เทศน์อบรมฆราวาส ณ วัดป่าบ้านตาด
เมื่อวันที่ ๑๘ มกราคม พุทธศักราช ๒๕๔๘
สติจำเป็นตลอดตั้งแต่พื้นๆ
(กราบนิมนต์หลวงตาไปเปิดห้องสมุดประชาชนของเทศบาลเมืองอุดรธานีครับ) ก็ไม่เห็นมีน้ำหนักอะไรๆ เราทดสอบเหตุผลน้ำหนักหนักเบา อะไรๆ ก็ต้องคิดอย่างนั้นทุกอย่างๆ อะไรๆ จะทำตามชอบใจๆ ไม่มีเหตุมีผลใช้ไม่ได้นะ เลอะๆ เทอะๆ ไปหมด นี้ยิ่งเราเป็นลูกชาวพุทธด้วยแล้ว หลักพุทธศาสนานี้หลักเหตุหลักผลคือธรรม รวมเหตุรวมผลแล้วเรียกว่าธรรม จึงไม่มีผิด ใครจะนำไปปฏิบัติก็ตาม พุทธศาสนาของเรานี้เรียกว่า สฺวากฺขาโต ถูกต้องร้อยเปอร์เซ็นต์ๆ แล้วพวกเราชาวพุทธควรจะพินิจพิจารณาทำอะไรทำตามความชอบใจความอยากไปเฉยๆ หาเหตุหาผลไม่ได้ ความเสียมีอยู่ในนั้นไม่รู้ ถ้ามีเหตุผลจับเข้าไปปั๊บ ความได้ความเสียบวกลบคูณหารกันแล้ว อะไรควรคัดออกๆ อะไรควรเป็นประโยชน์ทำให้เป็นประโยชน์ อย่างนั้นนะ
เวลานี้เมืองไทยเราเราพูดจริงๆ มาตั้งแต่หลวงตาบัวยังไม่เกิดนั่นน่ะ เป็นเมืองที่ว่า แต่ก่อนยังไม่ค่อยเท่าไรนะ มาหลังๆ นี้ในย่านหลวงตาบัวเกิดนี่ละ หรือหลวงตาบัวมันตัวเสนียดจัญไรอะไรก็ไม่รู้นะ เพราะมาเกิดมันทำให้บ้านเมืองเมืองไทยเรานี่คึกคะนอง อะไรๆ มาคว้ามับๆ ไม่มีหลักมีเกณฑ์ เลยกลายเป็นเมืองฟุ้งเฟ้อเห่อเหิม เอ้ามาตั้งโรงงานมาตั้งเถอะ หมดนั่นละเงิน ถึงไหนถึงกันเมืองไทยเราไม่มีเหลือ คว้ามับๆ ไม่มีเหตุมีผลอะไรเลย เมืองไทยเราเสียอันนี้นะ มันต้องมีเหตุมีผล มีเนื้อหนังเป็นของตัวเอง มีกฎมีเกณฑ์เป็นหลักบ้านหลักเมืองมันถึงถูก อันนี้อะไรโลๆ เลๆ
อันนี้สืบเนื่องมาจากไหนเราก็ทราบ คือเมืองไทยเราเป็นเมืองอู่ข้าวอู่น้ำ เมืองไม่เคยอดอยากขาดแคลน อยู่สะดวกสบาย มีอะไรมากินๆ ทีนี้เวลาเหตุการณ์รอบด้านเข้ามานี้กระทบกระเทือนต่อเมืองไทยให้เสียหายได้นี้มันปรับตัวไม่ทัน นี่ละตัวปรับตัวไม่ทัน เพราะมันกลายเป็นนิสัยไปแล้วแก้ยากนะ อะไรก็ตามถ้าเป็นนิสัยแล้วแก้ยากนะ ถ้าเอาธรรมเข้าแก้ นิสัยไม่นิสัยก็ตามแก้ได้ทั้งนั้น อะไรผิดหรือถูก พอพิจารณาว่าผิดแล้วปัดออก ไม่ว่าเก่าว่าใหม่ ให้เอาตรงนั้นซิ
เราอยากให้พี่น้องชาวไทยเราที่เป็นชาวพุทธ ขอให้มีเครื่องหมายของพุทธติดเนื้อติดตัวติดบ้านติดเมืองติดสังคม ติดหน้าที่การงานต่างๆ ไปทุกแห่งทุกหนนั้นจะเหมาะสม นี้ไม่ค่อยเห็นมี แม้แต่พระก็ยังไม่มีจะว่าอะไร เราอยากบอกว่าไม่มีว่างั้นเลย เพราะมันเลอะเทอะเอามาก คำว่ามีนั้นไม่มีน้ำหนักเท่ากับคำว่าไม่มี ไม่มีนี้เป็นอันตรายมากกว่าสิ่งที่มีที่เป็นคุณ เราจึงบอกว่าไม่มีว่างั้นจะดีกว่า ความเลอะเทอะนี่มันเสียหายมาก ความดีมีน้อย ถ้าบอกว่ามีบ้าง อันนี้ลบทีเดียวหมด ความชั่วลบทีเดียวหมด ตั้งแต่พระเรายังเลอะเทอะไปขนาดนี้ ฟังซิน่ะ หูตามีอยู่ทุกคน คัมภีร์ใบลานเรียนมาด้วยกันทุกคน ผิดถูกรู้ด้วยกันทุกคน แล้วมันหน้าด้านไปทำผิดๆ ให้เห็นต่อหน้าต่อตาอย่างนี้มันจะไม่ว่ายังไงคนเรา ไม่ว่ากันยังไง อย่างนี้ละเรียกว่าไม่มีหลักเกณฑ์ ไม่มีหิริโอตตัปปะ เหยียบหัวพระพุทธเจ้าไป ถ้าข้ามเกินหลักธรรมหลักวินัยหลักศาสนานั่นละคือเหยียบหัวพระพุทธเจ้าไป มันเหยียบไปตลอดเวลา
ประชาชนเขาเหยียบเขาไม่รู้ประสีประสาอะไร เป็นอย่างหนึ่ง เหมือนอย่างเด็กขึ้นเหยียบหัวพ่อหัวแม่ ปีนหัวพ่อหัวแม่ ไม่มีใครถือสา ถ้าเป็นผู้ใหญ่ไปปีนนี่ไม่ได้นะ อันนี้เป็นพระเราลูกศิษย์ตถาคตไปปีนเหยียบหัวพระพุทธเจ้า มันดูไม่ได้นะ ถ้าประชาชนคนธรรมดาก็เหมือนเด็กปีนหัวพ่อหัวแม่ไม่เป็นไร เพราะไม่รู้เรื่อง ส่วนพระนี่เป็นผู้ที่รู้เรื่องรู้ราวจริงๆ บวชในศาสนา ต้องมีหลักมีเกณฑ์ แล้วยังฝ่าฝืนหลักธรรมหลักวินัยเหยียบหัวพระพุทธเจ้าไปต่อหน้าต่อตา นี่จึงว่าดูไม่ได้
