เทศน์อบรมฆราวาส ณ วัดป่าบ้านตาด
เมื่อวันที่ ๑๗ มกราคม พุทธศักราช ๒๕๔๘
เรื่องทั้งหลายไปจากจิต
ระยะนี้ดูว่านายกไม่ได้อยู่ ออกทางภาคอีสานมั้ง ดูว่าไปทางร้อยเอ็ดว่างั้น เราสงสาร นายกเราเป็นคนดี พื้นเพเป็นคนดี แต่มันมีอะไร จะเป็นบาปเป็นบุญเป็นกรรมอะไรก็ไม่ทราบนะ มันมีอยู่ลึกๆ ลับๆ กับนายกเรา เราพูดจริงๆ อย่างนี้ละ พิจารณานี่พุ่งเลยพูดไม่ออก เพราะฉะนั้นจึงมีทั้งขู่ทั้งปลอบกับนายกนะเรา มีทั้งขู่มีทั้งปลอบ เป็นคนดี งานการตั้งแต่มีนายกมานี้กี่ยุคกี่สมัย มีใครหาเงินเข้าหัวใจของชาติได้เหมือนนายกเรา นอกจากมาโกยเอาหัวใจของชาติออกไปกินกันไปกลืนกันเท่านั้นเอง อย่างหนึ่งก็ธรรมดาๆ เงียบๆ ไม่มากนัก กินไม่มากนักๆ
ก็มาผาดโผนตอนนี้ละ ตอนนายกจะขึ้นนี้เอง มันผาดโผน กินผาดโผน พอนายกนี้ขึ้นแล้วก็รู้สึกว่าทุกสิ่งทุกอย่างไหลเข้ามาๆ สู่หัวใจของชาติเรา เงินเข้าสู่คลังหลวงของพวกเราเยอะ เท่าที่ฟังมาๆ ก็รู้สึกว่านายกคนนี้เด่น อย่างที่เราอ่านวันนั้น ๑๓ รายการใช่ไหม(ครับผม) อย่างนี้ไม่มีใครทำได้ นายกเราคนนี้ทำได้ เราบอกตรงๆ อย่างนี้เองว่าทำได้ พวกยาเสพย์ติดนี้ โถ มันจะเอาให้คนไทยทั้งประเทศนี้เป็นหมาขี้เรื้อนไปหมด ไม่มีค่ามีราคาอะไรเลย ยาเสพย์ติดไม่มีใครจะปราบได้ นายกปราบได้ นี่น่าชมไหม ที่เรื่องสำคัญมากที่สุดคือคนไทยเราทั้งประเทศจะเป็นหมาขี้เรื้อนไปทั้งหมด ไม่มีค่ามีราคาเลย ลงยาเสพย์ติดเข้าตรงไหนแล้วหมด นี่ก็นายกเราปราบได้ขนาดนี้ หาไม่ได้แล้ว นี่เราก็ชม
ดูเหมือนที่เราออกประกาศแล้ว ให้ลูกศิษย์เขียนรายการมา ออกประกาศมาดูเหมือน ๑๓ ข้อหรือไง (ครับผม) ที่ชมเชยนายกเรา ซึ่งไม่มีใครทำได้อย่างนี้ มีแต่เรื่องสำคัญๆ นะที่เอาออกมาประกาศให้ประชาชนทั้งหลายได้ทราบ ส่วนที่ปลีกย่อยไม่ได้เอามาประกาศ เอาแต่ที่สำคัญๆ มาประกาศ ๑๓ ข้อ เรื่องคุณสมบัติของนายกที่เด่นในความเป็นนายกคราวนี้
ผู้กำกับ มีปัญหาของสันติ อินโดนีเซีย ครับ เขาว่า กราบเรียนหลวงตา การภาวนาของสันติมีดังต่อไปนี้
๑.ระหว่างวันที่ ๓-๑๒ มกราคม ๔๘ หนูรู้สึกว่าภาวนาดีเจ้าค่ะ แต่ยากที่จะอธิบายเป็นคำพูดได้ แต่พอจะสรุปได้ว่า อาการของจิตที่แสดงออกมีสองแบบ แบบที่หนึ่ง คือ ในขณะเริ่มภาวนานั้นรู้สึกตัวอยู่ว่านั่งภาวนา แต่หลังจากนั้นไปแล้วไม่รู้สึกอะไรเลยถ้าไม่มีอาการกระตุกของร่างกาย แบบที่สอง คือ เมื่อเริ่มนั่งภาวนาไปได้ประมาณ ๑๐ นาทีจะเริ่มมีอาการ เหมือนมีพลังเคลื่อนที่จากใต้ฝ่าเท้ามาหยุดอยู่นานที่บริเวณกลางหน้าผาก หลัง ศีรษะและคอ พร้อมกันนั้นก็มีอาการหูอื้อมาก แต่ก็ยังได้ยินเสียงจากภายนอกชัดเจน ทุกๆ ครั้งที่เกิดอาการแบบนี้ จะเกิดขึ้นจากใต้ฝ่าเท้าทั้งสองข้าง แต่ในระยะนี้เกิดจากใต้ฝ่าเท้าข้างขวาเพียงข้างเดียวเจ้าค่ะ
