ไม่มีคดมีงอคือธรรม
วันที่ 9 ตุลาคม 2547 เวลา 8:30 น.
สถานที่ : วัดป่าบ้านตาด
| |
ดาวน์โหลดเพื่อเก็บไว้ในเครื่อง
ให้คลิกขวาแล้วเลือก Save target as .. จาก link ต่อไปนี้ :
ข้อมูลเสียงแบบ(Win)   วิดีโอแบบ(Win Narrow Band)

ค้นหา :

เทศน์อบรมฆราวาส ณ วัดป่าบ้านตาด

เมื่อวันที่ ๙ ตุลาคม พุทธศักราช ๒๕๔๗

ไม่มีคดมีงอคือธรรม

 

         ความจำนี่มันหดเข้ามาๆ เช่นอย่างเมื่อวานนี้ไปไหน พอมาถึงวันนี้ระลึกไม่ได้แล้ว ต้องนึกนานถึงจะได้ เช่นอย่างเมื่อวานนี้ไปไหนมามันก็ระลึกไม่ได้ คือมันหดเข้ามาๆ ความจำ แต่สังขารมันปรุงของมันได้เรื่อยๆ สังขารนี้รู้สึกว่าไม่ค่อยเปลี่ยนแปลงในความคิดความปรุง สัญญานี้กุดด้วน คือคอยจำๆ กุดด้วนเข้ามาๆ สังขารความคิดปรุงเรื่องนั้นเรื่องนี้อะไรนี้ก็เห็นคิดอยู่ธรรมดา นี่เราพูดถึงเรื่องสังขารที่ไม่มีอะไรมาบังคับนะ คือสังขารนี้เป็นเครื่องมือของทั้งกิเลสทั้งธรรม ถ้าเป็นเครื่องมือของกิเลสแล้วกิเลสจะผลักดันออกให้คิดเรื่องนั้นเรื่องนี้ สัญญาก็จำไปตามๆ กัน แต่สังขารรู้สึกว่าไม่ค่อยเปลี่ยนแปลง มันก็คิดของมันได้ธรรมดาๆ แต่สัญญานี้เปลี่ยนแปลงมากทีเดียว จำไม่ค่อยได้ สังขารนี่คิดธรรมดา

คือสังขารของสามัญชนทั่วๆ ไปนี้เป็นเครื่องมือของกิเลส เรียกว่าร้อยเปอร์เซ็นต์เลยก็ได้ กิเลสจะผลักดันให้คิดเรื่องนั้นเรื่องนี้เรื่อย ทางนี้ก็คิดไปตามนั้นๆ ความจดความจำก็จำไปตามนั้น ตาเห็นรูป สังขารขึ้นแล้วคิดแล้ว หูได้ยินเสียง สังขารคิดขึ้นแล้วๆ สังขารสมุทัย คือกิเลสนั่นแหละท่านเรียกว่าสมุทัย แดนแห่งทุกข์ คือสถานที่เกิดแห่งทุกข์ ท่านเรียกว่าสมุทัย เป็นต้นเหตุที่จะให้เกิดทุกข์ ตัวนี้เป็นผู้สร้างเหตุ ทุกข์เป็นผล ท่านจึงเรียกว่า ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค

สังขาร ความคิดของคนทั่วๆ ไปนี้ กิเลสเอาไปใช้เป็นเครื่องมือของกิเลส ในขันธ์ ๕ นี้เป็นเครื่องมือของกิเลสทั้งนั้น รูปกายของเรานี้ก็เป็นเครื่องมือของกิเลส ความสุขความทุกข์ได้จากสิ่งสัมผัสจากความคิดความปรุง ความรู้ความเห็นต่างๆ ได้ยินได้ฟังมันก็เกิดสุขเกิดทุกข์ขึ้นมา สัญญา ความจำได้ จำบ้านนั้นเมืองนี้ จำชื่อจำเสียง เหล่านี้เรียกว่าสัญญา สังขารนี้คือความคิดความปรุง คิดดีคิดชั่วเป็นเรื่องสังขารคิดดีคิดชั่วไปเรื่อยๆ วิญญาณ ความรับทราบ ตาสัมผัสรูปรับทราบแย็บๆ หูรับทราบทางเสียง ได้ยินเสียง เรียกว่าวิญญาณทางหู พอเสียงนั้นดับไปอันนี้ก็ดับไป

รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ท่านเรียกว่าขันธ์ ๕ ท่านแปลไว้สองนัย แปลว่า ขันธ์ แปลว่า กองก็ได้ แปลว่าหมวด ถ้าเกี่ยวกับเรื่องหนังแส่หนังสือก็เรียกว่าหมวด ถ้าเกี่ยวกับเรื่องของบุคคลก็เรียกว่ากอง ย่นลงมาหากองทุกข์ก็ได้ว่างั้นเถอะน่ะ มันกองอยู่ในนี้หมดแล้วกองทุกข์ ขันธะ แปลว่า กอง หรือแปลว่า หมวด ถ้าเกี่ยวกับเรื่องหนังแส่หนังสือ ท่านแยกออกเป็นหมวด ถ้าเรื่องของธาตุของขันธ์อย่างนี้ท่านเรียกว่ากอง กองรูป กองเวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ เป็นหมวดเป็นกองไปอย่างนั้น แต่สังขารดูมันก็ไม่เห็นจะคร่ำคร่าชรา มันคิดของมันได้เรื่อยๆ  แต่สัญญาความจำนี้เสื่อม เรื่องวิญญาณที่จะรับทราบทางตา หู จมูก ลิ้น กาย มันแล้วแต่เครื่องมือรับทราบ ถ้าตาบอดเสียมันก็ไม่เห็น จักขุวิญญาณ โสตวิญญาณ คือรู้ได้ทางตาทางหูท่านเรียกวิญญาณๆ

