เทศน์อบรมพระและฆราวาส ณ วัดป่าบ้านตาด
เมื่อวันที่ ๗ พฤศจิกายน พุทธศักราช ๒๕๔๕
ทางเดินของใจเป็นวัฏวน
ก่อนจังหัน
พระที่มาศึกษาให้ตั้งใจศึกษาจริง ๆ นะ อย่ามาเพ่น ๆ พ่าน ๆ สุ่มสี่สุ่มห้า ไม่ได้ถือว่าเป็นวัดเรา เป็นข้อวัตรปฏิบัติของเรา ไปไหนเราก็ไม่มีเนื้อมีหนังติดตัว ไปดูวัดนั้นวัดนี้ไม่ดูเจ้าของ ศาสดาอยู่ที่พระนะ พระมีธรรมมีวินัยนั้นแลไปที่ไหนมีศาสดาติดเนื้อติดตัวไป ถ้าไม่มีธรรมวินัยแล้วจะเอาเทวดามาเป็นพระ ก็เทวดาเทวทัตนั้นแหละ ศาสดาอยู่ที่ไหน ท่านแสดงไว้แล้วว่า พระธรรมและพระวินัยนั้นแลจะเป็นศาสดาของเธอทั้งหลาย เมื่อเราตายไปแล้ว นี่ละใครมีธรรมมีวินัยกับหัวใจกับตัวแล้ว พระองค์นั้นไปไหนมีศาสดาติดตัวตลอด ๆ นะ พวกเรามันมีศาสดาหรือมีเทวทัตติดตัว ดูเจ้าของนะ ไปที่ไหนดูข้างนอกแล้วให้มาดูข้างในเทียบเคียงกัน ทางนั้นผิดทางนี้ถูกยังไงบ้าง ดูไปให้รอบด้าน นี่เรียกว่าผู้มาศึกษา
เรื่องศาสดาที่ทรงสอนไว้แล้วว่า สวากขาตธรรม ไม่มีต้นมีปลาย ไม่ว่าดีว่าชั่ว มีเสมอต้นเสมอปลายเหมือนกันหมด ใครเสาะแสวงหาชั่วได้ชั่วได้ทุกข์ติดมากับความชั่ว ผู้เสาะแสวงหาความดีได้ของดิบของดี ได้ความสุขติดตัวมาเช่นเดียวกัน ให้พากันจำเอาไว้ เวลานี้กิเลสกำลังลบล้างอรรถธรรมทั้งหลาย จะไม่ให้มีเหลืออยู่ในแดนไทยเราซึ่งเป็นลูกชาวพุทธเลย ไปที่ไหนมีแต่กิเลสลบล้างเหยียบย่ำทำลายศาสนา ใครสร้างความดิบความดีขึ้นมา ความเลวร้ายมันจะตามเข้ามา ติดตามเข้ามา เหยียบย่ำเข้ามา ผลสุดท้ายตัวของเราเองเหยียบย่ำตัวของเราด้วยความชั่วทั้งหลาย เอาให้ความดีธรรมวินัยไม่มีติดเนื้อติดตัว ไปที่ไหนก็มีแต่เทวทัตเต็มหัวใจเต็มพระเต็มเณร ดูไม่ได้นะ ขอให้ท่านทั้งหลายพิจารณาให้ดีทุกอย่าง ๆ
ศาสดาทรงรอบคอบสุดยอดแล้วในโลกนี้ จะหาใครเสมอเหมือนพระพุทธเจ้า ซึ่งเป็นผู้รอบคอบทั้งโลกนอกโลกในตลอดทั่วถึงไม่ได้เลย เราโง่ให้ศึกษา อย่าเก่งกว่าศาสดานะ ใครเก่งกว่าศาสดานั้นละเวลาตกนรกหมกไหม้ไม่มีใครเกินในโลกนี้ คือคนเก่งอย่างนั้นแหละ ให้พากันระมัดระวัง ทุกอย่างให้ดูตัวของเรา ใครผิดใครพลาดอย่าด่วนไปตำหนิติโทษเขา โดยไม่ได้ดูความคิดที่มันเคลื่อนไหวออกไปยกโทษเขามันคือความคิดเช่นไร ถ้าความคิดถูก เขาผิดเราอย่าผิด ถือมาเป็นคติอันหนึ่ง เราอย่าผิดอย่างนั้น เมื่อเขาถูกเรายึดมาปฏิบัติเป็นความถูกต้องดีงาม นี้เรียกว่าความคิดความปรุงที่เป็นอรรถเป็นธรรม มีศาสดาประจำความคิดความปรุง ถ้าความคิดความปรุงผิดพลาดไปในทางไม่ดีไม่งาม ใครจะเลวขนาดไหน ตัวผู้ไปยกโทษเขานี้เลวกว่าเขา ให้จำตรงนี้ให้ดีนะ
วันนี้พูดย่อ ๆ ไม่ค่อยมีโอกาสอบรมพระเณร วันไหนก็ยุ่งนั่นยุ่งนี่ เกี่ยวกับชาติบ้านเมืองนั้นแหละซึ่งเป็นส่วนรวม ไม่หมุนออกไปอย่างนั้นก็ไม่ได้ มันก็จะจมทั้งชาติทั้งศาสนาไปด้วยกันนี่แหละ เราจึงต้องดูตัวของเราให้ดี ให้ฟื้นฟูในจิตใจของเรา มีศาสดาติดแนบไปเสมอ สติกับปัญญาใช้ตลอด สตินี้แนบแน่นติดตัวตลอด ปัญญานำออกใช้เป็นระยะ ๆ ไป ให้ติดอยู่กับตัวด้วยกันนะ นี่เรียกว่าเป็นผู้มาประกอบความพากความเพียร อย่ามีแต่ผ้าเหลืองห่อหัวโล้นหุ้มหัวโล้นไว้นะ หัวโล้นนี่แม้แต่หมาเราไปโกนมัน มันก็เป็นหมาหัวโล้นได้ อย่าว่าแต่พระหัวโล้นที่ไม่มีธรรมมีวินัยติดตัวนี้เลย จำให้ดีข้อนี้
นี่ละการพูดอรรถพูดธรรม ท่านทั้งหลายฟังให้ถึงใจ พระพุทธเจ้าสอนโลกสอนด้วยความถึงใจถึงอรรถถึงธรรม เราผู้ฟังผู้ปฏิบัติให้ถึงใจถึงอรรถถึงธรรมเหมือนกัน เราจะมีความร่มเย็นเป็นสุขตลอดไป เอาละวันนี้พูดธรรมะสอนพระเรา แล้วข้อวัตรปฏิบัติในวัดนี้ ให้ถือว่าเป็นวัดของเราทุกคน ๆ ข้อวัตรปฏิบัติบกพร่องตรงไหนแสดงว่าเราบกพร่องในวัตรนี้ ไม่ดีเลย ให้ดูข้อวัตรปฏิบัติ เช่น ปัดกวาดเช็ดถูตรงไหน อย่าถือว่าคนนั้นทำคนนี้ทำ ให้ดูตัวเองว่าทำหรือยัง ถ้าไม่ทำก็บกพร่องตัวของเราเอง คำอันใดๆ ถ้าครูบาอาจารย์แนะนำสั่งสอนจุดไหน ๆ ให้ยึดมาไว้เป็นหลักเป็นเกณฑ์ นี่เป็นครูเป็นอาจารย์ติดตัวอีก เช่นเดียวกับเป็นศาสดาติดตัวของเราด้วยหลักธรรมหลักวินัยมั่นคง เอาละที่นี่จะให้พร
หลังจังหัน
เมื่อวานซืนนี้ไปฉันที่ร้อยเอ็ด พอสว่างแล้วออกเลย ไปถึงโน้นร่วมแปดโมงพอดี แบ่งทางโน้นแบ่งทางนี้ไม่ทราบจะแบ่งทางไหนนะ ไปดูข้าวตามไร่ตามนาดีหมดแหละ ถึงจะลดกว่าทางนี้เพราะฝนมาล่ามาสายก็ยังดีอยู่ ทีแรกเราตกใจเหมือนกันตอนไปทีแรก ทางนี้เริ่มดำไร่ดำนากัน ทางโน้นยังไม่มีน้ำเลยมันยังไงกัน เรากลับไปเที่ยวนี้ข้าวตามท้องนาเหลืองอร่าม เขากำลังจะเริ่มเกี่ยว ก็รอจังหวะคือรอฝน คือถ้าจะเกี่ยวข้าวตอนฝนตกข้าวเสีย เพราะฉะนั้นเขาจึงรอ พอเป็นจังหวะแน่ใจแล้วว่าฝนผ่านไปแล้วนี้เขาก็เริ่ม ทีนี้เอาใหญ่ละนะ เกี่ยวข้าวนี้บุกกันใหญ่เลยเทียว จวนสิ้นเดือนจะเริ่มเสร็จ ๆ พอสิ้นเดือนพฤศจิกา ข้าวก็เริ่มเสร็จกันเป็นส่วนมาก ๙๐ กว่าเปอร์เซ็นต์สำหรับทางภาคอีสาน พอต้นเดือนธันวาก็เรียบร้อยหมดเลย แต่ทางภาคกลางเอาแน่ไม่ได้ มันมีทั้งนาแล้งนาฝนมีอยู่ทั่วไป นาปรัง พอน้ำไหลมาที่ไหนพอทำได้เขาทำ ทางโน้นจึงเอาแน่ไม่ได้ ส่วนทางนี้ไม่มีพวกน้ำพวกท่าที่จะทำนาปรังนาอะไรอย่างนี้ไม่มี จึงต้องรีบเร่งตอนที่มีฟ้ามีฝนตกตามฤดูกาล เวลาเสร็จจึงต้องเป็นระยะเดียวกัน
