อย่ามองข้ามธรรม
วันที่ 4 กุมภาพันธ์ 2548 เวลา 8:40 น.
สถานที่ : วัดป่าบ้านตาด
| |
ดาวน์โหลดเพื่อเก็บไว้ในเครื่อง
ให้คลิกขวาแล้วเลือก Save target as .. จาก link ต่อไปนี้ :
ข้อมูลเสียงแบบ(Win)   ข้อมูลเสียงแบบ(MP3)   วิดีโอแบบ(Win Narrow Band)

ค้นหา :

เทศน์อบรมฆราวาส ณ วัดป่าบ้านตาด

เมื่อวันที่ ๔ กุมภาพันธ์ พุทธศักราช ๒๕๔๘

อย่ามองข้ามธรรม

 

ก่อนจังหัน

สติเป็นสำคัญนะ ไม่ว่ากิจการงานใดสติเป็นสำคัญ ยิ่งการภาวนาด้วยแล้วติดแนบกับตัวตลอด อิริยาบถเคลื่อนไหวสติติดแนบๆ ตลอดเวลา ทีนี้เวลาเราภาวนาจริงๆ มันก็ง่ายขึ้นๆ ถ้าปล่อยไปตามบุญตามกรรม เวลาจะภาวนามันก็ไม่อยู่ ร่างกายก็รำคาญ อะไรรำคาญ นั่นเห็นไหมล่ะ การฝึกจิตเป็นของง่ายเมื่อไร จิตนี้เป็นตัวมหาภัยและมหาคุณอยู่ด้วยกัน ศาสดาของเราเป็นศาสดาเอก จับเอาจุดนี้แล้วจะกระเทือนถึงพระพุทธเจ้าทั้งหลาย ท่านเลิศเลอเพราะเหตุนี้ นั่น อันนี้เป็นจุดสำคัญมากของศาสนา พุทธศาสนาของเรารวมลงในจิตตภาวนา นี้เป็นที่รวมแห่งความดีความชั่วทั้งหลาย จะมารวมรู้กันที่ใจ ละกันที่ใจ อันนี้สำคัญมากทีเดียว

เราจะได้เห็นใจเลิศเลอขึ้นจากการภาวนาตามหลักพุทธศาสนา แต่ที่ใจเลวอยู่ตลอดเวลาทั่วโลกดินแดน ก็เพราะกิเลสเป็นศาสดา กิเลสเป็นศาสดาแล้วเลวตลอดๆ สอนคนมีแต่ลากลงๆ ธรรมพระพุทธเจ้าท่านฉุดขึ้นลากขึ้น จำให้ดีนะทุกคนๆ อย่าให้เสียประโยชน์ เกิดมานี้กี่ปีกี่เดือนพวกเราคนหนึ่งๆ วันหนึ่งๆ ได้ทดสอบตนบ้างหรือเปล่า ระยะนี้เป็นระยะที่ควรจะทดสอบแล้ว ทดสอบตัวเอง ตั้งแต่ตื่นนอนมาถึงค่ำนี้ได้สร้างความชั่วความดีอะไรบ้าง ทำความดีความชั่วอะไรบ้าง ทดสอบ ย่นเข้ามาจนกระทั่งถึงจิตใจ

นักภาวนาเราตั้งแต่ตื่นนอนจนกระทั่งหลับมันเผลอไปยังไง กี่ร้อยกี่พันกี่หมื่นกี่แสนกี่ล้าน กี่ล้านๆ ครั้ง นั่นความเผลอของจิต ความมีสติได้สักเท่าไร นี่สำคัญมากนะ เราได้ทำแล้วก่อนที่จะตั้งรากฐานได้ คือตั้งสติ ได้นำมาเป็นคติแก่บรรดาพี่น้องทั้งหลาย คือทดสอบทุกสิ่งทุกอย่าง เจริญแล้วเสื่อมๆ จิตเราเจริญแล้วเสื่อมอยู่เป็นเวลา ๑ ปีกับ ๕ เดือน แหมเหมือนตกนรกทั้งเป็นในหัวอก เวลาจิตเจริญขึ้นแล้วมันสุขมันอะไรพูดไม่ถูกทั้งนั้น เราไม่เคยรู้ไม่เคยเห็นไม่เคยเป็นก็ไม่รู้จักวิธีรักษา พอหย่อนยานไปบ้างเพราะเห็นว่ามีความสุขก็ตายใจคนเรา ทีนี้มันเสื่อมละซิ พอเสื่อมก็ดีดใหญ่ที่นี่ เสื่อมใหญ่เลย ดีดตามกันๆ ไม่ทัน ฟัดกันอยู่นี่ เจริญแล้วเสื่อมๆ ไฟสุมหัวอกนี้เป็นเวลา ๑ ปีกับ ๕ เดือน แหมเหมือนตกนรกทั้งเป็นเราไม่ลืม

จึงประมวลเหตุผลกลไกลงได้มาลงจุดที่ภาวนา เอาคำบริกรรมเป็นหลัก เช่น พุทโธๆ ติดกับจิต เอาสติแนบเข้าไป กิเลสเกิดขึ้นมันขึ้นช่องนี้ ทีนี้เอาพุทโธติดเข้าไป ปิดไว้เลยนะ เอาพุทโธปิดช่องที่กิเลสขึ้น กิเลสคือตัวสังขารมันออกมา อวิชฺชาปจฺจยา สงฺขารา อวิชชาเป็นพลังใหญ่หนุนออกมาให้เกิดสังขาร ให้อยากคิดอยากปรุงอยากรู้อยากเห็น อยากทุกอย่าง สร้างแต่ความทุกข์ใส่ตัวเอง ทีนี้เอาพุทโธปิดเข้าไป สติติดแนบเลยๆ ลงใจละที่นี่ เราขาดคำบริกรรม ทีนี้จะเอาคำบริกรรม เอา ถึงไหนถึงกัน เจริญแล้วเสื่อมๆ มาปีกับ ๕ เดือนไม่สนใจ เอา อยากเจริญๆ อยากเสื่อมๆ ไป แต่พุทโธนี้จะพรากจากกันไม่ได้กับสติ ฟัดกันเลย

พอลงใจกันแล้วมันก็เหมือนนักมวยเขาจะต่อยกัน พอระฆังเป๋งก็ซัดกันเลย อันนี้พอลงใจเรียบร้อยแล้ว นี่เหมือนระฆังดังเป๋งนะในหัวใจเรา เอาละทีนี้พุทโธกับสตินี้จะต้องติดแนบ เผลอไม่ได้เลย ว่างั้น นั่นละที่นี่จึงได้เห็นเรื่องเจ้าของ เห็นเรื่องกิเลส พอระฆังดังเป๋ง สติกับพุทโธติดแนบเลยไม่ให้เผลอจริงๆ ตั้งแต่ตื่นนอนจนกระทั่งหลับไม่มีเผลอเลย ท่านทั้งหลายเชื่อหรือไม่เชื่อ จนอกจะแตกนะ คือสังขารมันอยากคิดอยากปรุง มันดันขึ้นมาๆ เหมือนอกจะแตก เอา แตกก็แตกแต่ความเผลอไม่มี เหมือนนักมวยเขาต่อยกันพลิกคว่ำพลิกหงาย พลิกท่าไหนก็พลิกแต่สติเขาจะไม่เผลอในการต่อยกัน

