และสถานีวิทยุอุดร
FM 103.25 MHz |