เทศน์อบรมฆราวาส ณ วัดป่าบ้านตาด
เมื่อวันที่ ๒๖ ตุลาคม พุทธศักราช ๒๕๔๗
โลกนี้ไม่มีอะไรสมหวัง
ก่อนจังหัน
เราอยากพบอยากเห็นพี่น้องชาวไทยซึ่งเป็นชาวพุทธ ได้หันหน้าเข้าสู่อรรถสู่ธรรม เข้าสู่วัดวาอาวาสที่มีศีลมีธรรมพอประมาณ ไม่อยากให้ตื่นนอนแล้วก็ดิ้นไปไม่มีหลักมีเกณฑ์ ไม่มีฝั่งมีฝา ตายแล้วจมไปเลยๆ เราไม่อยากพบอยากเห็น พุทธศาสนาของพระพุทธเจ้าเลิศเลอสุดยอดแล้ว ประกาศให้พี่น้องทั้งหลายทราบ ถอดออกจากหัวใจนี้ประกาศเลย พวกมูตรพวกคูถมันก็มาเห่าว่า อวดอุตริมนุสธรรมอย่างนั้นอย่างนี้ มูตรคูถเต็มหัวใจมันไม่ได้ดู มันไปเห่าทองคำทั้งแท่ง ท่านทั้งหลายฟังให้ดีคำนี้น่ะ พูดเรื่องของดิบของดีนี้ไม่ได้นะ พวกมูตรพวกคูถมันเห่า เพราะมีแต่มูตรแต่คูถเต็มโลกเต็มสงสารเต็มหัวใจของสัตว์โลกนั่นแหละ หาความดิบความดีไม่มีเลย
พอพูดเรื่องความดิบความดีจากท่านผู้ปฏิบัติดีดังพระพุทธเจ้าเป็นต้น มาแสดงแก่โลก โลกไม่ยอมรับ มันหนาขนาดนั้นนะโลกเรา จะทนเผาไหม้อยู่นี้ตั้งกัปตั้งกัลป์ มันไม่เข็ดไม่หลาบไม่กลัว กล้าหาญชาญชัยเสียด้วย ถ้าเรื่องของดิบของดีที่จะฉุดจะลากออกจากฟืนจากไฟจากนรกอเวจีทั้งเป็นทั้งตาย ทั้งมนุษย์ทั้งเมืองผีนี้มันไม่อยากสนใจนะถ้าเป็นเรื่องอรรถเรื่องธรรม
ท่านทั้งหลายมานี้ให้พากันสังเกตพินิจพิจารณา อย่ามาเด้นๆ ด้านๆ มาเที่ยววัดเที่ยววาเที่ยวสนุกสนาน เราเคยดุเสมอนะ ยิ่งไม่ใช่เวล่ำเวลา เวลาค่ำเข้าๆ ไหลมาเที่ยวเตร็ดเตร่ มันเรื่องอะไร สถานที่นี่ไม่ใช่สถานที่เที่ยวเล่นเที่ยวเตร็ดเตร่เที่ยวเพลิดเพลิน เป็นสถานที่เสาะแสวงหาอรรถหาธรรม บางทีเราดุเอา ไล่ไปแล้วก็ดุพร้อมด้วยนะ ไม่อยากพบอยากเห็น ท่านทั้งหลายมาสู่อรรถสู่ธรรมให้พินิจพิจารณาบ้าง อย่าเห็นธรรมเป็นกองมูตรกองคูถ แล้วเห็นมูตรเห็นคูถเป็นทองคำทั้งแท่ง มันจะจมกันหมด
เมืองไทยเรานี้เป็นเมืองพุทธ น่าจะได้มีสติสตังบ้าง ทำไมจึงไม่พากันคิดกันอ่านบ้าง นี่เราจวนจะตายแล้ว พูดนี้ท่านทั้งหลายว่าดุเหรอ พิจารณาซิ พูดด้วยความเมตตาสงสาร ขอให้คิดให้อ่านบ้างเถอะ หัวใจดวงนี้เลิศเลอสุดยอดถ้าเอาของดิบของดีเข้าเสริม ของชั่วไม่ดีปัดออกๆ สิ่งใดที่ไม่ดี เพราะความเลวสุดยอด ความทุกข์สุดยอด อยู่ที่หัวใจของสัตว์ ความดีสุดยอดก็อยู่ที่หัวใจของสัตว์ ให้คัดเอาความไม่ดีทั้งหลายออก เอาตั้งแต่ความดีเข้าสู่ใจ จะเป็นสิริมงคลทั้งที่เป็นอยู่และตายไป อยู่กับจิตนั่นแหละเป็นผู้จะรับเคราะห์รับกรรมทั้งหลาย ไม่อยู่ที่ไหน
อย่าไปตื่นเมฆตื่นหมอกตื่นดินฟ้าอากาศที่ไหนๆ ไม่ใช่สถานที่ควรตื่น เพราะไม่ใช่สถานที่ให้สุขให้ทุกข์แก่สัตว์โลก ยิ่งกว่าหัวใจที่กำลังตื่นอยู่เวลานี้ มีตั้งแต่สิ่งหลอกลวงเข้ามาหลอกหัวใจ ใจก็ยิ่งตื่น ตื่นไปเท่าไรก็เตลิดเปิดเปิงไม่ได้หลักได้เกณฑ์ เหมือนอย่างที่เขาว่ากระต่ายตื่นตูมนั่นแหละ พวกเรานี้พวกกระต่ายตื่นตูม คนนั้นก็ตื่นคนนี้ก็ตื่น หาหลักหาเกณฑ์ไม่ได้ วิ่งไปจนกระทั่งไปถึงพญาราชสีห์ พญาราชสีห์ตวาดเอาไว้ วิ่งมาอะไรกัน ก็ว่าฟ้าถล่มๆ ฟังซิฟ้าถล่ม
