ไม่มีสมบัติใดยิ่งกว่าสมบัติแห่งธรรมในใจ
วันที่ 23 มกราคม 2548 เวลา 8:50 น.
สถานที่ : วัดป่าบ้านตาด
| |
ดาวน์โหลดเพื่อเก็บไว้ในเครื่อง
ให้คลิกขวาแล้วเลือก Save target as .. จาก link ต่อไปนี้ :
ข้อมูลเสียงแบบ(Win)   ข้อมูลเสียงแบบ(MP3)   วิดีโอแบบ(Win Narrow Band)

ค้นหา :

เทศน์อบรมฆราวาส ณ วัดป่าบ้านตาด

เมื่อวันที่ ๒๓ มกราคม พุทธศักราช ๒๕๔๘

ไม่มีสมบัติใดยิ่งกว่าสมบัติแห่งธรรมในใจ

 

ก่อนจังหัน

ผมไม่ค่อยมีเวลาจะได้อบรมพระนะ เพราะงานของผมมีมากทั่วแผ่นดิน เลยกลายเป็นทั่วโลกไป ที่จะมาแบ่งเวล่ำเวลาอบรมพระเณรเหมือนแต่ก่อนไม่ได้แล้วเวลานี้ นับตั้งแต่เริ่มช่วยชาติมาจนกระทั่งป่านนี้ การอบรมพระเณรนี้แทบว่าไม่มีนะ แต่ก่อนเอาจริงเอาจังอบรมพระเณร ถึงวันเวลากำหนดปั๊บประชุมปุ๊บเลย ไม่ให้คลาดให้เคลื่อน แต่นี้นานมาๆ เรื่องราวทั้งหลายมันก็ยุ่งเข้ามาหาเรา ธาตุขันธ์ก็อ่อนลงๆ  การอบรมพระเณรจึงไม่ค่อยมีมาก มีนิดๆ หน่อยๆ วันหนึ่งๆ เช่นอย่างตอนเช้าอย่างนี้นะ

ธรรมดาการอบรมพระจะไม่เกี่ยวข้องกับใครเลย มีแต่พระล้วนๆ ประชุมกัน เทศน์เต็มเม็ดเต็มหน่วย เต็มอรรถเต็มธรรมทุกสิ่งทุกอย่าง ให้สมกับพระที่มาด้วยเจตนาหวังอรรถหวังธรรม หวังมรรคผลนิพพานจริงๆ การสงเคราะห์ก็สงเคราะห์แบบนั้น การสอนพระเป็นอย่างนั้น ประเพณีของวงกรรมฐานท่านอบรมกัน ท่านจะอบรมพระล้วนๆ เลยอยู่ในป่าในเขา อบรมเฉพาะพระ เทศน์ให้เต็มเม็ดเต็มหน่วย ผิดถูกชั่วดีว่าให้เต็มอรรถเต็มธรรม ผู้ฟังจะได้ถึงใจแล้วนำไปปฏิบัติเป็นอรรถเป็นธรรมขึ้นมาภายในใจ

การเทศน์สุ่มสี่สุ่มห้าคละเคล้ากันไปหมดนี้ ผลประโยชน์ไม่ค่อยได้เท่าที่ควร สำหรับพระผู้มุ่งอรรถมุ่งธรรมอย่างแรงกล้า สมกับเป็นผู้มีหน้าที่จากนักบวช เพื่อความพ้นทุกข์ ท่านจึงต้องการอรรถธรรมหนักมากทีเดียว การอบรมก็มีน้ำหนักมากอีกเช่นเดียวกัน ต่างกันนะ ฆราวาสญาติโยมนั่นก็เป็นอีกประเภทหนึ่ง ธรรมะประเภทเป็นขั้นเป็นตอน ให้ได้รับผลประโยชน์ทั่วถึงกัน สำหรับพระเหมือนว่าเป็นแนวหน้า การอบรมก็ต้องถึงเหตุถึงผลถึงหลักถึงเกณฑ์ นี่ในวงกรรมฐานท่านปฏิบัติมา แม้ครั้งพระพุทธเจ้าก็มีในตำรับตำรามีมาอย่างนี้ ที่ว่ากรรมฐานท่านอบรม ท่านดำเนินตามตำรับตำรานั้นแหละ พระสงฆ์สาวกทั้งหลายท่านอยู่ในป่าในเขาเงียบๆ อบรมกันๆ ท่านสอนกันอย่างนั้น

