เทศน์อบรมฆราวาส ณ วัดป่าบ้านตาด
เมื่อวันที่ ๑๒ กรกฎาคม พุทธศักราช ๒๕๔๗
ปฐมฤกษ์มหามงคล
เมื่อคืนนี้ฝนตกเหมือนพ่นสี ได้ตลอดรุ่งเลยนะ เป็นไอลงมาเลย ตั้งแต่หัวค่ำจนตลอดรุ่ง โธ้ มันทำดีเหลือเกิน เดินจงกรมก็ไม่สะดวก นานไปมันเปียกได้ เหมือนพ่นสีอะไรมา เช้าลงไปยังตกอยู่อีก หลวงปู่มั่นเวลาเช้าท่านออกจากที่ของท่านมา ท่านเดินจงกรมอยู่ในป่า พอออกจากที่ปั๊บเข้าไปเดินจงกรมอยู่ในป่า จนกระทั่งถึงเวลาออกบิณฑบาตท่านค่อยออกมา หลวงปู่มั่นนะ สำหรับหลวงปู่มั่นเกี่ยวกับเรื่องการเปลี่ยนอิริยาบถของท่านให้เสมอ ฝนตกท่านก็ออกเดินยืดเส้นยืดสายท่าน เป็นอริยประเพณี หนึ่ง พระอริยเจ้าทั้งหลายท่านเป็นอย่างนั้น ท่านไม่คุ้นกับอะไรนอกจากธรรมในท่าน แสดงออกแง่ไหนมีแต่ธรรม
อีกประการหนึ่งที่ผลพลอยได้ บรรดาลูกศิษย์ลูกหาที่ไปศึกษาอยู่มองเห็นท่านเดินจงกรม กั้นร่มเดินจงกรมอยู่อย่างนั้น มีความรู้สึกยังไงบ้าง ผู้ไปศึกษาต้องสะเทือนใจ สำหรับท่านประจำอิริยาบถของท่าน และเป็นอริยประเพณีของท่าน ท่านคุ้นกับธรรมโดยถ่ายเดียว อะไรๆ ข้างนอกท่านไม่ถือสำคัญยิ่งกว่าความคุ้นความสนิทกับธรรม กิริยาแสดงออกนี้เป็นเรื่องธรรมล้วน ๆ เห็นเข้าไปภายในมันรู้หมดนี่นะ
พุทธศาสนาเป็นของเล่นเมื่อไร เป็นแบบเป็นพื้นฐานชำระความทุกข์ให้สัตว์ล้วนๆ เลยเชียวธรรมะ พุทธศาสนาไม่ว่าพระพุทธเจ้าพระองค์ใดแบบเดียวกันหมด เป็นน้ำดับไฟๆ ทั้งนั้น ที่เวลามันวิ่งถึงกันหมดนะ อย่างเมื่อวานนี้พูดเราอยากให้มี สมมุติว่านะให้มีเหตุการณ์ครอบประเทศหรือว่าทั่วโลกนี่ เอ้า นิมนต์หลวงตาขึ้นไปซิน่ะ ดูซิหลวงตาจะสะทกสะท้านไหม ผึงขึ้นทันทีเลยประกาศลั่นสามแดนโลกธาตุ ออกจากนี้ เข้าใจหรือ แสดงออกได้อย่างนั้น จะเป็นอย่างนั้นโดยไม่สะทกสะท้านเลย เพราะมองดูโลกมองดูถนัดชัดเจนมาก ตอนที่เกิดตายๆ กองกันมา ไม่มีใครรู้ ไม่ค่อยรู้แหละ เวลามันพ้นออกมานั้นมันมองมันเห็นไปหมดนี่
ใครว่าตายแล้วสูญ มันตายกองกันมาสักเท่าไร ตัวนั้นละตัวว่าตายแล้วสูญมันเคยตายกองกันมาสักเท่าไร ให้ได้เห็นเข้าไปซิ นี่ละธรรมพระพุทธเจ้าเลิศเลอ ท่านทั้งหลายฟังให้ดีนะ เกิดมาเป็นมนุษย์อย่าเสียชาติเป็นมนุษย์ เขาให้ชื่อให้นามว่าเป็นมนุษย์ก็เป็นบ้าไป ตัวกิเลสตัณหาเหยียบย่ำทำลายให้เกิดความทุกข์ความทรมาน ไปโน้นชนโน้นชนนี้ด้วยความมืดบอด มันไม่ได้คิดตัวเองซิ ธรรมพระพุทธเจ้ากระจายออกมาเหมือนว่าเอาไฟส่องให้ดูมันยังไม่ดู ยังว่าไฟนี้แพ้สายตา หลับตาดีกว่า เวลาเห็นแสงไฟหลับตาเสีย มันแพ้สายตา เป็นอย่างนั้นคนตาบอดใจบอด มันไม่ยอมรับธรรม คำว่าเลิศเลอก็ไม่ได้เหมือนโลกทั้งหลายเลิศเลอ นอกสมมุติไปหมด ท่านแยกออกมาพูดเฉยๆ คือละเอียดจนกระทั่งพูดไม่ถูกแต่รู้อย่างชัดเจนภายในใจ นำออกมาพูด ผิดกันทั้งนั้นแหละ แต่โลกมีสมมุติก็ต้องแยกออกมาๆ พูด