นี่ก็เหมือนกัน สตินี้จะไม่ยอมให้เผลอๆ วันแรกนี้หนักมาก วันที่สองรองกันลงมา วันที่สามค่อยเบา เห็นผลประจักษ์ ความผลักดันของกิเลสตัวนี้ค่อยเบาลงๆ ต่อจากนั้นพุทโธๆ นี้เรียกว่างานของธรรม คิดนั้นคิดนี้เป็นงานของกิเลส พุทโธเป็นงานของธรรม ปรากฏผลขึ้นมามีความสงบเย็นใจ ทีนี้ก็เอาใหญ่เลย นี่เราพูดถึงเรื่องการตั้งสติ พอได้สามวันสี่วันทีนี้จิตลงสู่ความละเอียดจนกระทั่งบริกรรมไม่ได้เลย หมด คำบริกรรมหมด เหลือแต่จิตละเอียดแน่วอยู่ในนั้น คำบริกรรมปรุงยังไงก็ไม่มีๆ เกิดความสงสัยทำไมจึงไม่มี เราติดแนบกันมากับคำบริกรรม

เอา ไม่มีก็ให้อยู่กับความรู้ที่ละเอียดๆ นี้แหละ มันสงบตัวเข้าไปไม่ปรุง ปรุงยังไงก็ไม่มี เป็นเหตุให้สงสัย ทำไมบริกรรมมาตลอดพุทโธ วันนี้ทำไมจึงเป็นอย่างนี้ คือจิตมันละเอียดๆ เข้าไป ทีนี้ปรุงไม่มี สังขารปรุงเท่าไรก็ไม่ขึ้น เอา เมื่อไม่ขึ้น อะไรที่จะจับกันได้ เป็นที่เกาะที่ติดของสติ ก็เอาความรู้ที่ละเอียด เอาสติติดกับความรู้นั้นเลย พอจิตขยับตัวออกมา มันก็เหมือนเราตื่นนอน เวลาตื่นมันก็ตื่นคนเรา เวลาหลับก็หลับ อันนี้เวลาจิตสงบก็สงบ ปรุงไม่ได้เลย พอจิตขยับออกมานี้เอาพุทโธติดเข้าไปๆ นี่ละการตั้งตัวได้ ท่านทั้งหลายให้จำไว้ นักปฏิบัติเฉพาะอย่างยิ่งพระเรานะ ตั้งสติ

กิเลสจะขนาดไหนก็ตาม สตินี้มีอำนาจมากครอบไว้เลย สตินี้สำคัญมาก ขออย่าให้เผลอ กิเลสจะออกจนอกจะแตกมันก็อยู่ภายใน สติบังคับไว้ๆ จำให้ดีนะ วันนี้พูดถึงเรื่องการตั้งใจภาวนา อยากตั้งตัวได้ นักภาวนาเราส่วนมากเหลวไหลๆ คือไม่มีหลักมีเกณฑ์ นี้แสดงหลักเกณฑ์ให้ท่านทั้งหลายฟัง เอาสติจับๆ ไม่มีการมีงานอะไร จะไปไหนสติอยู่กับตัว ไม่ใช่คนตาย ตั้งให้ดี เมื่อสติปัญญาได้รักษาใจอยู่ตลอดเวลาแล้ว ใจจะมีความปลอดภัยๆ กิเลสมีอยู่ก็หมอบที่นี่ ธรรมทำงาน เข้าใจนะ จากนั้นก็ตั้งตัวได้ เราตั้งตัวได้ตั้งแต่บัดนั้นเราพูดจริงๆ

จิตเจริญแล้วเสื่อมๆ ปีกับ ๕ เดือน แทบว่าจะเป็นจะตาย ตกนรกทั้งเป็น จึงได้มาหาอุบายวิธีการตั้งใหม่แบบนี้ละ แบบตั้งสติไม่ให้เผลอ จนกระทั่งตั้งหลักได้ จิตที่เคยเจริญแล้วเสื่อมๆ ทีนี้เจริญแล้วไม่เสื่อม พอตั้งสติแบบนี้แล้วไม่เสื่อม ไม่เสื่อมก็ขึ้นเลย ขึ้นเลยก็หนักเลย จิตเสื่อมคราวนี้เราต้องตาย บอกงั้นเลย เพราะเราเข็ดเหลือประมาณแล้ว คราวนี้ถ้าหากว่าจิตเราเสื่อมลงไปนี้เราต้องตาย จะตายแบบไหนมันจะเป็นได้แหละ เพราะนิสัยอย่างนี้ เด็ดจริงๆ เลยไม่เสื่อมๆ ฟัดกันเลยๆ

จากนั้นก็ก้าวเข้าสู่สนามเวทีใหญ่ นั่งตลอดรุ่ง นี่ละพอได้หลักแล้วขึ้นนั่งตลอดรุ่งๆ หามรุ่งหามค่ำอย่างที่เคยพูดให้ฟังแล้ว จากนั้นจิตก็พุ่งขึ้นๆ ก็ไปนอนตายอยู่ในสมาธิเสีย มันสบาย นี่เห็นไหมผลของงาน จิตที่เคยฟุ้งซ่านรำคาญอยากจะคิด มันก็รำคาญไม่อยากคิด สู้ความสงบไม่ได้ ความสงบเย็นสบาย เหมือนหินทับหญ้าเอาไว้นั่นแหละ จากนั้นปัญญาก็พุ่งออกเลย จำให้ดีนะนักปฏิบัติเรา

การสอนนี้สอนอย่างแม่นยำ เราผ่านมาแล้วทุกอย่างนำมาสอน จึงไม่สงสัย ไม่ว่าธรรมะขั้นใดภูมิใด เราไม่สงสัยในการสอนโลก เต็มหัวอกอยู่นี้เราไม่มีสงสัย พระพุทธเจ้ากี่พระองค์ๆ ไม่ทูลถามท่าน เจอพระพุทธเจ้า เห็นพระพุทธเจ้าหรือไม่เห็น ขอให้เจอธรรมดวงนี้ใจดวงนี้เข้าไปเถอะเป็นธรรมธาตุนี่ จ้าเหมือนกันหมด พากันจำเอานะ ทีนี้ให้พร วันนี้เทศน์สักหน่อย พระจะไม่ได้เรื่องได้ราวอะไร โลเลโลกเลก