กระต่ายมันนอนหลับอยู่ใต้ต้นตาล แล้วมะตูมมันหล่นลงใส่ก้านตาลตูมตามลงมา กระต่ายกำลังหลับ พอมะตูมตกใส่ก้านตาลเปรี้ยงปร้าง มันนึกว่าฟ้าถล่มก็ไปเลยทีเดียว ไปก็มีแต่บอกฟ้าถล่มๆ สัตว์ตัวไหนมีเท่าไรได้ยินว่าฟ้าถล่มๆ ก็วิ่งตามมัน ขาหักขาขาดวิ่งไปเรื่อยๆ พวกเรานี่พวกขาหักขาขาด นั่นยังดีนะถูกพญาราชสีห์ตวาดเอาไว้ วิ่งไปไหนๆ ก็ว่าฟ้าถล่ม อย่าด่วนไป ไหนฟ้าถล่มยังไง ไล่ให้พาไปดูสถานที่ฟ้าถล่ม ไล่กระต่ายนั่นแหละตัวพาให้ฟ้าถล่ม หลอกโลก ครั้นไปดูแล้วมีแต่มะตูมหล่นใส่ก้านตาล
อันนี้ก็เหมือนกัน ไปที่ไหนมีแต่ฟ้าถล่มๆ ตื่นนั้นตื่นนี้ ใครต่อใครอยู่ที่ไหนตื่นกัน มีแต่ฟ้าถล่มๆ แล้วใครจะเตือนใครจะตวาด ราชสีห์คือใคร ก็คือศาสนธรรมอันล้ำเลิศของพระพุทธเจ้านั้นแล นี้ตื่นหรือยังพวกเรา หรือจะว่าฟ้าถล่มไปเรื่อยเหรอ ให้พากันพิจารณานะคำนี้ มีแต่พวกฟ้าถล่มทั้งนั้นแหละ กระต่ายตื่นตูมๆ ตื่นกันไปไม่ได้หลักได้เกณฑ์อะไร ให้ยึดซิหลักธรรม พระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์ ให้ยึดเข้าสู่ที่ใจ พุทโธๆ เพียงเท่านี้ก็กระเทือนใจ กระเทือนพระพุทธเจ้าทุกๆ พระองค์ นี่ละธรรมะของราชสีห์เป็นอย่างนี้ เราจะรู้เนื้อรู้ตัวนะ ถ้าธรรมะฟ้าถล่มแล้วตายหมดเลย พวกนั้นพวกกิเลสพวกฟ้าถล่ม ตายเลย ไม่มีเขตมีแดน ให้พากันจำเอานะ วันนี้พูดเพียงเท่านี้เสียก่อน ขอฝากฟ้าถล่มไปกับทุกคนๆ ว่าผู้ที่หักห้ามฟ้าถล่มพอได้สติสตังบ้าง คืออะไร ก็คือธรรม คือพุทธศาสนา จำเอาไว้นะ เอาละให้พร
หลังจังหัน
(เนื่องในวันคล้ายวันเกิดของคุณวิชาดา วงศานิตย์ เจ้าของสถานที่ปฏิบัติธรรม บ้านธรรมวารี อ.บางคล้า จ.ฉะเชิงเทรา และเจ้าของบริษัทรอยัล เรนโบว์ นำคณะลูกศิษย์จากกรุงเทพของหลวงปู่สังวาลย์ เขมโก และหลวงพ่อสนอง กตปุญโญ มาถวายทองคำ ๑ กิโลกรัมครับ) เออ พอใจๆ มันต้องให้ฟ้าดินถล่มอย่างนี้ซิ อันนี้เป็นมงคลฟ้าดินถล่มอย่างนี้ นี่ละที่ว่าทองคำน้ำไหลซึมเป็นอย่างนั้นละ ค่อยซึมเข้ามา วันนี้ตูมตาม มันน่ากระต่ายตื่นมันก็ต้องตื่นซิ ตูมตามเลย นึกว่าฟ้าดินถล่ม ได้ทองตั้งกิโล ของเล่นเมื่อไร เราก็พยายามจะให้ได้ทองคำเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ เพราะทองคำในคลังหลวงของเรามีน้อยมาก เมื่อเป็นโอกาสอันดีงามอย่างนี้ก็ควรจะได้ทองคำเข้าสมทบกันๆ
ที่พูดเมื่อเช้านี้เรื่องกระต่ายตื่นตูม เราตั้งแต่เป็นนักเรียน ทุกวันนี้มีหรือเปล่าไม่รู้หนังสืออย่างนี้ ยังมีอยู่เหรอ (มีเป็นบางเรื่องเจ้าค่ะ) ตั้งแต่เราเรียนหนังสือเป็นนักเรียนอยู่เราไปเห็นหนังสือเล่มนี้มันก็จำได้ เวลาไปบวชไปเจอเอาในคัมภีร์ โอ๋ย มันอยู่ในคัมภีร์นู่นน่ะ ท่านเอาออกจากธรรมในคัมภีร์มาสอนพวกครูพวกนักเรียนอะไร จึงได้รู้ อันนั้นให้ชื่อว่าธรรมจริยาอะไรต่ออะไร นิทานอีสป เวลาเราเป็นนักเรียนเราก็อ่านๆ อ่านไม่ได้สนใจอะไรละประสาเด็ก เวลาบวชแล้วนี้เรียนหนังสือจึงไปเจออยู่ในคัมภีร์ๆ ไม่ใช่น้อยๆ อยู่ในคัมภีร์ ท่านถอดออกมาสอนประชาชน สอนเด็ก สอนครู นักเรียน มันเป็นสาระทั้งนั้นๆ แต่ก่อนเราเป็นเด็กไม่เห็นมีอะไร พอเป็นผู้ใหญ่ไปเห็นอยู่ในอรรถในธรรม จึงว่า โอ๋ย มหาสาระ ท่านเอาออกไปสอนคน