๒.ในวันที่ ๑๓ มกราคม ๔๘ ตอนกลางคืนเวลาประมาณ ๒ ทุ่ม หลังจากที่เดินจงกรมเสร็จแล้วกลับเข้าไปในแคร่ และได้นำเอกสารออกมากรอกข้อความ ขณะกำลังเขียนหนังสืออยู่นั้นมีอาการของจิตซึ่งอธิบายเป็นภาษาพูดออกมาไม่ได้เกิดขึ้น แต่มันมีผลทำให้หนูตกใจจนร่างกายหมดแรง เหนื่อยเหมือนจะขาดใจ พักผ่อนเป็นชั่วโมงๆ ก็ไม่หาย หนูไม่เข้าใจเลยเจ้าค่ะ และมันแสดงอาการอย่างนี้บ่อยๆ ครั้ง ไม่ว่าจะกำลังทำกับข้าว กำลังกวาดตาดหรือทำอะไรอยู่ก็ตาม จะเกิดอาการแบบนี้ได้ทุกเวลาและไม่เลือกสถานที่ด้วยเจ้าค่ะ หนูไม่มีเจตนาจะให้มันเกิด แต่มันเป็นของมันเอง หนูควรจะทำอย่างไรต่อไปเจ้าคะ
๓.ในระหว่างวันที่ ๑๔ มกราคม ๔๘ หนูนั่งภาวนาตั้งแต่ ๐๑.๓๕ น.จนถึง ๐๔.๐๐ น. อาการของจิตในวันนี้ เมื่อเริ่มนั่งภาวนาไปได้ระยะหนึ่ง ความรู้สึกของร่างกายก็หายไป แต่ความรู้สึกในจิตเกิดขึ้นจากฝ่าเท้าถึงหัวเข่าและหายไปอย่างรวดเร็ว ประมาณ ๕ นาทีก็เกิดขึ้นซ้ำอีก เป็นแบบนี้อยู่ประมาณ ๗ ครั้งแล้วก็เงียบ เงียบเหมือนคนตายแต่ไม่ตาย รู้สึกรู้แต่เหมือนไม่รู้ รู้สึกเข้าใจแต่เหมือนไม่เข้าใจ รู้สึกอยู่แต่เหมือนไม่อยู่ รู้สึกมีแต่เหมือนไม่มี ไม่เห็นมีอนิจจัง ไม่เห็นมีทุกข์ ไม่เห็นมีอนัตตา ไม่เห็นมีอัตตา มีแต่เงียบอย่างเดียว หนูรู้สึกเหมือนในบ้านไม่มีคนอยู่ ไม่มีเจ้าของ ไม่มีใครเลยเจ้าค่ะ
สันติ เดี๋ยวนี้ผู้รู้ไม่อยากรู้อะไรอีกเจ้าค่ะ มันปล่อยของมันเอง
หลวงตา หลักมันอยู่ที่จิต ที่อาการเป็นอย่างนั้นอย่างนี้เกี่ยวกับเรื่องร่างกายนั้น มันเป็นกระแสของจิตออกไปสู่ร่างกายต่างๆ อย่าไปถือเป็นประมาณนักนะ สำคัญที่ดูความเคลื่อนไหวของจิต ตะกี้นี้ว่าไม่อยากดูอะไรไม่อยากรู้อะไรใช่ไหม นี่ละจิตเรียกว่ามันจะหมดเรื่องเข้ามา มันจะหดเข้ามา เรื่องทั้งหลายไปจากจิตทั้งหมด ระโยงระยางครอบโลกธาตุจากจิตดวงเดียว จะไม่มีใครทราบได้เลยนอกจากธรรมะพระพุทธเจ้าและพระพุทธเจ้าเท่านั้นที่รู้เรื่องของโลกครอบทั้งสามโลกธาตุ พระพุทธเจ้าเป็นพระองค์แรก พออันนี้แตกกระจายออกมันจะตามรู้หมดเลยเทียว หดเข้ามาๆ พอรู้เรื่องหมด หดเข้ามาแล้วก็อย่างที่ว่านี่ ไม่อยากอะไรละ คือเรื่องมันหมดแล้วมันหดเข้ามาๆ ตัวเรื่องอยู่กับจิต จิตรู้รอบหมดแล้วมันก็ปล่อยไปหมดโดยประการทั้งปวง ทีนี้ก็ว่างไปเลย เป็นอย่างนั้น
ตัวมหาเหตุเราก็เคยพูดแล้ว อยู่ที่นี่ทั้งหมด เวลาเราไม่รู้มันนี้ โหย วิ่งตามเงานี้ โถ ขาหักแขนหักไม่รู้ตัว วิ่งตลอด คือมันดึงไปหลอกไปให้เพลินไปเรื่อยๆ กระแสของจิตมันเหมือนกับเถาวัลย์กอเดียวนี้ ออกจากกอนี้ระโยงระยางไปครอบไปหมดเลย เถาวัลย์มันออกจากกอเดียวนี้ต่อสายยาวเหยียดครอบไปหมดเลย นี่ก็ต่อออกมาจากจิตดวงเดียวนี้ออกไป ทีนี้เวลานี้ประมวลเข้ามามันก็รู้เข้ามาๆ หดเข้ามาๆ มาลงจุดที่ว่ากอนี้ ถอนกอนี้พรวดออกแล้วหมด เรื่องทั้งหมดไม่มีอะไรเหลือ เถาวัลย์มันจะยืดยาวไปขนาดไหนก็ตาม กอขาดเท่านั้นหมดเลยไม่มีอะไรเหลือ มาลงอยู่ที่จิต ยุติกันที่จิต ระงับดับกันที่จิตนี้เลย นี่พอฟังอยู่ เข้าท่าอยู่ ตามนิสัยของคนที่จะเป็น เรื่องของจิตไม่ใช่เรื่องเล็กน้อยนะ แต่ละคนๆ มีจริตนิสัยต่างกันไปโดยลำดับลำดา แล้วแต่เรื่องของใครจะออกแง่ไหนๆ มันก็เป็นอย่างนี้ละ แต่เป็นอาการของจิตทั้งนั้นไม่ใช่อะไร