เวลามันมืดมันมืดจริงๆ นะ เหมือนดวงไฟอยู่ในแก้วครอบ แก้วครอบมันมืดมันก็มืดไปหมดเลย ไฟจะสว่างขนาดไหนอยู่ภายใน แก้วครอบมันดำเสียอย่างเดียวก็ดำไปหมด เปิดแก้วครอบออกมันจ้าเลย นั่น กิเลสนั่นละมันครอบหัวใจอยู่ไม่เห็น ไม่รู้ไม่เห็น ของอยู่ในตัวนี้แหละหากไม่เห็น ของอยู่ในตัวเป็นของมืดมันปิดไว้เสียไม่ให้มองเห็น มาเปิดออกมากน้อยก็ค่อยมองเห็น ค่อยเชื่อบุญเชื่อบาปเข้าไปละ มันเป็นอยู่ในจิตนี้ บุญบาปอยู่ที่ไหน ไม่ได้อยู่บนท้องฟ้ามหาสมุทร มันอยู่ในใจของสัตว์ ใจของโลกนั่นแหละ แต่เวลามันไม่เห็นก็อยู่อย่างนั้นแหละ
เห็นหลวงปู่มั่นท่านลงเดินจงกรม ฝนตกท่านก็ไม่สนใจ ออกปั๊บๆ เข้าทางจงกรมเลย กั้นร่มเข้าไปเดินจงกรม จนกระทั่งถึงเวลาออกบิณฑบาตท่านก็ออกบิณฑบาต ท่านเปลี่ยนอิริยาบถของท่านไปในตัว เป็นอริยประเพณี ประเพณีของพระอริยเจ้า จะสนิทกับธรรมตลอดเลย อย่างอื่นไม่มีอะไรสนิท สนิทกับธรรมเท่านั้น บอกว่าเท่านั้น
ฟังซิอย่างพระสารีบุตรไปถามปัญหาพระอัสสชิ ท่านยังบอกว่าอาตมาเพิ่งบวชมาในธรรมวินัยใหม่ๆ ยังไม่มีความรู้อะไรกว้างขวาง จะพูดให้ฟังย่อๆ เย ธมฺมา ขึ้นเลย
เย ธมฺมา เหตุปฺปภวา เตสํ เหตÿ ตถาคโต
เตสญฺจ โย นิโรโธ จ เอวํ วาที มหาสมโณ
ธรรมทั้งหลายเกิดจากเหตุ คือใจเป็นมหาเหตุ ดีและชั่วเกิดขึ้นจากใจ ใจเป็นผู้แสดงออกมา เมื่อดับเหตุนี้แล้วผลก็ไม่มีต่อไป เช่น เหตุคือกิเลสเป็นเหตุสร้างกองทุกข์ ดับกิเลสแล้วทุกข์ไม่มีในใจ พระอัสสชิบอกอย่างนั้น พระสารีบุตรรู้ทันทีเลย สำเร็จพระโสดาในขณะนั้น ท่านไม่ได้บอกว่าท่านเป็นพระอรหันต์ ท่านเป็นพระอรหันต์แล้วนะนั่น ท่านพูดอย่างนั้นให้เหมาะสม กับคนที่ฉลาดไม่ต้องพูดมาก เพียงเท่านั้นก็เข้าใจ เอาต้นเหตุมาหยั่งปุ๊บเข้าไปนี้ พระสารีบุตรรู้ทันทีเลย แล้วไปแสดงให้พระโมคคัลลาน์ฟังซึ่งเป็นเพื่อนกัน พระโมคคัลลาน์ก็ได้สำเร็จเป็นพระโสดาด้วยกัน
แต่ก่อนอยู่ในสำนักสัญชัย พวกเดียรถีย์นิครนถ์ มาเห็นพระอัสสชิเดินบิณฑบาต ก้าวหน้าถอยหลัง เหลือบซ้ายมองขวา กิริยามารยาทสวยงามทุกอย่างน่าเคารพเลื่อมใส ตาเห็นเกิดความเคารพเลื่อมใสในใจแล้ว พอแสดงธรรมก็ไพเราะเพราะพริ้ง ถึงใจปึ๋งเลย ได้สำเร็จพระโสดา ท่านไม่ได้บอกว่าท่านเป็นพระอรหันต์ เพราะอันนั้นออกมาพูดเฉยๆ เป็นไม่เป็น พูดไม่พูดเป็นอะไรไป ธรรมชาติเป็นนั้นแล้วพอตัวอยู่ในนั้น ไม่มีความอยากความหิวโหย ท่านไม่มีท่านพอ
เราเกิดมาได้พบพุทธศาสนา อย่าพากันลืมเนื้อลืมตัวนะ บรรดาพี่น้องทั้งหลายเราเกิดมาในแดนพุทธศาสนา เป็นแดนที่เลิศเลอสุดยอดแล้ว ไปหาที่ไหนไม่มีที่จะเหมือนอย่างธรรมพระพุทธเจ้านี้ เรียกว่าไม่มี สามแดนโลกธาตุนี้ไม่มี มีพุทธศาสนาเท่านั้นของพระพุทธเจ้าทุกๆ พระองค์สืบทอดมาเป็นลำดับ ด้วยความหยั่งทราบเป็นอันเดียวกันๆ รู้แถวแนวเดียวกัน วิ่งถึงกันเลยๆ ท่านแสดงไว้เป็นแบบเดียวกันๆ อันไหนที่แปลกต่างอย่างหยาบๆ ท่านก็พูด ส่วนธรรมทั้งหลายนั้นท่านเป็นแบบเดียวกันหมดนั่นแหละ เช่น พระชนมายุต่างกันอย่างไรบ้างอะไรๆ นี่ การลงอุโบสถสังฆกรรมต่างกันอย่างไรบ้าง ท่านก็แยกออกมาที่ต่างกัน ที่เหมือนกันท่านไม่แยก ปฏิบัติแบบเดียวกันเลย เพราะท่านรู้จริงๆ จึงว่าเป็นศาสนาคู่โลกคู่สงสาร คือพุทธศาสนา