ตามองเห็นอะไรรู้ขึ้นมา หูได้ยินอะไรรู้ขึ้นมา ท่านเรียกว่าวิญญาณ ความรับทราบๆ และดับไปในขณะที่สิ่งนั้นผ่านไปๆ เวทนา คือความสุข ความทุกข์ ที่ได้จากสิ่งสัมผัสเหล่านั้น เกิดความสุขบ้าง ทุกข์บ้าง ขึ้นมา หรือเฉยๆ บ้าง ท่านเรียกว่า รูป เวทนา สัญญา ความจดจำ จำชื่อจำเสียง จำบ้านจำเมือง เช่นจำหนังแส่หนังสือเหล่านี้เรียกว่าสัญญา ความจำ สังขารความคิดความปรุง ปรุงดีปรุงชั่ว คิดดีคิดชั่ว เรียกว่าสังขาร วิญญาณ ความรับทราบ ตามองเห็นรูปรับทราบ หูได้ยินเสียงแพล็บรับทราบ วิญญาณรับทราบทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ในขันธ์ ๕ เป็นอย่างนี้

เรามาหนักที่ขันธ์นี่ละสำคัญมาก สังขารขันธ์ สัญญา เดี๋ยวนี้ไปไหนมันจำไม่ค่อยได้ ไปมาแล้วจะจำนี้ต้องคิดเสียก่อน คิดแล้วดับไปๆ เมื่อวานนี้ไปไหนน้า คือความจำมันจะไม่เอาไหนแล้ว ต้องคิดนานๆ ถึงจะแย็บออกมา อ๋อ ไปนั้น ธรรมดาพอว่าไปไหน มันพับ แต่ก่อนนะ เดี๋ยวนี้ไม่แล้วความจำ นี่เรียกว่าความจำ สังขาร คือความคิดความปรุงเรื่องดีเรื่องชั่ว ถ้าขันธ์ของปุถุชนคนมีกิเลส เช่นสังขารขันธ์ เป็นต้น ขันธ์นี้ก็เป็นเครื่องมือของกิเลส คิดตั้งแต่เรื่องของกิเลสไปเรื่อยๆ ตลอด คิดเรื่องอรรถเรื่องธรรมก็เรียกสังขาร แต่คิดเรื่องอรรถเรื่องธรรมน้อยมาก สำหรับผู้ไม่เคยทางด้านธรรมะ ดีไม่ดีไม่ได้คิดเรื่องธรรมเลย คิดแต่เรื่องกิเลสเป็นหลักธรรมชาติของจิตดวงนั้นที่มีกิเลสฝังอยู่ในนั้น ผลักดันออกมาให้คิดๆ เด็กผู้ใหญ่คิดได้ทั้งนั้นแหละเรื่องกิเลสอยู่ภายในใจ นี่เรียกว่าสังขารนี้เป็นเครื่องมือของกิเลส

ทีนี้พอชำระกิเลสอยู่ภายในนั้นออกหมดโดยสิ้นเชิงแล้ว สังขารก็เป็นกลางๆ เป็นเครื่องมือได้ทั้งกิเลสได้ทั้งทางธรรมะ ถ้าหมุนไปทางธรรม สังขารนี้ก็ไปทางธรรม คิดเรื่องอรรถเรื่องธรรม เรื่องดีเรื่องชั่ว เรื่องละเรื่องถอน นี่เรียกว่าสังขาร ทีนี้แยกไปอีกว่า สังขารของปุถุชนกับสังขารของพระอรหันต์ หรือขันธ์ของปุถุชนกับขันธ์ของพระอรหันต์ ขันธะแปลว่ากอง ขันธ์มีอยู่ ๕ กอง รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ เรียกว่า ๕ กอง เป็นขันธ์ของปุถุชนหนึ่ง ขันธ์ของพระอรหันต์หนึ่ง พระอรหันต์สิ้นกิเลสเรียบร้อยแล้ว ขันธ์นี้เป็นเครื่องมือใช้ทางด้านธรรมะธัมโมไปเรื่อยๆ

ทีนี้กิเลสเอาเป็นเครื่องมือ ขันธ์ของคนมีกิเลส ขันธ์เหล่านี้เป็นเครื่องมือของกิเลสล้วนๆ มันต่างกัน คือคิดปรุงเรื่องอะไรๆ นี้ มีตั้งแต่เป็นไปตามกิเลส กิเลสพาให้คิดให้ปรุงให้ยึดให้ถือทุกอย่างไปเลย นี่เรียกว่าขันธ์ของปุถุชน มีทั่วๆ ไปหมดอันนี้นะ ขันธ์ของพระอรหันต์เป็นขันธ์ล้วนๆ ไม่มีกิเลส ท่านเรียกว่าขันธ์ล้วนๆ มีแต่ธรรมใช้เป็นเครื่องมือ เช่นใช้แนะนำสั่งสอน ใช้ทำประโยชน์ให้โลกก็ใช้ แต่ท่านไม่ยึด ขันธ์ของท่านท่านไม่ยึด ท่านเอามาใช้เฉยๆ  แต่กิเลสนั้นยึด ยึดหมด ต่างกันอย่างนี้ จึงเรียกว่าขันธ์ของคนมีกิเลส กับขันธ์ของพระอรหันต์ ขันธ์ของกิเลสเป็นไปด้วยกิเลส กิเลสเป็นเจ้าของ นำไปใช้ได้ทุกแบบทุกฉบับ ขันธ์ของท่านผู้สิ้นกิเลสเรียบร้อยแล้วเป็นขันธ์ล้วนๆ ท่านไม่ยึด ท่านต้องการท่านก็ใช้ ใช้แล้วท่านไม่ยึด เรียกว่าเป็นขันธ์ล้วนๆ ขันธ์ของพระอรหันต์เรียกว่าเป็นขันธ์ล้วนๆ  ขันธ์ของปุถุชนเราเป็นขันธ์ของคนมีกิเลส พากันจำเอา