หลังจังหัน

         ที่วัดร้าง(หมู่บ้านตาด) นั่นเราดูแลรักษาอยู่ ก็เลยสละให้ทางวิทยุซึ่งเป็นประโยชน์สาธารณะด้วยกัน เรามอบให้เป็นสาธารณประโยชน์ทั้งหมดเลย มีต้นสักต้นอะไรอยู่นั้นจะทำอะไรก็แล้วแต่ เขากำลังเบิกออก ดูเหมือนก่อกำแพงด้วยอะไรด้วย เราถ้าอนุญาตแล้วให้หมด ก่อนอนุญาตพิจารณาก่อนทุกอย่างนะ อย่างเขาจะมาสร้างศาลงศาลาอะไรในวัดร้างนั่น เราไปไล่ออกเลย พวกผู้ใหญ่บ้านกำนันเขาจะมาสร้างศาลงศาลา ไปไล่หนีเลย อันนี้ให้เลยมันเป็นประโยชน์มากมาย โห เสียงอรรถเสียงธรรมเป็นของเล่นเมื่อไร จะได้ยินง่ายๆ หรือคน กิเลสมันปิดหูปิดตาไว้มันไม่ให้ออกไปหาอรรถหาธรรมอย่างง่ายดายนะ มันปิดมันกีดมันขวางเอาไว้ ทางภาคใต้ได้แล้วต่อไปก็จะได้ทั่วๆ ไปแหละ

เราเป็นห่วงจริงๆ เป็นห่วงพี่น้องชาวไทยเราเกี่ยวกับเรื่องจิตใจ รู้สึกว่าห่างเหินธรรมะมากทีเดียว ด้วยเหตุนี้เองที่ว่าเราจะเป็นผู้นำ ประกาศนี้โลกทั้งหลายทราบทั่วกัน เฉพาะประเทศไทยเราทราบทั่วกันอย่างเปิดเผยว่า ช่วยชาติก็หมายถึงวัตถุ แต่เรามันไปพร้อมกันเลย เราพิจารณาไว้หมดแล้ว คราวนี้ธรรมะจะได้กระจายออกบ้าง สู่หัวใจประชาชนชาวพุทธเรา ซึ่งห่างเหินจากศาสนามานาน คราวนี้ธรรมะจะได้แทรกเข้าไปพร้อมๆ กันกับด้านวัตถุ ยกฐานะของวัตถุเพื่อชาติแล้วยกฐานะของจิตใจด้วยอรรถด้วยธรรม มันก็เป็นไปตามนั้นเวลานี้ วัตถุของเราช่วยมาส่วนใหญ่แล้วก็หยุดไป เว้นแต่ประเภทน้ำไหลซึม ทองคำเราเป็นน้ำไหลซึม ค่อยไหลซึมเข้า ส่วนธรรมะนี่กระจายออกเรื่อย กว้างขวางออกเรื่อย ให้เป็นประโยชน์แก่โลก

ก็คิดดูซินางยักขิณีที่เคยจองกรรมจองเวรกันมากับผู้หญิงแม่ลูก พอไปเจอกันเข้า เขาเคยผูกกรรมผูกเวรกันมานานนะ ทีแรกก็ดูเหมือนเป็นพังพอนมากินลูกไก่ แล้วแม่ไก่ก็ผูกกรรมผูกเวร ต่อไปก็กินกันมาเรื่อย สืบทอดมานานแสนนาน ก่อกรรมก่อเวรกันมา วันนั้นเป็นวันสุดท้ายที่กรรมเวรจะขาดจากกัน พอดีไปเจอกับแม่ลูกที่วัดพระเชตวัน นางยักขิณีเห็นก็วิ่งไล่เลยจะกินลูก ทางนี้ไม่มีที่หลบซ่อนก็วิ่งเข้าหาพระพุทธเจ้า วิ่งเข้าไปวัดพระเชตวัน พระพุทธเจ้าก็รับสั่งให้เข้ามาทันที มันจะไล่กินลูกผู้หญิงคนนั้น เพราะเขาก่อกรรมก่อเวรกันมา วาระนี้กรรมเวรกำลังจะขึ้น พระพุทธเจ้าทรงเป็นผู้พิพากษาตัดสินให้ ตลอดตัดสินกรรมเวร เขาจะกินกันเวลานั้นก็ไม่ได้กิน

พระพุทธเจ้าเทศนาว่าการ นางยักขิณีก็เป็นคนเหมือนกันได้สำเร็จพระโสดา เห็นไหมล่ะจิตใจลงเสียอย่างเดียว เราพูดถึงเรื่องจิตนะ มันจะเป็นไฟเหมือนนางยักขิณีตนนั้น จะกินลูกของผู้หญิงคนนั้นสดๆ ร้อนๆ เป็นยักษ์กำลังจะกินอยู่นั้น พอได้ฟังธรรมพระพุทธเจ้าเสร็จเรียบร้อยแล้วจิตลงปึ๋ง สำเร็จพระโสดา หลังจากนั้นแล้วพระพุทธเจ้าก็ว่า เอาที่นี่เธอขาดกรรมขาดเวรต่อกันเรียบร้อยแล้ว ที่จิตใจเป็นยักษ์เป็นมารต่อกันมาเป็นเวลานานแสนนาน คราวนี้เป็นอันว่าขาดสะบั้นลงแล้ว กรรมของเธอทั้งหลายไม่มีแล้ว มีแต่คุณล้วนๆ เอา ผู้หญิงคนนี้มอบลูกให้แม่ใหม่ชมบ้างซิ คือแต่ก่อนแม่ใหม่คือยักษ์ใหญ่จะกินลูกคนนี้ พอจิตลงเสียอย่างเดียวเท่านั้นฃ

พระพุทธเจ้าทรงทราบหมดนี่ แทงทะลุไปหมด เอา มอบลูกให้แม่ใหม่ชมบ้างซิ ทางนี้เหมือนกับจะกระอักเลือดเดี๋ยวนั้น ก็ไล่กินลูกกูมาสดๆ ร้อนๆ ยังจะมอบลูกกูไปให้มันกินอีก แต่เพราะเชื่อพระพุทธเจ้าจึงยอมตาย แม่ก็ยอมตาย มอบลูกให้นางยักษ์ตนนี้ มอบให้แล้วก็คอยดูกลัวมันจะงาบลูกตัว พอนางยักษ์ก้มไปหาลูกก็นึกว่าจะกินเลยร้องขึ้น เขาก้มไปหอมลูก แม่ใหม่ เลยสนิทใจ ต่อมาทั้งสองคนนี้เลยเป็นมิตรกัน ธรรมประสานให้ เลยเลิกจองเวรกันตั้งแต่บัดนั้น เห็นไหมใจเป็นยักษ์มาแท้ๆ  พอลงปุ๊บเท่านั้นกลายเป็นแม่กับลูกกันไปเลย