วันที่ ๙ นี้ก็จะไปโนนสะอาด วันที่ ๑๐ ไปหนองผือ วันที่ ๑๑ กลับมา วันที่ ๑๖ ไปบ้านแพง ไปทอดกฐินให้สองวัด สงสารเราก็ไปทอดให้ วัดภูเขาถ้ำยา ที่ท่านบุญมีเราเคยไปอยู่ เดี๋ยวนี้มีพระท่านไปอยู่แทน เราทอดวัดข้างล่างนี้ทอดวันนั้นด้วย วันนั้นไปสั่งเสียอะไร ๆ พอดีระลึกได้ที่ว่ามีอีกวัดหนึ่งข้าง ๆ ทางเข้ามาวัดบ้านแพงนี่ ถามถึงชื่อของวัด แล้วพระมีจำนวนมากน้อย ว่าพระมีมาก มีผู้จะมาทอดกฐินแล้ว คือถ้าไม่มีเราก็ทอดให้ทั้งสามวัดเลย พร้อมกันเลย ถ้ามีแล้วก็เรียกว่าหมดปัญหา ตกลงก็ไปทอดให้สองวัด วัดบ้านแพงกับวัดภูเขา วัดบ้านแพงดั้งเดิมพ่อแม่ครูจารย์มั่นมาอยู่ที่นั่น ตรงนั้นเป็นกลางดงใหญ่นะ รอบ ๆ ข้างวัดมีแต่ดงทั้งนั้นแต่ก่อนรอบ จนกระทั่งถึงตลาด ดงตลอดไปเลย ท่านอยู่กลางดง ทีนี้เวลาท่านจากนั้นไปเขาก็เลยสร้างที่นั่นเป็นวัด จากนั้นต่อมาก็อย่างว่า ที่ไหนก็มีแต่บ้านล้อมรอบ ๆ ไปเลย อันนี้ก็เหมือนกัน เวลานี้วัดบ้านแพงก็อยู่กลางบ้านเสีย กลางทุ่งนาด้วย บ้านติดเข้ามาเลย ทางนี้ก็เป็นทุ่งนา
เราก็ติดตามรอยมือท่าน บูชาคุณท่าน จึงไปทอดกฐินให้เสมอ ส่วนวัดโน้นเป็นท่านบุญมี เราส่งท่านบุญมีไปถ้ำหีบ จากนี้ก็ไปอยู่บ้านแพง เห็นว่าภูเขาดี พอท่านบุญมีมาอยู่ทางนาคูณแล้วก็มีท่านอะไร สืบทอดกันไปด้วยการปฏิบัติดีด้วย เราจึงติดตามส่งเสริม ไปทอดกฐินให้พร้อมกัน คือทอดนี้เราก็ถือว่าเราเป็นพระผู้ใหญ่ เหล่านี้เป็นลูกศิษย์ทั้งนั้น เราไปในฐานะอาจารย์ ไปก็ไปวางจุดเดียว สั่งข้างบนให้ลงมารับไทยทานทั้งหมดนี้ขึ้นข้างบนเลย ไปทำพิธีกันข้างบน เราก็อยู่ข้างล่าง พอเสร็จแล้วเราก็กลับไม่ขึ้น ลำบาก พระเหล่านี้ก็มีแต่ลูกศิษย์ลูกหา ลูกศิษย์กับอาจารย์พูดสั่งเสียอะไรๆ กันไม่ได้มีอย่างเหรอ ก็ท่านไม่มีอะไร ท่านมีความเคารพเต็มที่อยู่แล้ว นี่ก็ให้ท่านลงมา ตอนเช้ามาฉันจังหันร่วมกันที่วัดบ้านแพง เสร็จแล้วถวายกฐินให้ท่านขึ้นเลย
ตามธรรมดาสิ่งของเราจะแบ่งครึ่ง ๆ แต่ปีนี้เราไม่แบ่ง คือข้าวถ้าจะให้ก็เพียงเล็กน้อย เพราะไม่จำเป็นอะไรนักข้างบน แต่วัดนี้กับทางประชาชนทั้งฝั่งนั้นฝั่งนี้จำเป็นด้วยกัน เราจึงเอาข้าวไปลงตรงนั้นตูมเลยแล้วให้เขาแจกกันเอง ทางโน้นเสี่ยสมหมายมารับ พอทราบว่าเราจะเอาข้าวไปทำบุญ ทางโน้นมาหาก็เลยมาถามเรา ก็บอกโดยตรง เลยขอรับไปเลย พันถุง ๆ ละ ๑๒ กิโล พอไหม โอ๊ย ถ้าธรรมดาหลวงตาเอาไปไม่มากขนาดนั้น เรียกว่ามากแล้ว ถ้างั้นเอาแค่นี้ละนะว่างั้นเลย เรียกว่าเอาพันถุง ๆ ละ ๑๒ กิโลไป นัดกันแล้ว ที่ไปวานซืนก็สั่งเสียอันนี้ให้แน่นเข้าไปอีกว่า จะไปวันไหนแน่ให้ทราบชัดเราบอก คือพวกเขาไปขายข้าวที่โรงสีนั้น จะให้เขาเอามา พวกขายข้าวเขาไปจากทางนี้ ขายแล้วกลับมาก็ให้เอาข้าวมา วันที่ ๑๔ เขาบอกอย่างงั้นเขาจะเอามา เราไปวันที่ ๑๖ พอเขาเอามาเรียบร้อยแล้วจะสั่งเสียให้ใครเป็นคนจัดคนทำแทนเรา เราก็สั่งไว้เรียบร้อยแล้วเขาจัดได้เลย เราไม่เข้าไปเกี่ยว ถ้ามอบความเป็นใหญ่ให้ผู้ใดเป็นอย่างนั้นละ ไม่ก้าวก่ายนะ ถ้ามอบให้ผู้ใดแล้วไม่เข้าไปยุ่ง
ก็มีเฉพาะกำแพงนี้ เหตุที่มีก็มีเหตุผล คือเรามอบให้ท่านปัญญาแล้วทำทั้งแปลนทั้งกำแพงเรียบร้อยหมด เราไม่เข้าไปยุ่งเลย ทีนี้เวลาทำกำแพงไปตาม เขาเรียกห้วยหมากแข้งสะพานหน้าวัดไปนี่ นาเขาอยู่ตรงนั้นท่านปัญญาไม่รู้ นี่เหตุที่เราจะเข้าไปก้าวก่ายกัน นาเขาอยู่ตรงนั้น จะให้เขามาในนานี้ก็ได้แต่เขาจะไม่สะดวกใจเลย ไม่เป็นกรรมสิทธิ์ของเขาเอง เขามาเมื่อไรเราก็เปิดโล่งให้ แต่เขาก็จะไม่สนิทใจ เราไปเห็นเข้าแล้วรู้ว่ามันติดกับคลอง โอ๋ ไม่ได้ ไปดูนา ออกมานี้ออกไม่ได้ทำไง ทางเราเปิดโล่งก็จริงแต่เขาไม่มีกรรมสิทธิ์เขาก็ไม่โล่งใจ เพราะฉะนั้นเราถึงไปสั่งให้เขาไถออกหมดเลยต้นเสา ๆ ไถล้มไปเลยถึงนู้นเลย นี่ไปก้าวก่าย
เหตุผลก็เล่าให้ท่านปัญญาฟัง ท่านก็ยอมรับ เพราะท่านไม่ทราบว่านาเขาเป็นยังไง เราทราบใช่ไหมล่ะ นี่ละถึงได้ก้าวก่ายกัน จากนู้นมานี้ เวลานี้ต้นเสาไถออกหมดแล้ว ต่อไปเขาก็จะทำตามแนวที่เราได้สั่งไว้แล้ว คือเข้าไปข้างในให้เป็นถนนออกนาเขาเลยทีเดียว เข้ามานี้ก็ไปนี้ออกไปสะพานเลย ส่วนรั้วทางนี้เราก็จะกั้นประตู ให้เขาเข้าทางนี้ออกทางนู้นไปเลย เราคิดไว้เรียบร้อยแล้ว ประตูนี้จะให้อยู่ทางด้านใน ทางเข้ามานี้เขาออกไปนู้น เข้ามานี้ไปนี้เลย นี่ละที่ว่าก้าวก่าย ถ้าธรรมดาเราสั่งอะไรแล้ว มอบภาระให้ใครแล้วไม่ก้าวก่ายละ ไม่ไปยุ่งเลย
วันไหน ๆ ก็พูดตั้งแต่เรื่องช่วยชาติบ้านเมือง ตัวของเราผู้ที่จะอุ้มชาติบ้านเมืองนี้ ศีลธรรมไม่มีในใจมันเหลาะแหละได้นะ จึงต้องมีศีลธรรม สอนทั้งด้านวัตถุ สอนทั้งด้านศีลธรรมเข้าสู่ใจ ศีลธรรมเข้าสู่ใจนี้ เป็นกำลังอันหนาแน่นทีเดียวที่จะหนุนทุกสิ่งทุกอย่าง ให้เป็นไปเพื่อความราบรื่นดีงามและแน่นหนามั่นคง ขึ้นอยู่ที่จิตใจนะ จิตใจเป็นสำคัญมากทีเดียว เพราะฉะนั้นไปที่ไหนเราจึงไม่พ้นที่จะสอนทางด้านศีลธรรมเข้าแทรก ๆ เสมอ วัตถุนั้นเป็นอันหนึ่ง หลักใหญ่อยู่ที่จิตใจ เช่นบ้านเมืองของเรานี้ ถ้าจิตใจไม่มีศีลมีธรรม โกโรโกโส ทำลายชาติให้จมได้ไม่สงสัย ถ้าต่างคนต่างรักสงวนชาติของตนด้วยความเป็นธรรมว่าเรามีสิทธิ์ในชาติไทยของเรา มีสิทธิ์ทั้งการรักษาดูแลบำรุงทุกอย่าง ป้องกันทุกอย่าง นี่เรียกว่าสิทธิ์ของผู้จะเป็นเจ้าของของสมบัติ ต้องเป็นอย่างนั้น อันนี้ก็ต้องสอนทางด้านจิตใจเข้าไป