อันนี้บรรดาครูบาอาจารย์ทั้งหลาย เช่นอย่างหลวงปู่มั่นเรานี้ก็เหมือนกัน การอบรมพระล้วนๆ เทศน์นี้แหมเด็ดทีเดียว เราก็ไม่เคยเห็นในเมืองไทยเรา เราไม่ได้ดูถูกครูบาอาจารย์องค์ใด เราไม่ค่อยได้เข้าใกล้ชิดติดพันกับท่าน เราก็ไม่มีโอกาสที่จะทราบแง่หนักเบาของท่านแต่ละองค์ๆ บรรดาครูบาอาจารย์ทั้งหลายเหมือนหลวงปู่มั่น สำหรับหลวงปู่มั่นนี่ได้อยู่กับท่านมานาน ถึงได้เห็นเหตุเห็นผล การแสดงอรรถแสดงธรรมมีตั้งแต่เนื้ออรรถเนื้อธรรมล้วนๆ แสดงออกมามรรคผลนิพพานเหมือนท่านมาแบมือให้พวกเราทั้งหลายดู แบมือมรรคผลนิพพาน แบมือว่านี่น่ะๆ ๆ อยู่อย่างนั้น เห็นไหมๆ ตาบอดหรือ หูหนวกหรือ เหมือนว่าอย่างนั้น วิกลวิการเหรอ นี่น่ะๆ ธรรมวิกลวิการที่ไหน ธรรมเลิศเลอ แล้วพวกนี้ทำไมมีแต่พวกวิกลวิการ หูหนวกตาบอด ใจมืดใจดำในอรรถในธรรมทั้งหลาย มันสว่างไปทางที่จะลงนรกตกหลุมอเวจีนั่นละมากต่อมาก เหมือนอย่างนั้นละ

เวลาท่านเทศน์เหมือนแบมือออกมา นี่น่ะมรรคผลนิพพานเห็นไหม อยู่กับองค์ศาสดา องค์ศาสดาคืออะไร คือธรรมคือวินัย นี้องค์ศาสดา มรรคผลนิพพานอยู่ตรงนี้ อย่าให้เคลื่อนคลาดจากหลักธรรมหลักวินัย ท่านชี้ลงนี้ ปฏิบัติตามนี้ก็คว้าเอากับมือท่านไปเป็นลำดับลำดา ท่านสอนกันท่านสอนกันอย่างนั้น เพราะฉะนั้นมรรคผลนิพพานจึงมักอยู่ในสถานที่ท่านมุ่งมั่นต่ออรรถต่อธรรม และได้รับการอบรมเต็มเม็ดเต็มหน่วยจากครูบาอาจารย์ทั้งหลายที่มีหลักเกณฑ์ในธรรมมาแล้วโดยลำดับ จนกระทั่งถึงผู้หลุดพ้นไปแล้วมาแนะนำสั่งสอนบรรดาลูกศิษย์ลูกหานี้ เทศน์เต็มเม็ดเต็มหน่วย เหมือนอย่างว่า นี่น่าๆ อยู่อย่างนั้น

พระพุทธเจ้าสอนสาวกก็แบบนี่น่าๆ แบมือออก นี่เห็นไหมมรรคผลนิพพาน ตาบอดหรือ หูหนวกหรือ เหมือนอย่างนั้น มันวิกลวิการไปหมดแล้วหรือ กับอรรถกับธรรมมันถึงเลอะเทะไปหมด แต่กับกิเลสมันทำไมคนหนึ่งมีตั้งสิบขายี่สิบขาวิ่งตามกิเลส ไม่ทันไปยืมขาเขาก็มี วิ่งตามกิเลสให้ทัน มีแต่อย่างนั้น เวลาชี้อรรถชี้ธรรมเข้าไป นี่น่ะๆ มันหูหนวกทั้งหมด ตาบอดทั้งหมด จิตใจไม่ค่อยได้สนใจในอรรถในธรรม เพราะฉะนั้นโลกนี้จึงเลอะเทอะ ผลแห่งความเลอะเทอะคือความรุ่มร้อนเผาหัวใจโลก เพราะวิ่งตามกิเลส ธรรมท่านสลดสังเวชนะ

มีแต่กิเลสถลุงสัตว์โลก แล้วก็วิ่งตามมันๆ อยู่ตลอดเวลา ผู้ท่านที่สว่างกระจ่างแจ้งท่านมองดูแล้วท่านสลดสังเวช ดังพระพุทธเจ้า สาวกทั้งหลาย ดูสัตว์โลก ท่านดูได้ถนัดชัดเจน เพราะท่านไม่มีส่วนได้ส่วนเสีย เวลาสัมผัสอะไรท่านจะมีได้ด้วยก็ไม่มี ท่านจะเสียด้วยก็ไม่มี เพราะท่านพอทุกอย่างแล้ว ดูด้วยความพอ ท่านจึงดูได้เต็มเม็ดเต็มหนวย พวกเราทั้งหลายนี้เทียบกับคนหูหนวกตาบอดนะ อย่าลืมเนื้อลืมตัว สิ่งเหล่านี้มีแต่หลอกให้เราลืมตัว ในโลกเหล่านี้หลอกให้เราลืมตัววิ่งตามกิเลสตัณหา ธรรมไม่เหลือบมอง ทีนี้ความสุขมันก็ไม่มีละซี มีตั้งแต่ความทุกข์อันเป็นผลจากกิเลสที่เราหลงตามมัน