นี่ละฟังซิ ใจเป็นของสำคัญนะ มันจะแข็งกร้าวขนาดไหน จะกินคนได้ทั้งคน พอดีไปเจอธรรมคือศาสดาองค์เอกเข้าที่นั่น สาดธรรมเข้า จ้าขึ้นใจอ่อนไปด้วยกันหมด กินไม่ได้ นั่น สำเร็จเป็นพระโสดาแล้วกินได้ยังไง นั่นละถือศีล ๕ เป็นหลักธรรมชาติ ท่านว่าศีลอริยะ สมุจเฉท เป็นศีลละเว้นโดยหลักธรรมชาติ ขาดสะบั้นไปเลยจนกระทั่งวันตาย ไม่มีเจตนาอะไรที่จะทำศีลของตนให้ขาด นี่ยักษ์ตนนี้ ทั้งๆ ที่ไล่ตามกันมาจะกินลูกคนนี้ กลับมาเป็นลูกเป็นแม่กันด้วยความสนิทใจ เพราะธรรมประสานเข้าทันที นั่นเห็นไหมอำนาจของธรรมเป็นอย่างนี้นะ

เพราะฉะนั้นโลกทั้งหลายอย่าก่อกรรมก่อเวรกัน ให้ถือนางยักขิณีเป็นคติตัวอย่างอันดี เคียดแค้นให้ผู้ใด ผูกกรรมผูกเวรกับใคร อย่าไปทำมันจะก่อกรรมก่อเวรตลอดไป ให้มีธรรมในใจทุกคนๆ ให้มีความเมตตาสงสารซึ่งกันและกัน ให้อภัยกัน คนเรามีผิดพลาดได้ สัตว์ก็ผิดพลาดได้ สัตว์ผิดพลาดเราก็เห็น ยกตัวอย่างนะ เราอยู่ที่วัดจักราช นั่งอยู่บนศาลา หมาตัวนี้มันอยู่ใต้ถุนศาลา มันเป็นเจ้าของใหญ่ อำนาจใหญ่ หมาตัวนั้นวิ่งมานั้น พอตัวนี้เห็นมันก็วิ่งไล่ พอดีกับฝนตกใหม่ๆ น้ำยังชื้นอยู่ตรงนั้น มันวิ่งไล่หมาตัวนั้น วิ่งไปมันลื่นเลยล้มทั้งหงาย ขาชี้ฟ้าทั้งสี่ขาเลย ล้มทั้งหงายอย่างนี้จริงๆ เราเห็นกับตา โอ้โห ตั้งสี่ขายังล้มได้ พระท่านอดหัวเราะไม่ได้เหมือนกัน ขบขันหมาล้มทั้งหงาย

นี่มันผิดพลาดได้คนเรา ตั้งแต่หมามันยังผิดพลาดได้ มันไปไล่หมาตัวหนึ่งไม่ได้ตั้งใจให้ล้ม ก็ยังล้มขาชี้ฟ้าได้ คนเรามีผิดพลาดได้จึงต้องให้อภัยกัน คนเราเมื่อให้อภัยกันแล้วเย็นไปทั้งนั้นแหละ การผูกโกรธผูกแค้นกันนี้หาความเย็นไม่ได้ ความโกรธความแค้นนั่นละมันเผาเจ้าของอยู่ในใจ แล้วก็ไปเผาคนอื่นให้กระจายไปหมด นี่ละเรื่องของกิเลสคือเรื่องฟืนเรื่องไฟ เรื่องธรรมคือน้ำดับไฟ จิตใจเย็นฉ่ำ เห็นไหมยักขิณีตนนั้นเอาลูกคนนั้นมาเป็นลูกตัวเอง เป็นแม่ใหม่ขึ้นมาทันทีด้วยความสนิทใจด้วยธรรม เห็นไหมล่ะ เป็นอย่างนั้นละ เป็นยักษ์แท้ๆ เลยหยุด ตั้งแต่นั้นยักษ์ไม่มีเลย อำนาจแห่งธรรมเป็นอย่างนั้น

จึงขอให้พี่น้องทั้งหลายได้ยึดไว้เป็นหลักเป็นเกณฑ์เรื่องอรรถเรื่องธรรม อย่าพากันเหยียบย่ำทำลายธรรม เอาแต่ฟืนแต่ไฟเผาไหม้กันทั่วโลกดินแดน ใหญ่เท่าไรยิ่งอำนาจบาตรหลวงป่าเถื่อน กองไฟยิ่งสูง รบราฆ่าฟันกันนี้มีแต่เรื่องความโกรธความเคียดแค้น อำนาจบาตรหลวงป่าๆ เถื่อนๆ เอามาฆ่าฟันรันแทง โลกสงบเมื่อไร กิเลสอยู่ที่ไหนไม่มีสงบ มันชุมนุมกันได้ที่ไหนขึ้นเลยๆ กิเลสรวมหัวกันแล้วก็เป็นไฟกองใหญ่ขึ้นมาเผาโลก เขาเรียกสงครามโลก มันไหม้ไปทั่วดินแดน นี่ละอำนาจของกิเลส อำนาจของธรรมดับกัน ดับลงไป ไม่รบ รบหาอะไร ตั้งแต่ยุงกัดเรา เรายังปัดมันออก ดีไม่ดีบี้มันเสียด้วยซ้ำไป อันนี้คนทั้งคนจะไปฆ่ากันได้ลงคอเหรอ เขาก็คน เราก็คน คิดถึงว่าคนเสมอกันแล้วทำกันไม่ลง

ทุกสิ่งทุกอย่างแยกออกไปเป็นแขนงก็เหมือนกัน คิดไม่ดีอะไรต่อกันนี้ก็ระงับกันได้ด้วยธรรมๆ พากันจำเอานะ ไม่มีธรรมแล้วโลกนี้หาความร่มเย็นไม่ได้ อย่ามองข้ามธรรม เวลานี้โลกกำลังมองข้ามธรรม หาแต่ความเดือดร้อนใส่กันนั่นละ เวลานี้เมืองไทยเรากำลังจะหย่อนบัตรกัน อันนี้ก็อันหนึ่งเหมือนกัน ไฟเหมือนกัน ใครก็จะเอาให้ได้อย่างใจๆ แล้วรบกัน ระหว่างผู้อยากเป็นใหญ่นั้นละรบกันไปก่อน จากนั้นมาก็เหยียบประชาชนราษฎรให้แหลกเหลวไปตามๆ กันหมดถ้าเป็นกิเลส ถ้าเป็นธรรมแล้วปกครองด้วยความร่มเย็นเป็นสุขไปเรื่อยๆ อย่างนั้นเป็นธรรม