เราไม่ได้โอ้อวด ไม่ได้เหยียบย่ำทำลายศาสนาใด อะไรจริงจับปั๊บเอาอันนั้นเลยทีเดียว ปลอมแปลมอะไรอยู่ที่ไหนช่างไม่สนใจ จับเอาของจริงขึ้นมาเลย ของจริงก็คือพุทธศาสนา รื้อโลกรื้อสงสาร เปิดหมดรวงรังของกองทุกข์ทั้งหลายอยู่กับกิเลส เปิดเข้าไปหารวงรังของกิเลส ถอนพรวดขึ้นมาแล้วหมด ไม่มีอะไรทุกข์ภายในใจเลย ก็มีพระพุทธเจ้าเท่านั้น นอกนั้นไม่มี เราจะหาทั่วโลกดินแดนในศาสนาใดไม่มี มีศาสนาเดียวนี้เท่านั้นไปรื้อถอนกองทุกข์ทั้งมวลออกจากใจพระองค์แล้ว ก็สั่งสอนสัตว์โลกให้ดำเนินอย่างนั้นๆ แน่ะ เป็นแถวเป็นแนวไป
เชื้อสายแห่งความดีทั้งหลายที่จะพาพ้นทุกข์ก็ขึ้นตั้งแต่ทานขึ้นมาเลย ทาน ศีล ภาวนา เรื่อยไปเลย เป็นพื้นฐานอย่างนี้เลย การให้ทาน จิตใจถ้าเห็นแก่ตัวให้ไม่ได้นะ ความตระหนี่มันยึดไว้หมด อะไรๆ เห็นแก่ตัวๆ สละไม่ได้ คำว่าทาน ออกจากจิตใจที่กว้างขวาง มีเมตตาอยู่ในนั้น เมตตาผลักดันออกมาให้มีการเสียสละ นี่คือความเมตตาผลักดันออกมาให้เป็นการเสียสละกว้างขวางออกไปๆ เรื่อย จากนั้นก็ลำดับไป รักษาศีลแล้วก็ภาวนา สุดท้ายก็คือภาวนา นั่นละรากแก้วของพุทธศาสนาอยู่ที่ภาวนา เข้าถึงจุดภาวนาแล้ว ทุกสิ่งทุกอย่างที่เราเคยทำความดีงามมา จะค่อยเปลี่ยนแปลงจากความหยาบเข้าสู่ความละเอียดเรื่อยๆ
จิตใจพอมีหลักเกณฑ์ขึ้นภายในตัวเท่านั้นจะมองเห็นอาการของตัวเอง การทำบุญให้ทานพิถีพิถัน หากเป็นอยู่ในจิตนะ การรักษาศีลก็เหมือนกัน หากเป็นเนื่องอยู่ในจิตนั่นแหละ พิถีพิถัน ระมัดระวังอยู่ในตัว ไม่มีใครบอกก็เป็นเองในจิต เรื่องภาวนาเป็นความละเอียด สอดส่องออกมาเห็นหมด หยาบละเอียดนี้ค่อยเปลี่ยนแปลง จากหยาบเข้าสู่ความละเอียดไปเรื่อยๆ ถึงขั้นภาวนานี้แหละเป็นขั้นที่จิตตั้งหลักตั้งฐาน ตั้งความเชื่อมั่นในบุญในกรรม มรรคผลนิพพาน นรกสวรรค์ จะขึ้นที่นี่เลย เพราะที่นี่เป็นที่เปิดโล่งออกให้เห็นสิ่งต่างๆ ทีนี้ก็เห็นไปเรื่อยๆ แหละ
นี่ละความรู้ พอเจอเข้าไปแล้วไม่ต้องถามใคร ไม่ถามใครเลย ความรู้ภายในใจผิดกันมากนะ ไม่ต้องถามใครละ รู้ขึ้นมาๆ เลย เราจึงอยากให้บรรดาพี่น้องทั้งหลายสนใจทางด้านภาวนา อันเป็นพื้นฐานแห่งความดีทั้งหลายนะ ใครจะภาวนาด้วยวิธีการใดก็ตามเพื่อให้ใจสงบ คือใจนี่มันดีดมันดิ้นของมันตลอดเวลา ตั้งแต่ตื่นนอนมันจะออกแล้ว ทำงาน คิดปรุงเรื่องนั้นเรื่องนี้ ตา หู จมูก ลิ้น กาย เป็นทางเดินของความคิดความปรุงของกิเลสตัวมันผลักดันออกมา อยากให้คิดให้ปรุงให้สำคัญมั่นหมาย อยากรู้อยากเห็นอยากทุกอย่าง คือมันอยู่ในใจของเรา
ทีนี้เวลาเราภาวนา ระงับความอยากเหล่านี้ลง จะเป็นด้วยบทธรรมใดก็ตาม เช่นเรากำหนดภาวนา พุทโธ ตามแต่จริตชอบ จะเอาธัมโมก็ได้ สังโฆก็ได้ เกสา โลมา นขา ทันตา ตโจ ก็ได้ มรณสติก็ได้ อนุสติ ๑๐ เหล่านี้ เป็นบทภาวนา กรรมฐาน ๔๐ ห้องเป็นบทธรรมเพื่อความสงบใจ ที่มันดีดมันดิ้นด้วยอำนาจของกิเลสผลักดันมันออกมา บังคับนี้ให้จิตสงบ พอจิตสงบลงความฟุ้งซ่านวุ่นวายรบกวนตัวเองจะค่อยสงบลงๆ จิตใจจะค่อยเย็นเข้าไปๆ สงบมากเข้า เย็นมากเข้าๆ ส่งแสงสว่างออกไปเรื่อยๆ