เราอยากให้พี่น้องทั้งหลายสนใจทางด้านจิตตภาวนา ให้ได้เด่นขึ้นในหัวใจเราสักหน่อย โลกอันนี้จะเรียบราบไปหมดเมื่อธรรมได้โผล่ขึ้นที่หัวใจ โลกที่เป็นฟืนเป็นไฟจะยุบยอบไปหมด ขอให้ธรรมได้ปรากฏขึ้นในใจ เท่ากับน้ำดับไฟ พระพุทธเจ้าตรัสรู้ปึ๋งนั้นละน้ำดับไฟ ธรรมได้ปรากฏขึ้นแล้วๆ ในโลก ตรัสรู้ขึ้นเพียงพระองค์เดียว พวกรุกขเทวดา อากาสาเทวดา ภุมมเทวดา จนกระทั่งถึงจาตุม เทวโลก โลกที่อยู่ของเทวดา ตั้งแต่ชั้นจาตุมไปถึงท้าวมหาพรหม พรหม ๑๖ ชั้น ชั้นเทวโลกก็คือ จาตุมขึ้นไปหาปรินิมมิตวสวัตดี เป็นชั้นที่ ๖ จากนั้นก็เป็นพรหมโลก ๑๖ ชั้น บอกกระเทือนกันอย่างรวดเร็วว่า ธรรมอันเลิศเลอ ของวิเศษได้เกิดขึ้นแล้วๆ พระพุทธเจ้าตรัสรู้แล้ว ตั้งแต่พวกเทวดากระเทือนขึ้นไปถึงพรหมโลกในขณะเดียวเท่านั้น และกระเทือนไปถึงหมื่นโลกธาตุ เราจะว่าโลกธาตุมีน้อยเหรอ มีถึงหมื่นโลกธาตุ ของน้อยเมื่อไร กระเทือนทั่วกันหมดในขณะเดียวเท่านั้น ธรรมที่พระพุทธเจ้าตรัสรู้เพียงพระองค์เดียวกระเทือนทั่วไปหมด เป็นของเล่นเมื่อไร
ลองให้ได้ปรากฏกับใจของเราดูซิน่ะจะเป็นยังไง ใจดวงนี้เคยคลุกเคล้ากันกับมูตรกับคูถ ของสกปรกรกรุงรัง เป็นฟืนเป็นไฟเผาไหม้ตัวเองมาตั้งกัปตั้งกัลป์ หลายกัปหลายกัลป์ ยังไม่สิ้นสุดนะ ถ้าเป็นแบบกระต่ายตื่นตูมนี้จะไม่สิ้นสุด ขาหักขาขาดตื่นกันไป สัตว์เล็กสัตว์ใหญ่ตื่นกัน ทั่วโลกดินแดนนี้เท่ากับสัตว์โลก เรียกว่าสัตว์เล็กสัตว์ใหญ่นะ ตื่นกันทั่วโลก ด้วยอำนาจของกระต่ายตัวเดียว อวิชฺชาปจฺจยา สงฺขารา ครอบหัวใจสัตว์โลกนั่นละ มันเอาให้กระต่ายตื่น
กระต่ายตื่นตูม มันนอนเพลินละซิ กระต่ายนอนอยู่ใต้ต้นตาล รื้อมาอีกทีหนึ่งนะ กระต่ายนอนอยู่ใต้ต้นตาล ข้างต้นตาลมีต้นมะตูมอยู่ต้นหนึ่ง ผลมะตูมหล่นลงมาถูกก้านตาลตูมตามลงมา กระต่ายกำลังนอนหลับเพลินอยู่ตามครัวไฟในวัดในวานี่แหละ ไม่ใช่ตัวเดียวนะกระต่าย มันมากมาย มันตื่นกันละที่นี่ ตูมตามลงมาก็นึกว่าฟ้าถล่ม ก็เผ่นเลยกระต่าย เป็นอะไรวิ่งอะไร โอ๋ย ฟ้าถล่ม ทางนั้นนึกว่าฟ้าถล่มก็ไปด้วยกันเลย ล้มระนาวไปเลย จนกระทั่งไปถึงพญาราชสีห์
พญาราชสีห์ก็คือพระพุทธเจ้า โก นุ หาโส กิมานนฺโท? นิจฺจํ ปชฺชลิเต สติ อนฺธกาเรน โอนทฺธา ปทีปํ น คเวสถ. เมื่อโลกสันนิวาสนี้มันเป็นฟืนเป็นไฟเผาไหม้โลกมาตั้งกัปตั้งกัลป์จนกระทั่งถึงป่านนี้แล้ว พวกท่านยังหัวเราะรื่นเริงหาอะไร ทำไมจึงไม่เสาะแสวงหาที่พึ่ง เพราะอำนาจแห่งความมืดบอดมันปิดบังมา อนฺธกาเรน โอนทฺธา มันปิดบังหัวใจ ให้พากันตื่นตลอดเวลาไม่รู้เนื้อรู้ตัวเลย ธรรมท่านกระตุก ธรรมพระพุทธเจ้ากระตุก ทำไมจึงไม่เสาะแสวงหาที่พึ่ง เมื่อไรจะรู้เนื้อรู้ตัว ธรรมเตือนขึ้นมาเหมือนพญาราชสีห์ให้มาดู ครั้นเข้ามาแล้วก็มาเห็นมะตูมลูกหนึ่งหล่นใส่ก้านตาล กระต่ายมันก็นอนอยู่นั้น ก็มาจบที่กระต่ายตื่นตูมตรงนั้นแหละ ค้นลงไปหาอวิชชาตัวนี้แล้วได้เหตุมันเลย ไม่ใช่ฟ้าถล่มที่ไหน มันจากอันนี้แหละพูดง่ายๆ มะตูมตูมตามลงมานี่ตื่นกัน