สิทธิ์ยังไง มีความรักชาติเหมือนเรารักอวัยวะของเรา รักครอบครัวของเรา รักเป็นขั้นเป็นตอน ๆ ไป สงวนบำรุงรักษาเป็นขั้นเป็นตอนไปอย่างนี้ อันนี้เรารักษาชาติไทยของเราซึ่งเป็นส่วนรวมของคนทั้งประเทศ เราจึงต้องมีน้ำใจรักษาชาติของตนด้วยความรักชาติเป็นสำคัญ จากนั้นก็ให้ต่างคนต่างเสียสละเพื่อชาติของเรา เสียสละนี้เข้าสู่ชาติของเราอันใหญ่หลวง ทำความร่มเย็นให้แก่คนทั้งประเทศ ไม่ได้เหมือนกับที่อยู่ในกระเป๋าของเรา สิ่งนี้อยู่ที่ไหนก็มีแต่ใช้ในครอบครัวของตัวเอง เฉพาะตัวเอง ๆ มันก็ไม่กว้างขวาง หาความอบอุ่นไม่ค่อยได้ ถ้าเป็นหลักใหญ่ดังที่พาพี่น้องทั้งหลายทำอยู่เวลานี้ นี้เป็นหลักใหญ่ ให้ความร่มเย็นแน่นหนามั่นคงของคนทั้งประเทศ เป็นเครื่องประกันประเทศของตนได้ด้วย นั่นเรื่องใหญ่ เราจึงได้พาพี่น้องทั้งหลายตะเกียกตะกาย
จึงต้องให้มีศีลธรรม ให้รักจริง ๆ รักชาติ อย่าสักแต่ว่ารักแล้วทำลายชาติด้วยวิธีการต่าง ๆ นั่นเขาเรียกมหาภัยต่อชาติใช้ไม่ได้ นั่นไม่ใช่ศีลธรรม นั่นคือมหาภัยต่อชาติของเรา พากันรักษาจิตใจของเราให้ดี เวลาค่ำคืนยืนเดินนั่งนอนไปไหนอย่าลืมคำว่าพุทโธนี้ คือองค์สติอยู่ภายในนั้นนะ เพราะพระพุทธเจ้าสติปัญญารอบอยู่ในนั้นหมด ไปที่ไหนคนเราถ้าระลึกพุทโธ หรือธัมโม หรือสังโฆได้อย่างนี้ มันจะระลึกถึงเรื่องหิริโอตตัปปะ การทำความชั่วช้าลามกจะไม่หนักมือ ผู้เคยหนักมือก็จะลด ผู้ที่เบามืออยู่แล้วพอหยุด ๆ ได้เลย นี่ละอำนาจแห่งธรรมสะดุดจิตใจเข้าตรงไหน ใจจะมีหิริโอตตัปปะ มีเหตุมีผลขึ้นมาไม่ทำ อันนี้เราก็เหมือนกัน อยู่บ้านอยู่เรือนก็ให้ระลึก
เราอย่าหวังพึ่งอะไรจนเกินไปนะสิ่งเหล่านี้ เคยพูดแล้ว สิ่งเหล่านี้เราอาศัยเวลามีชีวิตอยู่เท่านั้นเอง ตึกรามบ้านช่อง ถนนหนทาง สมบัติเงินทองข้าวของ เพื่อนฝูง ผลที่สุดแม้ในครัวเรือนเดียวกันก็ยังจะต้องแตกต้องแยกกันด้วยความล้มความตายนั้นแหละ เป็นสิ่งที่ใหญ่โตมาก ใครหลีกไม่ได้เลย เมื่อเป็นเช่นนั้นเราจึงแยกส่วนแบ่งส่วนให้ดี เวลาเราอยู่ในโลกนี้ต้องอาศัยสิ่งเหล่านี้ ต้องขวนขวาย นี่เป็นพักหนึ่ง ทีนี้จิตใจเรียกร้องหาความช่วยเหลือจากเจ้าของอยู่ได้คิดหรือยัง ถ้าไม่ได้คิดให้คิดเพราะจิตใจได้รับความทุกข์ความลำบากลำบนหาที่ปลดเปลื้องไม่ได้ นอกจากธรรมเท่านั้น เพราะฉะนั้นจึงต้องเสาะแสวงหาธรรมเข้าสู่ใจ
ทางเดินของใจนี้เป็นวัฏวน ไม่เหมือนชีวิตของเรา ชีวิตของเราเกิดมาเรียกว่าก้าวเดินแล้ว ไปถึงวันตายก็เรียกว่าสุดทางเดินในชาตินี้ แต่จิตนี้ไม่มีคำว่าสุดในชาตินี้ พอเกิดขึ้นมานี้เข้าพักนี้แล้วตายแล้วก็ออกจากนี้ก็ไป ก้าวเดินตลอดในวงวัฏจักร โดยมีกิเลสเป็นเครื่องปิดกั้นไม่ให้ออกนอกจากวัฏจักรนี้ได้ เป็นมาอย่างนี้ทั้งสัตว์ทั้งบุคคล มีทั่วหน้ากันหมด เพราะกิเลสนี้มีได้ทั้งนั้น นี่ละพาให้สัตว์ทั้งหลายเกิดตาย ๆ และดลบันดาลอยู่ภายในจิต ส่วนมากเป็นส่วนชั่วมักจะผลักจะดันให้เราทำความชั่วช้าลามก โดยถือว่าเป็นความอยากความทะเยอทะยานตามความหลอกลวงของกิเลส ให้อยากให้ทะเยอทะยาน แล้วก็ดิ้นไปตามมัน ไม่มีธรรมเป็นเครื่องยับยั้งนี้เสียคน ตรงนี้เสียคน
ตายไปแล้วมันไม่อยู่เฉย ๆ กรรมที่ทำลงไปแล้วนี้ไม่ได้อยู่กับอะไรนะ มันอยู่กับจิต กรรมดีก็ดี กรรมชั่วก็ดี เข้าอยู่กับจิตอย่างเดียวเท่านั้น ไม่มีที่อยู่ที่พักอาศัย คือวิบากกรรมที่มันติดตามผู้ทำไปทั้งฝ่ายดีฝ่ายชั่ว เพราะฉะนั้นพากันระมัดระวังให้มากนะ การเรียกร้องความช่วยเหลือก็คือใจ ได้รับความทุกข์ความลำบากตลอดมาเรื่องของใจนะ ให้มีธรรมเป็นเครื่องยับยั้ง มีธรรมเป็นเครื่องอบอุ่น เป็นเครื่องพักหลับพักนอนพักอยู่อะไรก็มีความสบายบ้างถ้ามีธรรม นี้คือที่ยึดของใจ เครื่องหล่อเลี้ยงของใจ ใจจะไม่เดือดร้อนมากมายนักถ้ามีธรรมภายในใจ ถ้าไม่มี ใครจะมีสมบัติเงินทองข้าวของมากน้อยก็ไปเกาะปั๊บ ดีใจสักครู่หนึ่ง พอแย็บออกจากนั้นหาที่พึ่งไม่ได้ก็ว้าเหว่ นี่ร้อนมาก แต่จิตใจมีธรรมนี้มองไปนั้นก็รู้ว่าอันนั้นเสีย เป็นสิ่งอาศัยชั่วคราวเสีย มองเข้ามาข้างในเป็นสิ่งที่อาศัยเป็นจีรังถาวรเป็นบุญเป็นกุศลไปเสียก็อบอุ่น แล้วทำบุญทำกุศลศีลทานเข้าสู่ใจตลอดไป คนนี้ไม่เสียท่า
เศรษฐีตายก็ไปชั้นสูงกว่าชั้นเศรษฐีมนุษย์นี้อีก ถ้าไม่มีธรรมแล้วลงจมยิ่งกว่าคนทั้งหลายเสียอีก เพราะคนเราเมื่อมั่งมีศรีสุข มียศถาบรรดาศักดิ์สูงแล้ว มักจะเย่อหยิ่งจองหอง ไม่รู้ตัวนะ มันเป็นอยู่ภายในใจนั้นละ เพราะกิเลสมันชอบยอ มีใครมายอว่าเป็นอย่างนั้นมีอย่างนี้ มียศถาบรรดาศักดิ์แล้วเป็นบ้ายอขึ้นมา ยอสมบัติเงินทองข้าวของ ยอยศถาบรรดาศักดิ์ ในตัวเลยมีแต่ความยอ ความยอมันหลอกคนให้ลืมเนื้อลืมตัว ทำชั่วก็ได้ที่นี่ นั่น ว่าเรามีอำนาจบาตรหลวงแล้วทำชั่วก็ได้ ตายแล้วจมเลย ตรงนี้สำคัญมาก คนเรามักลืมตัว เพราะฉะนั้นจึงอย่าพากันลืมตัวนะ
ธรรมนี้เราได้ค้นปฏิบัติเต็มกำลังความสามารถของเราแล้ว เราหายสงสัยทุกอย่างในธรรมของพระพุทธเจ้า ไม่มีแง่ใดเลยว่าผิดไป ตรงกันกับคำว่าสวากขาตธรรมที่ตรัสไว้ชอบแล้ว สฺวากฺขาโต ภควตา ธมฺโม นั้นแหละ แปลแล้วว่า พระธรรมอันพระผู้มีพระภาคตรัสไว้ดีแล้วหรือชอบแล้ว นี้สวากขาตธรรมตรัสไว้เพียงเท่านี้พอแล้ว ตรัสไว้ชอบแล้ว ไม่มีคลาดมีเคลื่อน ว่าตรงไหน ๆ เป็นสิ่งที่ทรงรู้ทรงเห็นทุกอย่างแล้วจึงนำมาสั่งสอนสัตว์ เอาภาคปฏิบัติจับกันซิ นี่ละมันจึงชัดเจนมาก ยอมหมอบราบ ไม่ต้องเห็นองค์ศาสดาที่เป็นพระสรีระละ เห็นความจริงคือธรรมทั้งหลายนั้นยอมรับทันที นี่ปฏิบัติเต็มกำลังความสามารถมา