สว่างในขั้นสมาธิในขั้นความสงบเป็นความสว่างประเภทหนึ่ง สว่างทางด้านปัญญาเป็นความสว่างประเภทหนึ่ง อันนั้นประเภทสูง คือสว่างทางด้านปัญญานี้ไม่มีสิ้นสุด จากปัญญาก็เป็นญาณไปเลย ละเอียดเข้าไปถึงขั้นญาณหยั่งทราบ นี่ออกจากภาวนา ใจของเราเราจะได้เห็น ความผิดถูกชั่วดีอยู่กับใจของเราถ้าได้ภาวนานะ ถ้าไม่ภาวนาไม่รู้ มีแต่จะเอาท่าเดียวๆ ผิดถูกไม่สนใจ ขอให้ได้อย่างใจ นั่นเป็นเรื่องของกิเลสล้วนๆ ถ้าเป็นเรื่องของธรรมคัดเลือกๆ อยากก็ตามถ้าเป็นทางผิดไม่เอา พลิกไป ปัดเลยๆ ถ้าเป็นทางถูกสั่งสมเข้ามาคว้าเข้ามาเรื่อยๆ นั่นเรื่องของธรรม
การภาวนาเป็นสำคัญมาก เราเคยพูดให้ฟังก็เพื่อเป็นคติแก่บรรดาพี่น้องทั้งหลาย บวชมาใหม่ๆ เราเป็นนิสัยชอบภาวนาอยู่แล้ว เห็นท่านพระครูวัดโยธาฯ เราไปเป็นนาคอยู่นั้น ตอนเช้ามืดท่านลงเดินจงกรมตั้งแต่เช้าๆ เราสังเกตดู พอบวชแล้วก็ไปถามท่าน อยากภาวนา จะภาวนายังไง ท่านก็บอกว่า เอ้อ เอาพุทโธนะ เราก็เอาพุทโธแหละ ท่านว่า เราก็เอาพุทโธมาภาวนาตามประสีประสา ไม่คาดไม่ฝันไม่คิดไม่อ่านว่ามันจะแสดงความแปลกประหลาดขึ้นมา ก็พุทโธๆ วันนี้วันนั้นไปตามประสาอย่างนั้นแหละ โอ๋ย บทเวลามันจะเป็น พุทโธๆ สติติดอยู่นั้น สักเดี๋ยวกระแสของจิตที่มันคิดฟุ้งซ่าน เหมือนเราตากแหนี่ ทีนี้พอจิตจะเริ่มสงบก็เหมือนเราดึงจอมแห พุทโธๆ นี่เหมือนจับจอมแหดึงเข้ามา ตีนแหก็หดเข้ามาๆ จนกระทั่งเป็นกองแห
ทีนี้กระแสของจิตมันรวมตัวเข้ามาๆ จนกระทั่งเป็นกองความรู้ที่อยู่เป็นจุดเดียว เท่ากับกองแหที่นี่ นี่ละพอมันเข้ามาถึงนี้กึ๊กเท่านั้น โถ เดี๋ยวนี้ก็ยังไม่ลืมนะ นี่ละเป็นปฐมฤกษ์แห่งการภาวนาของเรา พอเข้าถึงนั้นกึ๊กจะว่าเป็นสมาธิไม่สมาธิพูดไม่ถูกนะ พอเข้านั้นกึ๊กขาดหมดเลยโลกอันนี้ ปรากฏไม่มีอะไรเหลือ เหลือแต่ธรรมชาติที่อัศจรรย์สุดส่วน คือใจดวงนั้น ขาดออกหมดนะอารมณ์ทั้งหลาย ขาดหมด เกิดความอัศจรรย์ ตื่นเต้น ความตื่นเต้นในความอัศจรรย์เลยไปกระตุกธรรมชาตินั้นเสีย รวมไม่ได้นานนะ คือขาดไปหมดจริงๆ เหมือนอยู่ในท่ามกลางมหาสมุทร เรามีที่นั่งอยู่ในท่ามกลางมหาสมุทร หรือว่ามีเกาะ ว่าเกาะก็กว้างไป เหมือนว่าที่นั่งกลางมหาสมุทร มันอัศจรรย์เกินคาดเกินหมาย โถ ทำไมถึงเป็นอย่างนี้
นี่เราเป็นทีแรกนะ คือค่อยหดเข้ามาๆ พอกิริยาของจิตหดเข้ามา สติยิ่งจ่อเข้าๆ เข้ามาถึงจุดกลางกึ๊กเท่านั้น ทีนี้มันจ้าอยู่ภายในเจ้าของ อัศจรรย์อันนี้ เหมือนว่าขาดหมด เรื่องอารมณ์ของโลกนี้ปรากฏขาดไปหมดในเวลานั้น เกิดความอัศจรรย์ขึ้นมา ตื่นเต้น ความตื่นเต้นละไปกระตุกไม่ใช่อะไรนะ คือมันไม่เคยเห็นไม่เคยรู้ ความตื่นเต้น ความอัศจรรย์ไปกระตุก จิตเลยถอนขึ้นมาเสีย โหย เสียดายเสียจน วันหลังขยับใหญ่เลย ไม่ได้เรื่องๆ
ก็เพราะทำมันไปหมายเอาที่เป็นนั่นมาเป็นผลแล้ว ทั้งๆ ที่เหตุยังไม่ได้ทำ ไปเอาผลที่เกิดมาแล้วนั้น ดับไปแล้วนั้นมาเป็น มันก็ไม่เป็นซิ ทำยังไงก็ไม่ได้ ขยับใส่เท่าไรก็ไม่ได้ จนกระทั่งใจมันจืดเข้ามาแล้ว ความหวังจะเป็นอย่างนั้นๆ ถ้าเราเทียบนะ เราไปทำงานให้เขานี่ วันนี้ทำงานดีเต็มที่ นายจ้างเขาก็ให้รางวัล สมมุติว่าเขาให้รางวัลหนึ่งร้อยบาทวันนี้ โห ดีอกดีใจ ไม่เคยคิดว่าจะได้รางวัลถึงขนาดนี้ สองบาทสามบาทก็พอแล้ว นี้ฟาดเสียตั้งร้อยบาทจะไม่พอใจยังไง เลยดีใจกับรางวัลร้อยบาท วันหลังไปไม่ต้องทำงาน ไปทวงเอาเงินร้อยบาทกับเขา มาทวงเอาเงินรางวัลร้อยบาท ร้อยบาทยังไง ก็เมื่อวานนี้นายให้เงินผมร้อยบาท วันนี้ผมก็มาทวงเอา ก็เมื่อวานนี้แกทำงานทั้งวันก็ต้องให้รางวัล นี้ยังไม่ทำอะไรจะมาทวงเอาไม่ได้