เรื่องขันธ์นี้มีอยู่เหมือนกัน แต่สำคัญอยู่ที่ผู้รับผิดชอบภายในคือใจ ใจเป็นผู้รับผิดชอบ ใจเต็มไปด้วยกิเลสยึดหมด ใจเป็นผู้รับผิดชอบ ใจเป็นผู้สิ้นกิเลสไม่ยึด เรียกว่าอาศัยใช้ไปอย่างนั้น ที่เอามาพูดเหล่านี้ไม่ใช่ไปดึงไปหาเอามาตั้งแต่ธรรมะดึกดำบรรพ์กาลไหนๆ กัปใดกัลป์ใด สมัยนี้ไม่มีความหมาย ไม่ใช่อย่างนั้นนะ ธรรมะที่กล่าวเหล่านี้เป็นธรรมะสดๆ ร้อนๆ มีอยู่กับทุกรูปทุกนาม กับใจของเราทุกคนๆ ไป สดๆ ร้อนๆ ทั้งฝ่ายกิเลสทั้งฝ่ายธรรม อยู่กับตัวกับขันธ์ของเรา กับใจของเรา สดๆ ร้อนๆ ด้วยกัน ไม่ได้ไปอยู่ในดึกดำบรรพ์กาลไหนๆ ที่ไหนๆ ว่าสุดเอื้อมหมดหวังอะไรนะ มันอยู่ในนี้ ที่กล่าวเหล่านี้

เช่นอย่างขันธ์พระอรหันต์ ชำระกิเลสออกหมดแล้วจะเห็นขันธ์ตัวเองขึ้นมาทันที แต่ก่อนขันธ์เป็นยักษ์เป็นเปรตเป็นผี ขันธ์นี้เป็นลิงไปเลยเทียว เจออะไรมันคว้ามับๆ นี่ขันธ์ของปุถุชน ขันธ์ของพระอรหันต์เพียงผ่านไปๆ ท่านไม่ยึดท่านไม่เกาะ เหมือนอย่างเศรษฐีเดินผ่านไปตามหน้าร้าน ไม่เหมือนกับคนทุกข์คนจนหรือขโมย ขโมยผ่านหน้าร้านเจ้าของเผลอไม่ได้ ฉวยมับ เศรษฐีผ่านหน้าร้านไม่สนใจกับสิ่งของใช่ไหมล่ะ เพราะเจ้าของมีพอแล้ว นี้ใจของท่านมีพอทุกอย่าง ท่านไม่ยึดอะไร กระทบอะไรสัมผัสอะไรท่านก็ผ่านไปๆ ท่านไม่หิวไม่โหย ท่านไม่ยึด จึงเรียกว่าเป็นขันธ์ล้วนๆ สำหรับพระอรหันต์

ใครชำระตามทางพระพุทธเจ้าที่สอนนี้ก็เป็นสดๆ ร้อนๆ เหมือนกัน ปฏิบัติตาม รู้เห็นผลขึ้นมา เป็นธรรมะสดๆ ร้อนๆ ประกาศขึ้นในตัวของเราได้ด้วยกันทุกคน จำเป็นอะไรจะต้องพระพุทธเจ้ายังอยู่ธรรมเหล่านี้จึงจะมี พระพุทธเจ้านิพพานไปแล้วธรรมเหล่านี้ไม่มี ให้กิเลสหลอก ธรรมพระพุทธเจ้าสอนเพื่อความรู้แจ้งเห็นจริงสดๆ ร้อนๆ ผู้ปฏิบัติตามจะได้ผลเป็นที่พอใจโดยลำดับลำดาไป เรียกว่าเป็นธรรมสดๆ ร้อนๆ ไม่ใช่ธรรมสุดเอื้อมหมดหวังอะไรนา มีอยู่ในดึกดำบรรพ์กาลโน้นกาลนี้ สมัยนี้ไม่มีหวัง ไม่ใช่ธรรมประเภทนั้น ธรรมประเภทนั้นกิเลสหลอกคน

อย่างทุกข์ที่มันเกิดอยู่ในขันธ์ ตั้งแต่ดึกดำบรรพ์กาลไหนๆ ที่ไหนมา มันจะเกิดสดๆ ร้อนๆ อยู่ในสัตว์ในบุคคลนี้ใช่ไหม มันมีดึกดำบรรพ์ที่ไหนทุกข์ ความสุขก็แบบเดียวกัน ธรรมกับกิเลสก็แบบเดียวกัน สดๆ ร้อนๆ เหมือนกัน เอื้อมไปทางกิเลสเป็นกิเลสขึ้นมาทันที เอื้อมไปทางธรรมเป็นธรรมขึ้นมาทันที จึงเรียกว่าธรรม บทเวลาปรากฏในเจ้าของแล้วนี้ เริ่มขึ้นไปๆ ตั้งแต่จิตเริ่มมีความสงบเริ่มก้าวออก ตั้งแต่สงบเย็นใจขึ้นมา กระแสนี้จะพาดพิงถึงองค์ศาสดา จะเริ่มพาดพิงไปถึงองค์ศาสดา ตั้งแต่จิตสงบเย็น สงบแน่วเป็นสมาธิ จากนั้นก้าวทางด้านปัญญา เหมือนว่าส่องแสงสว่างถึงพระพุทธเจ้าเรื่อยๆ นี่ละธรรมเป็นอันเดียวกัน