ทีแรกมันก็มืดดำกำตา ครั้นต่อมาค่อยบุกค่อยเบิกด้วยอรรถด้วยธรรมเข้าไป อรรถธรรมเป็นเครื่องบุกเบิกเข้าไปเรื่อย ๆ มันก็ค่อยปรากฏยิบแย็บ ๆ เป็นแสงสว่างแพรวพราวออกมา ๆ ทีนี้เวลาออกมามากน้อย สิ่งที่ให้เห็นให้รู้จากใจนี้มันมีอยู่ดั้งเดิมนี่นะ พอจิตส่องออกไปตรงไหนรู้ไปตรงไหนมันก็เห็นมันก็รู้ รู้แล้วเจ้าของค้านไม่ได้ด้วย เมื่อเจ้าของค้านไม่ได้ ย้อนไปพิจารณาพระพุทธเจ้า ทรงแสดงไว้แล้ว ๆ แล้วเราจะค้านพระพุทธเจ้าตรงไหนเมื่อเราค้านตัวของเราไม่ได้จากความเห็นของเรา นี่ละสำคัญตรงนี้
นี่ละปฏิบัติไปตั้งแต่กิเลสที่หนาแน่นมันมีโทษยังไงบ้าง พระพุทธเจ้าสอนศาสนาสอนให้ชำระกิเลส ไม่ได้สอนให้ชำระสิ่งอื่นใดทั้งหมดในโลกนี้ สอนให้ชำระกิเลสซึ่งเป็นมหาภัยอยู่ในใจของสัตว์ทั้งนั้น ความโลภก็เป็นมหาภัย ความโกรธเป็นมหาภัย ความรักความกำหนัดยินดีในกามกิเลสก็เป็นมหาภัย นี่ท่านเรียกมหาภัย ๓ กษัตริย์ใหญ่ทีเดียว แล้วมีโมหะเป็นกษัตริย์ที่ใหญ่หลวงครอบไว้หมดเลย สัตว์โลกทั้งหลายก็หมุนตามอันนี้แหละ อันนี้ดึงไปให้อยากได้อะไร โลภอะไร มันก็หมุนไป อะไรไม่พอใจก็ฆ่ากันแหลกเหลวเป็นเถ้าเป็นถ่านไป ถ้าไปทางกามกิเลส แม้แต่สัตว์มันก็มี ถ้าไม่มีธรรมแล้วคนเราเลวกว่าสัตว์ไปอีกนะ มันฉลาด นี่มันมีเหมือนกัน นี้ละตัวมหาภัย
พระพุทธเจ้าสอนลงจุดนี้ก่อนนะไม่สอนที่ไหน สอนศาสนา ให้รู้จักยับยั้งสิ่งเหล่านี้ ๆ แล้วเปิดทางเดินในทางที่ชอบที่ดีให้ ให้ดำเนินทางที่ดี จิตก็ค่อยก้าวไปทางดี สิ่งใดที่เป็นภัยมากระงับลง ความโลภอย่าให้มาก ท่านไม่ได้สอนให้เราละความโลภให้ขาดหมดโดยสิ้นเชิงทุกคนนะ ท่านจะสอนไว้เป็นพักเป็นตอน ถ้าผู้ออกปฏิบัติบวชเป็นพระแล้ว เรียกว่าตัดขาดสะบั้นไปเลย เป็นคนละโลกไปเลยกับโลก อะไรไม่ใช่วิสัยปัดออกหมด ๆ เป็นวิสัยอย่างยิ่งคือธรรมกับใจ ชำระซักฟอกจิตใจเป็นลำดับลำดา ซักฟอกจิตใจคือความโลภ ความโกรธ ราคะตัณหา ตัวใหญ่มันอยู่ตรงนี้ มันดีดมันดิ้นอยู่ที่หัวใจ ดูที่หัวใจ ความโลภมันเป็นกิ่งเป็นก้านออกไป ดันออกไป ความโกรธ ราคะตัณหา มันกิ่งก้านออกไป ตัวไหนดันมันดูตัวนี้แก้ตัวนี้ ๆ
นั่นละนักภาวนาท่าน ท่านจึงแก้ที่ใจภาวนาที่ใจ เพราะจิตใจนี้เป็นตัวรับเหตุการณ์ทั้งหมด ทั้งดีทั้งชั่วอยู่กับใจทั้งนั้น ท่านจึงสอนให้ดูจิตใจ ให้ดูนี้ระงับนี้ สติมีตั้งให้ดี อย่าให้จิตมันออกเพ่นพ่านจนเกินเหตุเกินผล ให้คอยยับยั้งชั่งตัวอยู่ด้วยความพินิจพิจารณาทางด้านปัญญาอยู่สม่ำเสมอ นี่ท่านแก้ตัวนี้ ๓ กษัตริย์ใหญ่นี้ ให้แก้ตัวนี้ นี่หมายถึงพระ แก้ให้ขาดไปหมดเลยไม่ให้เหลือ แล้วก็ขาดได้จริง ๆ ตามพระพุทธเจ้าสอน เวลามันหนาความทุกข์นี่แสนสาหัสนะ กิเลส ๓ ตัวนี่ตัวใดขึ้นเป็นไฟเหมือนกันหมด ไม่ได้เลือกว่าตัวนั้นอ่อนตัวนี้แข็ง มันเป็นไฟด้วยกัน แม้แต่ดอกไฟกระเด็นมาถูกเรายังปัดปุ๊บ ๆ มันร้อนมากไหม นี่กิเลสก็เป็นแบบเดียวกันนั่นแหละ ตกมาหาเราไม่ปัดไม่ได้ ต้องปัด ๆ ปัดด้วยธรรม ๆ
พยายามแก้หลายครั้งหลายหน ทีนี้ทางการดำเนินของเราก็ค่อยราบรื่น ทางนั้นก็ค่อยจางไป ๆ ชำระไป เราอยู่เป็นฆราวาสก็ขอให้อยู่ในความพอเหมาะพอดี อย่าดีดอย่าดิ้นจนเกินไป ไม่เคยเห็นใครเป็นเศรษฐีแล้วเอาความสุขความเจริญมาอวดโลกเขา เรายังไม่เคยเห็นในสามแดนโลกธาตุ ไม่เคยมี มีแต่ความทุกข์เหมือนกันหมด เพราะกิเลสครอบหัวเศรษฐีอยู่นั้น กิเลสความโลภ ความโกรธ ความหลง ที่ได้มามากขนาดไหน ความโลภนั้นไม่พอนะ เราอย่าเข้าใจว่าเศรษฐีจะมีเมืองพอ เศรษฐีนั้นแหละมีความโลภมากยิ่งกว่าคนทั้งหลาย แล้วโกรธก็โกรธมากเพราะอาศัยอำนาจเงินทองข้าวของมาก ยิ่งมียศแถมเข้าไปอีกด้วยแล้วก็เป็นไฟไปเลย เป็นมหายักษ์ ทำลายคนได้อย่างหน้าตาเฉย กิเลสตัวนี้มันตัวสำคัญมาก
เราอย่าเข้าใจว่าใครมั่งมีศรีสุขคนนั้นจะมีความสุข ไม่มีว่างั้นเลย เพราะสิ่งเหล่านี้เป็นแร่ธาตุต่าง ๆ แม้แต่กระดาษที่เต็มเกลื่อนอยู่ถนนหนทางก็ไม่เห็นมีประโยชน์อะไร แต่เสกว่าเป็นเงินเป็นทอง เป็นไอ้หลังลายเท่านั้นก็เป็นบ้าด้วยกันหมดเห็นไหมล่ะ นี่มันเป็นขึ้นจากหัวใจมนุษย์ที่ผลิตขึ้นมานะ แล้วก็มาทำลายตัวเองถ้าไม่มีธรรมเข้าแยก อันนี้เป็นเครื่องใช้ นั่นธรรมนะ อันนี้เป็นเครื่องใช้ไม่ใช่ของจริง สถานที่บ้านเรือนก็เป็นเครื่องใช้ที่อยู่อาศัยไม่ใช่ของจริง นั่น สมบัติเงินทองข้าวของ เช่น ไอ้หลังลายเป็นต้นก็เป็นเครื่องใช้ไม่ใช่ของจริง
บรรดาท่านผู้มีสติปัญญาพิจารณากว้างขวางเห็นการณ์ไกล ท่านก็แยกเหล่านี้เห็นมาเป็นประโยชน์ในทางใด ๆ เช่น พิมพ์ธนบัตรซึ่งเป็นกระดาษนั่นแหละ ขึ้นมาเป็นเงิน เป็นใบละ ๑๐ บาท ยี่สิบ ร้อย พัน อะไรก็แล้วแต่เถอะ เรียกว่าไอ้หลังลาย ใช้ตามความจำเป็นของมันที่พิมพ์ขึ้นมา ไม่ได้พิมพ์ขึ้นมาเพื่อให้หลงบ้ากันอย่างเราทุกวันนี้ มันอดอยากอะไรที่ไหนเมืองไทยเรา เมืองไหนก็ตามไม่เห็นอดอยาก แต่มันทำไมถึงดิ้นนัก มันอดอยากไอ้หลังลายได้ไม่พอเข้าใจไหม ได้เท่าไรไม่พอไอ้หลังลาย นี่ละดิ้นกับไอ้หลังลายเวลานี้ โลกกำลังจะเป็นบ้ากัน กระดาษนั้นแหละ ไอ้หลังลายสมมุติขึ้นมาก็มาพันคอตัวเอง