อันนี้ก็แบบนั้นละ พุทโธ ไม่สนใจมีแต่จะเอาอันนั้นอย่างเดียว ทีนี้พอความหวังอันนั้นมันเป็นอุปสรรคต่อการภาวนา ไม่ได้ทำงานเป็นปัจจุบัน มันเป็นอดีตไปแล้ว ทำไปเท่าไรก็ไม่ได้ มันก็จางไป หมดหวังว่างั้นเถอะ ไม่เอาละปล่อยตามเรื่อง พอปล่อยตามเรื่องจิตมันก็มาลงปัจจุบันละที่นี่ ไม่ห่วงนั้นห่วงนี้ ไม่หมายนั้นหมายนี้ ทำไปเป็นอีก กึ๊กอีก เราเรียนหนังสืออยู่ ๗ ปีเป็น ๓ หน ไม่ได้ลืมนะ ต้องจางๆ แล้วมันถึงเป็นนะ เวลาขะมักเขม้นที่จะเอาอยู่นั้น มันไปหมายอยู่นอกมันไม่ได้ แต่พอเวลามันจางแล้วความหมายความหวังก็ทิ้งไปเสีย มาเอาปัจจุบันมันก็ขึ้นอีกเป็นอีก
นี่พูดถึงเรื่องปฐมฤกษ์ของเราที่เป็น ให้เกิดความอัศจรรย์ จากนั้นแล้วถึงเรียนหนังสืออยู่ ภาวนาได้ไม่ได้ก็ตาม สิ่งที่เราเชื่อมั่นแล้วนั้นเป็นอยู่ในใจนะ ฝังลึกเป็นอจลศรัทธา เรียกว่าฝังลึกอยู่ในใจ นี่ละรากฐานสำคัญอยู่กับภาวนา ไม่เคยเป็น พอเป็นขึ้นมันก็เป็นอย่างนั้น อัศจรรย์เสียจน.. วันนั้นทั้งวันอยู่กับอันนั้นนะ อยู่กับความอัศจรรย์ของจิตที่เป็นเมื่อคืนนี้ กลางวันทั้งวันก็อยู่กับอันนั้นๆ เรื่อยไปเลย คือจิตมันมีเอิบอิ่มอยู่นั้นละ เป็นอย่างนั้นนะ ทั้งๆ ที่เรื่องผ่านไปแล้ว ยังไปหาชมเงามันอยู่นั้น ตัวไปถึงไหนก็ไม่รู้
จนกระทั่งได้ปักใจไว้ เอ้า ไม่ได้ก็ตาม เวลาออกปฏิบัตินี้จะเอาให้เต็มเหนี่ยวให้ได้ เป็นอื่นไปไม่ได้ นั่น ปักไว้เลยละ เวลานี้เรากำลังศึกษาเล่าเรียน ภาระยังมีอยู่ จะทำอันนี้ไม่เต็มเม็ดเต็มหน่วย ก็เข้าใจเอาไว้ พอออกมาทีนี้ฟัดเลย เอาจริงๆ ได้เลยละที่นี่ เพราะมันเข้าใจแล้วที่มันหมายอะไรต่ออะไร ทีนี้เวลาเข้าไปนี้ไม่ต้องมุ่ง ไม่ต้องหมายสิ่งที่เป็นมาแล้วอะไรๆ นั้น ใส่ลงปัจจุบันปึ๋งๆ เลย มันก็ได้ๆ เรื่อยมา ถึงขนาดนั้นก็ตาม ปฐมฤกษ์ ปฐมมหามงคลของเรา เราไม่ได้ลืมจนกระทั่งทุกวันนี้ ไม่ลืมนะ มันจะขนาดไหนก็ตามมันก็ไม่ลืมอันนั้น เพราะอันนั้นเขาเรียกว่าเป็นมรดกในเบื้องต้น ให้ได้สืบทอดความเชื่อความเคารพในธรรมทั้งหลายต่อไปได้จากอันนี้ว่างั้น
ทีนี้เวลามันหนักเข้าๆ มันก็เปลี่ยนไปละ จิตใจนี้เปลี่ยนเรื่อยๆๆ ด้วยการภาวนาของเรา ไปถึงอันนั้นแล้วมันก็ยังยึดเป็นหลัก เป็นกตัญญูกตเวทีในธรรมบทนี้อยู่นะ เห็นบุญเห็นคุณอันนี้อยู่ ถึงมันจะผ่านไปไหนมันก็ไม่ลืมอันนี้นะ ที่ว่าหยุดกึ๊กลงนั้นน่ะ ขาดสะบั้นไปหมด ขาดสะบั้นในเวลานั้นของสมาธิ ปล่อยอารมณ์ทั้งหลายในเวลานั้น แต่ไม่ได้ถอนอารมณ์ ไม่ได้ถอนเชื้อที่เป็นอารมณ์ของกิเลสออกจากใจ มันก็ยังเห็นเป็นของอัศจรรย์ ทีนี้เวลามันถอนเชื้อออกเสียหมดโดยสิ้นเชิงแล้ว ก็รู้ว่าอัศจรรย์ แต่มันก็ไม่ลืมอันนี้จนได้นั่นแหละ เพราะอันนี้เป็นมรดกเหมือนเป็นเจ้าบุญเจ้าคุณ ให้เราพิจารณาต่อไปได้อย่างนี้นะ มันก็เป็นอย่างนั้นละ ถ้าเทียบถึงเรื่องมันกึ๊กลงเลยกับจิตขาดสะบั้นกับกิเลสทั้งหลายนั้นมันต่างกันขนาดไหนก็รู้ แต่อันนี้มันไม่ลืมรากฐานสำคัญ