ผู้กำกับ เรื่องอาการหมดแรงก็เป็นอาการของจิตเหมือนกันหรือครับ
หลวงตา หมดแรงก็เป็นอาการของมัน อาการของจิตที่ออกไปหาส่วนร่างกาย ให้มีแรงหมดแรง มันก็ออกไปจากนี้ไปสู่อวัยวะที่มันเกี่ยวโยงกันที่ไหน มันก็รับผิดชอบในหลักธรรมชาติของมัน มันก็ทราบกันไปหมด หมดแรงมีแรง เข้าใจไหม ออกไปจากจิตนี้ละ ช่างมันซิ อาการของมันต่างหาก ไปสนใจอะไรกับมันนัก
สันติ หมดแรงนี่มันทำอะไรไม่ได้เลยเจ้าค่ะ
หลวงตา ทำไม่ได้ก็ไม่ต้องทำ จิตไม่หมดแรง จิตรู้ว่ามันหมดแรง มันรู้อยู่จิต อะไรหมดก็ให้หมด ตัวจิตไม่หมด อันนั้นหมดอันนี้หมดมันก็รู้หมดอยู่ตลอด เข้าใจไหม ตัวนี้ไม่หมดแรง ก็ยังบอกเข้ามาหลักใหญ่ๆ
สันติ บางทีเป็นต่อหน้าคนมากๆ หมดแรง
หลวงตา ก็ช่างหัวมันซี ตั้งแต่เขาเมาเหล้าต่อหน้าคนมากๆ เขายังไม่เห็นอาย เราเป็นทางธรรมของเรา แต่ไม่เรียกว่าเมาธรรม ถ้ายังปฏิบัติอยู่นี้ก็ยังเรียกว่าเมาธรรมอยู่ คือยังไม่รู้ตรงไหนก็ยังเมาอยู่อย่างนั้น ถ้ารู้เสียแล้วมันก็ปล่อยๆ คือเมาในธรรมท่านไม่เรียกว่าเมาเฉยๆ มันหากเมาตามอาการของธรรม ถ้าเทียบกับทางโลก ก็คือเมาทางโลกกับเมาทางธรรม แต่ทางธรรมไม่ได้เรียกว่าเมา เพราะเข้ากันไม่ได้กับธรรม อันเลิศนั่น กระแสออกมานี้จะไปว่าอย่างนั้นอย่างนี้ไม่ถูก ไม่น่าว่าแหละ ไม่กล้าว่าแหละใคร
มันหมดที่จิตนั่นแหละ ทุกอย่างจะไปลงที่นั่นหมดเลย มันจะประมวลมาหมด รู้ตรงไหน ควรรู้ตรงไหนมันจะรู้ ควรปล่อยตรงไหนมันจะปล่อยของมันเอง เรื่อยเข้ามาๆ เข้ามาจนถึงต้นตอมันแล้ว ปล่อยต้นตอนี้อีก คำว่าจิตยังมีอีกอันหนึ่ง ปล่อยตรงจิต เราเคยพูดแล้วว่ามันว่างไปหมดโลกธาตุ ดูจิตนี้มันว่างไปหมด จนกระทั่งอัศจรรย์เจ้าของ ยืนรำพึงอยู่เราลืมเมื่อไร โอ้โห จิตของเราทำไมมันถึงอัศจรรย์เอานักหนา อัศจรรย์เจ้าของ ดูมันสว่าง มันจ้าไปหมดครอบโลกธาตุเลย ร่างกายนี้มันก็ว่างไปแบบเดียวกัน ร่างกายของเรานี้มันก็เป็นแบบเดียวกัน เพราะเป็นสมมุติเป็นวัตถุด้วยกัน อะไรว่างอันนี้ก็ว่างได้ แน่ะ จนกระทั่งมันอัศจรรย์ ไม่รู้ตัวนะนั่น มันสว่างไสวมันจ้าไปหมดเลย โอ้โห จิตของเราทำไมถึงอัศจรรย์เอานักหนา สว่างไสวพิลึกพิลั่น ว่าสว่างก็ครอบไปหมดเลย แม้ร่างกายนี้ก็ไปด้วยกันหมด เหมือนไม่มีร่างกายเลย ต้นไม้ภูเขามองไปเพียงเป็นเหมือนว่าเงาๆ เท่านั้นเอง ส่วนใหญ่มันว่างไปหมดเลย มันครอบไปหมดๆ
เราก็เพลิน เราก็อัศจรรย์ตัวของเรา นี่เห็นไหมธรรมที่เหนือกว่ามีอีกนะ พอเรารำพึงอย่างนั้นยุติลง ว่าจิตใจของเราทำไมถึงอัศจรรย์เอานักหนาขนาดนี้นา สักเดี๋ยวธรรมะท่านที่สูงกว่านี้ขึ้นมาเตือนแล้วนะ นั่นเห็นไหมล่ะ ขึ้นมาเตือนเรา ถ้ามีจุดมีต่อมแห่งผู้รู้อยู่ที่ไหน นั้นแลคือตัวภพ นั่นธรรมะเตือนแล้ว ยังจับไม่ได้นะ เลยงงไปอีก เอ๊ มันตัวภพอะไรอีกน้า เวลาผ่านไปแล้วมันถึงได้รู้เรื่อง โอ้โห ท่านเตือน ความสว่างไสวนี้เป็นอาการของจิต มันสว่างภายนอก ถ้าว่าปล่อยก็ปล่อยภายนอก สว่างภายนอก ภายในตัวเองยังติดตัวเองยังไม่รู้ นั่น ท่านจึงบอกว่า ถ้ามีจุดมีต่อมแห่งผู้รู้อยู่ที่ไหน นี่ละผู้รู้นี่ละตัวเหตุ นั้นแลคือตัวภพอยู่ตรงนี้นะ ก็ยังไม่รู้ แต่เวลาพิจารณาผ่าน อันนี้พังลงหมดทุกอย่างแล้วถึงได้รู้ว่า ว่างทั้งภายนอก ว่างทั้งภายใน ปล่อยทั้งภายนอก ปล่อยทั้งภายใน หมดโดยสิ้นเชิง ถึงได้มารู้เรื่อง อ๋อ นี่ธรรมะท่านเตือน