พระก็ให้ตั้งใจประพฤติปฏิบัติทุกองค์ๆ หน้าที่การงานของพระก็เคยสอนไว้แล้ว ที่อยู่ร่วมกับหมู่กับเพื่อน ความพร้อมเพรียงสามัคคีเป็นสำคัญมากทีเดียว ข้อวัตรปฏิบัติปัดกวาดเช็ดถู ทุกสิ่งทุกอย่างมีความพร้อมเพรียงสามัคคีซึ่งกันและกัน อันนี้เป็นที่ตายใจต่อกันผู้มาปฏิบัติร่วมกัน จากนั้นก็เป็นความเพียรโดยเฉพาะตนเอง แม้จะทำงานการเกี่ยวข้องกับหมู่คณะขนาดไหน สติปัญญาติดแนบอยู่กับใจ เรียกว่าความเพียรตลอด ความเพียรอยู่กับใจหนึ่ง ความเพียรอยู่กับสิ่งต่างๆ ที่เราจัดทำ เช่นข้อวัตรปฏิบัติ นี่ก็เป็นความเพียรประเภทหนึ่ง แต่ความเพียรที่สำคัญคือสติ อย่าปล่อยวางจากใจ ใจเป็นผู้ต้องหา กิเลสมันรุมเอาๆ หาความสุขไม่ได้ จึงต้องได้อาศัยสติปัญญาเป็นผู้ประกัน เป็นผู้รักษาจิตไว้ให้มีความปลอดภัย พากันตั้งใจปฏิบัติ

มองดูพระให้น่าดูหน่อยนะ มองดูพระ กิริยามารยาท การประพฤติปฏิบัติ เหมือนเดินตามเสด็จพระพุทธเจ้า โดยการปฏิบัติดีปฏิบัติชอบในธรรมและวินัย มองดูองค์ไหนก็เห็นเดินด้อมๆ ตามเสด็จพระพุทธเจ้า ด้วยการปฏิบัติตามหลักธรรมหลักวินัยไม่ให้คลาดเคลื่อน หลักธรรมและหลักวินัยนั้นแลคือองค์ศาสดาโดยแท้ นี้แลจะชี้แนวทางให้พ้นทุกข์แก่เรา พระพุทธเจ้าจะปรินิพพานไปแล้วท่านก็รับสั่งไว้เรียบร้อย พระธรรมและพระวินัยนั้นแล จะเป็นศาสดาของเธอทั้งหลายแทนเราตถาคตเมื่อเราล่วงไปแล้ว นี่สอนไว้อย่างชัดเจน พวกเราให้ตามเสด็จพระพุทธเจ้าด้วยการประพฤติปฏิบัติ

สุปฏิปนฺโน อุชุ ญาย สามีจิปฏิปนฺโน ปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบ ตรงต่ออรรถต่อธรรม นี่เรียกว่าตามเสด็จพระพุทธเจ้า ถ้าใครห่างจากนี้และข้ามเกินคำสอนพระพุทธเจ้า นั่นเรียกว่าเหยียบหัวพระพุทธเจ้าตลอดไป ถ้าพูดอย่างนี้มันก็อดสลดสังเวชไม่ได้นะ เวลานี้มองอยู่นี้ ไม่ว่ามองดูพระ ไม่ว่ามองดูเขาดูเรา ดูประชาชนทั่วไป มีตั้งแต่พวกตีนสูงๆ เหยียบหัวพระพุทธเจ้าลงไปๆ ด้วยการข้ามเกินหลักศาสนา หลักธรรมหลักวินัยนั่นแล เพราะฉะนั้นความสุขจึงไม่มี ข้ามพระพุทธเจ้าแล้วจะไปหวังเอาความสุขความเจริญที่ไหน อย่าหวังนะ เรื่องของกิเลสมีแต่หลอกเข้าหาฟืนหาไฟทั้งนั้น พากันจำเอานะ ให้พร