เพราะฉะนั้นจึงอยากให้พี่น้องทั้งหลายได้ภาวนากัน ใครจะชอบธรรมบทใดก็แล้วแต่เถอะ อย่าไปคาดไปหมายมรรคผลนิพพาน สวรรค์ชั้นพรหมที่ไหน อย่าไปหมายนะ ให้ตั้งลงปัจจุบันคือสติ ให้ตั้งลงกับจิตที่เราบริกรรม ไม่ต้องคิดอะไร อันนี้เราสร้างเหตุแล้วเวลานี้ขึ้นที่ใจของเรา ผลจะเกิดขึ้นที่นี่แหละ เราไปคาดผลไว้ก่อนการสร้างเหตุไม่เป็นประโยชน์ละ ให้พิจารณาอย่างนี้ เมื่อเป็นขึ้นแล้วมันยอมรับเองนะ ยอมรับธรรมทั้งหลาย ยอมรับพระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์ ไม่ต้องบอกยอมรับเอง
พี่น้องชาวพุทธเราไม่ค่อยได้สนใจภาวนา แม้แต่พระก็ไม่เคยสนใจภาวนาจะว่าอะไร แล้วจะเอาอะไรไปสอนโลกให้เขาได้รู้เรื่องรู้ราวบ้าง พระพุทธเจ้าเป็นนักภาวนาสอนโลกด้วยการภาวนา พระสงฆ์สาวกก็เหมือนกัน ท่านบรรลุธรรมด้วยการภาวนา สอนโลกจึงต้องมีภาวนาเป็นขั้นเป็นตอนตามขั้นภูมิของบุคคลที่เข้าไปเกี่ยวข้อง ท่านไม่ปล่อยไม่ละนะ
จนกระทั่งมาทุกวันนี้ คำว่าภาวนาไม่เชื่อกันแล้ว กิเลสเหยียบแหลกหมด การภาวนาเห็นเป็นของครึของล้าสมัย ความเป็นบ้ากับกิเลสนั้นทันสมัยแล้ว มันเป็นอย่างงั้นละนะเวลานี้ กิเลสทันสมัย ธรรมะถูกเหยียบย่ำทำลายไปหมด จะว่าครึหรือล้าสมัยก็แล้วแต่ เรื่องธรรมแท้ไม่มีคำว่าครึว่าล้าสมัย เลิศเลอตลอด แต่ถูกความจอมปลอมพวกมูตรพวกคูถเข้าไปปกคลุมหุ้มห่อธรรมเสีย แล้วไปหาเรื่องใส่ธรรมว่าครึล้าสมัย ตัวมันเองตัวครึตัวล้าสมัย ไปที่ไหนเลอะเทอะไปหมด มันไปติดไปแปดไปเปื้อนอะไร มันเลอะเทอะไปหมด กิเลสตัวมูตรตัวคูถนี้ มันไม่ได้บอกว่ามันครึมันล้าสมัยนะ นี่ละโลกทั้งหลายถึงได้ยินดีกับมันพวกมูตรพวกคูถ
เวลามันเปิดออกๆ ด้วยการภาวนานะ เบื้องต้นสงบเสียก่อน พอสงบแล้วจะค่อยขยายตัวออก สงบแน่นหนามั่นคงมากขึ้นๆ มันก็รู้ในตัวนั้นแหละ เพียงขั้นสงบท่านให้ชื่อว่า สมถะ คือ ความสงบ สมาธิ คือความแน่นหนามั่นคงของใจที่สงบแล้ว สงบด้วยความแน่นหนามั่นคง ปัญญาคือความแย็บๆๆ ออก เป็นกิริยาของจิตที่ออกจากความมั่นคงนี้ พิจารณาอะไรๆ ไปเรื่อยๆ นะ
ปัญญานี้พิสดารมากนะ พูดไม่ถูกแต่ไม่สงสัยในผู้เป็น ปัญญาทีแรกออกเป็นกิริยาไปก่อนๆๆ พอละเอียดเข้าไปกิริยาก็ละเอียด ความรวดเร็วคล่องแคล่วว่องไวของปัญญาละเอียดไปตามๆ กันหมด จากนั้นก็เชื่อมเข้าไปถึงมหาสติมหาปัญญา อันนี้เชื่อมไปหมดเลยกลายเป็นเรียกว่าปัญญาละจากนั้นปัญญาญาณไปเลย นั่นละท่านถึงว่าญาณๆ นี้ออกจากการภาวนานะ
อยากให้พี่น้องทั้งหลายได้ทำบ้าง อย่าปล่อยให้จิตมันดิ้นมันดีดจนกระทั่งตั้งแต่ตื่นนอนจนหลับประจำวันไม่ดีเลยนะ อันนี้เรื่องของกิเลสทำงานไม่มีวิเศษวิโสอะไร วันนี้ก็คิดทั้งวันจนกระทั่งหลับ วันไหนๆ ตั้งแต่เกิดมาคิดทั้งวันจนหลับไม่เห็นวิเศษวิโสอะไร ระงับความคิดทั้งหลายนี้ออกด้วยธรรมลองดูซิ เอาธรรมภาวนาปิดเข้าไปดูซิ ความสงบของใจที่มันแปลกจากความวุ่นวายนั้นจะแสดงขึ้นที่ใจของเรา แล้วจะอัศจรรย์ขึ้นไปเรื่อยๆๆ อยากให้ภาวนาบ้างนะ นี่พูดเปิดเผยเต็มเหนี่ยว สามแดนโลกธาตุนี้ไม่เคยหวั่นกับอะไร เพราะมันจ้าอยู่ในนี้แล้วจะเอาอะไรมาเป็นคู่แข่งไม่มี หมดโดยสิ้นเชิง คู่แข่งไม่มี มีแต่ธรรมชาตินี้เท่านั้นเอง ท่านจึงว่าโลกุตรธรรม แปลว่าธรรมเหนือโลก เหนือตลอด จะเป็นธรรมขั้นใดก็ตามเริ่มก็เหนือขึ้นไปแล้วๆ จนกระทั่งสุดยอดแล้วก็ให้ชื่อนามรวมๆ ก็ว่าโลกุตรธรรม แปลว่าธรรมเหนือโลก เหนือโลกสมมุติ นั่น ลองทำดูซิเป็นยังไง