คำว่าจุดหรือต่อม คือหมายถึงผู้รู้นั่นละมันยังมีอยู่นั่น นั้นแลคือตัวภพ ท่านบอกตัวนี้ละตัวภพตัวชาติ ตัวนี้เอง บอกชัดเจนนะแต่เราไม่รู้ เวลามันพังกันลงไปเรียบร้อยแล้วถึงได้รู้ว่า ต่อมนี้จุดนี้ไม่มีเลย หมดโดยสิ้นเชิง นี่เรียกว่าหมดแล้ว หมดภพหมดชาติ ถ้ามีจุดมีต่อมแห่งผู้รู้อยู่ที่ไหน นั้นแลคือตัวภพอยู่ที่นั่น ตัวภพตัวชาติตัวกิเลสตัณหาอยู่ที่นั่น ความหมายว่างั้น พอตัวนี้พังลงไปเท่านั้นหมดโดยสิ้นเชิง ถึงได้มารู้ทีหลัง อ๋อ ที่ว่าต่อมแห่งผู้รู้ คือตัวนี้เอง นั่น นี่ละธรรมที่สูงกว่าเหนือกว่าเตือนเอาตรงนี้
เราจึงระลึกถึงพ่อแม่ครูจารย์มั่น พอเรื่องนี้ผ่านไปถึงมาระลึกทีหลัง คือถ้าหาก ว่าท่านยังมีชีวิตอยู่นี้ เมื่อมันเป็นอย่างนั้นแล้วไปกราบเรียนท่าน ท่านจะใส่เปรี้ยงทันที ดีไม่ดีผึงในเวลานั้น ผ่านในเวลานั้นเลย แต่ตอนนั้นมันยังไม่ได้ไม่มีผู้เตือน ถ้าสมมุติว่ามีผู้เตือน ถ้ามีจุดมีต่อมแห่งผู้รู้อยู่ที่ไหน นั้นแลคือตัวภพ ก็จุดนั้นแหละ ท่านจะชี้ลงไปทันที จุดที่มันจ้าๆ อยู่นั้น นั่นละตัวภพ นั่นละตัวชาติ นั้นละตัวมหาภัย เพียงเท่านั้นมันจะผางเลยทันที ขาดสะบั้นลงไปในขณะนั้นที่ท่านยังมีชีวิตอยู่นะ แต่นี้ท่านล่วงไปแล้วเรามาเป็นทีหลัง เวลาเป็นแล้วมันถึงวิ่งหาท่าน โอ๊ยเสียดาย ถ้าท่านยังมีชีวิตอยู่นี้จะไปได้แล้วตั้งแต่โน้นแหละ ไปได้ขณะนั้นทันทีเลย พอเล่าให้ท่านฟังนี้ท่านก็จะใส่เปรี้ยง ตรงนั้นแหละทันทีเลย นั่นท่านผู้รู้ท่านเหนือท่านรู้อย่างนั้นนี่นะ เรามีแต่งมเงาอยู่
จากนั้นแล้วไม่มีเลย ที่ว่าจุดว่าต่อมแห่งผู้รู้อยู่ที่ไหน จุดนั้นหมด ต่อมหมด นั่นละคือจุดภพจุดชาติ อยู่ที่จุดผู้รู้นั่นแหละ พออันนี้หมดไปแล้ว ผู้รู้อันนี้เป็นผู้รู้วัฏจักร ขาดลงไปแล้ว ผู้รู้ธรรมชาติเป็นวิวัฏฏจักร เป็นความบริสุทธิ์ล้วนๆ มีอยู่แล้วแต่เมื่อไร ถูกอันนี้ปกคลุมไว้เฉยๆ นี่ละเรื่องการภาวนาเป็นอย่างนี้นะ มันเป็นเสียจนเจ้าของอัศจรรย์เจ้าของ ธรรมะท่านกลัวจะหลงละซีท่านจึงเตือน ถ้ามีจุดมีต่อมแห่งผู้รู้อยู่ที่ไหน นั้นแลคือตัวภพ นั่นท่านเตือนแล้วตรงนั้น เรายังจับไม่ได้เลย เวลาผ่านไปเรียบร้อยแล้ว อันนี้พังลงไปแล้วถึงได้รู้ทีหลัง อ๋อ ตัวนี้เอง แน่ะ อย่างนั้นแล้ว