เพราะฉะนั้นจึงต้องให้มีธรรม ว่านี้เครื่องอาศัย มีมากมีน้อยให้ธรรมเป็นผู้ควบคุมดูแลรักษาจะไม่เดือดร้อนมากนะ แล้วจะมีความสุขความเจริญสะดวกสบาย เพราะธรรมพาใช้พาจับพาจ่าย พาเก็บพารักษา จะไม่เดือดร้อนวุ่นวายเหมือนกิเลสพาเก็บพาใช้พารักษา ถ้ากิเลสรักษามันตัวตระหนี่เข้าใจไหม กิเลสถ้าได้รักษาแล้วมันตัวตระหนี่เข้ากับใครไม่ได้เลย ตัวตระหนี่ ถ้าว่าใช้ก็แบบสุรุ่ยสุร่ายจนลืมเนื้อลืมตัว มันไม่พอดี กิเลสพาใช้กิเลสพารักษา แล้วก็เดือดร้อนไปหมด ทีนี้เรื่องกิเลสต่อจากนั้นไป เช่น ความโกรธ ความเคียดแค้นหรือราคะตัณหา มันก็ไปตาม ๆ กัน ลุกลามไปเหมือนไฟได้เชื้อ สิ่งเหล่านี้มันเป็นไฟ อะไรผ่านไม่ได้มันจะเผาไปหมดเลย ไม่ได้เลือกว่าอะไรเป็นอะไร เผาได้ทั้งนั้นไฟ กิเลสเหล่านี้ก็เหมือนกันเผาได้ทั้งนั้น
ท่านจึงสอนให้อยู่ในความพอดี ดังพระพุทธเจ้าสอนฆราวาสเรานี้เหมาะสมอย่างยิ่งแล้ว แต่มันฝืนออกนอกลู่นอกทาง มันถึงเป็นหมากัดกันทุกหย่อมหญ้าเวลานี้ ผัวเดียวเมียเดียว นั่น ท่านไม่ได้ตรัสนะว่าไม่ให้มีผัวมีเมีย ให้มีแต่อัปปิจฉตา ให้มีความมักน้อย ให้มีเพียงผัวเดียวเมียเดียวนี้พอแล้วกับความจำเป็นที่โลกยังละมันไม่ได้คือกามกิเลส ท่านให้อยู่ในระดับนี้จะเป็นความสุขด้วยทั่วหน้ากัน ทั้งเขาทั้งเราทั้งผัวทั้งเมีย ลูกเล็กเด็กแดง สกุลต่าง ๆ ก็เป็นสกุลมีศีลมีธรรม มีศีลข้อที่ ๓ เป็นเครื่องรักษาเย็นทั่วหน้ากันไปหมด นี่พระพุทธเจ้าก็สอนไว้แล้ว
ถ้าปฏิบัติตามนี้โลกจะเย็นไปหมดเลย สันเป็นสัน คมเป็นคม อย่ามาก้าวก่ายว่าสันเป็นคม คมเป็นสัน ผัวเป็นผัว เมียเป็นเมีย ฝากเป็นฝากตายต่อกันนี้เรียกว่าคมเป็นคม สันเป็นสัน ไม่พลิกแพลงเป็นอย่างอื่น ทีนี้ก็เป็นความผาสุกเย็นใจ ถ้าพลิกเป็นร้อยสันพันคม โอ๊ย.ไม่ทราบมันจะมีกี่ผัวกี่เมีย หมาสู้ไม่ได้เลย นี่ร้อนเป็นไฟ นี่เห็นไหมมันพลิกหลายสันพันคม กิเลสเป็นอย่างนั้นเราก็ให้ปฏิบัติตามนี้ นี่ก็เป็นความสุข ท่านสอนฆราวาสท่านก็สอนอยู่ในขั้นของฆราวาส ให้ปฏิบัติเป็นความสุขสำหรับความเป็นฆราวาสได้ สำหรับพระก็เด็ดเลยขาดสะบั้นไปเลย ไม่เกี่ยวข้องกับอะไรทั้งนั้น ท่านสอนไว้อย่างนี้ เราอยู่ในขั้นของฆราวาสก็ขอให้พากันปฏิบัติให้พอดิบพอดีทุกสิ่งทุกอย่าง อย่าลืมเนื้อลืมตัว เวลาจะหลับจะนอนถ้าไม่มีเวลาว่างจริง ๆ ไปที่ไหนก็ระลึกได้ ระลึกธรรมกับใจนี้นะ พุทโธ ธัมโม สังโฆ หรือความตาย ระลึกถึงตัวเป็นเครื่องเตือนสติปุ๊บ ๆ นะ
คนเราจะเพลิดจะเพลินขนาดไหน พอระลึกถึงความตายเท่านั้น มันจะเหมือนกับเหยียบเบรกห้ามล้อ มันจะสะดุดกึ๊กรู้ตัว ความโลภก็ถอยตัว ความโกรธถอยตัว ราคะตัณหาถอยตัวเข้ามาไม่ลุกลามนะ ถ้ามีธรรมเข้าเป็นเบรกห้ามล้อ ให้มีเสมอไปที่ไหนทำการทำงานระลึกถึงศีลถึงธรรมอยู่เสมอก็ดี นี่เป็นประจำสำหรับเราเป็นลูกชาวพุทธ จากนั้นเวลาเรามีว่าง เช่นเวลาจะหลับจะนอน เราจะเข้าห้องพระไม่เข้าห้องพระก็ตาม เรื่องสั่งสมกิเลสอยู่ไหนมันสั่งสมได้ เราสั่งสมธรรมภายในใจของเรา อยู่ที่ไหนเราก็ทำได้เหมือนกัน
เอ้า ไหว้พระระลึกถึงพระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์ แล้วสวดมนต์เล็กน้อยตามกำลังของเรา จากนั้นให้ภาวนา ตั้งหน้าตั้งตารักษาจิตดูจิต เวลานี้จะไม่ดูอะไรในโลกอันนี้ สมบัติเงินทองข้าวของ เรือนชาน บ้านช่องของเขาเราจะไม่ดู เราจะดูหัวใจ ใจนี้จะดีดไปไหน นั่น เวลาจะนอนทำไมมันไม่ยอมนอน นี่เวลาจะเอาใจก็ต้องเป็นอย่างนั้น เวลานี้เราจะนอน ใจมันไม่ยอมนอน มันคิดปรุงเรื่องนั้นเรื่องนี้บังคับด้วยธรรม เอ้า ถ้ามันจะดิ้นไปมากเอาคำบริกรรมตีเข้าไปเลย เอาคำบริกรรมเข้าไปไว้แล้ว เอาสติจับกับคำบริกรรม เอ้า จะนึกพุทโธ ธัมโม หรือสังโฆ หรือธรรมบทใดก็ได้ ให้จิตรู้อยู่กับคำบริกรรมนั้นมีสติควบคุม บังคับไม่ให้ออก คิดมาตั้งแต่วันตื่นนอนจนกระทั่งป่านนี้มันยังไม่อิ่มพอหรือ จะพาคิดเรื่องอรรถเรื่องธรรมแค่นี้คิดไม่ได้เหรอ ซัดเจ้าของ นั่นซิจึงเรียกว่า เด็ดอย่างนี้เด็ดถูก บังคับเข้าไป
ทีนี้จิตมันจะดีดขนาดไหนก็ตาม เมื่อถูกบังคับอย่างแรงอย่างนี้มันจะค่อยสงบตัวลง มันอยากคิดเรื่องนั้นเรื่องนี้ แต่มันสู้ความคิดในทางด้านธรรมะด้วยกำลังของใจและสติอันรุนแรงไม่ได้ ตกลงมันก็สงบ ทีนี้พอจิตสงบแล้วเราจะเห็นโทษแห่งความวุ่นวายของจิตที่มันดีดมันดิ้นทันที เพราะเห็นคุณแห่งความสงบ ไม่มีอะไรกวนใจ นี่ก็ทันทีเหมือนกัน นี่ละการดูกิเลสดูธรรมให้ดูที่หัวใจ เราพิจารณาไป พอต่อไปแล้วก็ค่อยขยับเข้าไปเรื่อย สตินี้อย่าว่าเป็นของเคยชินแล้วนะ ให้ตั้งอยู่เสมอ อย่าถือเป็นของเคยชินนะ ให้ตั้ง นี่ละเครื่องปราบ เครื่องปราบมารคือสติ ตั้งให้ดี ปัญญาออกเป็นกาลเป็นเวลา ที่เราจะพิจารณาคิดอ่านไตร่ตรองอะไรก็ให้คิดได้ในเวลาอันควร แต่เรื่องที่จะให้มีสติอยู่กับใจในขณะที่เราต้องการคำบริกรรมภาวนานี้ ให้สติจับไม่ต้องคิดเรื่องอะไร ให้มีแต่คำบริกรรมกับสติจ่อกัน
ความรู้นี้เมื่อมีผู้อารักขาคือสติรักษาอยู่ คำบริกรรมบีบเอาไว้ สติตีแนบเข้าไปอีกแล้วจะค่อยสงบลง ๆ จากนั้นก็เย็นเลย พอมันรวมของมันเข้าไปเป็นอันเดียวแล้ว ทีนี้โลกมันว่างไปหมดในขณะนั้นนะ เหมือนโลกไม่มีว่างไปหมด เหลือแต่ความแปลกประหลาดอัศจรรย์สว่างไสวภายในจิตใจของตัวเอง จากการภาวนาของเรา จำให้ดีนะ ทีนี้พอมันถอนขึ้นมาแล้ว ความรู้สึกที่แปลกประหลาดอัศจรรย์ติดใจตลอดนะ ไม่ได้ถอน ไปทำการทำงานอะไรจิตมันประหวัด ๆ อยู่ที่ผลแปลกประหลาดอัศจรรย์ที่เราเคยทำมาแล้ว แม้จะผ่านไปแล้วมันก็ไม่ลืมนี่ละมันติด ทีนี้ต่อไปความพากความเพียรเราก็ค่อยหนุนเข้าไป ๆ แล้วความสงบเย็นใจยิ่งมากขึ้น ยิ่งเห็นภัยแห่งความวุ่นวายมากขึ้น ๆ นั่น