เวลานี้ศาสนาของเราจะไม่มีภาวนาติดค้างอยู่นะ จะมีตั้งแต่การให้ทานรักษาศีลก็ทำไปตามประเพณีตามนิสัย ไม่ฝังลึกนะ ถ้ามีภาวนาฝังเข้าไปแล้ว การให้ทาน การรักษาศีลนี่จะละเอียดแนบแน่นเข้าไปโดยลำดับ เพราะจิตนั่นละรากฐานสำคัญมีความแน่นหนามั่นคงละเอียดลออเข้า สิ่งเหล่านี้ซึ่งเป็นกิริยาออกมาจากจิตก็ค่อยละเอียดไปตามๆ กัน ให้พากันจำเอา นี่ละการภาวนาสำคัญมาก
ที่เรามาเทศน์ป้างๆ อยู่นี้ ฟังซิ ท่านทั้งหลายว่าอวดหรือ ใครจะว่าอวดก็ตามไม่เคยสนใจกับเรื่องอวดว่ายิ่งกว่าธรรมชาติอันนี้ สอนอยู่อย่างนี้ละจะให้ว่ายังไง เวลาเราตายจะไม่มีใครสอนนะ พูดให้มันชัดเจนซิ เขาจะว่าอะไรก็ตาม ความรับผิดชอบอยู่ในตัวของเราเอง จะให้คนอื่นเข้ามาเป็นใหญ่เป็นโตยิ่งกว่าเราได้ยังไง เขามาหลอกยังไงก็เชื่อตามเขา ไม่เป็นตัวของตัวซิอย่างนั้น เอาธรรมเข้าไปเป็นตัวของตัวซิ ใครจะว่าอะไรว่าไป ธรรมเป็นตัวของตัวแล้วพอ เอ้า ภาวนาลงไปซิมันจะได้เห็นวันหนึ่งเวลาหนึ่งจนได้ละคนๆ หนึ่งทำไม่หยุดไม่ถอย หากจะเป็นตามนิสัยของตน
ความรู้ที่เกิดขึ้นจากจิตตภาวนานี้พิสดารมากนะไม่ค่อยเหมือนกัน แปลกต่างกันมาก เพราะฉะนั้น พระพุทธเจ้าจึงทรงตั้งเอตทัคคะ ความเลิศเลอไปคนละทางๆ เพราะไม่เหมือนกันกิริยาอันนี้ ธรรมชาตินั้นเหมือนกัน บริสุทธิ์เหมือนกันหมด แต่กิริยานี้ไม่เหมือนกัน ใครทำลงไปเป็นนิสัยยังไงๆ มันจะรู้ในตัวเองๆ พากันจำเอานะ วันนี้พูดเพียงเท่านี้แหละ ทีนี้จะให้พรฯ
โยม ทำบุญถวายท่านอาจารย์สิงห์ทองเจ้าคะ วันนี้ท่านอายุ ๘๐ ถ้าท่านยังอยู่
หลวงตา ท่านสิงห์ทองเกิดเดือนอะไรไม่รู้นะ
โยม ท่านอาจารย์สิงห์ทองเกิด ๑๒ กรกฎาฯ หลังท่านอาจารย์จวนสองวัน แต่คนละปี
หลวงตา อ๋อ กรกฎา วันที่ ๑๒ เราสิงหาฯ วันที่ ๑๒
โยม ท่านอาจารย์สิงห์ทองถวายพรฯ พ่อแม่ครูจารย์ด้วยเจ้าค่ะ สตวสฺสา จ อายู จ ชีวสิทฺธี ภวนฺตุ เต
หลวงตา ไม่เอาละ พรฯ ใครเราไม่เอา เรานั้นถ้าเป็นแต่งได้ไปนานแล้ว อ้าว จริงๆ นะขี้เกียจแบก พูดจริงๆ ไม่แบกอะไรก็ตามอุปาทานไม่มีก็ตาม ปล่อยมันก็ตาม อุปาทานในขันธ์ปล่อยเหมือนโลกทั่วๆ ไปก็ตาม แต่ความรับผิดชอบในขันธ์มีอยู่ นั่น พาอยู่พากินพาขับพาถ่ายพาหลับพานอน พาเคลื่อนไหวไปมาเพื่อขันธ์ทั้นนั้น ไม่ได้เพื่อใจนะ ทิ้งปั๊วะแล้วอะไรจะมาเพื่อมันที่นี่ ไปเสียเลยมันแสนสบาย พรึบเดียวหมด เรียกว่าสมมุติทั้งปวงนั้นจะมาหมดในขณะขันธ์ที่สิ้นสุดลง เช่นลมหายใจดับพรึบ นี่ละความรับผิดชอบในขันธ์ที่เป็นสมมุตินะ ดับในระยะนั้น ดับโดยสิ้นเชิง ที่ท่านว่า สอุปาทิเสสนิพพาน อนุปาทิเสสนิพพาน