หลังจังหัน

         ที่หมู่บ้านตาดนี้แต่ก่อนมีวัดอยู่ที่นั่นแคบๆ เริ่มมาตั้งแต่สร้างบ้านตาดโน่นแหละ แคบๆ อยู่มาอย่างนั้น ต่อมาเลยร้างไม่มีใครอยู่ พอดีเราก็เข้ามาอยู่ที่นี่ เลยตั้งนี้ขึ้นแทนเป็นวัดขึ้นมา ให้ชื่อว่าวัดป่าบ้านตาด เดิมจริงๆ วัดอยู่ที่นั่น อันนี้ยกอันนั้นให้เลย เพราะวัดร้างนี้เราเป็นผู้รับผิดชอบ ใครจะมาทำสุ่มสี่สุ่มห้าไม่ได้ เราเลยยกให้เพื่อทำประโยชน์แก่ส่วนรวม โดยตั้งสถานีวิทยุขึ้นที่นั่น เวลานี้กำลัง... ให้เป็นประโยชน์แก่ส่วนรวม

เราอยากให้มีอรรถมีธรรม ได้ยินได้ฟังกันทั่วๆ ไป ในชาวพุทธของเราทั่วประเทศไทยนี้ ควรจะได้ฟังเสียงอรรถเสียงธรรมจากต้นตำรับของพระพุทธเจ้าอย่างแท้จริง ไม่ควรที่จะมีตั้งแต่กระพี้มีแต่พิษแต่ภัยแทรกศาสนามา โดยอ้างศาสนาเป็นโล่บังหน้า นอกจากนั้นมีตั้งแต่พิษแต่ภัยแทรกมาๆ เราไม่อยากเห็นอย่างนี้โดยถ่ายเดียว ซึ่งมีมาอย่างนี้อยู่แล้ว อยากจะให้มีอรรถมีธรรมเป็นเนื้อแท้ของพระพุทธเจ้า ของพุทธศาสนาอย่างแท้จริง เรียกว่าต้นตำรับ เอามาประกาศให้พี่น้องทั้งหลายทราบ จะเป็นที่ชื่นตาชื่นใจ

พระพุทธเจ้าเทศน์สอนโลกด้วยความชื่นพระทัย ด้วยพระเมตตาต่อโลก ธรรมะที่ออกจากพระพุทธเจ้าจึงเป็นธรรมะสดๆ ร้อนๆ มีรสมีชาติตลอดมาถึงบรรดาสาวกทั้งหลาย นี้คือธรรมะที่ท่านทรงไว้ในใจของท่าน อันเป็นผลจากการปฏิบัติมาโดยลำดับ แสดงออกเป็นมรรคเป็นผลภายในใจ แล้วเวลาประกาศธรรมสอนโลกก็เป็นธรรมสดๆ ร้อนๆ ผู้ฟังไม่จืดไม่ชืดไม่เบื่อไม่หน่าย ฟังแล้วดูดดื่ม เพราะจิตใจของท่านเป็นจิตใจที่มีรสมีชาติแห่งธรรมล้วนๆ ที่เลิศเลออยู่ภายในใจ ตั้งแต่พระพุทธเจ้ามาถึงสาวกท่านมีธรรมที่สดๆ ร้อนๆ อยู่ภายในใจตลอดมา นี่ละอยากได้ธรรมประเภทนี้ออกให้โลกทั้งหลายได้เห็นได้ยิน แล้วจิตใจจะค่อยสดชื่นขึ้นมาด้วยมีธรรมะเข้าชโลมใจ

การตั้งสถานีวิทยุในที่ต่างๆ เราจึงยินดีด้วย เห็นดีด้วยเลย ข้อที่จะตามมาให้เกิดความวิตกก็คือ เรื่องกิเลสตัณหานี้มันแทรกง่าย ตั้งสถานีวิทยุขึ้นมา ทีแรกก็ว่าเป็นสถานีวิทยุเสียงธรรมๆ อันดับต่อมาก็เป็นเสียงกิเลสเต็มวิทยุไปหมด นี่เราวิตกตรงนี้มาก ไปที่ไหนเราจึงเตือน อย่างสวนแสงธรรมก็เหมือนกัน ทางโน้นเราก็เตือน มันก็มีมาบ้าง ครั้นต่อมาไส้ในท้องนั่นแหละมันเกิดเป็นหนอนขึ้นมาในสถานีวิทยุสวนแสงธรรมแหละ เวลานี้เขากำลังสืบอยู่ แต่ที่แน่ชัดไม่ผิดเลยนั้นทราบแล้ว รายละเอียดของความผิดนี้มีอะไรๆ บ้างนั้น เรายังทราบไม่ละเอียดลออ แต่ส่วนความผิดนั้นส่วนใหญ่เราทราบมาหมดแล้ว นี่ละมันก็เป็นภัยได้อย่างนี้