ยิ่งธรรมปรากฏขึ้นที่ใจมากน้อยเท่าไรๆ เหมือนได้จับชายจีวรพระพุทธเจ้าเลย นิพพานหวุดหวิดๆ กับที่เราคว้าใส่นิพพานอยู่ชั่วเอื้อมๆ หวุดหวิดๆ ให้ได้ดำเนินธรรมะเข้าไป นิพพานสดหรือไม่สด แห้งหรือไม่แห้ง จืดหรือไม่จืด ดึกดำบรรพ์ไหน เข้าใจไหมล่ะ ก็ใจมีดึกดำบรรพ์ที่ไหน เป็นนักรู้ตลอดเวลาเมื่อเกี่ยวกับเรื่องธรรมเข้าไป ธรรมมีอยู่ตลอดเวลาเช่นเดียวกัน เมื่อรู้เข้าไปแล้วมันก็ขยับ อย่างที่พระพุทธเจ้าแสดงว่า ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นชื่อว่าเห็นเราตถาคต จะเริ่มเห็นกระแสของธรรมจากพระพุทธเจ้ามาตั้งแต่จิตเริ่มเป็นสมาธิ ความสงบเย็นๆ ก้าวเข้าสู่ปัญญา ใกล้เข้าไปๆ ปัญญาเป็นขั้นๆ ใกล้เข้าไปๆ จนกระทั่งปัญญาฟาดกิเลสขาดสะบั้นออกหมดโดยสิ้นเชิงไม่มีอะไรเหลือแล้ว ความบริสุทธิ์พุทโธของตัวเองผุดขึ้นมา อันนี้กับอันนั้นเข้ากันได้ทันที ดึกดำบรรพ์ที่ไหน

ขอให้จิตบริสุทธิ์เถอะ ของเราบริสุทธิ์ผึงกับของพระพุทธเจ้าเป็นอย่างไรนี้เข้ากันได้ทันที ไม่มีคำว่าดึกดำบรรพ์กาลไหนๆ อดีตอนาคตไม่มี ขอให้ปฏิบัติ ท่านจึงบอก ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นเราตถาคต ท่านไม่บอกว่าดึกดำบรรพ์กาลโน้นกาลนี้อะไร พิสูจน์ทางใจนะธรรมะ เรียนในแบบในแผนตำรับตำราเถียงกันวันยังค่ำ ดีไม่ดีเอาคัมภีร์ทั้งคัมภีร์ที่จดจำได้มา มาเป็นมรรคเป็นผลเป็นนิพพานขึ้นมา แล้วเย่อหยิ่งจองหองว่าตัวเรียนมากร้มาก ทิฐิมานะเกิดขึ้นจากการศึกษาเล่าเรียน ยิ่งมีผู้ไปยกยอบ้างว่าเป็นผู้เรียนมาก เป็นพระไตรปิฎกเคลื่อนที่เท่านั้นแล้วขี้แตกออกเลย เขาจับหางยกขึ้นสักหน่อยเหมือนควาย ขี้แตกออกเลย เป็นอย่างนั้นนะ นี่ความจำ

เราไม่ประมาท ความจำเป็นพื้นฐาน ท่านเรียกว่าปริยัติ เกสา โลมา นขา ทันตา ตโจ นี้คือความจำ ท่านสอนแล้วปริยัติ สอนตั้งแต่บวช ให้นำปริยัติคือ เกสา โลมา นขา ทันตา ตโจ จนกระทั่งเข้าถึงอาการ ๓๒ ในตัวของเรา สมบูรณ์แล้วด้วยอริยสัจ และสมบูรณ์แล้วด้วยมรรคผลนิพพาน อยู่ตรงนี้ เอาอันนี้ไปคลี่คลาย การคลี่คลายการพิจารณานี้เรียกว่าภาคปฏิบัติงาน ปฏิบัติไปมันก็รู้เข้าไปเห็นเข้าไป ปล่อยเข้าไปวางเข้าไปๆ จนปล่อยวางโดยสิ้นเชิงเพราะรู้แจ้งเห็นชัดแล้ว  นั่นชื่อว่าปฏิเวธ รู้แจ้งแทงทะลุไปโดยลำดับจนกระทั่งทะลุหมดเลยในศาสนาของพระพุทธเจ้าที่สมบูรณ์แบบก็มีอยู่ ๓ ประการ เรียกว่าศาสนาที่สมบูรณ์แบบ ไม่ขาดบาทขาดตาเต็ง คือ ปริยัติ ปฏิบัติ ปฏิเวธ

ถ้ามีแต่ปริยัติไม่มีความหมายอะไรแหละ ขาดบาทขาดตาเต็ง ถ้ามีปฏิบัติปั๊บเข้าไปเพิ่มแล้ว ปฏิบัติตาม ปฏิเวธผลของการปฏิบัติจะเกิดขึ้นๆ เกี่ยวโยงกันไปอย่างนี้ นี่ศาสนาของพระพุทธเจ้า ไม่มีแต่ความจำเฉยๆ มาโอ้มาอวด ไม่เกิดประโยชน์อะไร ทิฐิมานะก็สูง คนที่เรียนสูง เลยเอาการศึกษาเล่าเรียนเอาความจำมาเป็นมรรคผลนิพพาน แล้วเย่อหยิ่งจองหองไป ท่านผู้ที่ปฏิบัติจริงๆ รู้จริงเห็นจริงท่านไม่มี ความเย่อหยิ่งจองหองท่านไม่มีเลย ยิ่งลดลงๆ เหลือแต่ธรรมชาติเข้าได้หมด กับสัตว์สาราสิงเข้าได้หมด เพราะฉะนั้นสัตว์แม้แต่อยู่ในครรภ์ก็ไม่ให้ทำลาย ฟังซิน่ะ ท่านให้ความเสมอภาคไปหมดนะ นี่ละธรรมเข้าสู่ใจ ใจบริสุทธิ์แล้วเป็นอย่างนั้น

เราพูดถึงเรื่องภาคปริยัติความจำ สังขารความคิดความปรุง จนกระทั่งถึงขันธ์ของพระอรหันต์เป็นขันธ์ล้วนๆ ไม่มีกิเลสเข้ามาเจือปน ท่านนำขันธ์นี่ไปใช้ทำประโยชน์แต่ท่านไม่ยึดขันธ์เหมือนกิเลส กิเลสถือเป็นของตัวด้วย ยึดด้วย แล้วเอาขันธ์นี้ไปใช้ด้วย นี่คือขันธ์ของปุถุชน ขันธ์ของพระอรหันต์เป็นขันธ์ล้วนๆ ขันธ์ไม่มีกิเลส กิเลสขาดสะบั้นลงไปแล้ว ขันธ์ก็เป็นเครื่องมือใช้ธรรมดา เป็นอย่างนั้นนะ ให้พากันจำพวกเรา เรียนพุทธศาสนาเลยกลายเป็นเหยียบหัวพระพุทธเจ้านะ เรียนธรรมๆ แต่ไปเหยียบหัวพระพุทธเจ้า เหยียบหัวธรรมไปเรื่อยๆ เวลานี้ น่าสลดสังเวชนะ