นี่ละตัดวัฏจักรที่เป็นฟืนเป็นไฟเผาไหม้หัวอกเราตลอดเวลา ด้วยความไม่มีสติ เพราะกิเลสลากไปไม่หยุดไม่ถอย ทีนี้รั้งคืนมาด้วยอำนาจแห่งธรรม บังคับให้หนัก เวลาหนัก ๆ เอ้า ตายก็ตายว่างั้นเลย อยู่ ไม่พ้นไปได้ กิเลสมันก็เป็นกำลังอันหนึ่ง ธรรมะก็เป็นกำลังอันหนึ่ง เมื่อกำลังทางไหนหนาแน่นกว่าแล้วทางนั้นจะชนะ เวลานี้มีแต่กำลังของกิเลสหนาแน่นตลอดเวลา ธรรมแย็บออกมาไม่ได้ถูกกิเลสตีหงายไปเลย ๆ ทีนี้เวลาเราตั้งเข้ามาจริง ๆ แล้วจะเห็นคุณค่าของธรรมการฝึกทรมานตัวเองขึ้นในขณะนั้นเป็นความสงบเย็นใจ จากนั้นก็สว่างไสวแปลกประหลาดอัศจรรย์ขึ้นมา แล้วละเอียดเข้าไปอีก จนเต็มเหนี่ยวแล้วนี้มันว่างไปหมดเลย ปล่อย คือจิตนี้ปล่อย จิตนี้ว่างจิตนี้ไม่คิดเพราะไม่มีอะไรผลักดันให้คิด อำนาจของธรรมบีบบังคับไว้หมด เมื่อมีแต่ธรรมครอบครองหรือรักษาจิตใจ ใจก็สว่างไสวมีแต่ความสงบเย็น ไม่เหมือนกิเลสเข้ามาบังคับนะ ต่างกัน นี่เราก็เห็นทั้งสองภาคๆ นะ ต่อไปก็ค่อยก้าวขึ้นไป ๆ
เราเป็นฆราวาสขอให้ทำ เรื่องความสุขความทุกข์มันมีด้วยกันทั้งประชาชนฆราวาส ญาติโยมและพระเณรนั่นแหละ เพราะกิเลสอยู่ในหัวใจด้วยกัน บวชแล้วก็มีแต่หัวโล้น ๆ ดังที่พูดเมื่อเช้านี้ แม้แต่หมามันก็หัวโล้น ไปโกนให้โล้นมันก็โล้นละซี คนเรามันโกนเท่าไรก็ได้ฟาดจนหนังออกหมดยังเหลือแต่กะโหลกศีรษะมันก็ได้ แต่กิเลสไม่ถลอกปลอกเปิกถ้าไม่ชำระมันไม่รักษาตัวให้ดี ถ้ารักษาตัวให้ดีโกนไม่โกนไม่เป็นไร สิ่งเหล่านี้มีอยู่ประจำอัตภาพร่างกายของสัตว์ของบุคคลแต่ละประเภท โกนไม่โกนไม่สำคัญ โกนกิเลสตัวมันเก่ง ๆ นั้นน่ะ เอาตรงนี้ ฝึกหัดบังคับกันบ้างซิ
เราเป็นห่วงพี่น้องทั้งหลายนะ พูดนี้พูดอย่างจริงอย่างจัง เราไม่มีสงสัยในธรรมพระพุทธเจ้าตั้งแต่เริ่มปฏิบัติมา มืดดำกำตาจนไม่มีราค่ำราคาหมดราคาในเจ้าของก็เห็นประจักษ์ในเจ้าของ แต่เพราะการฟิตไม่หยุดไม่ถอยก็ค่อยงอกเงยขึ้นมา ๆ จนกระทั่งเอาสุดยอดมา ได้มาพูดให้พี่น้องทั้งหลายฟัง พูดหาความสงสัยไม่ได้เลยในธรรมพระพุทธเจ้า ยกให้เป็นศาสดาองค์เอกทันทีเลย ไม่เห็นองค์ศาสดาก็ตาม ธรรมนี้แลคือศาสดา พระรูปร่างพระโฉมพระสรีระนั้นเหมือนเรา ๆ ท่าน ๆ เป็นสมมุติ แต่ธรรมอัศจรรย์ที่ได้รู้ได้เห็นประจักษ์ใจตัวเอง นั้นแลคือศาสดาแท้ คือธรรมแท้ หรือธรรมธาตุ ขอให้ปฏิบัติจะเข้าถึงจุดนั้น ท่านบอกไว้ว่าใครเห็นธรรมผู้นั้นเห็นเราตถาคต นี่ละเห็นตถาคตแท้คือเห็นธรรมในใจ ไม่ต้องไปหาพระพุทธเจ้าแหละ ประจักษ์อยู่ที่ไหน ไปอยู่ที่ไหนก็มีศาสดาประจำตัว ๆ นี่ละการปฏิบัติตัวเอง อย่าปล่อยอย่าวางจนเกินไป
เวลานี้กิเลสมันเต็มบ้านเต็มเมือง เฉพาะชาวพุทธเรานี้มีตั้งแต่ขวนขวายเข้ามา วิ่งเต้นเผ่นกระโดด กว้านเข้ามา เอาฟืนเอาไฟซึ่งเป็นกลมายาของกิเลส เอามาเผาเราทั่วบ้านทั่วเมือง เด็กก็เสียไปตามเด็ก ผู้ใหญ่เสียไปตามผู้ใหญ่ เพราะต่างคนต่างไปลากไปเข็นมันเข้ามาเผาตัวเอง เด็กเกิดมาเล็ก ๆ ก็หาเครื่องให้เด็กมีความสุขความสบาย พ่อแม่จะได้ทำการทำงานบ้าง ถ้าไม่ได้เห็นเด็กคนอื่นเขาได้ เด็กของเราก็ร้องห่มร้องไห้ก็ไปหามา ตั้งแต่เครื่องเล่นของเด็กจนกระทั่งจักรยานเล็ก ๆ น้อยๆ ต่อไปก็มอเตอร์ไซค์ เล็ก ๆ น้อย ๆ ก็จะมีขึ้นเรื่อย ๆ นี่มันเครื่องเสริมไปเรื่อย ๆ แล้วใหญ่ขึ้นไปเท่าไรก็ยิ่งแผลงฤทธิ์ขึ้นไปใช่ไหมล่ะ
ฟาดขึ้นรถยนต์ เครื่องยนต์กลไกบ้านหนึ่ง ๆ มีกี่คันก็ไม่รู้รถ มันจะซื้อมาเผาหัวมันอะไรเราก็ไม่รู้นะ หลวงตาก็มีรถ สิ่งเหล่านี้ก็เผาหัวหลวงตา แต่เราไม่ได้เอา นี่เขาขโมยซื้อมาให้เราต่างหาก ที่เอามาให้เรา เราไม่เคยเอา ปัดตลอด บอกว่าเราไม่ได้บวชมาหารถยนต์ ว่าอย่างนี้แล้วเขาก็ฟังแต่เขาไม่ตอบ แต่เขาด้อมไปเอามา นี่เต็มอยู่เห็นไหม ซื้อมา ๆ เวลาจะไปไหนจับหลวงตาบัวโยนขึ้นใส่รถแล้วก็ไป ตกลงเราก็เป็นขอนซุงไปกับรถของเขาที่ห้ามเขาฟ่อ ๆ นั่นแหละ เข้าใจไหม นี่มันเครื่องยุ่งเหยิงก่อกวนนี้มากขึ้นทุกวัน ๆ จนอ่อนใจเราพูดจริง ๆ นะ เรามองไปไหนมันเห็นหมด มันอ่อนใจ มีแต่เรื่องอำนาจของกิเลสมันฉุดมันลากอยู่ตลอดเวลา ไม่ว่าเด็กไม่ว่าผู้ใหญ่ทุกแห่งทุกหนตำบล หมู่บ้าน บ้านนอกในเมือง ไม่มีเว้นที่กิเลสจะเข้าไปแทรกไปซึม อย่างน้อยแทรกซึม มากกว่านั้นตีแตกกระจาย ๆ ไปหมด โลกมันถึงได้ร้อน ดิ้นไปตามกิเลสร้อนทั้งนั้น แต่ดิ้นตามธรรมไม่ร้อน ดิ้นหนักเท่าไรยิ่งสงบเย็นลง ๆ
การปฏิบัติจิตก็ได้ปฏิบัติมาตั้งแต่ต้น จนกระทั่งหายสงสัยทุกอย่างในธรรมพระพุทธเจ้า เราหายสงสัยหมด ทั้งธรรมธาตุทั้งกระแสของธรรม กิ่งก้านสาขาดอกใบของธรรมที่จะควรรู้ควรเห็นในสิ่งใด ตามนิสัยวาสนาของเรา ถึงตัวเท่าหนูมันก็มีความรู้เท่าหนู ตัวเท่าช้างมีความรู้เท่าช้าง อย่างพระพุทธเจ้าเหมือนราชสีห์ ก็เต็มเหนี่ยวของพระองค์ที่ทรงพระอำนาจเป็นราชสีห์ เราเป็นหนูเราก็ไม่สงสัยตามภูมิของเรา นี่ละเอามาเป็นเครื่องยันกัน ระหว่างราชสีห์กับหนู ที่มายันกันเป็นเครื่องยอมรับคืออะไร ราชสีห์ก็ตาใหญ่ หนูก็ตาเล็กมันก็เห็นด้วยกัน ตาหนูก็เห็นสิ่งที่หนูจะเห็น ตาราชสีห์ก็เป็นสิ่งที่ราชสีห์จะเห็น ทีนี้ก็ค้านกันไม่ได้เพราะต่างคนต่างเห็น นี่ละธรรมพระพุทธเจ้าถึงจะลึกซึ้งขนาดไหน ๆ ตามภูมิของศาสดาและภูมิของสาวก แต่แล้วเอามายันกันได้เลย หาที่ค้านกันไม่ได้ นี่ละธรรมพระพุทธเจ้า ใครรู้เข้าแล้วไม่ต้องถามกัน ๆ รู้มากรู้น้อยเป็นความพอดี ๆ กับเจ้าของ ยอมรับด้วยกันทั้งนั้น