เราเองขับออก ไม่มีใครขับ ไม่มีใครกล้าขับ เราเป็นผู้ขับออก กล้าขับออก ว่างั้นเลย นี่ละมันมาเป็นภัยต่อสถานีวิทยุสวนแสงธรรมเรา ครั้นเวลาขับออกไปแล้วอันนี้ก็มาตั้งขึ้นเป็นภัยใหญ่ ย้อนกลับเข้ามาโจมตีหลวงตาบัว ออกทางเว็บไซค์บ้าง เวลานี้ไอ้สองตัวนี่ละ เรายังไม่ระบุชื่อ สองตัวสำคัญอยู่ในสวนแสงธรรม ที่เลี้ยงดูมันมาตั้งแต่สร้างวัดเริ่มแรกมา ก็เลี้ยงดูกันมาเหมือนลูกของวัด ครั้นสุดท้ายมันก็ลืมตัวเหยียบหัวไปเรื่อยๆ เหยียบไปจนกระทั่งฟังไม่ได้ เขามาบอกกล่าวทุกอย่างกับเรา เราก็ฟังด้วยเหตุด้วยผลเป็นที่แน่ใจแล้ว เอาไว้ไม่ได้จะเป็นภัยต่อส่วนรวมมากมาย เราจึงให้ออก อยู่ไม่ได้คนประเภทนี้ เพียงเท่านี้ก็พอแล้ว ถ้ามากกว่านี้จะหนักมากกว่านี้ไป เราเองเป็นคนขับออก

พอขับออกไปแล้วมันก็ไปตั้งท่ารบกับเรา มันกำลังมาโจมตีเราเดี๋ยวนี้ ออกทุกแบบนะพวกเว็บซ้งเว็บไซค์ที่ไหนกำลังโจมตีหลวงตาบัว ให้พี่น้องทั้งหลายทราบ ตัวที่หลวงตาบัวเลี้ยงไว้ในสวนแสงธรรม มีสองตัว ยังไม่ระบุชื่อแหละนะ เอาไว้เพียงสองตัวเสียก่อน ให้ท่านทั้งหลายทราบเอาไว้ หลวงตาบัวนี้สร้างแต่ความดีต่อโลกต่อสงสาร ไม่ปรากฏเลยว่าเรานี้มีเจตนาสร้างความชั่วให้แก่โลก แม้เม็ดหินเม็ดทรายเราไม่เคยมี เพราะฉะนั้นใครจะว่าอะไรเราไม่สนใจ เราแน่นอนในการทำของเราทุกอย่าง นี่เราก็ทำมาอย่างนี้แน่นอนทุกอย่าง

เดี๋ยวนี้เขากำลังโจมตีหลวงตาบัว ให้ฟังก็แล้วกัน ไอ้สองตัวนี้แหละ จำให้ดีนะ โจมตี ออกจากสวนแสงธรรมที่ขับออกไป มันเป็นภัยต่อส่วนรวม แล้วมันก็ไปตั้งทัพข้างนอกตีเข้ามาหาหลวงตาบัว หลวงตาบัวจะจมหรือใครจะจมคอยฟังก็แล้วกัน เข้าใจหรือ หลวงตาบัวนี้ถูกโจมตี ไอ้ผู้โจมตีจะจม หรือหลวงตาบัวจะจม ฝ่ายไหนจะจมให้พี่น้องทั้งหลายพิจารณาเอง หลวงตาพูดเวลานี้ด้วยความยิ้มแย้มแจ่มใส ไม่มีอาฆาตมาดร้ายต่อผู้ใด เต็มไปด้วยความเมตตาล้วนๆ ผิดบอกว่าผิด ถูกบอกว่าถูก อย่างนี้ เราก็บอกตรงๆ เวลานี้เขากำลังโจมตีหลวงตาบัว ให้เข้าใจเอานะ

พี่น้องทั้งหลายก็ได้เห็น หลวงตาบัวช่วยชาติบ้านเมืองมาขนาดไหน จนไม่มีอะไรติดเนื้อติดตัว ขนาดติดหนี้เขาตลอด ประชาชนทั้งหลายเขามาบริจาค ก็เห็นกันอยู่ต่อหน้าต่อตาเกลื่อนมานี่ปัจจัย วันหนึ่งๆ ได้เท่าไรๆ เขาก็เห็น แล้วใครจะอดได้เมื่อเห็นอยู่ เมื่อวันนี้ก็ได้วันนั้นก็ได้ มากต่อมาก หลายวันต่อหลายวัน เขาก็ต้องว่าหลวงตาบัวนี่เป็นเศรษฐีเงิน นี่ในสายตาของประชาชนที่เห็นกันอย่างแจ่มแจ้ง ที่มีผู้นำมาถวาย ทีนี้เวลาหลวงตาบัวออกเขาไม่ทราบ เวลาจ่ายเงินนี้เขาไม่ทราบ เช็คใบหนึ่งๆ เป็นหลายแสน เป็นล้าน เป็นล้านๆ อยู่ตลอดมาอย่างนี้ เขาไม่เห็น เขาก็เหมาเอาแต่ว่า มีคนมาบริจาค จนกระทั่งหลวงตาบัวติดหนี้เขาก็ไม่รู้นะ