ที่พูดให้ฟัง ท่านทั้งหลายฟังซิ นี่ละหลักศาสนา ให้มีหลักมีเกณฑ์ซิ เหลาะๆ แหละๆ โลเลๆ ไม่ได้นะ เจ้าของก็หาหลักยึดไม่ได้ แล้วจะไปสอนคนอื่นเขาจะเอาหลักยึดอะไรไปยึดล่ะ เจ้าของไม่มีหลักยึด พระพุทธเจ้าเป็นหลักยึดใหญ่โตของโลกของสงสาร นั่นเป็นสรณะของโลกได้เต็มเหนี่ยว จากนั้นมาก็ สงฺฆํ สรณํ คจฺฉามิ เป็นหลักยึดของชาวพุทธได้เป็นอย่างดี นั่นท่านสร้างหลักยึด มีหลักยึด มีกฎมีเกณฑ์ กระจายออกไปทางไหนเป็นประโยชน์ทั้งนั้น ตัวเองก็โลเลโลกเลกจะไปหาหลักยึดอะไรให้คนอื่น เจ้าของก็หลักลอย เอาหลักยึดที่ไหนไปให้ใครยึดล่ะ
เราอยากให้ชาวพุทธเราพินิจพิจารณานะ เรื่องพุทธศาสนาไม่ใช่เรื่องเล็กน้อย แล้วเหยียบข้ามไปๆ เอาแต่ความเลวร้ายเข้ามาออกหน้าออกตาออกตลาดตเล ออกสังคม ก็มีแต่สังคมเลวร้ายไปหมดแหละ เราพูดเรื่องเหล่านี้ถึงองค์ศาสดาไม่เห็น พระพุทธเจ้าประทับอยู่กลางคืนเงียบๆ กับพระสงฆ์ จุดตะเกียงพอมีแสงไฟนิดหน่อย แล้วพระเจ้าแผ่นดินเสด็จเข้ามากลางคืนเงียบๆ พระพุทธเจ้าก็เงียบ พระเจ้าแผ่นดินเราลืมชื่อเสีย นั่นก็มาอย่างเงียบๆ เสด็จมาดูเหตุการณ์ในสำนักพระพุทธเจ้าที่ประทับอยู่ ค่อยเสด็จด้อมเข้ามาดู ครั้นด้อมเข้ามา นั่นไฟอะไร ค่อยด้อมเข้าไปๆ เป็นไฟพระพุทธเจ้าจุดอยู่ ประทานพระโอวาทให้พระให้เณรฟังอย่างเงียบๆ
พระเจ้าปเสนทิโกศลเสด็จเข้าไป ด้อมเข้าไปๆ จึงได้ทราบชัดว่าพระพุทธเจ้า และนี้คือพระเจ้าปเสนทิโกศล ต่างคนต่างไปแบบเงียบๆ พระเจ้าปเสนทิโกศลก็ไปแบบเงียบๆ สังเกตการณ์ พระพุทธเจ้าประทับอยู่เงียบๆ ท่านแสดงไว้เป็นคติได้เป็นอย่างดี นั่นละเป็นแบบเป็นฉบับ วันนั้นดูว่าเป็นมหามงคลมากมายนะ ที่พระพุทธเจ้าประทับอยู่ที่นั่น พระเจ้าปเสนทิโกศลเสด็จเข้าไป ทรงประทานพระโอวาทให้เป็นข้อๆ รู้สึกว่าเป็นคติได้เป็นอย่างดี นั่นละพระพุทธเจ้าอยู่ เป็นยังไงใครรู้ว่าเป็นพระพุทธเจ้า ท่านไม่ได้เห่อห่าเป็นบ้าเหมือนพวกเรา พวกเราแค่เป็นสมเด็จเท่านั้นก็เป็นบ้าแล้วเวลานี้ เป็นสมเด็จมหาโจร เหยียบย่ำทำลายพระสงฆ์ทั่วประเทศไทย ด้วยชื่อด้วยนามสมเด็จป่าๆ เถื่อนๆ อำนาจป่าๆ เถื่อนๆ มาเหยียบพระสงฆ์ไทยทั้งประเทศเวลานี้ ดูเอาเสีย
นี่ตามีหูมี พูดอย่างจะแจ้งเรา พระสงฆ์ไทยทั้งประเทศนี้มีหูมีตาทุกคน เราเอาอำนาจบาตรหลวงมาจากไหนมาเหยียบหัวพระสงฆ์ไทย โจรใหญ่ตัวนี้เป็นสมเด็จด้วยนะไม่ใช่ธรรมดา เหยียบหัวพระทั้งประเทศไทยไปได้อย่างสบายๆ ของพระอันธพาล คนอันธพาล มหาโจรสมเด็จอันธพาลนั่นแหละ โฮ้ น่าทุเรศนะ ทำไมถึงหยาบโลนนักหนา ตั้งขึ้นมาไม่ใช่เล็กน้อย ตั้งขึ้นมาเพื่อส่งเสริม ที่ตั้งขึ้นมาเป็นชั้นนั้นชั้นนี้ ตั้งแต่ สมุห์ ใบฎีกา พระครูพระคัน เจ้าฟ้าเจ้าคุณถึงขั้นสมเด็จ นี้ตั้งเพื่อความเทิดทูนให้มีกำลังใจปฏิบัติหลักธรรมหลักวินัยให้เจริญรุ่งเรืองขึ้นไปเป็นลำดับ และให้เป็นกำลังใจเป็นที่อบอุ่นแก่ประชาชน
ที่ตั้งตั้งเพื่ออย่างนั้นต่างหาก ไม่ใช่ตั้งขึ้นไปเพื่อเป็นมหาโจรเหยียบหัวสังฆมณฑลทั่วประเทศไทยอย่างที่เป็นอยู่เวลานี้ เอาซิค้านมาซิน่ะ ใครจะค้าน หลักเกณฑ์มีอยู่ทุกคน ผิดหลักผิดเกณฑ์เหยียบย่ำทำลายหลักเกณฑ์มันก็รู้นี่จะว่าไง จะเอาอำนาจป่าๆ เถื่อนๆ มาเหยียบได้เหรอ ความจริงเหนืออะไรทั้งหมดแล้วนี่ อำนาจป่าๆ เถื่อนๆ เป็นความจริงเมื่อไร ฟังแต่ว่าป่าเถื่อนเป็นไร มันเห็นอยู่อย่างนี้ ใครก็หมอบๆ ไม่อยากพูดแหละไม่ทราบว่าเกรงอะไรกัน ความผิดขนาดไหน ผู้ใหญ่ขนาดไหนทำผิดขนาดไหน ไม่กล้าตักกล้าเตือน หมอบๆ นี่ไม่หมอบ บอกเลย ปฏิบัติธรรม ธรรมไม่พาหมอบไม่หมอบ ธรรมพาหมอบ-หมอบทันที
นี่พูดตามหลักธรรม เราพูดตามความจริงอย่างนี้ จะให้ไปหมอบหาอะไรหมอบกับคนชั่วสันดานหยาบ หมอบหาอะไร หมอบให้คนดีเด็กดี นั่น เด็กดีก็น่าชมเชยจะว่าไง ผู้ใหญ่ดียิ่งน่าชมเชยสรรเสริญ แต่ผู้ใหญ่เลว ผู้ใหญ่เป็นมหาโจรนี้ใครจะอยากหมอบอยากกราบ มีแต่จะเอาขี้ปาหน้าผากมันเท่านั้น ว่าอย่างนี้ซิ มันจะรู้สึกตัวหรือเปล่าเขาเอาขี้ปาหน้าผาก หรือมันยังจะเหม็นยิ่งกว่าขี้ไปอีก ฟังซิน่ะ เลวไหมทุกวันนี้พระเราในศาสนา เหยียบศาสนาอยู่เวลานี้ ผ้าเหลืองๆ หัวโล้นๆ มันไม่ได้มองดูหลักธรรมหลักวินัยคือองค์ศาสดาเลย