ใครเป็นผู้ใหญ่ก็ขอให้เป็นผู้ใหญ่จริงๆ นำผู้น้อยให้ผาสุกร่มเย็นจริงๆ อย่าให้เป็นฟืนเป็นไฟเผาผู้น้อยให้แหลกเหลวเป็นเถ้าเป็นถ่านไปใช้ไม่ได้นะ พากันจำ ทางวงรัฐบาลก็คือคนเหมือนกันนั่นแหละ ตั้งชื่อตั้งนามเฉยๆ ยกให้เป็นผู้มีอำนาจปกครองบ้านเมืองเพื่อความร่มเย็น ไม่ใช่ปกครองบ้านเมืองด้วยเอาไฟเผากันเป็นเถ้าเป็นถ่าน ใครเป็นผู้ใหญ่ขึ้นมาเป็นไฟกองใหญ่เผากันใช้ไม่ได้นะ พากันจำทางวงรัฐบาลงานเมืองก็ดี นั้นจึงเป็นเรื่องใหญ่โตมาก ปกครองคนทั้งประเทศให้ปกครองโดยอรรถโดยธรรม อย่าเห็นแก่ได้แก่เอา เห็นแก่อำนาจบาตรหลวงป่าๆ เถื่อนๆ ซึ่งเป็นเรื่องเผาทั้งเขาทั้งเรา เผาทั้งประเทศชาติบ้านเมืองจนจมไปหมด พากันจำให้ดี เอาละวันนี้พูดเพียงเท่านั้นละพอ

(มีผู้นำพระธาตุหลวงปู่เสาร์ หลวงปู่พรหมมาถวาย) เอาไว้ข้างบนนู่นแหละ เราเคารพเทิดทูนท่านอยู่แล้ว ของท่านก็มีอยู่ทั้งสององค์อยู่ข้างบน เอาขึ้นไปพระท่านจะจัดเอาไว้ที่เดียวกันๆ ที่ไหนๆ เห็นอะไรๆ ก็ว่าขององค์นั้นองค์นี้ เอามาให้เราสุ่มสี่สุ่มห้าเราไม่เอานะเราบอกตรงๆ  เราไม่ได้รับด้วยชุ่ยๆ อย่างนั้นนะ เรารับด้วยความมีเหตุมีผลทุกอย่าง นี้เราเทิดทูนแล้วนี่ และผู้เอามาก็เอามาอย่างมีหลักมีเกณฑ์ถึงเอามา ไม่ใช่เอาชุ่ยๆ มา เรารับด้วยความเทิดทูน เท่านั้นละ

(ลูกหลานคุณยายทองอยู่ ที่วัดพระธาตุพนม ฝากกราบถวายเช็คสามพันบาทเจ้าค่ะ) คุณยายทองอยู่นี้เป็นลูกศิษย์หลวงปู่มั่น เห็นรูป(หลวงปู่มั่น) ท่านยืนอยู่ใต้ร่มไม้นั่น เราอยู่ที่นั่น คือเราไปรับท่าน ท่านไปเผาศพหลวงปู่เสาร์มา กะว่าเผาวันนี้ วันนี้ท่านจะออก ตามธรรมดาท่านไม่ยุ่งกับใคร ท่านไปด้วยความจำเป็น เป็นอาจารย์ของท่าน ท่านไปเผาศพให้ ท่านให้เราเฝ้าวัดอยู่ที่วัดนาสีนวน พอเผาศพวันนั้น กะวันนั้นเราก็ออกเดินทางจากวัดนาสีนวนไปเลย ท่านไปพักวัดธาตุพนม เขาเรียกวัดอ้อมแก้ว เดี๋ยวนี้ดูไม่เรียกวัดอ้อมแก้วที่ธาตุพนม ท่านพักที่นั่น พอเราไปถึงสามแยกน้ำก่ำมาถามข่าวเขา ชื่อท่านไปที่ไหนดังละ ถามพอดีได้ความเลย ท่านมาถึงแล้ว มาที่ธาตุพนมแล้ว

เราก็บึ่งเข้าไปที่วัดอ้อมแก้ว ไปก็ไปเห็นท่าน เลยไปกราบเรียนคุยกับท่าน ว่าสถานที่เราพักอยู่นั้นสบายมากกว่านี้ ว่างั้น ที่บ้านฝั่งแดง ที่นี่รู้สึกว่าวุ่นวาย เพราะท่านเป็นไข้หวัดใหญ่มา จากโน้นมาท่านเป็นไข้หวัดใหญ่ เราก็กราบเรียนท่าน ท่านว่า หือ เราบอกว่าบ้านฝั่งแดงเวลานี้เป็นวัดร้าง กระผมมาพักอยู่องค์เดียว เราบอกว่าที่นั่นดี สงัดมากทุกอย่าง ท่านก็ว่าถ้างั้นไป พอตื่นเช้าวันหลังท่านไปเลยพอกราบเรียนท่านแล้ว ท่านเดินไปนะไปพักอยู่ที่นั่น ทีนี้โยมทองอยู่นี่เป็นลูกศิษย์เก่าของท่านที่พระธาตุพนมไปจังหัน พอไปจังหันแล้ว แกมาด้วยทั้งลูกทั้งหลานเต็มไปหมดมาขอถ่ายรูปท่าน นี่ท่านอนุโลมเต็มที่ท่านไม่ให้ใครถ่ายง่ายๆ นี่เป็นลูกศิษย์เก่าของท่านตั้งแต่ท่านยังหนุ่ม ก็เลยให้ถ่าย

ถ่ายท่านั่งขัดสมาธิ ท่ายืนพาดสังฆาฯ ด้วย แกก็เห็น นี่ละรูปท่านอาจารย์มั่นเรา หลวงปู่มั่นเรา เห็นยืนพาดสังฆาฯ นั่งขัดสมาธิอยู่ที่บ้านฝั่งแดง ท่านเต็มใจให้ถ่าย เมตตาลูกศิษย์ของท่าน ธรรมดา โหย ใครจะไปถ่ายท่านได้ง่ายๆ เหรอ นี่ก็เป็นลูกศิษย์เก่าแก่ของท่าน ท่านจึงให้ถ่าย จึงได้เห็นรูปของท่าน ให้เข้าใจเสียว่าโยมทองอยู่เคยเป็นลูกศิษย์ของท่าน เป็นลูกศิษย์เก่าของท่านมาถวายพระธาตุ

(หลวงตาครับ หนังสือพิมพ์เขาลงว่า เขาหาเสียงกันโดยเอาเทศน์หลวงตาไปออกว่า หลวงตามหาบัวเทศน์ ทักษิณ ผู้นำไม่ดี ใฝ่สูงจะเป็นประธานาธิบดี หลวงตามหาบัวเทศน์ แม้วไม่ใช่ผู้นำรัฐบาลที่ดี ใฝ่สูง ลำพองเกินตัว อาจเอื้อมตำแหน่งประธานาธิบดี หวั่นพังได้ง่ายๆ เหมือนลิงโดดไม้ผุ เพราะไม่สนความเดือดร้อนของประชาชน นายทองก้อน วงศ์สมุทร ลูกศิษย์ของพระธรรมวิสุทธิมงคล หรือหลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน เจ้าอาวาสวัดป่าบ้านตาด จ.อุดรธานี ให้สัมภาษณ์เมื่อวันที่ ๑๖ ธันวาคม นี้ในรายการ จับชีพจรข่าว ทางสถานีวิทยุ ๙๖.๕ MHz ดำเนินการโดยอัญชลี ไพรีรักษ์ ถึงข้อความวิพากษ์วิจารณ์การโจมตีการทำงานของรัฐบาลบนเว็บไซค์หลวงตามหาบัวดอทคอมว่า ข้อความดังกล่าวมีที่มาจากการที่รัฐบาลมีอำนาจมืดบอด เปรียบเทียบกับคำพูดของหลวงตามหาบัวก็อาจเป็นกิเลส คือรัฐบาลนี้ลืมตัวและพองตัว โดยลืมไปว่าขณะนี้ประชาชนมีความเดือดร้อนอย่างไร