เราอยากให้ชาวพุทธของเราทั้งหลายสนใจทางจิตตภาวนาให้มากนะ ท่านทั้งหลายจะเด่นในหัวใจของตัวเองนะ พุทธศาสนาเด่นที่ตรงไหน เราไปดูในคัมภงคัมภีร์ ดูที่นั่น ดูวัดวาอาวาส ดูสิ่งก่อสร้างต่างๆ มีแต่วัตถุๆ เหมือนกันกับสิ่งเหล่านี้ไม่เห็นแปลกกันอะไร เวลามันจ้าขึ้นที่หัวใจมันไม่ได้เหมือนอย่างนี้นะ จึงได้บอกชัดๆ เวลามันต่างกันมันต่าง เช่นอย่างที่เราขัดเราถู ขัดถูจนขึ้นเป็นเงา มันใสมันสะอาดเต็มเหนี่ยวของมัน จนเป็นเงาเลย นี่เรื่องของกิเลสมันบอกว่าสุดยอดแล้ว เป็นความสะอาดสะอ้านสุดยอดแล้วของกิเลส เรื่องของกิเลสมันว่าสวยสุดยอด ทีนี้สายตาของธรรมจับปุ๊บเข้าไป นี้เรียกว่าสกปรกสุดยอด ฟังซิน่ะ นั่นเห็นไหมธรรมเป็นยังไง กิเลสมันบอกว่าสะอาดสุดยอดแล้ว ทุกสิ่งทุกอย่างตกแต่งสดสวยงดงาม ขัดสีดีทุกอย่างเรียบร้อยแล้วหาที่ต้องติไม่ได้..กิเลส พอให้สายตาของธรรมจับเข้ามาปั๊บ นี่คือความสกปรกสุดยอดในสายตาของธรรม ฟังซิน่ะมันต่างกันไหม
นี่ละท่านจึงว่าธรรมเลิศเลอ กิเลสจะขนาดไหนก็ตาม มันคือความสกปรกของกิเลสนั้นแหละ มันจะแสดงออกลวดลายใดก็เป็นลวดลายของกิเลสทั้งนั้น ไม่ใช่ลวดลายของธรรม ให้ธรรมจับปั๊บเท่านี้ได้ทันทีเลย นี่คือความสกปรกสุดยอดของกิเลส นั่นละธรรมต่างกันขนาดนั้น คำเช่นนี้ท่านทั้งหลายเคยได้ยินไหม ใครมาพูดให้ท่านทั้งหลายฟัง นี้ถอดออกจากหัวใจมาพูดนี่นะ อะไรจะสะอาดขนาดไหนก็ตามในโลกธาตุนี้ มองดูแล้ว นี้แลคือความสกปรกสุดยอดของกิเลสในสายตาของธรรม เป็นอย่างนั้นนะ ต่างกันอย่างนั้น จึงอยากให้ภาวนากัน เราจะได้เห็นความแปลกประหลาด เราจะได้มีที่เกาะที่ยึด
เกาะโน้นเกาะนี้เกาะไปอย่างนั้นละ เกาะตั้งแต่วันเกิดถึงวันตายพังกันทั้งนั้นละ เกาะไปพังไป ได้มาเสียไปๆ เกาะไปพังไปๆ อย่างนี้ทั้งเขาทั้งเรา ไม่มีอะไรแน่นอนในหัวใจ สิ่งเหล่านั้นเอาเป็นของแน่นอนไม่ได้ เกาะมาพังไป ได้มาเสียไปอยู่อย่างนี้ตลอดทั้งเขาทั้งเรา ทีนี้พอได้ธรรมเข้าสู่จิตนี้มันจะได้เป็นหลักๆ ขึ้นทันที ต่างกันนะ พอเริ่มได้อันนี้แล้วมันจะเริ่มปล่อยข้างนอกเข้ามา ที่มันเกาะมันยึดนั้น เข้าใจว่าเป็นของดิบของดี ของมีราค่ำราคาตามความสำคัญของกิเลส พอธรรมค่อยแทรกปุ๊บเท่านี้มันจะปล่อยนั้นเข้ามา คือสู้อันนี้ไม่ได้ มันจะปล่อยเข้ามาแล้วมายึดอันนี้ๆ แล้วปล่อยเข้าๆ ทีนี้หนาแน่นขึ้นๆ ทางนี้หนาแน่นเท่าไร ข้างนอกยิ่งปล่อยเข้ามาๆ ทางนี้เต็มที่แล้วปล่อยหมด ข้างนอกไม่มีอะไรเหลือ สามแดนโลกธาตุปล่อยหมดเลย นั่น แต่ก่อนมันยึด สามแดนโลกธาตุยึดได้หมด แต่เวลามันรู้แล้วด้วยอำนาจแห่งธรรมส่องทางให้เห็น เมื่อรู้แล้วมันก็ปล่อยหมดโดยสิ้นเชิง ทีนี้ไม่มีอะไรเหมือนอันนี้เลย นั่นละพระพุทธเจ้า พระสาวกท่าน ปล่อยอย่างนั้นละ ท่านรู้อย่างนั้น พากันจดจำเอานะ
เรื่องการภาวนาสำคัญมาก ยิ่งเราจวนจะตายแล้วเรียกว่าแผดออกมาเรื่อยๆ ละเดี๋ยวนี้ เราไม่สนใจกับขี้หมูขี้หมาที่มาเห่าว็อกๆ แว็กๆ ตำหนิติเตียนว่าอย่างนั้นอย่างนี้ หาว่าโอ้ว่าอวด เราไม่เคยสนใจ ถ้าจะสนใจอย่างนี้ธรรมพระพุทธเจ้าออกสอนโลกไม่ได้ เรียกว่าสู้กิเลสไม่ได้ กิเลสกั้นกางไว้หมดออกไม่ได้ธรรม แต่ธรรมเหยียบไปเลย ธรรมไม่ได้สนใจกับสิ่งเหล่านี้ เหยียบออกเลย ผู้ใดที่มีอุปนิสัยปัจจัยที่ควรจะยึดจะเกาะได้พระองค์จับปุ๊บๆ ดึงออกๆๆ อะไรมันไปไม่ได้ทิ้งไว้ๆ ส่วนไหนที่ไปได้ดึงออกๆ นี่ธรรมสอนโลกเข้าใจไหมล่ะ พากันจำเอานะ