ตัวอาจเอื้อมสุดยอดคือกิเลส ตัวเย่อหยิ่งจองหองสุดยอดคือกิเลส ทิฐิมานะวางมาดใหญ่ที่สุดไม่มีอะไรเกินกิเลส กิเลสนี้ตัวมาดใหญ่มากทีเดียว เป็นภัยต่อโลกอีกด้วยนะ พิษของกิเลสที่มันตัวมาดใหญ่ๆ ไม่ได้เหมือนธรรม ธรรมรู้เท่าไรเห็นเท่าไร ปลดปล่อยสิ่งที่เป็นภัยคือเรื่องของกิเลส ความยึดมั่นถือมั่น ความสำคัญตน ปลดออกปล่อยออกโดยหลักธรรมชาติ เมื่อถึงขั้นบริสุทธิ์เต็มที่แล้วเข้าได้หมด ฟังซิ แม้แต่อยู่ในท้องก็ไม่ให้แตะไม่ให้ทำลาย ท่านให้ความเสมอภาคหมด ปล่อยวางตามหลักความเป็นจริง มีแต่ความเมตตาล้วนๆ อ่อนนิ่ม ไม่มีอะไรจะอ่อนนิ่มยิ่งกว่าจิตของพระอรหันต์ท่าน อ่อนนิ่มที่สุด

ถึงกิริยาอาการจะแผดออกมาแบบไหนๆ ก็แผดออกมาตามเหตุการณ์ต่างหาก ท่านไม่ได้แผดออกมาตามอำนาจของกิเลส ท่านไม่มีกิเลสท่านจะเอาอะไรออกมา เช่นเขาถากไม้ ไม้นี้ตรง ตรงนี้ตรง ตรงนี้มันคดมันงอ ถ้าตรงไหนตรงเขาก็ถากเรียบๆ ธรรมดา ถ้าตรงไหนคดงอ ขวานเขาก็หนักมือถากแรงเข้าไป นี้ก็เหมือนกัน กิเลสมันมีคลื่นของมัน คลื่นกิเลสเรียบๆ มักจะมีน้อย แต่คดๆ งอๆ นี้มากที่สุด เพราะฉะนั้นต้องได้ใช้ขวานอย่างแรง แล้วก็หาว่าดุ ต้นเสามันหาว่าขวานดุ เข้าใจไหม ต้นเสาไม่มีวิญญาณ แต่ใจของสัตว์โลกมีวิญญาณ มันก็หาเรื่องหาราวใส่ธรรมทันทีเลย จึงไม่อยากฟัง ใครพูดดุด่าว่ากล่าวบ้าง ถากแรงๆ บ้างเพื่ออันนี้จะได้ตรง มันไม่ยอม มันต้องการคดงออยู่อย่างนั้นใช่ไหมล่ะ คดงอตลอดเวลา หลอกลวงต้มตุ๋นไม่มีอะไรเกินกิเลสตัวนี้ ตัวคดตัวงอ ตัวปลิ้นปล้อนหลอกลวง ปั้นขึ้นได้ทุกอย่างคือเรื่องของกิเลส ธรรมท่านไม่ปั้น ท่านพูดตามหลักความจริงๆ ดังที่เราพูดอยู่ทุกวันนี้ เราไม่ได้อาจเอื้อมไม่ได้วัดรอย ความจริงเป็นอย่างเดียวกัน พูดอย่างเดียวกันได้ผิดไปไหน

ธรรมะเป็นของพูดได้ รู้ได้เห็นได้พูดได้ เช่นเดียวกับกิเลส พูดได้เห็นได้ แต่ที่กิเลสหนาๆ มันไม่ได้ว่ามันมีกิเลสนะ มันว่ามันเก่งไปด้วยนะกิเลส แต่ธรรมะมากเท่าไรยิ่งปลดลงปล่อยลงหมดไม่มีอะไรเหลือเลย ต่างกันอย่างนั้น ไม่มีคดมีงอคือธรรม ดังที่เรานำพี่น้องชาวไทยของเรา เราก็ไม่เคยคิดเคยอ่านว่าจะได้นำพี่น้องดังที่อยู่ในท่ามกลางสนามแห่งชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์เวลานี้ เราอยู่ในจุดศูนย์กลาง กระเทือนไปหมดเลยเกี่ยวกับเรื่องชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ เราอุ้มทั้งหมดเลย เพราะฉะนั้นอะไรที่เข้ามาแตะต้องทำลายองค์กษัตริย์ทั้งสามพระองค์นี้จึงได้ฟัดได้เหวี่ยงกัน นี้ละเหมือนกับว่าถากเหมือนกับว่าฟัดกันเข้าใจไหม

อย่างที่เขาหาเรื่องหาราว เรายังขบขันนะ ไอ้อุดม เสื่อม นั่นน่ะ เราเอามาคิดเป็นเรื่องขบขัน เป็นเรื่องสลดสังเวชในความหนาของกิเลสของคน ไม่รู้เนื้อรู้ตัวเลย ว่าหลวงตาบัวนี้อยู่สวนแสงธรรม เขาแต่งคนไปดูเขาว่าอย่างนั้น นี่เห็นไหมเขาปั้นขึ้นมา เขาแต่งคนมาดูหลวงตาบัว มีแต่แม่ชีแม่ขาวห้าคนหกคนรุมปฏิบัติอุปถัมภ์อุปัฏฐากท่านอยู่ในสำนักสวนแสงธรรม เขาว่าไม่เป็นที่เคารพเลื่อมใส ก็เท่ากับหลวงตาบัวมีเมียมีแม่ชีแม่ขาว อย่างน้อยมีแม่ชีแม่ขาวห้าคนหกคนเป็นเมีย เขาไม่ได้บอกว่าเป็นเมียเท่านั้นแหละ เขาเอาไว้นิดหนึ่ง มันก็ลงจุดนั้นแล้วใช่ไหมล่ะ นี่แหละเขาปั้นขึ้นมาประกาศในท่ามกลางตำรวจสันติบาลหรือ ประกาศเรื่องของเราโจมตีเรา ให้คณะสันติบาลฟัง