ศาสดาคือองค์ธรรมองค์วินัย เหยียบย่ำธรรมวินัยก็คือเหยียบย่ำหัวศาสดาไป มันมองดูเมื่อไร มันจะเอาความใหญ่ความโต เรื่องความโอ่อ่าฟู่ฟ่าที่มีดินเหนียวติดหัวนิดหน่อย ได้ชั้นนั้นชั้นนี้แล้วว่าตัวมีหงอนเท่านั้นเอง มันเกิดประโยชน์อะไร พูดได้อย่างนี้..ธรรม พูดต้องตรงไปตรงมาเรื่องธรรม อย่างอื่นไม่ใช่ธรรม สูง ไม่มีใครฉลาดแหลมคมยิ่งกว่าธรรม ต่ำ ไม่มีใครฉลาดแหลมคมยิ่งกว่าธรรม จะต้องทราบได้หมด การปฏิบัติสมควรสูงต่ำขนาดไหน ธรรมจะทราบได้หมด
โอ๊ย จะให้เราไปเปิดอะไรเราไม่อยากไป พิธีพิแธอะไรให้มีสำคัญๆ เราจะหาเหตุหาผลทุกอย่าง จะไม่ทำแบบสุ่มสี่สุ่มห้า เพราะธรรมเป็นแบบฉบับของโลก ผู้นำธรรมมาแสดงต่อโลกต้องเป็นแบบฉบับเป็นลำดับๆ จะไปทำสุ่มสี่สุ่มห้าไม่ได้ แล้วห้องสมุดก็มีเท่านั้นไม่เห็นมีอะไร (มีพิพิธภัณฑ์หลวงตาด้วยเจ้าค่ะ) แล้วกำหนดวันไหนล่ะ (วันที่ ๑๔ กุมภา เจ้าค่ะ)
เรากำหนดว่ากุมภานี้กะวันที่ ๑๑-๑๒ จะให้มีงานข้าวเปลือกเสียในระยะนี้ ถ้านานไปๆ ระยะนี้เป็นหน้าฝน เวลาฝนตกมาข้าวมากๆ ฝนตกนี้แหลกเหลวหมด ควรจะได้ย่นก่อนเวลามาสักหน่อย เลยบอกให้เอาย่านนี้ เขาว่าตรงกับตรุษจีน ตรุษจีนอะไรก็ตาม นี้ตรุษไทยตรุษศาสนา (พ้นตรุษจีนแล้วเจ้าค่ะ) เขาเอาตรุษจีนมาขวางเรา เราเอาตรุษพุทธซัดเข้าใส่เลย หงายเลย อย่างนั้นซิมาเล่นกับเราต้องมีเหตุผล คือเราปฏิบัติตัวของเรามาปฏิบัติอย่างนี้ เราพูดจริงๆ ไม่ใช่ยอตัว เราปฏิบัติมาอย่างนี้ตลอดตั้งแต่วันบวชมา เรื่องศีลของเราบริสุทธิ์บริบูรณ์ตั้งแต่วันบวชมา เข้มงวดกวดขันรักษาอย่างละเอียดลออ เพราะฉะนั้นเรื่องพระวินัยจึงพิศดารอยู่ เราซ้ำๆ ซากๆ คุ้ยเขี่ยขุดค้นหลักพระวินัย คือข้อปฏิบัติของพระ โทษของพระ ถ้าผิดตรงไหนเป็นโทษ เราไม่อยากเป็นโทษ เรามาหาคุณ เพราะฉะนั้นจึงต้องดูพระวินัยที่ท่านเตือนอะไร ผิดตรงไหน ต้องเป็นความระมัดระวังอยู่ในตัว เราปฏิบัติมาอย่างนั้นตลอด เรื่องพระวินัยเป็นอย่างนั้น
เรื่องธรรมก็แบบเดียวกัน เป็นอีกอย่างหนึ่ง คือเด็ดด้วยเหตุด้วยผลๆ เวลาหนักหนัก การประกอบความพากความเพียรของเรา เวลาหนักหนัก ถึงขนาดที่มอบชีวิตเลยก็มอบ เช่นอย่างเรานั่งตลอดรุ่งวันนี้นะ ลุกไม่ได้ เห็นไหมล่ะ วันนี้จะนั่งตั้งแต่บัดนี้ ตั้งแต่หัวค่ำถึงตลอดรุ่งด้วยท่าขัดสมาธิ ไม่มีข้อยกเว้น มีข้อเดียวคือว่า เราอยู่กับพระกับครูบาอาจารย์ เว้นแต่มีครูบาอาจารย์หรือพระเณรเกิดอุบัติเหตุฉุกเฉินขึ้นในวัดในเวลาที่เรานั่งสมาธิ เราจะลุกออกไปช่วยเหตุการณ์ มีข้อเดียว นอกนั้นไม่มี เรื่องของเราข้อหนึ่งก็ไม่ให้มี มีเรื่องของหมู่คณะข้อเดียว นอกนั้นไม่ให้มี
เอ้า ปวดเยี่ยวเยี่ยวเลย ปวดขี้ขี้ราดออกเลย อะไรๆ ราดเลย ถึงมันจะสลบล้มลง รู้ตัวจะลุกขึ้นนั่งทันที คำสัตย์คำจริงเหนือชีวิต ฟาดเอาจนกระทั่งถึงตลอดรุ่ง นี่เวลาเด็ด เราพูดเป็นเอกเทศนะ เวลาเด็ดไม่มีอะไรจะเด็ดยิ่งกว่าคำสัตย์คำจริงของธรรม เหนือชีวิตเราเลย ถึงคราวเด็ดเราก็เด็ด เราเด็ดมาตลอด เป็นพักๆ ๆ มาอย่างนี้ตลอด นี่เราก็ปฏิบัติด้วยเหตุด้วยผลมานะ ให้มีเหตุมีผลทุกอย่าง แล้วผลก็ปรากฏเป็นความราบรื่นดีงาม เพราะเหตุประกอบด้วยดีๆ ผลก็ได้ปรากฏมาเป็นลำดับลำดา