สอุปาทิเสสนิพพาน ท่านบริสุทธิ์แล้วแต่ยังต้องรับผิดชอบในธาตุในขันธ์ โดยสัญชาตญาณ ทีนี้พอขันธ์เป็นสมมุติสุดท้ายดับพรึบลงไปนี้ปล่อยเลย อนุปาทิเสสะ ไปเลย เรียกว่าสมมุติหมดโดยสิ้นเชิง เวลามีขันธ์อยู่ สมมุติคือขันธ์ยังอยู่ได้รับผิดชอบกันอยู่ ไม่ต้องทูลถามพระพุทธเจ้า พอมันเป็นมันรู้อย่างนี้แหละ ไม่ต้องไปทูลถามพระพุทธเจ้า มันรู้ชัดๆ อยู่อย่างนี้แล้วไปทูลถามท่านหาอะไร ธรรมท่านตรัสไว้ชอบแล้วๆ สวากขาตธรรมตรัสไว้ชอบแล้ว พอรู้ปั๊บมันก็ชอบด้วยกัน
โยม ขออนุญาตกราบเรียนถามเรื่องภาวนาค่ะ ที่หนูเคยกราบเรียนไปเมื่อครั้งที่แล้วเรื่องการภาวนาของหนู หนูได้พยายามทำตามนั้นมาตลอด ตั้งแต่ตื่นจนหลับหนูจะพยายามบริกรรมพุทโธ แล้วก็จะดูที่ความคิดกับอารมณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้น แล้วก็พยายามใช้ธรรมะกับเหตุผลคอยสอนตัวเอง เวลานี้หนูก็ทำตามนั้น แต่ว่าหนูรู้สึกว่าความสงบมีมากขึ้น เวลาหนูดูความคิดกับอารมณ์ต่างๆ อารมณ์ต่างๆ ที่เป็นกิเลสนะคะ ส่วนใหญ่ก็ลงที่ว่ามันเป็นทุกข์หรือไม่ก็เป็นอนิจจัง แล้วหนูก็พยายามดูอารมณ์ต่างๆ กลับเข้ามาข้างในให้จิตใจอยู่นิ่งตลอด เวลานี้หนูทำได้มากขึ้น เวลาที่หนูต้องการความสงบพยายามทำสมาธิ หนูบริกรรมได้นานขึ้น
ความสงบที่เกิดขึ้นกับหนูมากที่สุดเป็นลักษณะนี้ค่ะ คือหนูพยายามบริกรรมตลอด มันจะมีช่วงหนึ่งที่รู้สึกง่วง แต่หนูพยายามมีสติอยู่กับคำบริกรรม หลังจากนั้นก็รู้สึกว่ามีบางอย่างเคลื่อนลงไปอยู่ในตำแหน่งที่เหมาะสม จากนั้นหนูรู้สึกว่าสบาย ข้างในรู้สึกเหมือนนั่งอยู่ในที่ว่างๆ ข้างนอกกับข้างในจะแยกจากกัน แต่หนูยังได้ยินเสียงต่างๆ ข้างนอกค่ะ แต่รู้สึกสบาย จากนั้นหนูพยายามบริกรรมต่อ แต่เมื่อหนูบริกรรมต่อจะรู้สึกปวดศีรษะและรู้สึกแน่นภายในหน้าอก หนูอยากทราบว่าที่หนูควรจะทำเวลานี้คือหนูพยายามบริกรรมอย่างเดียว ให้ได้สมาธิที่แน่นหนามั่นคงมากขึ้น หรือว่าหนูควรปฏิบัติตามเดิม คือบริกรรมสลับกับการดูความคิดอารมณ์และสอนตัวเองอย่างเดิมเวลาอารมณ์จะออก
หลวงตา ถ้าจิตมันไม่ค่อยสงบก็ใช้คำบริกรรมให้มากติดต่อกันกับสติติดแนบกันไป เมื่อมันสงบแล้วจะพิจารณาอะไรก็มีโอกาสที่จะพิจารณาได้ เพราะไม่มีอะไรกวน เข้าใจเหรอ คือจิตไม่สงบมันกวน จะพิจารณาก็เป็นสัญญาอารมณ์ไปเลยไม่เป็นปัญญา ถ้าจิตมันสงบตัวของมันแล้วพิจารณาปัญญา มันอิ่มอารมณ์มันก็ทำงานตามเรา นั่นท่านเรียกว่าใช้ปัญญา ก็มีเท่านั้นแหละ หลักสำคัญคือบริกรรมภาวนา พอถึงวาระที่จะปล่อย ยังไงก็ไม่อยู่ปล่อยเอง มันหากรู้ในตัวเอง จิตเวลาละเอียดเข้าไปๆ คำบริกรรมจะค่อยหมดความจำเป็นเข้าไปๆ จนกระทั่งมีแต่ความรู้ล้วนๆ สติจับอยู่กับความรู้นั่นเลย คำบริกรรมเลยไม่มี มันเป็นของมันเองนะ เข้าใจแล้วหรือ จับอันนี้ไว้ให้ดี จะให้เราพูดทุกแง่ทุกมุมมันไม่ไหวแหละ เอาแค่นั้นก่อนนะ
โห เราอยากให้เห็นนะเรื่องการภาวนาของเล่นเมื่อไร อย่างที่เราพูดอยู่นี้ดีไม่มีใครเขาจะว่าบ้ากันทั่วโลก พวกนี้พวกบ้าทั่วโลกมันไม่ว่าเข้าใจไหมล่ะ อะไรจะอัศจรรย์ยิ่งกว่าธรรม พระพุทธเจ้าเลิศขึ้นเพราะธรรม เพราะภาวนา เอาละ
ชมถ่ายทอดสดพระธรรมเทศนาของหลวงตาตามกำหนดการ ได้ที่
www.Luangta.com หรือ www.Luangta.or.th |