ทำไมหลวงตาบัวถึงต้องติดหนี้ คนมีเงินจะติดหนี้หรือใช่ไหม นั่นคือมันจน อย่างนี้ละความร่ำลือของคนกับความจริงมันเข้ากันไม่ได้อย่างนี้ พูดชัดๆ คนทั้งโลกเขาว่าหลวงตาบัวเป็นเศรษฐีเงินนั่นแหละ ทั่วประเทศไทยเรา ผู้ที่ไม่อยู่ใกล้ชิดติดพันกับเรานะ หมายถึงผู้ที่อยู่ไกล ผู้ที่อยู่ใกล้ก็รู้กันแล้วทุกอย่าง มีเท่าไรมาหมดทุกอย่างเลย เราไม่มีเหลือ

เวลานี้กำลังถูกโจมตี ให้ท่านทั้งหลายทราบเอาไว้ก็แล้วกัน ฝ่ายไหนจะจมมันก็รู้กันกับเหตุมันเกิดขึ้นที่ไหนนั่นละ แต่เจริญนี่เราไม่อยากพูด เราวิตกด้วยซ้ำไป โอ๊ ทำไมมันจึงมาขับรถชนภูเขาน้า มันอดคิดไม่ได้นะเรา คือเราไม่มีความชั่วช้าลามกอะไรติดเลยกับประชาชน ไม่มีเลย มีแต่ความเมตตาล้วนๆ ครอบโลกธาตุจะว่าอะไรเพียงเมืองไทยเราเท่านี้ เราทำมาอย่างนั้นตลอด นี่ก็เท่ากับสร้างความดีขึ้นมาจนเป็นภูเขาทั้งลูก พูดง่ายๆ ว่างี้เลย แล้วอยู่ๆ มันก็จะมาขับรถ มันอวดรถมันว่าเก่ง มันจะมาชนภูเขาให้ภูเขาพัง อะไรจะพัง รถจะพังหรือภูเขาจะพัง มันอดคิดไม่ได้นะเรา มันขับรถชนภูเขาอย่างนี้น่ะ

เขาโจมตีหลวงตาบัว หลวงตาบัวก็เลยบอกว่า นี้คือภูเขาลูกหนึ่ง ว่างั้นเลย แห่งความดีทั้งหลายที่เราสร้างต่อโลกไว้นี้ เต็มขนาดนั้นละ ทุกหยดทุกหยาดไม่เพื่อเราเลย มีแต่เพื่อโลกทั้งหมด มันจะไม่เป็นภูเขาทั้งลูกได้ยังไง แล้วอยู่ๆ ก็จะคิดคะนองอวดดิบอวดดีขับรถไปชนภูเขา จะเอาให้ภูเขาพัง มันทางไหนจะพังน่า ว่างั้นเลย นี่ละเขาโจมตีเรา เราก็พูดได้อย่างสบายเพราะเราไม่มีอะไร โลกอันนี้มันมีอยู่อย่างนี้ พระพุทธเจ้าก็มีมาดั้งเดิมอยู่แล้ว องค์ศาสดาแท้ๆ ก็มีอยู่อย่างนั้นจะว่าไง เราตัวเท่าหนูจะไม่มีได้ยังไง ก็ต้องมีเหมือนกัน แต่นี้เวลามาสัมผัสเราก็เล่าให้ฟังเฉยๆ เราไม่ได้เคียดแค้นกับผู้ใด ในโลกธาตุนี้ไม่มี มีแต่ความดีที่เราทำต่อโลกเท่านั้นแหละ

พูดเรื่องวิทยุเราก็วิตกเรื่องวิทยุ ครั้นต่อไประวังเรื่องของข้าศึกศัตรูที่มันอยู่ฉากหลังมันจะขึ้นแทรกข้างหน้า แล้วเหยียบธรรมลง ต่อไปจะมีแต่เรื่องสกปรกออกทางวิทยุนะ พากันจดจำเอาไว้ มันจะแทรกได้ พูดไว้ไม่ผิดนะ ทีแรกก็เป็นธรรมๆ ต่อมากิเลสมันก็ยกทัพขึ้นแทรก แซงธรรมแล้วเหยียบหัวธรรมลงไป มีแต่กิเลสออกหน้าหมด วิทยุที่ว่าธรรมมีแต่ชื่อ นอกจากนั้นมีแต่กิเลสทั้งหมด จำเอาไว้