ทางด้านภาวนาก็เหมือนกัน จิตตภาวนาล้มลุกคลุกคลาน เอา ล้มไป มันล้มได้ต้องลุกได้ ล้มแล้วลุก ลุกไปลุกมาก็ตั้งไข่ได้ก็เดินได้ ต่อไปก็เรื่อย ก้าวได้ นี่ด้วยการประคับประคองทั้งอ่อนทั้งแข็งซัดกันไปซัดกันมา ต่อไปมันก็แข็งเรื่อยๆ ธรรมเมื่อถึงขั้นแข็งแล้วแข็งแกร่งนะ ไม่มีจะกลัวกิเลสตัวใดเลย ถึงขั้นมันแข็งแล้วตัวใดโผล่มาขาดสะบั้นๆ เรียกว่าธรรมแข็งแล้วนั่น เราอบรมให้แข็งแข็งขึ้น กิเลสอบรมให้มันแข็งมันก็แข็งขึ้น เหยียบคนทั้งคนให้ไม่มีค่า ตั้งแต่วันเกิดจนกระทั่งวันตายหาค่าไม่ได้ เพราะกิเลสเหยียบแหลก คนผู้ที่สร้างคุณค่าแก่ตัวเองสร้างทุกวันๆ วันนี้ก็สร้าง ตั้งแต่นี้ถึงค่ำถึงนอนหลับ รักษาตัวเองปฏิบัติตัวเองให้ถูกต้องดีงามไปเรื่อยๆ วันหน้าก็รักษาตัวเองอย่างนี้ไป ปัดออกอะไรไม่ดี รักษาตัวเองไปนี้ดีวันดีคืนดีไปๆ ดีตั้งแต่วันเกิดจนกระทั่งถึงวันตายก็ดีเลิศน่ะซิ
ทีนี้ความเลวก็เหมือนกัน วันไหนก็เลวๆ มีแต่ปล่อยตัวๆ ไม่คิดอ่านไตร่ตรองว่าอะไรผิดถูกชั่วดี ซึ่งตัวเองเป็นผู้รับเคราะห์กรรมดีชั่วนั้นแหละก็ไม่ยอมสนใจเสีย แล้วสร้างแต่ความชั่วช้าลามกวันนี้ทั้งวัน วันพรุ่งนี้ เดือนหน้า ปีหน้า จนกระทั่งวันตาย สร้างแต่ความชั่วช้า นรกแตก เข้าใจไหมคนสร้างมากๆ ให้พากันพิจารณานะ เราเป็นผู้รับผิดชอบเราทุกคนๆ ทุกคนนี้ใครมีรับผิดชอบกัน ก็มีเรา ดีกับชั่วอยู่กับเรา ดีจะเป็นเครื่องเสริมเราขึ้นไปโดยลำดับ ชั่วจะเป็นเครื่องกดเรา ให้ระวังทั้งสองอย่างนี้ซึ่งมีอยู่กับเราโดยเฉพาะ ให้พากันระมัดระวัง
หลักธรรมหลักวินัยที่สอนมานี้ เพื่อแก้เพื่อไขสิ่งไม่ดีทั้งหลาย ปัดออกๆ ชะล้างออกไป นี่ธรรมท่านให้มาเพื่อชะล้าง เราอย่าเอากิเลสเข้ามาโปะธรรม จะเหยียบหัวเราไปด้วย เหยียบหัวธรรมไปด้วย ไม่ดีเลย พากันจำให้ดี
วันที่เท่าไรเปิดห้องสมุด (วันที่ ๑๔ กุมภา ครับ) คงว่างมั้งวันนั้น ไปเพียงเปิดห้องสมุดนี้ก็ดูว่าเหตุผลก็ไม่เห็นเท่าไรนัก (ในพิพิธภัณฑ์มีหนังสือธรรมะของหลวงตาค่ะ) เอ้าถ้ามีเงื่อนอย่างนั้นเราก็จะไป ถ้าอยู่เฉยๆ ให้เราไปเปิดอันนั้นให้เปิดอันนี้ให้เราไม่ไปนะ ต้องหาเหตุผลมา ศาสนาพระพุทธเจ้าเป็นศาสนาที่มีเหตุผล ทำอะไร ก้าวเดินที่ไหนให้จับได้เป็นความดีงาม เป็นสิริมงคลถึงถูก จับไหนจมเลยๆ ใช้ไม่ได้นะ เข้าใจทุกคน เคลื่อนไหวออกไปมีแต่จมเลยๆ ใช้ไม่ได้นะ เคลื่อนไหวออกไปให้มีเจริญขึ้น มีได้มีเสียด้วยเหตุผลประคองกันไปอย่างนั้นถึงถูก
วันที่ ๑๒-๑๓ นี้จะเป็นวันประทายข้าวเปลือก กะย่นเข้ามา กลัวนานกว่านั้นฝนจะตก ข้าวก็มามากด้วย ฝนกระหน่ำลงมาแล้วท่วมหมด ระวังยากนะ
พระ..เมื่อสองสามวันก่อนผมภาวนาแล้วละขันธ์ ๕ ทิ้งไป แล้วทีนี้เห็นจิตกับผู้รู้ทิ้งอวิชชาไป มันไม่อยากเชื่อครับ ค้นดูอยู่สามวันสามคืนก็ไปเจออะไร
หลวงตา มันค้นอะไร นอกจากมันไปค้นหาขี้หาตดมันก็ไม่พบละ มันก็จะพบแต่ขี้แต่ตด ถ้าค้นหาธรรม ธรรมมีอยู่ต้องพบ
พระ...มันรู้แล้วครับ
หลวงตา แล้วเป็นยังไง ไหนลองว่าซิ
ผู้กำกับ ท่านทิ้งอวิชชาได้แล้วครับ
หลวงตา ทิ้งอวิชชาได้แล้ว โถ มาทิ้งต่อหน้าต่อตาเรานี้ โหย ไม่อยากฟังแล้วแหละ อยากไล่หนีเดี๋ยวนี้โน่นละ เอะอะทิ้งอวิชชาได้แล้ว คนทิ้งอวิชชาได้จะไม่ใช้กิริยาอย่างนี้ออกมาให้เห็นเลย คนทิ้งอวิชชาคือจอมปราชญ์ อันนี้มันจอมโง่ มาทิ้งอวิชชาต่อหน้าต่อตา หลวงตาเป็นผู้ฟังด้วย หลวงตาตัดสินทันทีเลย มันทิ้งอวิชชาอะไร มันแบกอวิชชาค่อยยังชั่ว
พระ..คือผมไม่มั่นใจ กลัวมันหลงครับ
หลวงตา ท่านพิจารณายังไง เอ้า ว่ามาซิให้รู้เรื่องรู้ราว
พระ..ก็แยกรูปกายหมดครับ ตั้งแต่หนังหัวไป ก็เห็นตัวเองตายแล้วเกิดๆ อยู่อย่างนั้น เป็นคนเดียวกัน หลังจากนั้นน้ำตาก็ไหลอยู่ประมาณสองชั่วโมงกว่า มันร้องไห้เพราะเจ็บใจอวิชชาหนึ่ง ร้องไห้เพราะสงสารหมู่สัตว์โลกที่ไม่รู้หนึ่ง
หลวงตา เรียกว่าเรารู้คนเดียวว่างั้นเถอะ เอ้าว่าไปเป็นเปลาะๆ
พระ..ทีนี้ก็ซาบซึ้งถึงพระคุณพระพุทธเจ้า
หลวงตา แล้วพิจารณาเพียงเท่านี้เห็นสัตว์เกิดแก่เจ็บตาย แล้วมีอะไรต่อไปอีกล่ะ
พระ...มันระลึกไม่ได้ครับ มันเห็นตรงนั้นผมก็ออกครับ ทีนี้พิจารณาธรรมอะไรมันก็น้ำตาไหลน้ำตาร่วงไปหมด