ลูกศิษย์ของหลวงตามหาบัวกล่าวว่า การดำเนินการในเรื่องดังกล่าวนี้ ทางรัฐบาลถือเป็นการล่วงเกินในพระราชอำนาจของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เช่นที่หลวงตามหาบัวได้กล่าวมา เรียกร้อง และประชาชนก็ร่วมกันเข้าชื่อถึงหนึ่งล้านคน ยื่นให้รัฐบาลหยุดดำเนินการในประเด็นละเมิดพระราชอำนาจ ซึ่งหากรัฐบาลจะพิสูจน์ความบริสุทธิ์ หากพิจารณาแล้วว่ามีข้อบกพร่อง ก็ควรจะกระทำตัวเป็นผู้นำในการถวายพระราชอำนาจคืน

อย่างไรก็ตามผู้ดำเนินรายการได้ถามว่า ข้อวิพากษ์วิจารณ์ในเว็บไซค์หมายความว่าอย่างไร เพราะก่อนหน้านี้หลวงตามหาบัวถือว่าเป็นแกนนำสนับสนุนรัฐบาล นายทองก้อนกล่าวว่า สิ่งไหนที่ดีท่านก็ให้ความเป็นธรรม เช่นเราหูตาจมูกดี ท่านก็พูดว่าคนนั้นหูตาจมูกดี แต่สมองเสื่อมท่านก็ต้องพูดว่าสมองเสื่อม ส่วนเลวก็ต้องพูดไปตามตรงว่าใช้ไม่ได้ เช่นอาจเอื้อม ถึงขนาดจะเป็นประธานาธิบดี ก็ต้องมีการเตือนกัน แต่เมื่อนำเงินเข้าประเทศได้ท่านก็ต้องว่าดี แต่เมื่อมันบ้าอำนาจก็ต้องว่ามันบ้าอำนาจ อย่างนี้เรียกว่าตรงไปตรงมา ไม่ใช่ทำผิดก็เอ็นดูอยู่เรื่อยๆ )

การพูดของเรานี้เป็นธรรมสอนโลก ที่ไหนดีก็บอกว่าดี ที่ไหนไม่ดีก็เตือนไว้ เช่นอย่าลืมเนื้อลืมตัว เราอย่าลืมก็ดีเท่านั้นเอง เป็นคำเตือนทั้งนั้น ธรรมไม่ทำความชอกช้ำเสียหายแก่ผู้ใด เป็นคำเตือน ที่ไหนไม่ดีก็เตือนไว้ๆ ไม่ได้ว่ารัฐบาลเหล่านี้เป็นประธานาธิบดีแล้วด้วยความดื้อด้าน เราก็ไม่ได้ว่า ท่านเตือน ท่านได้ยินเหตุผลกลไกมาอย่างไรท่านก็อธิบายให้ฟังตามนั้น ให้นำไปเป็นข้อคิดเท่านั้นก็เป็นความถูกต้อง ในฐานะที่เราเป็นลูกศิษย์ที่มีครูมีอาจารย์ พระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์ และในฐานะเราเป็นลูกชาวพุทธต้องฟังเสียงธรรม ไม่ฟังเสียงธรรมจมได้ ว่างั้นเลย แล้วมีอะไรอีกล่ะ

(ที่ลูกศิษย์เขานำมากราบเรียนก็เนื่องจาก พรรคการเมืองฝ่ายตรงข้ามรัฐบาล เขามีหนังสือแบบที่กราบเรียนสักครู่นี้ครับ ไปตามบ้านประชาชน โดยพูดทำนองให้ร้ายท่านนายกทักษิณว่าอยากจะเป็นประธานาธิบดี โดยอ้างว่าหลวงตาเทศน์ว่าอย่างนั้น ซึ่งไม่จริงครับ)

ที่ให้ร้ายอย่างนั้นมันก็ผิด ผู้ที่ไปหาเรื่องใส่คนอื่นเพื่อกอบโกยเอาผลประโยชน์มาสู่ตัว มันก็คือฟืนคือไฟมาเผาตัวเองนั่นแหละจะเป็นอะไรไป การพูดนี้เราไม่ได้ให้ร้ายต่อผู้ใด เราไปให้ร้ายอย่างนั้นมันก็ผิด เราเตือนในฐานะลูกศิษย์กับอาจารย์เท่านั้นเอง คุณทักษิณจะเป็นอาจารย์ของหลวงตาได้ยังไง ก็ต้องเป็นลูกศิษย์ของหลวงตา หลวงตาในฐานะเป็นอาจารย์ก็สอนลูกศิษย์ จะผิดไปที่ไหนล่ะ สอนลูกศิษย์ก็เพื่อคนทั่วโลก เพราะใครเป็นผู้นำก็เพื่อจะนำคนทั่วประเทศไทยเรา อะไรจะเอนจะเอียงจะผิดจะพลาดไปตรงไหน ธรรมะคอยเตือนๆ เราคอยฟังไปเท่านั้นเอง อย่าไปหาผลประโยชน์จากผู้อื่น เอาความเสียหายใส่ผู้อื่น แล้วมาเอาผลประโยชน์แก่ตน พวกนี้โฆษณาผิด เราพูดจริงๆ ถ้าทำอย่างนี้แล้วผิด

เราเทศน์เราเทศน์ในฐานะลูกศิษย์กับอาจารย์ ชาติไทยนี้เป็นลูกชาวพุทธ เราสอนในฐานะความเป็นอาจารย์ หรือเอาธรรมมาเป็นศาสดาเอกแทน แล้วนำธรรมพระพุทธเจ้ามาสอนโลกเพื่อความร่มเย็นเป็นสุข ไม่อยากจะให้ผิดให้พลาดไป จึงเตือนเสมอ ตรงไหนที่ดีแล้วก็บอกว่าดีแล้ว ตรงไหนที่ยังไม่ดีหรือล่อแหลมต่ออันตรายก็เตือน ก็มีเท่านั้นเรื่องราว นี้เอาไปออกประกาศโจมตีนายก พวกนี้พวกโจมตีนายกนะ เราไม่เห็นด้วย ถ้าไปประกาศอย่างนั้นเพื่อโจมตีนายกเราไม่เห็นด้วย นี้พวกกองโจรโจมตีนายกซึ่งเป็นคนนำชาติมานาน