ให้พากันเสาะแสวงหาความสมหวังนะ ในโลกนี้ไม่มีอะไรสมหวัง เราอาศัยไปชั่วกาลชั่วเวลาชั่วชีวิตของเรา คนทุกข์คนจนคนมั่งมีศรีสุข ฐานะสูงต่ำประการใด ก็ตื่นลมกันไปอย่างนั้นแหละ ให้ฟังเสียงธรรมนะ เสียงธรรมจะเป็นเสียงราชสีห์หรืออะไรก็แล้วแต่จะพิจารณา มันเป็นอยู่อย่างนี้กระเทือนทั่วโลกดินแดน ให้สัตว์โลกทั้งหลายได้ตื่นกันเหมือนกระต่ายตื่นตูมวิ่งอยู่นี้ ธรรมะมากระตุกเอา โก นุ หาโส กิมานนฺโท? ก็เมื่อโลกสันนิวาสมันเป็นฟืนเป็นไฟเผาไหม้สัตว์ทั้งหลายอยู่นี้ทั่วโลกดินแดน เพราะความมืดบอดของตนตลอดเวลามา แล้วพวกท่านทั้งหลายยังรื่นเริงบันเทิงกับมันอยู่เหรอ ทำไมจึงไม่เสาะแสวงหาที่พึ่ง นั่นท่านบอก แสวงหาศีลหาธรรม ที่จะสมหวังอยู่ในจุดนั้นนะ
ศีลธรรมเท่านั้นจะทำให้โลกสมหวัง นอกนั้นมีแต่เรื่องกระเทือนทั่วโลกดินแดนเป็นกระต่ายตื่นตูมไปตามๆ กัน ขาหักขาขาดก็ไม่เข็ดไม่หลาบ ไม่รู้เนื้อรู้ตัว คือกิเลสหลอกลวงสัตว์โลกให้ตื่นไปเรื่อยๆ เอาธรรมเข้าไปจับปั๊บ ใจตัวมันพาตื่นนี้ มันดิ้นอยู่ตลอดเวลาทั่วโลกดินแดน มีแต่ใจดวงเดียวมันเที่ยวหลงไปหมดยึดไปหมด แบกไปหมด หามไปหมด เอาไฟเผาหัวอกตัวเองตลอดเวลาไม่รู้ตัวเลย นี่เรียกว่าไฟ แล้วเอาน้ำดับไฟ คือธรรมของพระพุทธเจ้า แล้วให้ย้อนเข้ามาดูหัวใจที่มันวุ่นออกไปทั่วโลก ใจดวงเดียวนี้นะ พอเราดูใจนี้แล้วเราจะเห็นกระแสของใจที่ออกทั่วโลกดินแดน มีแต่เรื่องความลุ่ม ความหลง เพลิดเพลินรื่นเริงบันเทิง ไม่รู้เนื้อรู้ตัวทั้งนั้นทั่วโลกดินแดน พอเราตั้งใจภาวนาจ่อจิตเข้าไปตรงนี้ นั่นละมหาเหตุอยู่ตรงนั้น เรื่องกิเลสมันก่อฟืนก่อไฟ ความเพลิดความเพลิน ลุ่มหลง อยู่ในนั้นหมด
พอธรรมจ่อเข้าไปก็เห็นแล้วที่นี่ พอเห็นแล้วก็ระงับดับไฟ เอา ดับลงด้วยอารมณ์ภาวนาทีแรก ใครจะเอาภาวนาบทใดก็แล้วแต่ เช่น จ่อจิตลงไปแล้ว จิตไม่มีที่ยึดมันจะไขว่คว้าอีกนะ เราต้องเอาธรรมให้ยึด เช่น คำบริกรรม พุทโธก็ได้ ธัมโมก็ได้ สังโฆก็ได้ คำบริกรรมบทใดที่ถูกกับจริตนิสัยของตนแล้ว ให้นำธรรมบทนั้นเข้ามาบริกรรม มีสติกำกับอยู่กับใจตัวเอง ไม่ให้มันคิดยุ่งเหยิงวุ่นวายไปภายนอก ให้คิดอยู่กับคำบริกรรมของตนด้วยความมีสติ ให้ทำอย่างนี้ไปทุกวัน
ทีนี้จิตเมื่อเวลาได้รับการบำรุงรักษาด้วยสติ และมีคำบริกรรมครอบเอาไว้ รักษาภัย ไม่ให้มันออกไปหาภัย หาฟืนหาไฟ จิตจะค่อยสงบเข้ามาๆ นี่ละเรื่องราวกระแสของจิตที่ส่งออกไปข้างนอกจะสงบตัวเข้ามาๆ เพราะน้ำดับไฟ คำบริกรรม มีสติเป็นสำคัญครอบไว้นั้นแล้วจะเป็นน้ำดับไฟ จิตใจจะค่อยสงบเข้ามาๆ พอสงบเข้ามาเราจะเห็นความแปลกประหลาดเกิดขึ้นที่จิตใจนะที่นี่ แต่ก่อนเห็นแต่กิเลสออกเป็นฟืนเป็นไฟเผาไหม้ตัวเอง ทีนี้จะเห็นของแปลกประหลาดคือน้ำดับไฟได้แก่ธรรม ความสงบเย็นใจ ความสว่างไสวภายในใจ จะเกิดขึ้นจากการภาวนาของเรา
ทีนี้จะมีความแปลกประหลาด ใจดวงนี้พิสดารมากนะ พิสดารมากทีเดียว ไม่ว่าผู้หญิงผู้ชายใจไม่มีเพศ ไม่มีวัย ความทุกข์รับได้ด้วยกันหมด ความสุขรับได้ด้วยกัน เพราะฉะนั้นกิเลสใจจึงรับได้ ธรรมใจจึงรับได้เช่นเดียวกัน ทีนี้เราเอาธรรมเข้าไปเป็นน้ำดับไฟ ภาวนาให้จิตใจเราค่อยสงบตัวเข้ามาๆ พอสงบตัวเข้ามาสู่จุดต้นเดิมของมันที่เกิดเหตุทั้งหลายนั้นแล้วจิตจะสงบลงที่นั่น
พอจิตสงบแล้วจะเห็นคุณค่าของใจขึ้นในเวลานั้นทีเดียว แต่ก่อนไม่เห็น เห็นแต่ความดีดความดิ้นเป็นฟืนเป็นไฟ ทีนี้กลับมาเห็นน้ำดับไฟคือความสงบใจ เย็นสบายๆ จากนั้นจะแสดงความสว่างไสว ความอัศจรรย์ขึ้นมาที่ใจ แล้วทีนี้เราหาความสุขทั้งโลกทั่วโลกธาตุนี้เราไม่เจอที่ไหน คราวนี้เริ่มเจอแล้ว นั่น เจอความสุขนี้แล้ว เจอความแปลกประหลาดอัศจรรย์อยู่ที่นี่เอง อยู่ที่ฟืนไฟเกิดจากกิเลส พอระงับกิเลสคือฟืนคือไฟลงไปแล้วด้วยน้ำดับไฟ ใจจะมีความสงบเย็นขึ้นภายในตัวเอง