หลวงตา เอา พิจารณาอยู่ในนี้ละนะ วงอริยสัจนี่ เรื่องสิ้นแล้วหรือไม่สิ้นอย่าด่วนพูด เอาเหตุผลมาเสียก่อน เราจะคอยฟังตามเหตุตามผล อันนั้นบอกไม่บอกมันเชื่อเองถึงวาระจะเชื่อ
พระ...เดี๋ยวนี้มันรู้ก็คือรู้ รู้ว่าหมดไม่เหลืออะไรแล้ว
หลวงตา ไปซ้ำอีก ไม่เหลืออะไรก็เหลือผู้ที่รู้อยู่นั่น
พระ...รู้ว่าเชื้อหมด ไม่มีเชื้อ
หลวงตา เอาแค่นั้นก่อน ไปพิจารณาอยู่ในที่มันว่าหมดนั่นละ อะไรมันหมด ค้นเข้าไป เอากันตรงนั้นอีก ไป ปุ๊บปั๊บกินแล้วยังไม่ได้เคี้ยวเลย ไปเคี้ยวเสียก่อนซี พระพุทธเจ้าเคี้ยวมาแทบตาย สาวกทั้งหลายเคี้ยวมาแทบตาย เราปุ๊บปั๊บไม่ต้องเคี้ยว กลืนเลย เดี๋ยวก้างขวางคอตาย
ผู้กำกับ ผู้ปฏิบัติธรรมมี ๑๒๙ คน เป็นผู้หญิง ๑๒๔ คน ผู้ชาย ๕ คนครับ
หลวงตา ผู้หญิงที่อยู่ข้างในมาอยู่แบบโกโรโกโส แบบหลักๆ ลอยๆ เฉยๆ ไม่ได้นะ มาอยู่ให้ตั้งใจปฏิบัติธรรมจริงๆ พวกข้างในน่ะเลอะๆ เทอะๆ ให้พากันปฏิบัติตรวจตราดูตัวเองให้ดี อย่ามาอยู่แบบหลักๆ ลอยๆ เลอะๆ เทอะๆ ไปเฉยๆ แล้วหนักใจหมู่เพื่อนผู้ตั้งใจปฏิบัติธรรม นี่เตือนนะข้อนี้
โยมหญิง ภาวนาแล้วเวทนาทางกายเกิดมาก เวทนาทางใจก็เกิดด้วย เลยไม่รู้ตัวไหนเกิดก่อน พิจารณาไม่ถูกเจ้าค่ะ
หลวงตา เวทนาทางกายมันเกิดมันทุกข์มากใช่ไหม (มันหนาวสั่นและไม่มีแรง) คือมันจะตายมันหนาวสั่น เหล่านี้หลวงพ่อผ่านมาหมดแล้ว มาพูดเหล่านี้จึงกลายเป็นเรื่องขี้ประติ๋วไป เพียงเท่านั้นก็จะตายแล้วมันยังไง
โยมหญิง.จิตมันไม่เกาะพุทโธค่ะ
หลวงตา มันจะตายมันก็คว้าโน้นคว้านี้ไป มันลืมเรือไม่เกาะเรือ
โยมหญิง.หนูพิจารณาไม่ถูกว่าจะแยกธาตุขันธ์หรือจะทำอย่างไร เพราะเวทนาทางกายมีหลายตัวทั้งปวดหัว ทั้งหนาวสั่น
หลวงตา เรื่องทุกขเวทนาที่เกิดขึ้นทางร่างกาย มันเกิดหมดทั้งตัวนั่นแหละ แต่เราถือเอาจุดใดที่มันทุกข์ตรงไหนมาก ให้จ่อจุดนั้นลงไป เช่น ปวดกระดูกที่เข่า ให้ถามกระดูกลงไปว่ากระดูกนี้เป็นทุกข์ หรือทุกข์เป็นกระดูก ย้อนกันเข้าไป ถ้าว่ากระดูกเป็นทุกข์ เวลาคนตายแล้วทุกข์หายไปไหน เอาไปเผาไฟไม่เห็นมีอะไร ทุกข์หายไปหมด เดี๋ยวนี้เป็นอะไรถึงเป็นทุกข์ มันเป็นอยู่กับจิต มันถอยหน้าถอยหลัง เนื้อหนังเอ็นกระดูกว่าอันไหนเป็นทุกข์ มันย้อนหน้าย้อนหลัง นี้หมายถึงสติปัญญา
ตอนที่มันทุกข์มากอย่างนี้เราจะทนอยู่เฉยๆ ไม่ถูก เวลามันทุกข์มากเท่าไรสติปัญญายิ่งหมุนหนักเข้าๆ แยกธาตุแยกขันธ์ ดูทุกสัดทุกส่วนของมัน หนังเป็นทุกข์ หรือทุกข์เป็นหนัง เนื้อเป็นทุกข์ หรือทุกข์เป็นเนื้อ ทุกข์เป็นใจ หรือใจเป็นทุกข์ ไล่กันเข้าไป นี่เรียกว่าปัญญา ทีนี้เวลาไล่เข้าไปๆ สติต้องจ่อๆ เผลอไม่ได้นะสติ จริงจังทุกอย่าง ทีนี้พอมันเข้าใจๆ แล้วมันปล่อยๆ แล้วลงเต็มที่ผึงเลย ดับหมด นี่เราพูดถึงเรื่องการคุ้ยเขี่ย เวลาทุกข์มากเท่าไรสติปัญญาจะอยู่ไม่ได้เลย ต้องหมุนตัวเป็นเกลียวไปเลยให้ทันกับเหตุการณ์คือความทุกข์มาก พอมันเข้าใจแล้วมันจะปล่อยของมันเอง อย่างหนึ่งปล่อยเข้ามาๆ แน่ว อย่างหนึ่งปล่อยพรึบหมดเลย
เรามันเป็นหลายอย่าง แต่สำหรับเอกเทศนี่แล้วแต่จะพิจารณายังไง ขอให้มันทราบเรื่องทุกข์ สิ่งเหล่านี้ไม่เป็นทุกข์ ไม่มีทุกข์ เอาไปเผาไฟเขาก็เฉยๆ ทุกข์มาจากกระแสของจิต กระแสของจิตเกี่ยวกับประสาทส่วนต่างๆ ออกมานี่ ทีนี้พอจิตหดเข้าไปแล้วทุกข์ก็ดับ จิตออกแล้วเอาร่างกายไปเผาไฟก็ไม่มีอะไร ทุกข์นี้มันเกิดอยู่กับอะไร ไล่เข้าไปซิ มันก็เข้าไปหาจิตนี่ละ จิตเป็นตัวหลง โห เรื่องพิจารณานี่พิสดารมาก พิสดารจริงๆ เอาให้จริงจังนะ ใครใช้สติปัญญามาก นั่นละผู้จะรอบคอบในทุกขเวทนาทุกสัดทุกส่วนได้เป็นอย่างดี อันนี้เป็นวิธีการของแต่ละรายๆ เราจะไปบอกอย่างนั้นบอกอย่างนี้ทีเดียวไม่ได้ คือจับแต่ส่วนใหญ่ให้เขาไปคลี่คลายเอง จับหลักใหญ่ให้ไปคลี่คลายเองๆ มันแตกกระจายไปเลยนะ ให้เจ้าของไปคลี่คลายเอง ผู้พูดยกให้เป็นชิ้นเป็นอันเท่านี้แล้วเอาไปพินิจพิจารณาเอง พิจารณาจากเจ้าของเองแล้วมันแตกกระจัดกระจายไม่มีสิ้นสุดจนปลดทุกข์ได้ เวลามันทุกข์มากๆ ขอให้ใช้สติปัญญา ไล่อยู่ตรงที่มันทุกข์ตรงไหนๆ ไล่กันไปนั้นมันจะเป็นการแก้ทุกข์ รู้เท่าทุกข์ในตัวไปเอง
