เทศน์อบรมฆราวาส ณ วัดป่าบ้านตาด
เมื่อวันที่ ๖ มิถุนายน พุทธศักราช ๒๕๔๗
ถ้าไม่ภาวนาก็ไม่มีความรู้แปลกๆ
ผู้กำกับ ปัญหาจากอินเตอร์เน็ต คนที่หนึ่งบอกว่า กระผมภาวนา ทุกครั้งที่จิตมันสงบจะมีอาการวูบๆ แล้วก็รวมไปสู่ความสงบเกิดความเปล่า ว่างมากๆ แต่พักหลังพอเริ่มภาวนาจิตไม่ค่อยรวมวูบๆ ให้รู้สึกเหมือนอย่างแต่ก่อน แต่จะค่อยๆ เบากายเบาใจ ลมหายใจแผ่วเบาจนรู้สึกว่าเหมือนไม่ได้หายใจ เกิดความว่าง นิ่ง ทื่อๆ เฉยอยู่ แต่ความว่างไม่ลุ่มลึกเหมือนเดิม พักหลังๆ จะเป็นอาการอย่างนี้ทุกครั้งไป ดูเหมือนมันไม่สงบแต่มันก็สงบอยู่นะครับ คือไม่ฟุ้งซ่าน แต่มันว่างแบบจืดชืด ไม่มีความสุขเหมือนแต่ก่อน จึงอยากถามหลวงตาว่า
ข้อ ๑.ยังจัดอยู่ในความสงบใช่สมาธิหรือเปล่าครับ
ข้อ ๒ ทำไมมันไม่รวมวูบวาบเหมือนเดิม ดูจืดชืด แล้วผมควรจะทำอย่างไรต่อไปครับ
หลวงตา เอาละ ขี้เกียจตอบทั้งสองข้อ ที่ทำไปนั้นเรียกว่า จะว่าถูกต้องจริงๆ ก็ไม่ใช่ แต่ค่อนข้างถูกต้องไปแล้ว เจ้าของสำคัญนั้นสำคัญนี้มายุ่งมันเฉยๆ ธรรมดาของจิตนั้นจะให้รวมอย่างเดียวกัน หรือพิจารณาให้เป็นแบบเดียวกันไม่ได้ อาการที่พูดให้ฟังเหล่านี้เป็นอาการของนักภาวนาเท่านั้นจะต้องผ่าน แล้วแต่ใครจะผ่านแบบไหนๆ ต้องผ่านไปอย่างนี้แหละ ก็ถือว่าเป็นธรรมดาไม่เสียหาย ถ้ามันจะเสียหาย พูดออกมามันเข้าใจทันที ให้ภาวนาไปตามที่เคยภาวนานั่นนะ ไม่ผิดทาง
ผู้กำกับ คนที่สอง บอกว่า วันหนึ่งกระผมเจริญสติ โดยการมองดูการเคลื่อนไหวของร่างกาย แล้วจู่ๆ มันก็เหมือนมีปัญญาอะไรเกิดขึ้น แล้วเข้าใจชัดแจ้งในธรรมะ โดยเข้าใจถึงธรรมะอันแท้จริง มันว่างไปหมด มันรู้ด้วยจิตว่าขาดสมมุติทั้งปวง ไร้เวลา ไร้ความนึกคิด มีแต่รู้ ปัญญาเกิดขึ้น หยุดทั้งการเจริญสติและนึกคิด ทำให้เข้าใจในอริยสัจ ๔ และหลักการเกิดดับของจิตชัดแจ้ง แต่ก็คงระดับหนึ่งไม่ถึงกับแทงตลอด แต่เพียงเข้าใจในคำสอนของพระพุทธองค์ไม่ผิดทาง คำถามคือว่า เมื่อรู้ เมื่อญาณเกิดขึ้นแล้ว ทำอย่างไรภาวะแบบนั้นถึงจะคงตัว คือมีสภาวะแบบนั้นทุกอิริยาบถ และเย็นอยู่ตลอดด้วยปัญญาของตนเองบอกว่า ให้เจริญมรรค ๘ ให้ศีล สมาธิ ปัญญา อบรมกันไป แต่ก็ยังมีการกระเพื่อมของจิตอยู่ แต่ว่าจิตนี้รู้และละได้เองด้วยสติตัวรู้ที่เคยเกิดขึ้น หรือว่าจะต้องมีการกระเพื่อมแบบนี้จนกว่าจะถึงอรหันต์จึงจะหยุดครับ หรือว่าจิตของกระผมเอง