ขอให้ท่านทั้งหลายยับยั้งตัวเองบ้างนะ อย่าเพลิดเพลินจนเกินเนื้อเกินตัว มันจะแหลกหมดในวงพุทธศาสนาของเรา ทั้ง ๆ ที่พุทธศาสนามีอยู่แต่ไม่มีใครสนใจ มิหนำซ้ำการปฏิบัติเรื่องศีลเรื่องธรรมความดีงามทั้งหลายไม่ว่าฆราวาสและพระ มันโจมตีกันแหลกหมด ก็มีแต่กิเลสตัวลามกจกเปรต ตัวมหาภัยต่อชาติต่อศาสนานั้นแหละมันเที่ยวโจมตี ลุกลามอยู่ทุกแห่งทุกหนเป็นของดีเมื่อไหร่ มีอยู่ทุกแห่งทุกหนนะ นี่น่าสลดสังเวชมากอันนี้เอง ให้พี่น้องทั้งหลายจำเอา ให้ปฏิบัติให้ดี ไม่มีอะไรเลิศยิ่งกว่าใจที่พ้นจากกิเลสโดยประการทั้งปวงแล้วเลิศตลอดเวลา นิพพานเที่ยงก็คือธรรมชาตินี้ ใจที่เป็นธรรมธาตุล้วน ๆ แล้วนั่นแหละเรียกว่านิพพานเที่ยง กาล สถานที่ เวล่ำเวลาไม่มี คือ อดีต อนาคต ปัจจุบันไม่มี สิ่งเหล่านี้เป็นสมมุติปัดออกหมด เหลือแต่คำว่าพอหรือเที่ยงอย่างเดียว
แล้วท่านจะไปกังวลอะไรการเกิดการตาย การแบกหามความทุกข์ความทรมานอย่างอดีตที่เคยเป็นมา อนาคตจะแบกต่อไปอีกสำหรับคนมีกิเลส ท่านไม่มีท่านจะแบกอะไร นั่นแหละตรงนั้นตรงสำคัญ เมื่อมันจ้าเข้าในหัวใจ หมดอดีต อนาคต อะไร ๆ มันก็พออยู่ในหัวใจหมด นี่อำนาจแห่งการปฏิบัติความดีของเรา อุตส่าห์พยายามมากน้อยจะเป็นความดีขึ้นมาแก่ตัวเองนั้นแหละ ไม่เป็นความดีแก่ผู้ใด เราต้องฝึกเราเป็นผู้รับผิดชอบเรา ความทุกข์มากน้อยเราเป็นผู้รับเคราะห์กรรมเอง เพราะการกระทำของเรา ทีนี้ความดีก็เราจะเป็นผู้อุตส่าห์พยายามบึกบึนให้เป็นความดีสำหรับส่งเสริมเรานะ จำให้ดี เอาละวันนี้เท่านี้พอ โอ้ เหนื่อย วันนี้หมุนไปทางด้านธรรมะบ้าง วันไหนก็มีแต่ชาติบ้านเมือง ๆ ยุ่งไปหมด วันนี้เอาพวกเราบ้าง
เมื่อวานนี้วันที่ ๖ ทองคำที่เขามาถวายธรรมดานี้ได้ ๓ บาท ๙๔ สตางค์ ดอลลาร์ได้ ๒๖๐ ดอลล์ ถ้าทองคำกฐินเราไม่ได้บอกในนี้นะ กฐินเป็นกี่กองก็ตามไม่ได้นับ ถ้าทองคำเขาถวายธรรมดาปกติ ๆ ได้กี่บาทกี่กิโลก็บอกในนี้ อย่างเมื่อวานนี้ได้ ๓ บาท ๙๔ สตางค์ ดอลลาร์ได้ ๒๖๐ ดอลล์ รวมทองคำที่ได้แล้วทั้งหมด ๕,๓๘๓ กิโล ทั้งที่หลอมแล้วและยังไม่ได้หลอม แต่ที่เราจะมอบครั้งต่อไป ๕๐๐ กิโลนี้ เราได้สั่งทางโรงหลอมเรียบร้อยแล้วว่าให้จัดให้พอ ๕๐๐ กิโลเลย เราจึงจะหาเงินและทองคำริบรวมเข้าไป แล้วเอาไปบวกลบกันกับอันนั้น ถ้าขาดเท่าไรเราก็หาใหม่เพิ่มให้ได้ตามจำนวน ๕๐๐ กิโลที่โรงหลอมจัดไว้ให้เราแล้ว ถ้าเหลือเท่าไรก็เป็นอันว่าเหลือ เราก็เผื่อข้างหน้า อย่างเงินกองกฐินนี้มีจำนวนเท่าไรเราจะถือเอาทองคำ ๕๐๐ กิโลนี้เป็นประมาณ ถ้าทางนี้พอแล้ว เราก็จะพักเงินจำนวนนี้ไว้เพื่อซื้อทองคำในงวดต่อไป ซึ่งจะมอบเช่นเดียวกันอีกว่าต้องให้ได้ ๕๐๐ กิโลเหมือนกัน
เราจะมอบเป็นระยะ ๆ อันนี้ ๕๐๐ กิโล ๆ เป็น ๑ ตัน จะไม่มอบต่ำกว่านั้น นี่เราก็ประกาศไว้เรียบร้อยแล้ว กรุณาทราบตามนี้ เงินของเราที่มีมากน้อยเราเข้านั้นไว้ แล้วเอามาพิจารณากันว่าขาดเหลือเท่าไรกับทองคำ ๕๐๐ กิโลนั้น ถ้ามันเหลือแล้วเราก็ไม่ไปรบกวนกองกฐิน ถ้ามันไม่เหลือเท่าไรก็ออกมา ๆ กรุณาทราบตามนี้
โยม หลวงตาเจ้าค่ะ ลูกขอถามนิดหนึ่งเจ้าค่ะ หลวงตาไปถูกอะไรมา ลึกมาก
หลวงตา มันเป็นบ้าอะไร มาถามอย่างนี้ มรรคผลนิพพานมีอยู่ในหัวใจสอนป้าง ๆ มันไม่สนใจ มาสนใจอะไรประสาอันนี้ มันวิเศษวิโสอะไร มาถามหลายปากแล้วนะ เดี๋ยวตีปากเอานะ อย่าว่าไม่บอก รีบไปถ้าไม่อยากปากแตกให้รีบไป เดี๋ยวนี้มันก็แตกแล้ว ถ้าฟาดเข้าไปอีกเดี๋ยวแตกอีกนะ ไป
โยม ห่วงจริง ๆ ห่วงหลวงตามาก
หลวงตา อะไร
โยม เขาบอกว่าเขาห่วงหลวงตามาก แต่หลวงตาสอนให้เขาห่วงตัวเองก่อน
หลวงตา ห่วงอะไร ก็สอนแล้วทุกอย่างมาห่วงอะไรหลวงตา เมื่อเช้านี้กินไม่ทราบว่าเท่าไรหมดตั้งบาตร เหลือก็แจกลูกศิษย์ไปอีก เข้าใจเหรอ แล้วมาห่วงอะไรอีก หรือจะให้กินทั้งข้าวเย็นอีกด้วยเหรอ มันบ้าแล้วนะ ลูกศิษย์หลวงตาบัวนี่ เอาละพอเสียก่อน ได้กับเขาไหมวันนี้ เอาซะอันนี้ให้ ดุอย่างแหลกเลยให้รางวัล
โยม หนูตกใจหมดเลย ก็หลวงตาดุ ลูกศิษย์เขาเป็นห่วงหลวงตากลัวจะเจ็บเขาก็ถาม เขาร้องไห้เห็นไหมล่ะ หลวงตาหนูถวาย ๕๐๐ วันนี้
หลวงตา โอ้ ลงใส่หมัดนี้เลยนะ เอ้า พอใจ มันก็ไปสะเปะสะปะเตะโน้นเตะนี้ไปเรื่อย ไม่ได้สนใจแหละ
พระบางองค์ท่านภาวนา ฆราวาสก็เป็น ในปี ๔๕ หรืออะไร ที่พระเหาะขึ้นไปมี พระท่านนั่งภาวนานี้ ตัวท่านลอยขึ้นเรื่อย ๆ ถ้าปล่อยก็ลอยขึ้นเรื่อยเลย ฆราวาสก็มี เพราะจิตไม่มีเพศว่าหญิงว่าชาย สมควรที่จะเป็นได้ยังไงตามนิสัยของตนก็เป็นได้ อย่างนี้ฆราวาสก็เป็น พระก็เป็น เรียกว่าเป็นได้ทั้งสอง นั่งภาวนาตัวมันเบาขึ้น ๆ ขึ้นเลย นี่ละอำนาจจิตดูซิ แต่ก่อนแบกร่างนี้จะเป็นจะตายหนัก พอนั่งภาวนาเข้าไป จิตมันรวมพลังอะไร ขึ้นเบาหวิว ๆ แล้วขึ้นเลย พระปัจจุบันนี้นะ