โยมชาย. เมื่อปีที่แล้วมีหลวงปู่มั่นมาชี้แนะ อนิจฺจา วต สงฺขารา แล้วก็มาพิจารณา อนิจฺจํ ทุกฺขํ อนตฺตา ผมก็ไม่รู้ธรรมะจะขึ้นมาแบบไหนเป็นยังไง ไม่เข้าใจ มีวันหนึ่งก่อนเข้าพรรษา วันนั้นผมไม่สบายมากเลยสวดมนต์แล้วนั่งภาวนา เนื่องจากไม่สบายมากนั่งไม่ได้เลยมานอน นอนก็เลยยก อนิจฺจํ ทุกฺขํ อนตฺตา ผมก็ไม่เข้าใจว่าจะพิจารณายังไง แล้วก็มีต่อท้ายว่า อนิจฺจํ ทุกฺขํ อนตฺตา อนิจฺจา วต สงฺขารา จิตมันจะหายไปครับหลวงตาไม่รู้ประมาณเท่าไร ผมรู้สึกขึ้นมาว่าถ้าวันนี้พิจารณาอันนี้ไม่ผ่านก็คือตาย ถ้าผ่านวันนี้ก็คือพระมาต่ออายุให้ ผมยิ่งงงใหญ่
หลวงตา เราฟังยังไม่เข้าใจ
โยมชาย. คือผมไปกราบอัฐิธาตุหลวงปู่มั่นที่สกลฯ หลวงปู่มั่นก็มาสอนให้พิจารณา อนิจฺจา วต สงฺขารา
หลวงตา พิจารณาแล้วจิตเป็นยังไง
โยมชาย. หลวงปู่บอกว่าถ้าพิจารณา อนิจฺจา วต สงฺขารา ไม่ผ่านจะลำบากมาก ให้ยกขึ้นมาพิจารณาตลอด เวลาผมไม่สบายผมก็เอามาพิจารณาก็จะลงทุกครั้ง แต่ปีนี้เมื่อวันที่ ๒๘-๒๙ ที่ผ่านมามีเวทนามากมันจะปวดในกระดูก เอาอนิจฺจํ ทุกฺขํ อนตฺตา อนิจฺจา วต สงฺขารา หรือมรณัสสติ มาพิจารณามันไม่ลงครับ สุดท้ายก็เลยใช้พุทโธ ไม่ทราบว่านานเท่าไรจิตมันดับลงไปแล้วก็สว่างโพลงขึ้นมาบอกว่า อยากให้ไปอยู่ป่าอยู่เขา ผมก็บอกว่าไปยังไงตอนนี้สังขารไม่ไหว ป่วย แล้วก็มีความรู้ผุดขึ้นมาว่า เอวํ ปสฺสํ ภิกฺขเว สุตวา อริยสาวโก ผมก็ไม่เข้าใจว่าแปลว่าอะไร ไปอยู่ในป่า ปฏิบัติอยู่ในป่า เข้าถ้ำเข้าเขา
หลวงตา เรายังไม่ค่อยได้ความนะเดี๋ยวนี้ พอจะจับออกมาพูดกันอะไรเลย ว่ายังไงผู้กำกับฟังนี้ว่ายังไง (ผมก็ไม่ได้ความเหมือนกันละครับ) งั้นเลิกเสียก่อน พูดจะเป็นประโยชน์แก่ผู้อื่นมากน้อยเพียงไรจะไปทางนั้น พูดนี้พิจารณาตลอดนะ พูดเฉลี่ยไปยังไงจะได้ประโยชน์มากน้อยเพียงไรจากคำพูดคนนี้ๆ เทียบกันอย่างนั้นนะ ถ้าควรปล่อยให้พูด พูดเพื่อเป็นประโยชน์แก่ส่วนรวมเท่านั้นๆ ถ้าไม่เกิดประโยชน์พักไว้ก่อน นี่ละเหตุผล ไม่ใช่ใครพูดมาก็ตอบไปเรื่อยสุ่มสี่สุ่มห้า ไม่เอาอย่างนั้น เราไม่เอา เดี๋ยวนี้ภาวนาอะไร เอ้าย่นเข้ามานี้
โยมชาย. พุทโธครับ
หลวงตา พุทโธแล้วเป็นยังไง (มันหายไปครับ) มันหายไปหรือเจ้าของนอนหลับ หรือมันหายไปแบบไหน (หายเงียบไปเลยครับ) มันเงียบเพราะหลับหรือเป็นยังไง (ไม่หลับครับ) ไม่หลับก็ถูกต้องแล้ว เวลามันขยายออกมาก็พุทโธเข้าไปอีก มันก็ปรากฏพุทโธขึ้นมา ถ้ามันสงบตัวเข้าไปแน่วแล้ว พุทโธเป็นธรรมชาติของตัวเอง ช่วยตัวเองได้แล้ว ตอนนั้นคำบริกรรมก็ไม่จำเป็น ปรุงก็ไม่มี นี่เคยมาหมดแล้ว เวลาไม่มีก็ให้อยู่กับความรู้ รู้อยู่นั้น พอมันคลี่คลายออกมาแล้ว กำหนดพุทโธได้ กำหนดพุทโธต่อ กับสติติดกันไปเลย นี่วิธีตั้งสติ
ที่เราได้พูดเรื่องสติให้บรรดาลูกหลานทั้งหลายฟังนี้เราทำมาแล้ว เป็นที่ยอมรับในตัวของเราเองประจักษ์ไม่สงสัยแล้ว จึงเอาสิ่งที่แน่ใจนี้มาสอน เราเริ่มทีแรก คือจิตเรามันเจริญแล้วเสื่อม ทีแรกจิตมันแน่นปึ๋งเหมือนภูเขาทั้งลูก เราไม่รู้จักวิธีรักษา เพราะทางไม่เคยเดิน สิ่งที่ไม่เคยรู้ รู้ขึ้นมาก็ไม่รู้จักวิธีรักษา เมื่อไม่รู้จักวิธีรักษาจิตมันก็เสื่อม พอเสื่อมแล้วก็พลิกใหม่เอาใหม่ ตั้งแต่นั้นมาเจริญแล้วเสื่อมๆ อยู่อย่างนั้นตลอด ปีหนึ่งกับ ๕ เดือน อกจะแตก จิตเสื่อมนี้แหมทุกข์มากนะ จิตมีความแน่นหนามั่นคง จิตสงบเย็นตลอดเวลา แล้วมาเสื่อมไปเสีย มีแต่ไฟเผาแทนกันเลยเทียว อยู่ที่ไหนหาความสะดวกสบายไม่ได้ จึงได้ทบทวนพิจารณาดูตัวเอง