ที่ยุติจริงๆ ที่ยึดที่เกาะเป็นที่ภาคภูมิใจสุดยอดคือหัวใจ ขอให้เหลียวแลกันนะด้วยจิตตภาวนา กิเลสนี้มันรุมล้อมเอาจริงๆ เวลาเราจะภาวนานี้แหม แต่ก่อนมันก็ยุ่งอยู่แล้วความคิดความปรุงของเรา ตั้งแต่ตื่นนอนจนกระทั่งหลับ ความคิดความปรุงนี้ทำความยุ่งเหยิงแก่ใจหาความสงบไม่ได้อยู่อย่างนั้นตลอดเวลา ทีนี้เราก็มาเริ่มภาวนา เหมือนเอาสารส้มกวนน้ำที่ขุ่น สารส้มกวนลง เช่นพุทโธๆ กวนลง ทีนี้ความคิดความปรุงมันดันออกมานะ มันอยากคิดอยากปรุงเรื่องของกิเลส ความคิดความปรุงของธรรมนี้มันปัดออกมันไม่อยากให้คิด เช่นพุทโธนี้ แหมอ่อนเปียกนะ ถ้าว่าคิดแบบเป็นบ้าทั้งวันทั้งคืนคิดได้ด้วยกัน นี่ละเรื่องอำนาจของกิเลส
ทีนี้เวลาเราระงับทางนั้นด้วยกำหนดภาวนา เช่นพุทโธๆ เอ้าไม่ให้มันคิด คิดไปไหนก็ไม่ให้คิด เราเคยคิดมามากต่อมากแล้วไม่เห็นเกิดประโยชน์อะไร คราวนี้จะคิดกับธรรม เป็นกับธรรม ตายกับธรรม ซัดกันตรงนี้ แล้วอันนี้ก็มีกำลังขึ้นๆ สิ่งที่ยุ่งเหยิงวุ่นวายผลักดันให้เราคิดเราปรุงค่อยเบาลงๆ ทางนี้ค่อยสง่าขึ้นๆ ต่อไปทางนี้ก็หนักขึ้นๆ ความคิดความปรุงทั้งหลายที่มาก่อกวนเบาลงๆ ท่านเรียกว่าจิตเป็นสมาธิ จิตสงบ ในขั้นนี้สงบก่อน เหมือนว่าสารส้มกวนน้ำที่ขุ่นมัวให้มันสงบลงๆ
จากนั้นปัญญากระจายเลย ออกหมด ที่มันเป็นผงเป็นละอองไปนอนก้น ถูกสารส้มกวนมันไปนอนอยู่ก้นพังออกหมด ทีนี้เหลือแต่น้ำที่ใสสะอาดเต็มเหนี่ยว นี่ละสารส้มคือธรรมพระพุทธเจ้ากวนเข้าไปๆ ใจของเราจะได้สะอาดขึ้นมาให้เห็นชัดเจน ถ้าลงใจสะอาดแล้วไม่มีอะไรเหมือนในโลกนี้ ไม่มีเลยบอกตรงๆ เดี๋ยวนี้ถูกกิเลสเหยียบ อะไรก็กิเลสมาเสกสรรปั้นยอว่าเป็นของดีทั้งๆ ที่มันเลว มันเสกสรรว่าเป็นของดี ไอ้เราก็โง่สุดโง่แสนโง่วิ่งตามกิเลสไปตลอด โลกนี้จึงเป็นโลกที่วิ่งตามกิเลส ไม่ยอมฟังเสียงอรรถเสียงธรรม เขาเรียกว่ากระต่ายตื่นตูม
กระต่ายตื่นตูมเราก็เคยมาพูดให้ฟังแล้ว ในนิทานอีสป ท่านแสดงไว้ในคัมภีร์ เวลาเรียนแล้วไปเห็นจึงไปรู้ โอ้โหนิทานนี้ออกจากคัมภีร์นี้เอง ท่านเอาไปแสดงสอนเด็ก เรายังจำได้ว่านิทานอีสป ตั้งแต่เราเป็นเด็กจำได้สองสามข้อ เอามาอธิบายให้พี่น้องทั้งหลายฟัง คือตั้งแต่เราเป็นนักเรียน เราไปอ่านในนิทานอีสป ที่ว่ากระต่ายตื่นตูมก็เหมือนกัน
กระต่ายตื่นตูมมีข้อยกขึ้นมาว่า กระต่ายตัวหนึ่งมันนอนหลับอยู่ใต้ต้นตาล พอดีมะตูมอยู่นั้นต้นหนึ่ง มันมีลูกอยู่ข้างบน พอมะตูมหล่นมาถูกก้านตาลโครมครามตูมตามลงมา กระต่ายตื่นใหญ่นึกว่าฟ้าถล่ม ก็วิ่งเลย พอวิ่งไปเจอตัวนั้นวิ่งอะไรๆ ฟ้าถล่ม ตัวนั้นก็ฟ้าถล่มตัวนี้ก็วิ่งตามกัน ฟ้าถล่มก็วิ่งตามกระต่ายไปหมด ขาหักขาขาดไม่สนใจ เพราะฟ้าถล่มมันแรงมาก พวกนี้พวกกระต่ายตื่นตูม กระต่ายตัวเดียวเท่านั้นละหลอก กิเลสตัวเดียวหลอก