ทีนี้ก็มีนายพันตำรวจโทคนหนึ่งนั่งฟังอยู่นั้น เขาทนฟังไม่ได้ เพราะพูดขึ้นมาเรื่องใดกับหลวงตาบัวนี้มันเข้ากันไม่ได้เลยๆ พูดขึ้นมาคำไหนนี้รู้ชัดๆ ว่าปั้นเรื่องขึ้นมา ตั้งหน้าตั้งตาจะโจมตีหลวงตาโดยถ่ายเดียวเท่านั้น ทางนี้ก็ค้านขึ้นมาบอกว่าไม่เป็นความจริง แกบอกว่าแกเคยรู้เคยเห็นกับเรื่องครูบาอาจารย์องค์นี้ทุกสิ่งทุกอย่างเท่าที่ผ่านมานี้ไม่มี เขาก็บอกว่าไม่มีไม่เป็นความจริง แล้วโกรธให้นี้สั่งย้าย นี่เห็นไหมล่ะ ไอ้อุดมนี่มันสั่งย้ายพันตำรวจโทคนนี้ออกไป ด้วยความกลั่นแกล้งเอาเลย คือฝืนมันไม่ได้ จะให้เป็นอย่างมันอย่างเดียว ปั้นขึ้นขนาดไหนก็ให้เป็นของจริงไปหมดมันปั้นขึ้นมา ปลอมขนาดไหนให้เป็นของจริง นี่ก็สั่งย้ายตำรวจคนนี้ออกไปอยู่โน่นทางอำเภอกุดชุม(จังหวัดยโสธร)

เรื่องนี้ก็เข้าไปถึงนายกฯให้นายกฯพิจารณาดู เรื่องนี้ไม่เป็นธรรมอย่างยิ่ง เราก็บอกอย่างนั้น ให้พิจารณาความเป็นธรรม ถ้าธรรมดาการโยกการย้ายไปไหนเราไม่ไปยุ่งนะเพราะเป็นเรื่องของโลกของสงสารเขา แต่นี้เรื่องมาเกี่ยวข้องกับเรา แล้วก็ผู้ที่คัดค้านก็มาเกี่ยวข้องกับเราคัดค้านขึ้นมา คนนี้ถูกย้าย เราก็บอกตามความจริงตามที่ว่าได้ถูกย้ายเพราะเหตุนี้ๆ บอกไปถึงนายกฯ ท่านจะพิจารณาอะไรก็แล้วแต่ท่าน เราบอกความจริงไปแล้วก็แล้วเท่านั้น เราไม่ไปตามจองล้างจองผลาญใครใช่ไหมล่ะ ท่านจะปฏิบัติอย่างไรเป็นเรื่องของท่าน เราเรียนความจริงให้ท่านทราบเพียงเท่านั้น นี่มันเป็นอย่างนี้นะ ไอ้อุดม เสื่อมนี่ ไปที่ไหนมีตั้งแต่ทำลายทั้งนั้นๆ ไอ้อุดมกับไอ้วิษยุ นี่ตัวแสบที่สุดในประเทศไทยของเรา จะทำลายทั้งชาติทั้งศาสนาพระมหากษัตริย์ เราพูดได้อย่างเต็มปาก กิริยาอาการของมันที่เข้ามาตรงไหนทำลายๆ สิ่งที่เป็นสารคุณประโยชน์ของชาติไทยเราทั้งนั้นๆ ไม่มีที่จะมีการส่งเสริมเลย

ยกตัวอย่างเช่นเรานำชาติมานี้ พี่น้องชาวไทยทั้งประเทศอุตส่าห์พยายามหาเงินมา ทองคำก็ได้ตั้ง ๑๑ ตัน ๓๗ กิโลฯครึ่ง ดอลลาร์ก็ได้ ๑๐ ล้าน ๒ แสนกว่า นี่เรียกว่าเข้าสู่คลังหลวงเรียบร้อยแล้ว ส่วนเงินสดนี้กระจายเป็นพันเป็นหมื่นล้าน ออกตามตึกรามบ้านช่อง ถ้าอยากตรวจดูว่าเราทุจริตหรือสุจริต เราจะไล่เข้าไปดูตามนั้น มันไปดูโรงพยาบาลเพียงโรงเดียวเท่านั้นมันก็ตายแล้วมันไปดูไม่หมดแหละ คือ..เมื่อไม่จริงให้มาค้านเรา เอ้า จับเราใส่คุกเราก็บอกอย่างนี้ ไม่เห็นมันไป มันกลัวมันตายก่อนละซิ ที่ทำมาเหล่านี้ พวกนี้ไม่เคย เงินบาทหนึ่งไม่เคยได้ยินนายอุดมนายวิษยุนี้เอาไปให้ช่วยชาติบ้านเมือง แล้วทองคำบาทหนึ่งก็ดีดอลลาร์ดอลล์หนึ่งก็ดีเงินบาทหนึ่งก็ดี ไม่เคยเห็นเอาเข้าไปช่วยพี่น้องชาวไทย ทั้งๆ ที่อยู่ในท่ามกลางแห่งประเทศไทย