คือเวลาเรากำหนดเอาแต่ความรู้เฉยๆ ทีนี้สติมันอาจเผลอไปไม่รู้ตัว ขยับเข้าไป ๑๔-๑๕ วันขึ้นไปได้ พอไปอยู่นั้นได้เพียงสองคืนเสื่อม เสื่อมเหมือนกลิ้งครกลงจากภูเขา ผึงเลย ใครห้ามไม่อยู่ทั้งนั้น ลงผึงเลย เหลือแต่อีตาบัวไม่มีค่าเลย เอ้า ไสขึ้นไปอีก กว่าจะไปถึงนั้น ๑๔-๑๕ วัน ไปอยู่ได้คืนหรือสองคืนลง เป็นอย่างนี้ปีกับ ๕ เดือน เอ๊ เป็นยังไง ความทุกข์ก็ทุกข์มาตลอด ปีกับ ๕ เดือน เป็นเพราะเหตุไรนา จิตของเราเจริญแล้วเวลามันเสื่อมนี้ถึงเอาไว้ไม่อยู่ เรามาพิจารณาดูก็มาสะดุดเอาที่สติ เราอาจจะขาดคำบริกรรม คือตอนนั้นเรากำหนดแต่จิตเฉยๆ ไม่มีคำบริกรรมกำกับ จิตของเราอาจเผลอ สติของเราอาจเผลอไปได้ตอนนั้น กิเลสเข้าแทรกได้จิตจึงเสื่อมได้ แต่นี้ต่อไปเราจะเอาพุทโธ นี่ตั้งใหม่นะ
กำหนดรวมมาหมดเรียบร้อยแล้วก็เอ้า ทีนี้ให้อยู่กับพุทโธ เอาคำบริกรรม พุทโธ นิสัยเราชอบพุทโธ คำบริกรรมนี้แล้วแต่นิสัยของใครชอบอันไหน เอาได้ทั้งนั้น เราชอบพุทโธ เลยเอาพุทโธติดเป็นคำบริกรรม ไม่ยอมให้จิตคิดออกไปไหนเลย จะให้อยู่กับคำบริกรรมคำเดียว มีสติบังคับเอาไว้ เช่นช่องนี้กิเลสคือสังขารมันปรุงออกมาจากอวิชชา มันดันออกมาให้อยากคิดอยากปรุงอยากรู้อยากเห็น อยากตลอดเวลาพลุ่งๆ อยู่ตลอด ทีนี้เวลาเอาคำบริกรรมเข้าไปปั๊บ ปิดช่องมันเลย แต่เราเอาจริงเอาจังนะไม่ได้ทำเล่น พอลงใจแน่แล้ว เอาละที่นี่เราจะเอาวิธีนี้ เป็นตายก็วิธีนี้ให้เห็นเหตุเห็นผลกัน เรื่องเสื่อมก็ตาม เจริญก็ตามเราจะปล่อยหมด มันจะเสื่อมก็ให้เสื่อมไป เจริญก็เจริญไป เพราะเรายุ่งกับมันนี้เป็นทุกข์แสนสาหัส ทีนี้เราจะไม่ยุ่ง แต่เราจะอยู่กับพุทโธคำบริกรรมคำเดียวไม่ให้เผลอ ตัดสินตัวเอง แน่ใจแล้วเหรอ แน่ เอา ถ้าแน่ใจแล้วตั้งแต่บัดนี้ต่อไป เหมือนกับนักมวยจะต่อยกัน พอระฆังดังเป๋งก็ซัดกันเลย
อันนี้พอลงใจว่า เอาละนะ คำบริกรรมกับสติติดแนบอยู่กับใจนี้เท่านั้นละ เป๋งละที่นี่ ไม่ให้เผลอเลย ตั้งแต่ตื่นนอนไม่ให้เผลอแม้ขณะเดียวไม่มี เอ้า อกมันจะแตกให้แตกให้เห็น สติจะเผลอไปไม่ได้กับคำบริกรรมนี้ ซัดกันเลย นี่เห็นชัดเจน พี่น้องทั้งหลายฟังเอานะ ในวันนั้นเหมือนอกจะแตก เราจึงได้รู้ว่าสังขารตัวนี้มันปรุงออกไป ทำให้จิตเราเสื่อม มันคิดออกไปไปกว้านเอากิเลสมาเผาเราๆ จิตเราจึงเสื่อมได้ ทีนี้เมื่อไม่ให้มันคิด ให้คิดแต่กับคำว่าพุทโธ พุทโธเป็นทางเดินของธรรม เป็นงานของธรรม สั่งสมธรรมขึ้นมาก็เป็นน้ำดับไฟละซิ
พุทโธๆ ติดไม่ยอมให้เผลอเลย ตั้งแต่ตื่นนอนจนค่ำ ขณะไหนไม่ให้มีเลย ฟังซิ นี่ละทุกข์มากที่สุด ทีนี้ความคิดนี้มันก็ดันขึ้นๆ วันแรกเหมือนอกจะแตก มันดันมันจะคิดจะปรุง ไม่ให้คิด เป็นยังไงก็ไม่ยอมให้คิด จะมีแต่พุทโธๆ ติดตลอดเวลา วันนั้นทั้งวันเหมือนอกจะแตก จึงได้เห็นโทษของความคิดปรุงนี้มันดันถึงขนาดอกจะแตก มันออกไม่ได้เพราะพุทโธปิดมันไว้ พอวันแรกผ่านไป วันที่สองต่อไปอีกแบบไม่ให้เผลอเหมือนกัน ติดตลอดตั้งแต่ตื่นนอนปั๊บจนกระทั่งถึงหลับ ไม่ให้มีเวลาไหนเผลอเลย เพราะอยู่คนเดียว พ่อแม่ครูจารย์มั่นไปเผาศพหลวงปู่เสาร์ ท่านสั่งไว้ว่า ให้ท่านมหาอยู่องค์เดียวนะ เผาศพแล้วจะกลับมาหา ท่านว่าอย่างนั้น
เราก็พอดีได้จังหวะอยู่คนเดียว อยู่บ้านนาสีนวล ไม่ใช่วัดดอยธรรมเจดีย์นะ วัดบ้านเขา วัดร้าง เราอยู่ที่นั่น เอาอยู่นั่นเลยหลายวัน แต่ไม่ให้เผลอทั้งนั้น ที่มันหนักมากอกจะแตกลำดับหนึ่ง แล้วลดลงมาๆ ค่อยเบาลงๆ ความคิดปรุงของสังขารที่ดันขึ้นๆ จนอกจะแตกนี้เบาลงๆ จิตนี้ก็ค่อยสงบเข้าไป เย็นเข้าไปๆ พุทโธถี่ยิบไม่ให้เผลอ สติติดแนบเลย จากนั้นมาจิตของเราก็ค่อยละเอียดๆ นี่ละที่นี่เข้ามาถึงจุดนี้แล้วนะ พอมันไปเต็มที่แล้ว มันออกไม่ได้แล้วสังขารความคิด เพราะสติกับคำบริกรรมปิดแน่นเลยไม่ให้ออก ทีนี้ก็สร้างความร่มเย็น สร้างความสงบเข้ามาภายในใจ เย็นขึ้นๆ สังขารความคิดปรุงเบาไปๆ ทางนี้ค่อยเย็นขึ้นๆ คำบริกรรมไม่หยุด