หลวงตา ไหนๆ จนกว่าจะถึงอะไร
ผู้กำกับ หรือว่าจะต้องมีการกระเพื่อมแบบนี้จนกว่าจะถึงอรหันต์จึงจะหยุดครับ
หลวงตา มันหันไปหันมาเดี๋ยวคอหักนะ หันแบบนี้หันคอหัก เข้าใจไหม ไปคาดมันทำไม เป็นบ้า ให้ว่างั้นนะ ดำเนินไปนั้นมันจะเป็นอย่างไรให้มันรู้ในปัจจุบันๆ ไปคาดอะไรอรหันต์ระแห็น ท่านผู้รู้เหล่านั้นท่านไม่ได้มาคาดนะ ให้พิจารณาอย่างนี้แหละถูกต้องแล้ว อย่าไปคาดโน้นคาดนี้ อรหันต์ระแห็น เดี๋ยวคอขาดนะ หันโน้นหันนี้ ถ้าไม่อยากให้คอขาดก็อย่าหันนัก อะไรก็ไม่รู้ เอะอะคาดแล้ว ก็มีเท่านั้นไม่เห็นมีอะไร เท่าที่พิจารณามานี้สติเป็นสำคัญ เป็นอันว่าถูกต้องแล้ว ให้ดำเนินไปอย่างนั้น อย่าไปคาดโน้นคาดนี้
ต่อจากเมื่อกี้นี้นะครับ หรือว่าจิตของกระผมเองที่มีอวิชชาที่ละเอียดเกิดขึ้น แต่ตนเองตามไม่ทัน ขอคำแนะนำเพื่อความเจริญก้าวหน้า
หลวงตา ให้พิจารณาในวงปัจจุบันนั่นแหละมันจะทันเอง เข้าใจไหม อวิชชาก็อยู่ที่หัวใจนั่นแหละ วิชชาคือความรู้อวิชชานั้นก็อยู่ที่หัวใจ ให้ดำเนินอย่างนี้ละมันจะรู้เอง อย่าไปคาด
นี่ละเมื่อมีคนทำก็มีคนมาพูดให้ฟังซิ ถ้าไม่มีคนทำก็ไม่มีความรู้แปลกๆ เพราะจิตนี้เป็นตัวเหตุมหาเหตุ อยู่ที่จิตนี้หมดเลย สามแดนโลกธาตุอยู่ที่นี่หมด มันจะไขว่คว้าไปทุกแห่งทุกหนก็ตัวนี้ หดเข้ามาก็ตัวนี้ พอพิจารณาตัวเองรู้เข้ามาๆ หดเข้ามา ย่นเข้ามา ก็มาเห็นตัวมหาเหตุ พอมหาเหตุคืออวิชชาดับลงเท่านั้น หมด ไม่มีเหตุใดละที่นี่ หมดโดยสิ้นเชิง ไม่อยากพูดมากอะไรละ เหนื่อย พูดเพียงเท่านั้นละ เหนื่อยมาก อยากให้ภาวนากันมากๆ พุทธศาสนาจะได้เจริญ เจริญในหัวใจนี่แน่นหนามั่นคง เจริญตามอาการ เสื่อมได้ ถ้ามีหลักใจไม่เสื่อม จะก้าวหน้าเรื่อย หลักใจอยู่ที่ภาวนา ภาวนานี่สำคัญมาก ไม่พูดอะไรมากละ เหนื่อย เอาแค่นี้ ต่อไปนี้จะให้พร
ชมถ่ายทอดสดพระธรรมเทศนาของหลวงตาตามกำหนดการ ได้ที่
www.Luangta.com หรือ www.Luangta.or.th |