ความสงบของใจตามแต่จริตนิสัยของแต่ละรายๆ ไม่เหมือนกัน สงบแปลกประหลาดอัศจรรย์หลายแง่หลายมุม หลายสันพันคมอยู่ในธรรมนั้นหมด เมื่อเราจับอันนี้ได้แล้วเราจะค่อยรู้เรื่องความหลอกลวงของตัวเองที่ออกไปจากใจ ไปคิดหลอกลวงตัวเอง แล้วย่นเข้ามาก็มาหาที่นี่ ใจของเราจะสงบเย็น ทีนี้ความสุขเห็นแล้วเจอแล้วๆ เรื่องทั้งหลายข้างนอกมันจะหดตัวเข้ามาหมด มันจะปล่อยเข้ามาๆ ยึดธรรมยึดเท่าไรยิ่งมีความสุข ความสำราญบานใจ ความแปลกประหลาดอัศจรรย์ยิ่งขึ้นๆ ยึดมากเท่าไรยิ่งแน่นหนามั่นคง เห็นแล้วที่นี่แดนวิเศษเห็นแล้ว เห็นที่ใจด้วยอำนาจจิตตภาวนา นี้เราพูดเพียงย่อๆ นะ
ทีนี้เวลาเราภาวนาจิตของเราเป็นอย่างนี้ วันใดก็ตามเราอย่าไปคำนึงคำนวณถึงวันคืนปีเดือน ให้กำหนดกฎเกณฑ์อยู่กับคำภาวนา ให้อยู่ที่นั่น ไม่ต้องคิดว่าจะเอามรรคเอาผล เอานิพพาน ที่ไหนไม่ต้องคิด ให้อยู่กับคำบริกรรม นี้คือต้นเหตุอยู่ที่นี่ เมื่อคำบริกรรมกับจิตสืบเนื่องกันไปโดยลำดับแล้วธรรมจะปรากฏขึ้นที่นั่น ความสงบเย็นใจ ความสว่างไสว ความรื่นเริงในธรรมไม่ได้เหมือนรื่นเริงในโลกนะ รื่นเริงในโลกทำให้คนเดือดร้อนวุ่นวายไปมากต่อมาก แต่ความรื่นเริงบันเทิงในธรรมนี้มีแต่ความสุข ความเบาใจไปเรื่อยๆ สว่างไสว แปลกประหลาดอัศจรรย์ จิตก็เกาะยึดเรื่อยเข้าไป นี่เรียกว่าน้ำดับไฟ
ให้พากันดูหัวใจตนเองด้วยจิตตภาวนาบ้าง โลกทั้งโลกไม่มีใครดูจิตใจนะ ถ้าไม่ใช่ธรรมพระพุทธเจ้ามากระตุกว่า โก นุ หาโส กิมานนฺโท อย่าพากันเพลิดเพลินรื่นเริงบันเทิงเกินเหตุเกินผล ให้ย้อนเข้ามาดูหัวใจตนเองบ้าง ตัวนี้เป็นตัวเหตุอันสำคัญที่ก่อฟืนก่อไฟเผาท่านทั้งหลาย ความหมายว่าอย่างนั้น ให้ดูตัวนี้ แล้วจิตจะสงบเย็นลงไป พอนี้เย็นขึ้นไปมากเข้าๆ สว่างขึ้น สุดท้ายครอบโลกธาตุจิตดวงนี้นะ เป็นความสว่างไสว ความแปลกประหลาดความอัศจรรย์ครอบโลกธาตุเลย
ตั้งแต่ก่อนกิเลสครอบหัวใจ มีแต่พิษอำนาจของกิเลสครอบโลกธาตุ ไฟจึงเผาโลกทั่วดินแดน ทีนี้พอธรรมเกิดขึ้นเป็นน้ำดับไฟ ความเย็นฉ่ำของธรรมนี้จะกระจายออกไปครอบโลกธาตุเหมือนกัน นั่นละพระพุทธเจ้าตรัสรู้ปึ๋งขึ้นมาเท่านั้น เทวบุตรเทวดา อินทร์ พรหม รู้หมดๆ ในขณะเดียวกัน หมื่นโลกธาตุฟังซิ ได้เกิดความแปลกประหลาดอัศจรรย์ใจขึ้น ในขณะที่พระพุทธเจ้าตรัสรู้ในเวลาเดียวกันหมด นั่นละธรรมเกิดแล้วเกิดที่ใจนะ
โลกนี้ร้อนทั่วแดนโลกธาตุ กระเทือนอยู่โดยหลักธรรมชาติ แต่โลกไม่ตื่นตัว ไม่รู้ตัว จึงเหมือนกับหลับตลอดเวลา เวลาธรรมได้ปรากฏขึ้นในใจแล้วตื่นตัว มองไปที่ไหนๆ ตาอันเก่า หูอันเก่า ใจอันเก่า ทีนี้พลิกเหมือนพลิกอันเก่าออกหมด เปลี่ยนใหม่ขึ้นมา ใจเย็นสบาย นี่พระพุทธเจ้าตรัสรู้ พระสงฆ์สาวกท่านตรัสรู้ธรรม ตรัสรู้ที่ใจดวงเป็นฟืนเป็นไฟมาแต่ก่อนนั้นแหละ กลายเป็นน้ำดับไฟขึ้นมา เย็นฉ่ำ ตรัสรู้นี่หมายความว่าฟืนไฟดับโดยสิ้นเชิง เหลือแต่น้ำที่เย็นฉ่ำ อมตะมหานิพพาน เย็นอยู่ที่ใจ