เฉพาะอย่างยิ่งนายกของเราคนปัจจุบันคนนี้ ใครจะหานายกได้อย่างนี้ไม่มี เราก็บอกอย่างนี้ ผ่านมาไม่ทราบว่ากี่นายกแล้ว ไม่มีใครที่จะกู้ชาติบ้านเมืองที่กำลังจะล่มจมในคนทั้งประเทศนี้ ฟื้นขึ้นมาเห็นอย่างชัดเจนอย่างนี้ เงินติดหนี้ติดสินเอ็มเอฟเอ็มแอฟเหมือนเสียงกบนั่น ก็เอาขึ้นมาได้เห็นไหมล่ะ ใช้หนี้เขาเรียบร้อยไปแล้ว ใครเป็นคนใช้หนี้ได้ ก็มีนายกเราคนเดียว แล้วเวลานี้ขนเงินเข้าคลังหลวงตั้ง ๔๗,๐๐๐ ล้านเหรียญสหรัฐ นู่นใครหามาได้ นายกเราคนนี้หามาได้ แล้วนายกเราจะมักใหญ่ใฝ่สูงไปไหน ไปหาเรื่องใส่นายกอะไร

เราพูดนั้นสมมุติ ได้เรื่องมาว่านายกเราอยากเป็นประธานาธิบดี ความอยากเป็นอย่าว่าแต่นายก ผู้ที่มันพูดว้อกๆ อยู่นั้นมันอยากเป็นยิ่งกว่านายกก็ได้ ใช่ไหมล่ะ ไปว่าแต่นายกอยากเป็น ตัวมันนั่นเองอยากเป็น จึงไปโจมตีนายกเพื่อจะเป็นประธานาธิบดีหรือใหญ่กว่าประธานาธิบดีอีกก็ได้ เข้าใจไหมล่ะ มันหลายแบบหลายฉบับ

(ใช้หนี้ล่วงหน้าตั้งสองปีครับ) เออ ใช้หนี้ล่วงหน้าตั้งสองปี เรายกขึ้นมา ๑๓ ข้อได้อ่านให้ฟังทั่วประเทศแล้วไม่ใช่หรือ นี่ละคุณสมบัติของนายกเราคนนี้ เราจะหาใครเหมือนนายกคนนี้ พิจารณาซิ ไปโจมตีทำไมโจมตีนายก เราไม่ได้พูดเพื่อโจมตีนายกนี่นะ เราพูดเตือน ถ้าหากว่าความเป็นไปดังที่ได้ยินแว่วๆ มาว่าอยากเป็นประธานาธิบดี เราก็เตือน อย่ามักใหญ่ใฝ่สูงเกินไป ให้ดูฐานะของเจ้าของ ควรจะเป็นไปได้แค่ไหนมันจะเป็นไป ใหญ่กว่านั้นอีกก็เป็นไปได้ ถ้ายังไม่สมควรที่จะใหญ่ก็อย่าให้มันสุกก่อนห่าม มันไม่ดี เท่านั้นเองคำเตือน แล้วจะเอานี้ไปหาตีนายกได้ยังไง ใช้ไม่ได้ พวกนี้พวกโจมตีนายก เอ้า แก้หมัดกัน

ผู้กำกับ กราบเรียนหลวงตา  การภาวนาของสันติ มีดังนี้

         ข้อ 1.  ในขณะเดินจงกรมของวันหนึ่ง  หนูเห็นผู้หญิงแก่ ใบหน้าเหี่ยวย่น มีคางยาวแหลม ดูจากหน้าแล้วประมาณอายุได้ ร้อยกว่าปี แต่งตัวด้วยชุดเสื้อสีดำตัวใหญ่แขนยาว ปลายเสื้อยาวลงมาปิดที่หลังเท้า เขาใส่หมวกสีดำ มียอดแหลมสูง ปีกหมวกกว้าง หนูเห็นผู้หญิงลักษณะนี้ประมาณ 20 คน กำลังขี่ไม้กวาด ซึ่งเหมือนกับไม้กวาดตาด  เหาะตามกันไปเป็นแถว และทันใดนั้นก็ได้เห็นตัวเอง ซึ่งอยู่ในชุดที่กำลังเดินจงกรมอยู่นี้ ขี่ไม้กวาดเหาะตามหลังพวกเขาไปด้วย

         ข้อ 2.  อีกวันหนึ่งขณะที่หนูกำลังจะเตรียมนั่งภาวนา ยังไม่ทันได้เริ่มกำหนดอะไร และยังลืมตาอยู่ด้วย ทันใดนั้นรู้สึกว่า มีอะไรสักอย่างซ้อนอยู่ในร่างของหนู หรือพูดง่ายๆ เหมือนมาสิงอยู่  ไม่นานเขาก็ออกไป แล้วตัวของหนูก็ออกตามไปด้วย  สิ่งที่มาสิงอยู่เมื่อสักครู่นี้ ลักษณะของเขาคล้ายคน แต่มีใบหน้าเป็นลิง ตามเนื้อตัว ไม่ว่าที่คอ ที่แขน ที่มือ มีขนเต็มไปหมด แต่งตัวเหมือนงิ้ว แล้วเขาก็เริ่มสอนหนูทำท่าทางแปลกๆ หนูทำตามท่าที่เขาสอน แล้วหนูก็ตกใจมาก เมื่อได้เห็นว่า ตัวหนูแบ่งออกไปได้เป็นหลายคน โดยที่ทุกอย่างเหมือนกันหมด แตกต่างเฉพาะท่าทางที่กำลังแสดงอยู่ และหนูสามารถทำให้เพิ่มขึ้นเป็นหลายๆ คน และลดจำนวนลงได้

         ข้อ 3.  ขณะนี้ไม่ว่า นั่ง เดิน นอน หรือทำอะไรอยู่ก็ตามเช่น เข้าห้องน้ำ อาบน้ำ กวาดตาด เดินเล่น หนูจะเห็นตัวหนูในหลายๆ อิริยาบถเจ้าค่ะ  บางครั้งพุ่งขึ้นข้างบน บางครั้งเหาะเป็นแนวระนาบกับพื้นด้วยความเร็วสูง บางครั้งลอยลงมาจากท้องฟ้าช้าๆ เหมือนดอกไม้ที่ร่วงลงมาจากต้น แม้กระทั่งในขณะที่กำลังพูด เล่าลำดับเหตุการณ์ต่างๆ ให้เพื่อนฟัง แล้วช่วยเขียนเพื่อกราบเรียนหลวงตาอยู่นี้ หนูก็กำลังเห็นตัวเอง เดินอยู่บนท้องทะเลที่ไหนก็ไม่ทราบ เป็นทะเลที่เวิ้งว้างกว้างใหญ่ แต่มีหนูคนเดียว ที่เดี๋ยวเดิน เดี๋ยววิ่งอยู่บนน้ำ นอกเหนือจากนั้นคือ ตัวหนูรู้สึกได้ทุกอย่าง เหมือนกำลังเดินอยู่บนผิวน้ำจริงๆ เห็นคลื่นมาก็ต้องก้าวขายกให้สูงขึ้น เพื่อจะเหยียบบนยอดคลื่นนั้น เมื่อเหยียบบนผิวน้ำที่กระเพื่อมน้อยๆ ก็ได้ความรู้สึกว่า พื้นน้ำที่เหยียบอยู่นี้ ไม่นิ่ง มีการไหวกระเพื่อม ส่วนความรู้สึกที่เหยียบบนน้ำนี้ ถ้าจะเปรียบได้คงเหมือนกับ เอาเครือหมาน้อยมาคั้นเฉพาะน้ำ แล้วทิ้งไว้ให้จับตัว เมื่อเราแตะดูจะมีความรู้สึกว่า นิ่มๆ  ความรู้สึกที่เหยียบอยู่บนน้ำคงพอพูดได้ว่า เหมือนเหยียบอยู่บนเครือหมาน้อยคั้น ขณะพูดอยู่จะเห็นแบบธรรมดา แต่ถ้าหยุดพูด จะเห็นได้ชัดเจนมาก