พ่อแม่ของคนเหล่านี้อยู่ในเมืองไทยของเรา แล้วมันไม่เคยเอาเข้าไปเสริม แต่เรื่องการตำหนิติเตียนการเที่ยวจุดเที่ยวเผานี้คัดค้านต้านทานเต็มไปหมดพวกนี้น่ะ ไปเทศนาว่าการที่ไหนแต่งเจ้าหน้าที่ลับๆๆ ก็มี เจ้าหน้าที่เปิดเผยก็มี ไปห้ามเรา ห้ามประชาชนไม่ให้ไปฟังเทศน์หลวงตาบัว ฟังซิน่ะ นี่พวกนี้ จะไม่ให้ว่ามันทำลายชาติศาสนาจะให้เรียกว่าอย่างไร คำพูดของพระต้องพูดตามหลักความจริงได้ยินมาอย่างนี้ มันเป็นมาอย่างนั้นจะให้เราพูดว่าอย่างไร นี่มันไปเที่ยวคัดค้านต้านทานเที่ยวจุดเที่ยวเผามาตลอดจนกระทั่งปัจจุบันนี้ มันเอาอะไรมาสร้างคุณงามความดีให้เป็นที่เคารพนับถือบ้างในสองคนนี้น่ะ มันมีแต่เรื่องทำลาย

กฎหมายมันก็เอากฎหมอยมาใช้ มันไม่ได้เอากฎหมายมาใช้ เอาอำนาจป่าเถื่อนเข้ามาใช้ ในเมืองไทยนี้มันกุมอำนาจเอาไว้หมดไอ้วิษยุ จนกระทั่งนายกเราจะไม่มีความหมายแล้วเวลานี้ มีแต่ไอ้วิษยุนี้มันกุมอำนาจไว้หมดป่าๆ เถื่อนๆ เรายังไม่ได้ยินตั้งแต่ว่าห้ามเทศนาว่าการเท่านั้นเอง มันจะเอากฎไหนออกมา ถ้าเอากฎนี้ออกมากับเราจะได้ฟัดกัน เข้าใจไหมล่ะ ถ้าเอากฎนี้ออกมากับเรานี้ฟัดกันแน่นอน ไม่ว่าตั้งแต่วิษยุๆ โคตรวิษยุมาเราก็ไม่มีถอยเพราะเป็นความผิดเข้าใจไหม เป็นความจริงเราพูดเรายกโคตรของเรารับกันเลย เข้าใจหรือ เขามีโคตรเราก็มีโคตรซัดกันได้นี่นะ ไม่ได้ยินแต่ห้ามเทศนาว่าการ อำนาจป่าเถื่อนเหล่านี้ นอกนั้นมันกินมันกลืนไปหมดนั่นแหละ นี่ละคนทำลายชาติทำลายศาสนาพระมหากษัตริย์ จะเป็นใครไป ชี้ได้อย่างชัดๆ อย่างนี้เอง

เรายังไม่ตายลูกศิษย์ลูกหาที่มาบอกมากล่าว ไม่ใช่คนมาโกหกหลอกลวงเราต้มตุ๋นเราเหมือนสองตัวนี้ สองตัวนี้เก่งมากทีเดียวเรื่องโกหกต้มตุ๋น ปั้นเรื่องขึ้นมาไม่มีใครเกินสองตัวนี้ ขึ้นมาเพื่อทำลายๆ ดังว่าหลวงตาบัวมีเมียนั้นแหละ ฟังเอาซิน่ะ ถึงขนาดที่เขาได้ค้าน ใครไปอยู่ที่สวนแสงธรรมแล้วใครเห็นบ้าง ว่ามีแม่ชีแม่ขาวกี่คนไปรุมหลวงตาบัวอยู่ในสวนแสงธรรมเคยมีที่ไหน นี่ไอ้อุดมมันปั้นขึ้นมา มันบอกว่าแต่งคนมาดูมันว่าอย่างนั้น มันปั้นขึ้นมาว่าแต่งคนมาดู แล้วปั้นขึ้นมาว่าไปเห็นแม่ชีอย่างนั้นๆ คนที่มันปั้นขึ้นมาให้มาดูนั้นไปหลอกลวงมัน มันก็เป็นผู้หลอกลวงมา เข้าใจไหม เป็นชั้นๆ อย่างนี้ไอ้นี่

ฟังซิพี่น้องทั้งหลายฟังให้ดีนะ พวกเหล่านี้เป็นภัยต่อชาติโดยตรงไม่มีทางคดทางอ้อมอะไรเลย ชัดเจนมากทีเดียว มันประกาศออกมาอะไรๆ นี้หาเงื่อนที่จะเป็นสารประโยชน์พอที่จะนำมาวินิจฉัยใคร่ครวญยกมาเป็นประโยชน์นี้ไม่มี เริ่มต้นตั้งแต่ตั้งเรื่องขึ้นมา ตั้งแต่เป็นรัฐบาลทีแรก จนกระทั่งบัดนี้จองล้างจองผลาญกันมาเรื่อยๆ ตั้งเรื่องนั้นขึ้นมา เอ้า ชำระแล้วด้วยเหตุด้วยผลด้วยอรรถด้วยธรรมซึ่งเป็นน้ำที่สะอาด สงบลงไปตั้งเรื่องนี้ขึ้นมา ตั้งขึ้นมาจนกระทั่งป่านนี้ไม่มีเวลาหยุดพวกนี้ มันตั้งขึ้นมาอะไร ก็เพื่อจะทำลายชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์โดยถ่ายเดียวเท่านั้น ถ้าต้านทานไม่ไหวมันก็กลืนไปหมดเลยๆ ให้ท่านทั้งหลายทราบไว้เสีย หลวงตาบัวยังไม่ตายพูดได้อย่างเต็มปากทีเดียว เรื่องมันเป็นอย่างนี้จะให้พูดอย่างอื่นไปไม่ได้ เพราะธรรมนี้ต้องพูดตามหลักความจริง ไม่จริงไม่พูดเรา เพียงแต่คิดขึ้นในใจ อะไรขัดใจที่ว่าไม่เป็นธรรมนี้ปัดออกทันที อย่าว่าแต่จะแสดงออกมาทางกิริยาเลย แม้แต่เป็นในใจก็ปัดออก ไม่ให้เข้ามายุ่งเลย จะเอาแต่ธรรมล้วนๆ คือความจริงเท่านั้นออก นี้เราเอาความจริงออกมาเทศน์ให้พี่น้องทั้งหลายฟัง ให้ทราบทั่วถึงกัน