นี่พระพุทธเจ้า พระสงฆ์สาวกท่านสอนโลกด้วยความเย็นฉ่ำในใจของท่าน สอนโลกด้วยความอัศจรรย์ สอนโลกด้วยบรมสุข ในโลกที่เต็มไปด้วยฟืนด้วยไฟ พระพุทธเจ้า พระสงฆ์สาวกท่านไม่เป็นฟืนเป็นไฟ ท่านสอนโลกด้วยความรื่นเริงบันเทิงภายในธรรมที่สุดยอดแล้ว ให้พากันจำ ให้ไปภาวนาบ้างนะ นี่หลวงตาจวนจะตายแล้วรีบสอนๆ ท่านทั้งหลายอย่ามาสำคัญมั่นหมายกับกิริยาท่าทาง ที่แสดงออกหนักเบามากน้อย เหมือนว่าตูมตามๆ อย่างนั้น ธรรมนี้ตูมตามไม่ได้เหมือนฟ้าดินถล่มของกิเลสนะ ฟ้าดินถล่มของกิเลสขาหักขาขาด ธรรมะตูมตามออกมานี้เรียกว่าต่อแข้งต่อขาให้ เข้าใจไหม เย็นใจเย็นฉ่ำ
กิริยาของธรรมออกมามีหนักมีเบา เป็นพลังของธรรม เช่น พลังของธรรมออกมาหนัก เหมือนอย่างว่าดุด่าว่ากล่าว วู่วาม เด็ด เป็นลักษณะเด็ดๆ เผ็ดๆ ร้อนๆ เป็นฟืนเป็นไฟ ความจริงเป็นน้ำดับไฟ ให้จำเอานะ ให้พากันไปปฏิบัติบ้าง ชาวพุทธเราทั้งประเทศไทยไม่มีใครสนใจกับน้ำดับไฟ คือดูหัวใจตนเองด้วยจิตตภาวนาบ้างเลยนี้มันเกินไปนะ ขอให้ดูตรงนี้ เรื่องราวทั้งหลายจะระงับดับลงด้วยดีๆ ส่วนรวมก็ระงับ ถ้าต่างคนต่างมีธรรมแล้วโลกนี้จะไม่รุ่มไม่ร้อน เผากันทั้งเป็นทั้งตายเลยละ จะสงบลงๆ ถ้ามีธรรม เขาก็มีธรรม เรามีธรรม ต่างคนต่างมองเห็นอกเห็นใจซึ่งกันและกัน เมื่อเห็นใจเราเห็นใจเขา มาเทียบเคียงกันแล้วใจดวงนี้มีความรู้สึกอย่างเดียวกัน ต้องคิดถึงใจเขาใจเรา คนเราเฉลี่ยความสุขให้กันได้นะ ไม่เอาแต่ไฟเผากันๆ อยากให้ได้สมมักสมหมายมันมีแต่ฟืนแต่ไฟเผาไหม้ทั้งเขาทั้งเรา ไม่ดีเลย ให้พากันจำเอานะ เอาละวันนี้พูดเพียงเท่านี้
ผู้กำกับ จากนสพ.พิมพ์ไทย คอลัมน์วิจารณธรรม วันจันทร์ที่ 25 ต.ค.47
จำต้องนำความจริงมาตีแผ่ !!
มีพระผู้ใหญ่ที่ผมเคารพนับถือฝากคำเตือนมาถึงผมว่า ขอเถอะ อย่าไปแตะต้องพระผู้ใหญ่ท่านนี้เลยบารมีของเราไม่ถึงท่านดอก เว้นๆ เสียได้ก็จะดี กับหลวงพี่อีกรูปหนึ่งก็บอกว่า ขอบิณฑบาตเถอะ อย่าไปแตะต้องท่านเลยจะเป็นบาปแก่ตัวเองเปล่าๆ ถึงจะผิดถูกอย่างไรก็ปล่อยๆ ท่านไปเถอะ คำเตือน คำขอ ดังที่กล่าวทำให้ผมต้องเกิดความระงับยับยั้งใจไว้เสมอ
ไม่อยากแตะต้องเลยจริงๆ !
ผมเหมือนกับเดินอยู่บนทางสองแพร่ง
ทางหนึ่งสู่นรกอวจี ทางหนึ่งสู่ภพภูมิชั้นสูง เป็นใครใครก็ต้องเลือกไปอยู่ในภพภูมิที่สูงกว่า ตายแล้วต้องการไปอยู่ในภพภูมิที่เป็นสุขเป็นทิพย์ด้วยกันทั้งนั้น
หวนกลับมาคิดถึงตนเองว่าเราเป็นใคร? เรากำลังทำหน้าที่อะไรให้แก่สังคม ประเทศชาติ เอ้อเรานี้ทำหน้าที่เป็นสื่อสายศาสนาและวัฒนธรรมนี่นะ ! แล้วเราทำหน้าที่ของเราได้ดีหรือยัง ? นำข้อมูลที่เป็นจริงมาเสนอต่อท่านผู้มีอุปการคุณหรือเปล่า ? หรือว่าขายข้อมูลเท็จ ! บิดเบือนข้อมูลให้ผิดจากความเป็นจริง เที่ยวปลิ้นปลอกหลอกลวงเขากินไปวันๆ !?
ละเว้นการเสนอพฤติกรรมของพระชั่ว คนชั่ว และเลือกเสนอแต่เนื้อหาที่ดีเพื่อรับประโยชน์จากเศษทานที่พระชั่ว คนชั่ว โยนมาให้อย่างนั้นหรือ
เราจะรักษาไว้ซึ่งสังคมประเทศชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ หรือว่าจะรักษาไว้ซึ่งพระชั่ว คนชั่ว ที่เบียดบังเอาประโยชน์ส่วนรวมของสังคม ประเทศชาติ ศาสนา มาเป็นของตน กลุ่มพวกของตน ?