พวกกระต่ายตื่นตูมมีแต่ฟ้าถล่ม กระต่ายวิ่งฟ้าถล่มเรื่อยไป ไปหาใครก็เป็นอะไรฟ้าถล่ม วิ่งไปอะไรฟ้าถล่ม แล้วก็วิ่งตามกันไม่ได้หน้าได้หลังอะไร จึงไปเจอพญาราชสีห์อยู่ข้างหน้า เห็นสัตว์ทั้งหลายวิ่งกันระเนระนาดไป วิ่งอะไรๆ ฟ้าถล่ม เดี๋ยวหยุดเสียก่อนอย่าด่วนไป ฟ้าถล่มที่ไหน ทั้งจะไปอยู่แต่มันสู้ราชสีห์ไม่ได้ อำนาจราชสีห์ มากกว่ากลัวราชสีห์ก็เลยหยุด มันฟ้าถล่มอะไร เอ้า มาชี้แจงให้ฟัง ใครว่าฟ้าถล่ม ถามไปถามมาก็มาถูกไอ้กระต่ายนั่นแหละว่าฟ้าถล่ม เอ้า พาไปดูมันถล่มที่ไหน พญาราชสีห์ให้กระต่ายพามาดูที่ฟ้าถล่ม
พอมาถึงที่นั่นแล้วก็มาดู มันมีมะตูมลูกหนึ่งหล่นอยู่ หล่นมากระทบกับก้านตาลแล้วตูมตามลงมา กระต่ายนึกว่าฟ้าถล่มมันก็วิ่ง มาดู อ๋อ มะตูมลูกนี้เองที่หล่นลงมาถูกก้านตาลตกมานี้ มันฟ้าถล่มอะไร สัตว์ทั้งหลายจึงค่อยได้รู้เนื้อรู้ตัว แต่พวกขาขาด ขาดไปแล้ว อะไรที่ยังเหลืออยู่ก็ค่อยซ่อมกันไป อันใดที่มันขาดก็ปล่อยให้มันขาดไป กระต่ายตื่นตูมฟ้าถล่มเข้าใจไหม นี่ละถ้าว่าเชื่อกันเชื่ออย่างไม่มีเหตุมีผล เหมือนว่าฟ้าถล่ม กิเลสบอกว่าฟ้าถล่มเท่านั้นเป็นบ้ากันไปหมดทั้งโลกทั้งสงสาร ไม่มีใครฟังเสียงอะไรเลย วิ่งไปขาหักขาขาดไปกันไปเรื่อย
จึงไปโดนเอาพญาราชสีห์ นั้นคือพระพุทธเจ้า ธรรมของศาสดาองค์เอก ไล่เบี้ยเข้ามาหาเหตุหาผล มันหลงเพราะเหตุผลต้นปลายอะไร ไล่เข้ามาก็มาลงในกิเลสตัณหาตัวใหญ่ๆ ท่านก็บอกว่าอวิชฺชาปจฺจยา สงฺขารา นี่ละฟ้าถล่ม ซัดลงมานี่แล้วก็หายสงสัยหมดเลย โลกทั้งหลายผู้ที่รู้ว่าฟ้าถล่ม มาถึงต้นตอของฟ้าถล่ม คือมะตูมแล้วมันก็ปล่อยๆ นี่ละผู้ที่รู้ตามอรรถตามธรรมของพระพุทธเจ้า ไม่หลงงมงายไปตามกระต่ายตื่นตูม ผู้ที่หลงงมงายไปตามกระต่ายตื่นตูมก็เอ้าหลงไป ผู้ที่รู้ตัวก็ให้รู้อรรถรู้ธรรม ปฏิบัติตามอรรถตามธรรม
ผู้ที่หลงเพลินๆ ไปตามโลกไม่รู้ขอบรู้เขต รู้เหตุรู้ผลก็ให้มันไป มันสุดวิสัย ผู้ที่ห้ามได้ก็ห้ามอยู่ ให้อยู่ในธรรมของพระพุทธเจ้าก็อยู่ ผู้ที่นอกเหนือจากขอบข่ายของธรรมไปแล้วก็ปล่อยให้มันไปเสีย เข้าใจหรือที่พูด นี่เป็นข้อเทียบเคียง ท่านสอนไว้อย่างนั้นกระต่ายตื่นตูม พวกเรานี่พวกกระต่ายตื่นตูม ให้ฟังเสียงอรรถเสียงธรรมบ้าง ถ้าฟังเสียงอรรถเสียงธรรมเราจะยับยั้งตัวเองได้นะคนเรา ถ้าลงไม่ฟังเสียงอรรถเสียงธรรมแล้วจะเตลิดเปิดเปิงไปด้วยฟ้าถล่มนั้นแหละ
พวกไหนก็มีแต่ฟ้าถล่มๆ ถามกันมีแต่ฟ้าถล่มทั้งนั้น มองเห็นกันเป็นยังไงล่ะฟ้าถล่ม มันเป็นบ้ากันทั้งโลก มีแต่พวกฟ้าถล่มพวกนี้ มันไม่มีธรรมเป็นเครื่องเกาะเครื่องยึดก็มีแต่ฟ้าถล่ม ให้ยึดธรรมของพระพุทธเจ้า นั่นละพญาราชสีห์เอามาหักห้ามที่กิเลสตัณหามันพาดีดพาดิ้น ฟ้าถล่มตลอดเวลา เอาธรรมมาหักห้ามมันให้ลงหาความจริง ดีมีชั่วมี บาปมีบุญมี ให้ลงในหลักอันนี้แล้วจะปล่อยกันไปได้ นี่พูดเรื่องฟ้าถล่มย่อๆ ถ้าจะให้พิสดารกว่านี้ก็พิสดาร พากันจำเป็นยังไงฟ้าถล่ม ในวัดป่าบ้านตาดตั้งแต่พระแต่เณรเข้าไปหาในครัวนี้ พวกฟ้าถล่มทั้งนั้น อาจารย์ใหญ่ของฟ้าถล่มกระต่ายใหญ่มันพาลูกศิษย์ลูกหาวิ่ง ฟ้าถล่มไปหมด แล้วพญาราชสีห์อยู่ไหนก็ไม่รู้ เป็นคติเครื่องเตือนใจไหมที่สอนนี่