เวลานี้กำลังหว่านล้อมไปหมดทีเดียวพวกเปรตพวกผีพวกยักษ์พวกมาร ออกมารุมเข้าไปจะกินโต๊ะชาติไทย ศาสนา พระมหากษัตริย์ของเรา เป็นอาหารว่างด้วยกันหมดนั่นแหละ ถ้าใครหดหัวอยู่ในกระดอง มันจะแตกทั้งกระดองแตกทั้งหัวเต่านั้นแหละ ใครเป็นเต่าหดหัวอยู่ในกระดอง ถ้าอยากแตกทั้งกระดองแตกทั้งหัวแล้ว เอ้า ให้หดอยู่นะ ทำเป็นสุภาพชนนิ่งๆ อยู่นะ ไอ้นี้มันยิ่งสนุกกลืนๆ ได้อย่างรวดเร็วๆ ไม่ต้องเคี้ยวก็ได้พวกนี้มันชอบคนสุภาพแบบนี้ สุภาพแบบเต่าหดหัวอยู่ในกระดองนั่นแหละ มันชอบเหลือเกิน ประเภทเต่าหดหัวอยู่ในกระดองชอบมากทีเดียว มันจะต้องไม่ได้เคี้ยวละกลืนเลย จำเอานะ เอาละวันนี้พูดเพียงเท่านี้ละ

เวลานี้ก็มีพระในร่างกรรมฐาน กำลังไปเที่ยวเสี้ยมสอนพระกรรมฐานให้เข้าในแวดวงเดียวกันกับพวกมันนั้นแหละ ที่จะกลืนชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ กำลังเที่ยวหว่านล้อมตามภาคอีสานให้ท่านทั้งหลายทราบเอานะ บรรดาพระลูกพระหลานให้พิจารณาให้ดี ผู้ไปเสี้ยมสอนนั้นเป็นคนเช่นไร พระเช่นไร มองดูแพล็บก็รู้ทันทีแล้ว ให้พากันระมัดระวังตัวเอาไว้ เวลานี้กำลังทางโน้นก็หว่านมา เอาเหยื่อติดปลายเบ็ดมาเรื่อยๆ ทางนี้ก็ออกเป็นเหยื่อติดปลายเบ็ดต่อไปเรื่อยๆ อย่างนั้นละ มันจะร้อยปาก เฉพาะอย่างยิ่งคนภาคอีสานซึ่งเป็นคนโง่ มันจะร้อยปากให้เลือดสาดแดงไปหมดทั่วภาคอีสาน แล้วนำไปเป็นอาหารว่างกินเลี้ยงกันในพวกนี้ละ พวกของมันนี้เข้าใจหรือ พวกกำลังจะกลืนชาติ กลืนศาสนา พระมหากษัตริย์อยู่เวลานี้ ซึ่งเราทั้งหลายทั้งชาตินี้ รักสงวนเทิดทูนมากสุดหัวใจมาตลอด นี้มันกำลังจะเอาธรรมชาติที่มีคุณค่ามากนี้ไปกลืนเป็นอาหารว่างของมัน กำลังหว่านล้อมไปทุกแห่งทุกหน ภาคอีสานนี้กำลังกระจายออกไปเวลานี้ ออกไปทุกแบบทุกฉบับ ทุกแบบที่มันจะทำได้นั้นละ ให้พากันจำเอานะ

เดี๋ยวๆๆ รอเสียก่อน เวลานี้เหยื่อกับปลายเบ็ดเต็มอยู่ในวัดป่าบ้านตาด มันเกาะปากใครบ้างนักภาวนาให้เลือดสาดอยู่ตามนี้น่ะ มีหรือไม่มี ไม่ต้องบอกว่ามีหรือไม่มี มากต่อมากว่าอย่างนั้นถูก เข้าใจไหม ความขี้เกียจขี้คร้านความท้อแท้อ่อนแอ มันกล่อมทีเดียวนี้หลับครอกๆ ไปเลย จุดเทียนจุดอะไรไว้ดาดาษก็จุดไปเถอะ เราจะหลับครอกๆ อยู่นี้ นี่คือเหยื่อล่อปลา หลับครอกๆ อยู่ตามนี้มีไหม วัดป่าบ้านตาดทั้งฝ่ายพระ ทั้งฝ่ายฆราวาสเรา นับแต่หลวงตาบัวลงไป นี่ก็เคยเป็นไปแล้ว หลวงตาบัวเคยเป็น กิเลสมันกล่อม เดี๋ยวนี้กล่อมไม่ได้บอกตรงๆ เลย ฟัดขาดสะบั้นลงไปหมด จึงได้นำโทษของมันออกมาแสดงให้พี่น้องทั้งหลายทราบว่านี้คือเหยื่อล่อปลา จำเอาไว้นะ เอาละพอ ทีนี้จะให้พร

 

รับฟังรับชมพระธรรมเทศนาของหลวงตา ได้ที่

www.Luangta.com หรือ www.Luangta.or.th

และรับฟังจากสถานีวิทยุสวนแสงธรรม กรุงเทพฯ และสถานีวิทยุอุดร

FM 103.25 MHz


** ท่านผู้เข้าชมทุกท่านโปรดทราบ
    เนื่องจากกัณฑ์เทศน์บางกัณฑ์มีความยาวค่อนข้างมาก ซึ่งจะส่งผลต่อความเร็วในการเปิดเว็บไซต์ ขอแนะนำให้ทุกท่านได้อ่านเนื้อหากัณฑ์เทศน์บางส่วนจากเว็บไซต์ และให้ทำการดาวน์โหลดไฟล์กัณฑ์เทศน์ที่มีนามสกุล .pdf ไปเก็บไว้ในเครื่องของท่านแทนการอ่านเนื้อหาทั้งหมดจากเว็บไซต์

<< BACK

หน้าแรก