เมื่อพิจารณาแล้ว เราเลือกเป็นผู้บริสุทธิ์จะดีกว่า เพราะเราเชื่อว่าการทำหน้าที่ด้วยความซื่อสัตย์สุจริต กระทำอย่างตรงไปตรงมา พระชั่ว คนชั่ว ก็ต้องว่าไปตามความชั่วที่เป็นจริง พระดี คนดี เราต้องเสนอความดีให้สังคมได้รับรู้ความเป็นจริง มันถึงจะถูกต้อง
เพราะเรามีหน้าที่เป็นสื่อ เชื่อว่าทุกท่านผู้เสียเงินซื้อหนังสือพิมพ์เพื่อเสพข่าวสารก็ต้องการรับทราบความเป็นจริงที่เกิดขึ้นกับสังคมด้วยกันทั้งนั้น
พระดี คนดี ก็จะมีกำลังใจในการทำความดีให้ยิ่งๆ ขึ้นไปเพื่อผลดีต่อสังคม
พระชั่ว คนชั่ว ก็จะขาดกำลังใจในการทำความชั่ว เข็ดขยาดจากการทำความชั่ว เพราะหากทำความชั่วแล้ว ก็จะถูกนำมาตีแผ่ให้เกิดความเสื่อมเสียไปทั้งโคตรเหง้าวงศ์ตระกูล
ดังนี้ ผมจึงเชื่อฟังคำตักเตือนของพระผู้ใหญ่ที่ผมให้ความเคารพนับถือกับหลวงพี่องค์นั้น ครึ่งหนึ่ง ส่วนอีกครึ่งหนึ่งขอให้ผมได้ทำหน้าที่โดยสุจริตของผมเถอะครับ ขอผมทำหน้าที่ทดแทนคุณแผ่นดินบ้างเถอะครับ ถ้าจะให้เห็นแก่สินจ้างรางวัล หรือให้เห็นแก่หน้าตาของผู้มีความละโมบโลภมากเสียแล้ว อนาคตของสังคมประเทศชาติและพุทธศาสนาต้องถึงกาลย่ำแย่
ความชอบธรรมในสังคมสงฆ์ยุคปัจจุบันแทบจะสิ้นสูญไปแล้ว เมื่อมาพิจารณาถึงสถานการณ์กรณีสั่งปลดหลวงพ่อเจ้าอาวาสวัดหลวงพ่อพุทธโสธร ฟังธงได้เลยว่า ขาดความชอบธรรมอย่างสิ้นเชิง
มีอยู่คืนหนึ่ง หลวงพ่อเจ้าอาวาสเข้าไปกราบขอความเมตตาต่อเจ้าพระคุณสมเด็จพระมหาธีราจารย์ เล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นให้เจ้าพระคุณสมเด็จฯฟัง เมื่อสดับแล้ว เจ้าพระคุณสมเด็จฯเอ่ยด้วยเมตตาว่า น่าสงสาร น่าเห็นใจนะ วันนั้นฉันไม่ได้เข้าประชุมด้วยก็เลยไม่รู้เรื่องนี้ ก่อนจะถึงวันประชุมมส. ฉันก็ได้ดูวาระการประชุมแล้วไม่เห็นมีวาระอะไรที่สำคัญ และเรื่องนี้ก็ไม่มีกำหนดในวาระการประชุม ฉันก็เลยไม่ได้เข้าพิจารณาด้วย
เจ้าคณะจังหวัดฉะเชิงเทรา เคยให้ข่าวว่า เรื่องนี้รู้มานานแล้ว เจ้าคณะภาค 12 (ท่านเจ้าคุณเหนาะ) กรรมการมหาเถรสมาคม ก็รู้เรื่องนี้มานานแล้ว เพราะเจ้าคณะปกครองสายตรงทั้งสองรูป ต่างก็รู้เรื่องนี้อย่างล้ำลึกดีกว่าใครทั้งหมด แล้วทำไมเล่าถึงนำเรื่องนี้เข้าสู่มหาเถรสมาคมโดยฉุกละหุก รีบร้อน แล้วออกมาเป็นมติมหาเถรสมาคมให้สั่งปลดหลวงพ่อเจ้าอาวาส ??
การที่เจ้าคณะจังหวัดออกมาท้าทายต่อกระบวนการตรวจสอบของฟากการเมือง ได้พิจารณารอบคอบดีแล้วหรือ ต้องการจะขยายความให้เกิดความเสียหายต่อการคณะสงฆ์ให้มากไปกว่านี้หรือ หรือว่ามีเจตนาต้องการระงับอธิกรณ์โดยสงบ
คำสั่งปลดที่แพร่งพรายออกมาทางข่าว ทำไมประธานคณะผู้ปฏิบัติหน้าที่สมเด็จพระสังฆราชถึงไม่กล้าลงนาม และทำไมการเจ็บป่วยอาพาธด้วยโรคร้ายถึงต้องมีการปกปิด พระสงฆ์องค์เจ้าผู้ใกล้ชิดทำไมถึงโกหกต่อสื่อมวลชนเป็นรายวัน
สมเด็จพระสังฆราช ผู้เลอเลิศด้วยปริยัติและปฏิบัติอย่างยากที่จะหาพระภิกษุรูปใดเสมอเหมือน ยังถูกประจานพระอาการออกไปทั่วประเทศ แล้วทำไมการเจ็บป่วยอาพาธอย่างหนักหนาสาหัสของพระคุณท่านองค์นี้คณะศิษย์ถึงต้องปกปิดกันนัก
ถึงเวลาปลดเปลื้องภาระแด่พระคุณท่านได้แล้วหรือยัง ??
ณ. หนูแก้ว
หลวงตา เอาละเข้าใจ นี่ขา คู้ไม่ได้เหยียด ปวด เขาว่าเป็นเพราะเส้นล้วนๆ ว่าอย่างนั้น เลยเอาให้เต็มเหนี่ยว เมื่อวานนี้เรียกว่าหนักมากที่สุดเลย บอกผู้นวดเส้นนวดเส้นเก่งมากนะ มือนี้เหมือนเหล็กเชียว จังต่อจังถึงกันเมื่อวานนี้ เราก็บอกไว้เลย ดูให้ดีว่าแน่ใจแล้วหรือว่าเป็นเพราะเส้นที่ขา ท่านก็บอกว่าแน่ใจว่าเป็นเพราะเส้น ถ้าหากเป็นเพราะเส้นแล้วเส้นไหนมันขัดมันขวางตรงไหนฟาดเลยนะ เอาให้เต็มที่วันนี้เราก็บอกอย่างนั้นแหละ