ผู้กำกับ ทางสำนักงานพระพุทธศาสนาเขาตั้งสถานีวิทยุเผยแพร่ธรรมะที่พุทธมณฑล
หลวงตา เผยแพร่ธรรมะเหรอ เออ ให้กระจาย ธรรมะของเรากำลังออกเวลานี้ทั่วประเทศ
ผู้กำกับ ไม่ครับ พระส่วนใหญ่ที่เป็นนักจัดรายการมาจากมหาจุฬาลงกรณ์ราชวิทยาลัย และมหาวิทยาลัยมหามกุฏ
หลวงตา ไม่ใช่มันจะเป็นข้าศึกไปตีพุทธศาสนาหรือนี่ เราคิดอย่างนั้นนะ มันจะไปตั้งเป็นแนวข้าศึกศัตรูต่อพุทธศาสนานะ พอแย็บออกมามันจะจับได้ทันที
ผู้กำกับ คิดว่าใช่ เพราะว่าตั้งทีหลังของสวนแสงธรรมครับ
หลวงตา ตั้งทีหลังเพื่อส่งเสริมก็มี ตั้งเพื่อทำลายก็มี อย่าไปคิดอย่างนั้นว่าทีหลังหรือก่อน ให้ฟังเหตุฟังผลมันมาซิ ใครเป็นคนมาตั้ง ใครเป็นต้นตอ
ผู้กำกับ พระที่ควบคุมอยู่เป็นวัดยานนาวา เป็นกรรมการมหาเถรสมาคมด้วย
หลวงตา เอาละหยุดไม่ต้องอ่าน พวกมหาเถรสมาคมนี่มหาโจร เราพูดแล้วเราลืมเมื่อไร มหาเถรสมาคมเวลานี้พระสงฆ์ทั่วประเทศไทยผู้ทรงศีลทรงธรรมปัดออกหมดแล้วจากมหาเถรสมาคม ให้มหาเถรสมาคมนี้เป็นมหาโจรเต็มตัว เป็นแหล่งมหาโจรเต็มตัว ออกมาจากสมเด็จเกี่ยวที่เป็นหัวหน้าโจร เป็นมหาโจรเต็มตัว ผู้นั้นเป็นผู้ควบคุมมหาเถรสมาคม นี้จะเอาไปไหนก็ไปเถอะถ้าลงออกจากนี้แล้วเราฟังไม่ได้แล้วแหละ เราไม่ฟัง เอาเท่านั้นละพอจะให้พร
มันต้องอย่างนั้นซิไม่งั้นไม่ได้นะ พวกนี้พวกจะคอยทำลายศาสนา พอแป๊บขึ้นมาเราจะจับได้ทันทีเลย พวกคอยจองล้างจองผลาญศาสนา มันจะเอาให้ชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ให้จม พวกสองสามตัวนี่เราจับมันได้ตลอดเวลา เพราะฉะนั้นเราถึงได้ออกเสมอ คอยจ้อกันอยู่เสมอกับสามกษัตริย์ กษัตริย์ไหนยังไม่ระบุชื่อมันเต็มอยู่ในหัวใจนี้แล้ว เราเป็นผู้อุ้มชาติ อุ้มศาสนา พระมหากษัตริย์เต็มหัวใจเรา กับพวกที่จะมาทำลายนี้ กับเรามันจึงเข้ากันไม่ได้ เข้าใจไหมล่ะ เอาละพอ
เรื่องเขาหย่อนบ่งหย่อนบัตรนั้นมันเป็นคนละโลกแล้วกับหลวงตานะ หลวงตาไม่ยุ่งเลย แม้เปอร์เซ็นต์เดียวไม่ยุ่ง เพราะที่ยุ่งคือมันมีเรื่องเข้ามาเกี่ยวข้องกับหลวงตาใช่ไหมล่ะ ถ้าเข้ามาเกี่ยวข้องก็ต้องฟัดกัน ทีนี้ไม่มีอะไรเราก็เปิดเลยเราไม่สนใจ โลกเป็นโลก ธรรมเป็นธรรมไปเลย เราไม่ยุ่งนะ ไม่ยุ่งแม้เปอร์เซ็นต์เดียวเราไม่ไปยุ่งเลย อะไรๆ แล้วแต่เขา นี่เป็นเรื่องของโลกล้วนๆ ที่มันเกี่ยวข้องกับเรา คือเรื่องทั้งโลกทั้งธรรมมาคละเคล้ากัน แล้วมายุ่งกับเรา เราจึงต้องชำระ เขาถึงบอกว่าหลวงตาเล่นการบ้านการเมืองอะไรๆ เราชำระล้างของสกปรกต่างหาก เราจะไปเล่นการบ้านการเมืองอะไร ธรรมเหนือโลก เอาธรรมที่สะอาดสะอ้านมาชำระล้างโลกที่มันสกปรกต่างหาก แล้วเขาก็หาว่าหลวงตาเล่นการเมือง พวกบ้าเราว่างั้น เอาละ
นี่จะไปธุระนะไม่ใช่เล่น จะไปช่วยสงเคราะห์ทางโรงพยาบาล กำลังช่วยทางโรงพยาบาลเต็มเหนี่ยว
รับฟังรับชมพระธรรมเทศนาของหลวงตา ได้ที่
www.Luangta.com หรือ www.Luangta.or.th
และรับฟังจากสถานีวิทยุสวนแสงธรรม กรุงเทพฯ และสถานีวิทยุอุดร
FM 103.25 MHz |