เราอยากให้พี่น้องทั้งหลายได้สนใจทางด้านภาวนาบ้างนะ พุทธศาสนาจะเด่น เด่นที่ดวงใจของนักภาวนาเป็นอันดับสำคัญมากทีเดียว อันดับหนึ่งเลย ทาน ศีล เหล่านี้เป็นสมบัติรวม ไหลเข้าสู่ทำนบใหญ่คือจิตตภาวนา เมื่อทำจิตตภาวนา นั่นละสร้างทำนบใหญ่คือจิตตภาวนา แล้วบุญกุศลทั้งหลายจะไหลรวมเข้ามาที่นั่น มันไหลป้วนเปี้ยนอยู่นี้ละ ไม่มีที่เก็บมันก็ไหลป้วนเปี้ยนอยู่กับเจ้าของผู้ทำนั่นละ แต่พอสร้างทำนบใหญ่คือจิตตภาวนาแล้วลงในนั้นหมด และจะเด่นขึ้นในเจ้าของ สร้างกุศลผลบุญมากน้อยเพียงไรมันจะมาเด่นขึ้นที่นี่ละ ทำนบใหญ่คือจิตตภาวนา

เรื่องจิตตภาวนานี้ โอ๋ย สำคัญมากจริงๆ ถึงขนาดที่ว่าดูโลกจนอ่อนใจ เป็นยังไงเลิศเลอขนาดไหนถึงได้ดูโลกด้วยความอ่อนใจ ทั้งๆ ที่เมตตาสงสารเต็มหัวใจ แต่เวลาจะสอนโลกทำไมถึงอ่อนใจ พิจารณาซิ คือมันหนักเกินกว่าจะยกขึ้น ว่างั้นเถอะ หนักด้วยกิเลสตัณหา จิตดวงใดๆ มีแต่กิเลสบรรจุเต็มหมดๆ หนักอยู่ตรงนั้น ร้อนอยู่ตรงนั้น เป็นไฟอยู่ตรงนั้น ไม่มีชาติชั้นวรรณะฐานะสูงต่ำอะไรเลย กิเลสเหยียบได้หมด มีธรรมเท่านั้นเหนือกิเลส จึงดูได้หมด เวลาดูแล้วมันอ่อนใจได้นะทั้งๆ ที่สอนโลกอยู่เป็นประจำทุกวัน มันก็อ่อนในใจนี่ละ แต่ก็ทนเอาเพราะผู้ดียังมี ผู้ที่เลอะเทอะมูมมามอะไรต่ออะไรก็เต็มโลกเต็มสงสาร  เอ้า ไม่ใช่จะเป็นแบบเดียวกันหมด ผู้ดียังมี นั่น เอาอันผู้ดีแหละ ตะเกียกตะกายหาเก็บเอาที่มันดีๆ มันคละเคล้ากันอยู่กับความสกปรกที่มีจำนวนมากมายเต็มไปหมด นี่ละที่อุตส่าห์พยายามนะ

ขอให้ท่านทั้งหลายได้อุตส่าห์พยายามจิตตภาวนา พอภาวนาขึ้นไปแล้ว หลักของการภาวนา เบื้องต้นให้มีคำบริกรรมติดกับใจ ใครชอบคำบริกรรมคำใดก็ตาม เช่น พุทโธก็ได้ ธัมโมก็ได้ สังโฆก็ได้ หรือธรรมบทใดที่ถูกกับจริตนิสัยของเรา ให้นำธรรมบทนั้นมาบริกรรม แล้วมีสติจับอยู่กับคำบริกรรมนั้น ห้ามไม่ให้จิตคิดออกไป นี้มีแต่เรื่องกิเลสทั้งมวล จิตที่คิดออกไปแง่ไหนมีแต่เรื่องกิเลสทั้งมวล ทีนี้ให้คิดมาเรื่องธรรม คำบริกรรมเป็นความคิดของธรรม ให้สติจับอยู่กับความคิดนั้น

บังคับ มันอยากคิดมากนะ มันดันออกๆ อยากคิด เราบังคับเอาไว้หลายครั้งหลายหนมันก็ค่อยอ่อนลงๆ ความบังคับด้วยงานของธรรมคือจิตตภาวนานี้ จะบังคับความฟุ้งซ่านของใจที่อยากคิดอยากปรุงทั้งหลายได้โดยลำดับ ต่อจากนั้นสิ่งเหล่านั้นจะค่อยสงบลง งานของธรรมคือความสงบใจจะปรากฏเด่นขึ้นๆ พอปรากฏขึ้น บางรายจะเป็นของแปลกประหลาดและอัศจรรย์เกินคาดเกินหมาย ตัวเราเองไม่เคยคิด เวลามันเป็นขึ้นมานี้ผิดคาดผิดหมายนะ นั่นละอันนั้นละเป็นหลักใจเรา