พระท่านตัวท่านลอยขึ้นไป ถ้าปล่อยแล้วก็ขึ้นเรื่อยท่านว่า ปล่อยเท่าไรก็ขึ้นเรื่อย แต่นี้ไม่ใช่เรื่องละกิเลส จึงไม่มีใครจะพูดและสนใจอะไรกันนักหนา ยิ่งกว่าการแก้กิเลสด้วยการภาวนา อันนี้สำคัญมาก อันนี้เป็นไปตามนิสัยเฉย ๆ เราก็เขียนไว้ในประวัติหลวงปู่เสาร์ ประวัติหลวงปู่มั่นนั่นแหละ แต่ไปเอาเรื่องของหลวงปู่เสาร์มา มีในประวัตินะ ทีแรกท่านนั่งภาวนาแล้วตัวค่อยเบาขึ้น ๆ เป็นทีแรกท่านว่า เบาขึ้น ๆ เอ๊ นี่ทำไมมันเหมือนตัวเราลอยขึ้นนะ ท่านก็เลยลืมตาขึ้นมา มันขึ้นแล้ว พอลืมตาขึ้นมาพอรู้ตัวว่าตัวลอยขึ้นเท่านั้น จิตมันไม่เป็นสมาธิ มันไม่เบาซิ พอรู้ตัวแล้วก็ตกตูมลงมา โอ๊ย.เจ็บเอวอยู่ตั้งหลายวัน จากนั้นมาพอภาวนาแล้วมันเริ่มขึ้นท่านรู้ เอ้า ปล่อยมันขึ้น ๆ
เวลาท่านค่อยชำเลืองออกมาดู ท่านรั้งจิตเอาไว้ไม่ให้จิตถอยออกมา ถ้าจิตถอยออกมามันหนัก มันตก จิตพอรู้ข้างนอกแล้วจิตรั้งเอาไว้มันก็เลยทรงระดับไว้ ที่จะให้อยู่ก็อยู่ ที่จะให้ขึ้นกำหนดมันก็ขึ้น ที่ลดลงพอถอยจิตมันก็ลง ต่อไปท่านก็เลยทดลองดูเรื่อยจนกระทั่งท่านเอาไม้ไปเหน็บไว้บนหลังคา พอขึ้นไป ๆ เอาไม้ไปเหน็บไว้ก่อนนะ แล้วมานั่งภาวนา พอมันขึ้นไป ๆ หัวจรดกับหญ้า เอ้า ทีนี้ถึงแล้ว ท่านก็ค่อยเอามือจับ รั้งจิตไว้นะ ไม่งั้นมันตก คือกำหนดจิตรั้งเอาไว้ให้มันมีความเบาอยู่ตลอด ถ้าไม่รั้งมันหนักมันตกเลย ท่านได้อันนั้นลงมาท่านก็ดู คือเพื่อเอาหลักฐานพยานยืนยันอย่างชัดเจนหายสงสัย ว่าอย่างนั้นนะ ทุกวันนี้ก็มีพระท่านเป็น
โยมอินโดนีเซีย เดินจงกรมตัวลอย
หลวงตา มันเป็นได้คือจิตนี้ อันนี้มันตามแต่จริตนิสัยของใครจะให้เป็นทุกรายไม่ได้นะ มันขึ้นอยู่กับจริตนิสัยผู้ที่จะควรลอยได้ห้ามไม่อยู่ ลอยได้ เพราะฉะนั้นท่านถึงได้แยกเป็นคนละประเภท ๆ ความเป็นในจิตของคน จริตนิสัยไม่เหมือนกัน ท่านก็บอกแล้ว แต่ความบริสุทธิ์นั้นเหมือนกันหมด เสมอกันเลย ส่วนนิสัยวาสนาลึกตื้นหยาบละเอียด กว้างขวางหรืออะไรนี้เป็นไปตามนิสัย ท่านก็บอกไว้แล้วก็ไม่มีอะไรสงสัย มันเหาะเหรอ
โยมอินโดนีเซีย เวลานั่ง
หลวงตา เอ้า มันเป็นก็ช่างหัวมัน ให้จิตมันอยู่ข้างใน ไม่ให้มันออก เราห้ามได้ไหมล่ะ คือไม่ให้มันขึ้นไม่ให้มันลง ให้ความรู้อยู่กับนี้ ถูกต้อง สิ่งเหล่านั้นยังไม่จำเป็นเวลานี้ คือการเป็น อย่างหนึ่งเวลาจิตมันสงบเข้าไปมันออกรู้นั้นรู้นี้มันออกไปได้นะ เวลาฝึกหัดเบื้องต้นครูบาอาจารย์ท่านถึงห้ามไม่ให้ออก ก็มันเหมือนเด็ก คือเด็กออกจากบ้านไปนี่ ออกได้แต่เข้าบ้านไม่ถูก เด็กไปเที่ยวเพ่นพ่านไปแล้วมันออกไปได้แต่เข้าบ้านไม่ถูก จิตนี้กำลังเป็นเด็กอยู่ในวัยนี้มันออกรู้ได้ ๆ แต่เวลาจะย้อนเข้ามาย้อนไม่ถูก นี่ละมันเสียได้ จึงห้ามไว้ก่อนยังไม่ให้ออก จนกว่าว่ามันเป็นหลายครั้งหลายหนรู้จักวิธีเข้า รู้จักกิริยาอาการของจิต รู้จักวิธีปฏิบัติรักษาแล้วก็ออก ๆ เป็นระยะ ๆ ต่อไปนั้นปล่อยเลย ออกไหนได้ กลับมาเหมือนเราออกจากบ้านเรา ไปไหนไปได้ เรากลับบ้านของเราได้ใช่ไหมผู้ใหญ่ ไม่เหมือนเด็ก ถ้าเด็กแล้วออกได้เข้าไม่ถูก มันผิดกัน
โยมอินโดนีเซีย หลวงตาค่ะ เวลานั่งสว่างออก
หลวงตา สว่างช่างมัน กระแสของจิตทั้งนั้นมันออกเหล่านี้น่ะ มันออกก็ออก แล้วให้ย้อนเข้ามาให้มันสว่างอยู่ภายใน สว่างข้างนอกสู้สว่างภายในไม่ได้ สว่างภายในเมื่อมันสว่างเต็มที่แล้ว กำหนดดูสกลกายนี้มันจะเห็นไปหมด ให้ย้อนเข้ามาสว่างข้างในนะ
โยมอินโดนีเซีย หลับตาอยู่ก็สว่างเจ้าค่ะ
หลวงตา นั่นแหละ สว่างให้สว่างเข้ามาข้างใน ให้มันเข้ามาข้างใน คือไม่ให้ออกข้างนอก ไม่ให้มันสว่างไปทางโน้นทางนี้ ให้สว่างเข้ามาข้างใน ให้สว่างอยู่ภายใน จากนั้นสว่างดูอวัยวะของตัวเองดูเนื้อดูหนัง ดูตับ ไต ไส้ พุง สว่างเข้ามานี้ให้มันดูตรงนี้ อันนี้เป็นวิธีดูแก้กิเลส ดูอันนั้นส่วนมากมักจะเพลินและทำให้เสียได้ ไม่อยากให้ดูข้างนอก ให้ดูข้างใน เอาละนะ เข้าใจแล้วเหรอ
โยม เวลานั่งแบบนี้ วิญญาณ กับเวทนาหายไปหมด (ความรู้สึกว่าตัวหายเจ้าค่ะ)
หลวงตา ตัวหายก็หายไป แต่ใจมันไม่หาย มันหายแต่อาการของจิตไปสำคัญว่าอันนั้นหายอันนี้หาย ตัวของตัวอยู่นี้ไม่หายเข้าใจแล้วเหรอ
โยมอินโดนีเซีย วิญญาณกับเวทนาหาย
หลวงตา มันจะหายช่างหัวมัน ให้มันรู้อยู่ที่จิต อะไรหายช่างมัน แม้แต่เวลาจิตมันรวมเต็มที่ของมันแล้วมันจะหายหมดเลย อะไรทุกอย่างไม่มี รู้สึกอยู่ตั้งแต่เพียงความรู้อันนั้น แต่ไม่รู้ว่าอยู่สูงอยู่ต่ำ ไม่กำหนด เป็นเฉพาะปล่อยหมดอันนี้ เข้าใจเหรอที่พูดนี้ ให้ภาวนาอย่างนั้นนะ อย่าด่วนให้ออก สว่างให้มันสว่างอยู่ภายใน สว่างอยู่ในตัวของเรา เมื่อมันสว่างอย่างนั้นแล้วดูต่าง ๆ แล้วมันจะจ้าขึ้นมา ข้างนอกยังไม่ดี มันสว่างนอกทำให้เราเพลินแล้วผิดไปได้ แต่ความสว่างให้อยู่ภายในนี้ยังไงก็ไม่ผิด ถึงไม่ออกใช้อะไรก็ไม่ผิด ถ้ายิ่งออกใช้พิจารณานี้ก็ยิ่งกระจ่างแจ้งขึ้นมา เข้าใจหรือเปล่าที่พูดนี้ เอ้าจับเอาไว้
เราอยากให้รู้ให้เห็นเรื่องจิต อะไรจะอัศจรรย์ยิ่งกว่าจิตไม่มี พูดอย่างชัดเจนเลย ยันได้เลย อะไรที่จะเลิศยิ่งกว่าจิตนี้ไม่มีในโลกอันนี้ คือจิตนี้เป็นธรรม ธรรมเป็นจิตล้วน ๆ แล้วเลิศไปเลยเชียว ไม่มีอะไรเทียบได้เลย ดังที่ว่าถังขยะ ๆ ถังขยะนี้มี ๒ ประเภท คือถังขยะอันหนึ่ง ทั้งร่างกายและจิตใจที่มีกิเลสเรียกว่าถังขยะ ทั้งสัตว์ทั้งบุคคล นี่อันหนึ่ง แยกออกไปเป็นจิต จิตมีกิเลส เรียกว่าจิตนี้ถังขยะ ร่างกายเป็นสภาพของเขา จะว่าถังไม่ถังเขาไม่มีปัญหาอะไรแหละ ว่าก็หมายถึงจิตเพื่อให้รู้ตัวต่างหาก นี่มันเป็น ๒ ชั้น ๆ เออ วันนี้สายแล้วไม่เอามากแหละ ถ้าพูดไปอีกเดี๋ยวมันจะลามปามอีก เอาละเลิก
อ่านธรรมะหลวงตาวันต่อวัน ได้ที่ www.luangta.com
|