ขานี้มันอาจถูกเส้นมันกระตุกก็มีอะไรก็มี เพราะไม่ใช่ขาคนตายเราบอกอย่างนั้น มันอาจจะกระตุกกระติก เอ้า ปล่อยมันไปให้กระตุก ส่วนนวดซัดลงไปเราบอกอย่างนั้น ฟาดเอาเสียเต็มเหนี่ยวเมื่อวานนี้ ขาก็เป็นจริงๆ นะ ถูกเส้นมันกระตุกกระติกปึ๋งๆ เอ้า เอาลงไปซัดลงไป อึ๊ๆ อ๊ะๆ ไม่มีเหมือนคนตายผู้ถูกนวดก็ดี ผู้นวดก็ซัดลงไปเต็มเหนี่ยว เมื่อคืนนี้มันกำลังรบกัน ระบม ยังไม่ทราบชัด แต่มีอาการเบานิดหนึ่ง ยังจะเอาอีก เอาให้ถึงขีดถึงแดนเลย อะไรจะขาดให้ขาดไปเลย ให้ได้เห็นในประวัติศาสตร์แห่งประเทศไทยของเราว่า หลวงตาองค์ไหนจึงเป็นเหมือนขอนซุง ว่างั้น เอาจนขนาดนั้นยังเฉยเหมือนขอนซุง ให้ได้เห็นเสียทีอันนี้ก็ดี อันนี้ก็ไม่ปิด เข้าใจไหม เปิดเลยเรา เราเป็นอย่างนั้นเราก็เปิดอย่างนั้นเลย พูดเท่านั้นละวันนี้ นี่จะเอาให้มันถึงเขตถึงแดน เป็นยังไงก็ให้รู้กัน ขาเหลืองๆ นี้ประคบยานะนี่ ไม่ใช่หลวงตาทาแป้งแต่งตัวนะ ยาประคบเหลืองอร่ามแบบนี้ ใครอยากเห็นอยากเป็นอย่างนี้ไหม ถ้าอยากเป็นอย่างนี้ให้เจ็บขาเสีย เอาละที่นี่ให้พร
อย่าลืมภาวนานะ เมื่อเช้าเรารู้สึกชื่นใจ ตีสามกว่าเราลงไปเดินจงกรม เห็นไฟอยู่ตามแถวนั้นเราก็ดีใจ ชุ่มชื่นในจิตใจ เราลงไปเดินจงกรมตีสามครึ่งพอดี เราลงไปเดิน เมื่อเช้านี้เห็นไฟตามนั้น วันหลังเป็นยังไงคอยดูอีกนะ นี้ดูคนดูมืดๆ นะ ไม่มีใครเห็นละหลวงตา เพราะหลวงตาไม่ว่าจะเดินจงกรมในป่าในภูเขาก็ตาม ไม่เคยจุดไฟ เป็นปรกตินิสัยอย่างนั้นมา เดินมืดๆ อย่างนั้นละ อยู่ในภูเขาในป่า ดงช้าง ดงเสือก็ตาม เดินมืดๆ อย่างนั้นละ เป็นปรกตินะ นี้ก็เป็นนิสัยอันนั้นมา อยู่ในวัดนี้ก็เหมือนกัน ไม่เคยจุดไฟเดินจงกรม เพราะฉะนั้นมันจึงได้สนุกดูที่ไหน พูดเท่านั้นละ
โยม หลวงตาคะ หนูปฏิบัติกับหลวงตา หนูอยากให้หลวงตาช่วยอบรมหนู ถามการปฏิบัติของหนูค่ะหลวงตา
หลวงตา ก็เทศน์ตะกี้นี้ ฟ้าดินถล่มจนกระต่ายวิ่ง ยังไม่รู้อีกเหรอ
โยม อาการของหนู เกิดขึ้นกับหนู หนูปฏิบัติอยู่ที่ถ้ำสาริกา จังหวัดนครนายก จากเมื่อปี ๔๓ หนูเจ็บที่ข้างหลัง หนูก็ยอมเจ็บจนทนไม่ได้ เสร็จแล้วก็พอจนกะว่าตายเป็นตาย ก็พรึบหายไปเลยค่ะ ความเจ็บปวด หายแล้วมันก็สว่างหมด บนเขา มันไม่มีต้นไม้ ไม่มีตึกอย่างทุกวันนี้ค่ะ มันจะสว่างเย็นแล้วจะมียอดหญ้า เหมือนหนูอยู่บนยอดหญ้าเป็นจิตสองดวง จิตดวงหนึ่งก็จิตหนูเอง เขาบอกหนูว่า ที่เขาด่าเรา เขายกตัวอย่าง เราโกรธแล้วเป็นทุกข์ไหม เขาก็ถาม จิตหนูก็ตอบว่าเป็นทุกข์ เสร็จแล้วมันก็อธิบายว่า สมมุติว่าเขาด่าเรา เราเป็นทุกข์ แล้วเราจะหาเหตุยังไงว่าเขาถึงด่าเรา เราต้องหาเหตุก่อน
หลวงตา อ้าวย่นเข้ามาๆ
โยม เสร็จแล้วก็มาอีกหน่อย เขาก็บอกว่า รู้ไหมคนเราทุกข์ มีทุกข์กี่อย่าง มีทุกข์ ๒ อย่าง
หลวงตา เอาละเข้าใจ เข้าใจแล้ว นี้ท่านอาจารย์มั่นท่านอยู่ที่นั่น ท่านเลิศเลอขึ้นที่นั่น แสดงความแปลกประหลาดอัศจรรย์อยู่ที่ตรงนั้น เราเคยเขียนในประวัติแล้ว ดูประวัติหลวงปู่มั่นนะ จะเข้ากันได้กับอันนี้ทันที ถ้ำสาริกาอันเดียวกัน ให้ไปปฏิบัติอย่างนั้นแหละ จิตดวงนี้ก็บอกแล้วตะกี้นี้ว่าเป็นยังไง เป็นของเล่นเมื่อไร ถูกมูตรถูกคูถปกคลุมเอาไว้ มันแสดงตัวไม่ได้ต่างหาก พอเบิกอันนี้ออกๆ น้ำชะล้างลงไป แล้วอันนี้จะสว่างขึ้นมา ก็จ้าอย่างนี้ละ ตามจริตนิสัยของใครจะออกมากน้อยจะแสดงฤทธิ์เต็มที่ที่จิตใจ นี่ได้พูดให้ฟังเหล่านี้ไม่ใช่พูดเฉยๆ ทำมาแล้ว ทุกสิ่งทุกอย่างเจอมาเต็มกำลังนิสัยวาสนาของตนจึงเอามาพูด ไม่ปิดปาก รู้อันใด เห็นอันใดที่ควรจะพูดได้ จะพูดออกมาให้ฟัง เพื่อเป็นคติเตือนใจ เข้าใจไหม จิตเป็นของวิเศษมากนะ ถูกปกคลุมด้วยมูตรด้วยคูถคือกิเลสตัณหา ให้พากันเปิดออกด้วยจิตตภาวนา เข้าใจแล้วเหรอ เอาละไปพอ
รับฟังรับชมพระธรรมเทศนาของหลวงตา ได้ที่
www.Luangta.com หรือ www.Luangta.or.th
และรับฟังจากสถานีวิทยุสวนแสงธรรม กรุงเทพฯ และสถานีวิทยุอุดร
FM 103.25 MHz |