หลวงตาเจ้าคะ  หลวงตาสอนให้หนูมีสติจดจ่ออยู่ที่จิต ยิ่งจดจ่อเท่าไร ภาพเหล่านั้นก็ยิ่งชัดขึ้น หนูหยุดมันไม่ได้ นอกจากจะชัดเจนแล้ว ภาพยังสลับสับเปลี่ยนกันไปเรื่อยๆ อีกด้วย ก่อนหน้านี้หนูพยายามบังคับไม่ให้ไปดูมัน จนตัวหนูมีความรู้สึกอึดอัด กังวลใจ และเป็นทุกข์มาก  เพราะหนูไม่เข้าใจว่า สิ่งที่เห็นนี้ผิดหรือถูก มาในช่วงนี้ หนูทดลองใหม่ โดยการปล่อยทุกอย่าง แล้วแต่อะไรจะเกิดขึ้น เป็นอะไรก็เป็นไป ตอนนี้หนูรู้สึกสบายขึ้น แต่ภาพก็ยังอยู่  หนูทำอย่างนี้ถูกหรือไม่เจ้าคะ

หลวงตา ถูกต้องแล้วตั้งแต่ยังไม่ถาม เรื่องนั้นเป็นอาการมันจะเป็นอะไรก็เป็น ให้ปล่อยเข้ามาอย่างที่ว่านี่ เราเคยบอกแล้วไม่ใช่หรือ เรื่องเหล่านี้มันเป็นแขนงของจิต มันเป็นไปได้ทุกแบบ เราไม่กังวลมันก็ระงับไป ถ้าไปสนใจกับมันมันก็แตกแขนงออกไปอีก อย่าไปสนใจกับมัน ให้ดูแต่อาการของจิตมันเกิดขึ้นแล้วก็ดับไปๆ กิเลสตัวหลอกลวงมันอยู่ที่นั่น ให้ดูในจุดนี้ให้มาก อย่าไปยุ่งอะไรกับภายนอกมากนัก ตัวยุ่งภายนอกคือออกจากนี้เรามองไม่เห็นมัน มันรวดเร็ว แป๊บออกเป็นภาพแล้ว เป็นภาพต่างๆ ทุกแบบทุกฉบับดังที่เห็นนี่แหละ ไม่ใช่เป็นความจริงทุกอย่างนะ มันเป็นอาการของจิตที่แสดงออก เพราะฉะนั้นจึงให้ย้อนเข้ามาหาจิตนี้ อย่าไปกังวลกับมันนัก ให้ดูที่จิตที่ความเกิดความดับ ดีชั่วเกิดที่จิต ดับที่จิต ดูตัวนี้ด้วยสติ แก้มันด้วยสติ แล้วก็ถอดถอนทุกสิ่งทุกอย่างที่ไม่ดีทั้งหลายเหล่านั้นด้วยปัญญาหรือสติของเรา เข้าใจแล้วนะ เอาเท่านั้นละ

         ข้อ 4.  หนูรู้สึกว่า หนูปฏิบัติเหมือนเดิมทุกอย่าง คือทำตามที่หลวงตาสอนตลอดมา  แต่ทำไมผลไม่เหมือนกัน มีการเปลี่ยนแปลงทุกวัน แต่มันก็ทำให้หนูอยากภาวนามาก เพราะอยากรู้ว่า ถ้าทำภาวนาต่อไป มันจะมีอะไรเกิดขึ้นอีก แต่ก็ยังสงสัยว่า  ทำไมปัญหาเรื่องการภาวนาไม่เหมือนคนอื่น  เมื่อก่อนหนูมีปัญหามักจะเก็บไว้คนเดียว แต่เดี๋ยวนี้ที่กราบเรียนถามหลวงตา เพราะกลัวจะเสียเวลาเจ้าค่ะ

หลวงตา ให้สรุปลงมานี้ เรื่องเหล่านั้นเป็นอาการทั้งหมด ทำจิตของเราให้รู้ความเกิดความดับ เรื่องกิเลสแท้ๆ อยู่ที่นี่ กระจายออกไปข้างนอกมันออกไปจากนี้ ให้ดูที่เกิดที่ดับ ดีเกิดขึ้นแล้วดับ ชั่วเกิดขึ้นแล้วก็ดับ อาการต่างๆ จะเกิดขึ้นจากนี้แล้วดับไปด้วยกันทั้งนั้น ให้ดูอยู่จุดนี้นะ พอทราบจุดนี้แล้วอะไรมันจะว่างไปหมดเลย มีแต่ประมวลจิตให้เข้ามาสู่จุดศูนย์กลาง สติกับจิตอยู่ด้วยกัน เรื่องนอกปล่อยมันไป อาการนี้ไม่มีประมาณ พอ

 

รับฟังรับชมพระธรรมเทศนาของหลวงตา ได้ที่

www.Luangta.com หรือ www.Luangta.or.th

และรับฟังจากสถานีวิทยุสวนแสงธรรม กรุงเทพฯ และสถานีวิทยุอุดร

FM 103.25 MHz


** ท่านผู้เข้าชมทุกท่านโปรดทราบ
    เนื่องจากกัณฑ์เทศน์บางกัณฑ์มีความยาวค่อนข้างมาก ซึ่งจะส่งผลต่อความเร็วในการเปิดเว็บไซต์ ขอแนะนำให้ทุกท่านได้อ่านเนื้อหากัณฑ์เทศน์บางส่วนจากเว็บไซต์ และให้ทำการดาวน์โหลดไฟล์กัณฑ์เทศน์ที่มีนามสกุล .pdf ไปเก็บไว้ในเครื่องของท่านแทนการอ่านเนื้อหาทั้งหมดจากเว็บไซต์

<< BACK

หน้าแรก