พอถึงขั้นมันละเอียด พุทโธๆ ไปถึงจุดนี้แล้วพุทโธหายเงียบเลย เหลือแต่ความรู้ที่ละเอียดสุดอยู่ในนั้น แล้วเกิดความงง งงก็ไม่ให้เผลอ นั่นน่ะฟังซิ เอ๊ะ ทำไมคำบริกรรมเราบริกรรมมาตลอด แล้วทำไมถึงบริกรรมไม่ได้ มันหายไปไหน ตั้งขึ้นมาก็ไม่ได้ เงียบเลย แต่ความรู้เด่นอยู่นะ ละเอียด เอ้า ถ้าบริกรรมไม่ได้ ให้อยู่กับความรู้อันนี้ด้วยสติอีกเหมือนกัน เผลอไม่ได้อีก ต่อกันไปเลย ทีนี้พอมันได้จังหวะแล้วมันก็ค่อยคลี่คลายออกมา พอคลี่คลายออกมา บริกรรมได้ พุทโธได้ ก็พุทโธๆ ติดเข้าไปอีก ทีแรกเวลาจิตละเอียดจริงๆ แล้วบริกรรมไม่ได้นะ หมด ให้อยู่กับความรู้อันนั้น พอจากนั้นมาคลี่คลายออกมาแล้ว บริกรรมเข้าไปอีก พอเข้าไปได้จังหวะมันละเอียดเข้าไปเต็มที่แล้วมันก็หยุดอีก เราก็รู้วิธีต่อไป
ต่อไปจิตของเรานี้มันก็ค่อยเย็นขึ้นๆ เย็นขึ้นจนกระทั่งถึงที่ว่ามันเจริญแล้วเสื่อม ได้คืนสองคืนเสื่อม เอ้า เจริญก็เจริญ เสื่อมก็เสื่อม คราวนี้จะเอาให้เห็นพริกเห็นขิงกันคราวนี้ พุทโธนี้จะไม่ปล่อย เจริญก็เจริญ มันจะเสื่อมพาลงนรกเราก็จะลงด้วยพุทโธของเรานี่ละ ลงเลย ถึงนั่นแล้วแทนที่จะเสื่อมไม่เสื่อมนะที่นี่ อยู่นั่นละ เอา เสื่อมก็เสื่อม ปล่อยเลยไม่เป็นอารมณ์ พุทโธกับสติติดแนบๆ แล้วก็ค่อยแน่นหนามั่นคงขึ้นๆ เรื่อยๆ ทีนี้ไม่เสื่อม นั่นเห็นไหม จับได้แล้วที่นี่ มันเคยไปอยู่ได้สองคืนเสื่อมลง ทีนี้ไม่เสื่อม ไม่เสื่อมก็ติดกันเรื่อยๆ แล้วละเอียดเข้าๆ จนกระทั่งฟาดนั่งหามรุ่งหามค่ำละที่นี่
นี่ละเราสรุปความให้ท่านทั้งหลายฟังว่า เรื่องความคิดความปรุงนี้ เวลามันดันออกมามากๆ นี้เหมือนอกจะแตกนะ คือมันอยากคิดอยากปรุง นี่เรื่องของกิเลสออกทำงานเอาไฟมาเผาเรา เวลาเอาพุทโธบีบบังคับเอาไว้ไม่ให้มันออก มันจึงอกจะแตก อกจะแตกก็ตามพุทโธไม่ถอย ต่อไปพุทโธก็สร้างธรรมขึ้นมาภายในใจ ใจก็สงบเย็นขึ้นไปๆ ความคิดความปรุงที่หนาแน่นแต่ก่อนเบาลงๆ สุดท้ายเบาไปเลย มีแต่ความสว่างไสวในจิตใจขึ้นเรื่อยๆ จำเอานะ
นี่ละสติจึงเป็นของสำคัญ นี่เราตั้งรากตั้งฐานได้ด้วยสติ นี่เป็นคำแน่นอนไม่ผิด เราดำเนินมาแล้วจึงได้มาสอนพี่น้องทั้งหลาย การสอนทุกอย่างเราจึงไม่เคยสนใจว่าผิดไปพลาดไป ไม่มี เพราะเราได้พิจารณาทุกอย่าง ทั้งเหตุทั้งผลเราดำเนินมาเรียบร้อยแล้วทุกอย่าง ออกด้วยความบริสุทธิ์สุดส่วนทุกอย่างๆ ไม่มีผิดมีพลาดเลย พากันจำเอานะ นี่ละการฝึกตัวเองต้องมีหนักบ้าง ถึงขนาดอกจะแตกก็มี เราเป็นแล้ว แต่ไม่ยอม สมมุติว่านักมวยเขาต่อยกันพลิกคว่ำพลิกหงาย ความเผลอจะไม่ให้เผลอ ว่างั้นเถอะ เอา พลิกไปไหนก็พลิกไม่เผลอ สุดท้ายก็ได้ ทำให้จริงจังอย่าเหลาะแหละนะ ความเหลาะแหละไม่เป็นท่าแหละ นี่ไม่เหลาะแหละนะ ถ้าลงว่าอะไร คิดดูซิว่า เอาละที่นี่ คำบริกรรมคือพุทโธกับสตินี้จะติดแนบตั้งแต่บัดนี้ต่อไป ลงใจแล้วนะ คำว่าลงใจแล้วนะเหมือนระฆังดังเป๋ง จะซัดกันแล้วนะ ซัดคือว่าไม่เผลอเลย ว่างั้นพูดง่ายๆ มันก็เป็นอย่างนั้น เลยได้เรื่อยมาจนกระทั่งทุกวันนี้จากสติ สตินี้เผลอไม่ได้ สตินี้จำเป็นตลอดเลย ตั้งแต่พื้นจนกระทั่งถึง สติปัญญาอัตโนมัติ ถึงขั้นมหาสติมหาปัญญา ทะลุไปเลย เผลอไม่ได้ สตินี้จำเป็นตลอดนะ เอาแค่นั้นละ เทศน์เหล่านี้จำเอาไป อย่ามาถามสุ่มสี่สุ่มห้าตลอดเวลา เราจะตายแล้วนะ สอนแล้วเอาไปปฏิบัติ ต่อไปนี้จะให้พร
รับฟังรับชมพระธรรมเทศนาของหลวงตา ได้ที่
www.Luangta.com หรือ www.Luangta.or.th
และรับฟังจากสถานีวิทยุสวนแสงธรรม กรุงเทพฯ และสถานีวิทยุอุดร
FM 103.25 MHz |