พอปรากฏขึ้นมาหนหนึ่งเท่านั้น แม้จะหายไปไม่ปรากฏก็ตาม แต่ความเชื่อในความเป็นของเจ้าของจะฝังลึก มันจะทำให้อุตส่าห์พยายามทำ เดี๋ยวก็โดนอีกๆ ต่อไปหลายครั้งหลายหนก็เด่นขึ้นๆ ทีนี้ขยับได้เลย แล้วเด่นขึ้น สิ่งทั้งหลายที่เป็นห่วงเป็นใยไขว่คว้าอยู่ตลอดเวลา มันจะค่อยปล่อยมาหมด ไม่มีสมบัติใดยิ่งกว่าสมบัติแห่งธรรมที่อยู่ในใจของเรา ซึ่งสัมผัสกันรู้กันในเวลาเราภาวนา อันนี้มีคุณค่ามากทีเดียว พออันนี้ได้เจอขึ้นในใจเราจะเริ่มเห็นคุณค่าของใจในเวลานั้น แล้วทุกสิ่งทุกอย่างที่เราถือว่าเขามีคุณค่า ดีดดิ้นกับเขานั้น จะค่อยจางลงๆ จางเข้ามาหานี่นะ อันนี้เป็นเหมือนแม่เหล็กดึงดูดเข้ามาๆ จิตจะตั้งตัวได้ ทีนี้มองไปที่ไหนสง่างามอยู่ในนี้แล้วมันจะหลงไปไหน เมื่อหลักใจก็มีอยู่ เห็นอยู่ในใจของเรา แล้วมันจะดีดดิ้นไปไหน

ที่มันดีดดิ้นเพราะยังไม่มีหลักเกณฑ์ที่พอจะตายใจได้ ยึดเหนี่ยวได้ มันก็ดิ้นไปอย่างนั้นเป็นธรรมดาเหมือนเราเหมือนท่านนั่นแหละ แต่พอได้หลักใจเป็นที่ยึดแล้วมันจะปล่อยเข้ามาๆ นี้เลย จนกระทั่งถึงอยู่ที่ไหนธรรมกับใจอยู่ด้วยกันๆ เย็นด้วยกันตลอดไป เลยไม่สนใจกับเรื่องภายนอกว่ามั่งมีดีชั่วประการใดเลย มันมาหมุนอยู่นี่ๆ แล้วยิ่งสั่งสมนี้มากเท่าไรก็ยิ่งปล่อยเข้ามาๆ มาอยู่ในจุดใหญ่นี้หมดเลย จิตมีคุณค่าทีนี้ค่อยเด่นออกๆ สุดท้ายจิตดวงนี้ครอบโลกธาตุ มีคุณค่าครอบโลกธาตุไปหมดเลย สิ่งเหล่านั้นหมดความหมายไปหมด พากันเข้าใจนะ เรื่องจิตตภาวนาเป็นสำคัญอย่างนี้

เราพูดนี้เราพูดออกมาจากหัวใจที่ถอดออกมาจากบนเวทีมาพูด ไม่ได้พูดแบบลูบๆ คลำๆ นะ พูดจริงพูดจัง เป็นคำพูดสดๆ ร้อนๆ มีรสมีชาติในหัวใจเราที่พูดออกไปตลอดเวลา ผู้ที่ฟังไม่มีรสมีชาติก็เกินไปนะ พากันพิจารณานะ เอาเท่านั้นละวันนี้ พอ ให้พร

 

รับฟังรับชมพระธรรมเทศนาของหลวงตา ได้ที่

www.Luangta.com หรือ www.Luangta.or.th

และรับฟังจากสถานีวิทยุสวนแสงธรรม กรุงเทพฯ และสถานีวิทยุอุดร

FM 103.25 MHz


** ท่านผู้เข้าชมทุกท่านโปรดทราบ
    เนื่องจากกัณฑ์เทศน์บางกัณฑ์มีความยาวค่อนข้างมาก ซึ่งจะส่งผลต่อความเร็วในการเปิดเว็บไซต์ ขอแนะนำให้ทุกท่านได้อ่านเนื้อหากัณฑ์เทศน์บางส่วนจากเว็บไซต์ และให้ทำการดาวน์โหลดไฟล์กัณฑ์เทศน์ที่มีนามสกุล .pdf ไปเก็บไว้ในเครื่องของท่านแทนการอ่านเนื้อหาทั้งหมดจากเว็บไซต์

<< BACK

หน้าแรก