เทศน์อบรมฆราวาส ณ วัดป่าบ้านตาด
เมื่อวันที่ ๑๔ พฤษภาคม พุทธศักราช ๒๕๔๗
พุทธศาสนาไม่เป็นข้าศึกต่อผู้ใด
โรงพยาบาลปากคาดนี้อัตคัด เราไปเราจะไปหาแต่ที่อัตคัดๆ ลึกๆ ใกล้ถนนหนทางสะดวกแก่การไปมาเกี่ยวกับคนไข้กับโรงพยาบาล อาหารการบริโภค อย่างนั้นเราไม่ค่อยไปให้ ถ้าอยู่ลึกๆ ไป อย่างทางจังหวัดเลยก็ภูเรือ ภูหลวง อยู่ลึกๆ นะ ทางแถวไปหนองคายก็ไปทางสังคม ตั้งแต่ศรีเชียงใหม่ไป สังคม ปากชม เหล่านี้ลำบาก
เทศน์เรานี่พิลึกพิลั่นนะ เราอยากจะว่าทั่วประเทศไทยนี้ไม่มีใครเทศน์มากกว้างขวางอย่างเรา คิดดูจังหวัดต่างๆ ไปหมด ซ้ำๆ ซากๆ ด้วย ในกรุงเทพยิ่งแล้วเทศน์มากกว่าเพื่อน ตั้งแต่สมาคมใหญ่สุดลงมาเทศน์ตลอด เช่น กทม.ก็เรียกว่าใหญ่สุดในกรุงเทพ นี่เทศน์ถึง ๕ หน สนามหลวง ๒ หน จตุจักร ๒ สวนลุมพินี ๑ เป็น ๕ หน เฉพาะ กทม.๕ หน ส่วนโรงพยาบาลต่างๆ ไม่นับ เทศน์ตามโรงพยาบาล เช่น ศิริราชก็ ๓ หน จุฬาฯ ๓ หน วชิระ ๒ หน รามาฯ หนหนึ่ง กระทรวงสาธารณสุขหนหนึ่ง เทศน์จริงๆ เทศน์เสียจน... ๖ ปีเต็มๆ นี้เทศน์ไม่หยุดเลย เรียกว่าเทศน์มากที่สุดก็คือเรา นอกจากนั้นยังออกทั่วโลกอีก ออกทางอินเตอร์เน็ตทุกวัน อย่างพูดอย่างนี้ออกแล้วนะ เขาคอยฟังทางอินเตอร์เน็ต เราพูดเวลานี้ออก เห็นทั้งภาพ ทั้งเสียง สหรัฐ เป็นต้น เขาฟังสดๆ อย่างนี้แหละ พูดเดี๋ยวนี้เขาออกทางนู้น เขาฟังตามเวลาทางนู้น
ถ้าหากจะพอมีสติสตังบ้างก็ควรจะมีแล้ว ประเทศไทยของเราซึ่งเป็นชาวพุทธ เราก็เทศน์สุดแหละ พระในประเทศไทยไม่มีองค์ไหนจะเทศน์มากยิ่งกว่าเรา การเทศน์นี่มากทั่วไปหมดเลย ควรจะได้สติก็ควรได้ เป็นคติเครื่องเตือนตนเองนะ เพราะการเทศน์เราเทศน์แบบไม่สงสัยในเทศน์ทุกขั้นของธรรมด้วย เราไม่ได้เทศน์แบบลูบๆ คลำๆ เราพูดจริงๆ ถอดออกมาจากหัวใจเทศน์เลย พระพุทธเจ้าท่านเทศน์เต็มภูมิของศาสดา สาวกทั้งหลายท่านก็เทศน์เต็มภูมิของท่าน เราก็เทศน์เต็มภูมิของเราเหมือนกัน แล้วเทศน์ออกไปนี้ไม่สงสัยเสียด้วย แน่นอนๆ ถอดออกจากหัวใจ ว่าตรงไหนๆ จึงไม่ผิด ไม่สงสัย ถ้าแบบลูบๆ คลำๆ ถ้าว่าทำไมท่านเทศน์อย่างนั้นล่ะ ก็ตำราท่านว่าอย่างนั้น ไปอย่างนั้นนะ เราไม่เอา เอาออกจากนี้เลย เอาออกจากหัวใจนี้เลย หัวใจนี้ออกจากภาคปฏิบัติ ผลเกิดขึ้นจากหัวใจ หัวใจเป็นพระไตรปิฎก พระไตรปิฎกท่านออกทีหลังนะ ถอดจากพระพุทธเจ้าไปเป็นพระไตรปิฎก นั้นถอดออกไปต่างหาก หลักใหญ่อยู่ที่พระพุทธเจ้า ที่สาวกทั้งหลาย
นี่ก็เทศน์เน้นหนักทางด้านภาวนา เพราะไม่มีใครเทศน์ทางด้านภาวนา เราเทศน์ภาวนาควบคู่กันไปกับเทศน์สาธารณะทั่วๆ ไป เน้นหนักมากเข้า ตอนสุดท้ายนี้ก็เทศน์เรื่องภาวนา อยากให้ชาวพุทธได้เห็นของแปลกประหลาดภายในใจของตัวเอง ของแปลกประหลาดจะเกิดขึ้นที่ใจ พระพุทธเจ้าก็เลิศจากการภาวนา สาวกทั้งหลายเลิศจากการภาวนา รู้ขึ้นที่ใจนี้กระจ่างไปหมด ไม่ได้เหมือนรู้ตามตำรับตำรา ที่เราเรียนไปที่ไหนก็รู้ไปตรงนั้นๆ แล้วหลงลืมไปๆ ส่วนภายในใจนี้ไม่ได้หลงลืม จ้าอยู่นั้นตลอดเลย และการเทศน์ก็ถอดออกจากนั้นๆ จึงไม่สงสัยในการเทศน์
ด้วยเหตุนี้เองใครจะตำหนิติชมอะไรจึงไม่สนใจยิ่งกว่าความจริงที่ถอดออกเทศน์ๆ เราไม่สงสัยในการเทศน์ของเราคราวนี้ ถ้าใครจะถือเป็นคติก็ถือได้ พระพุทธเจ้าสอนแม่นยำ วิธีฆ่ากิเลสพระองค์ก็สอน ตั้งแต่กิเลสขั้นหยาบจนกระทั่งถึงสุดของกิเลสขาดสะบั้นไปหมด ก็วิธีการพระพุทธเจ้าสอนถูกต้องแม่นยำ ผู้ปฏิบัติตามนั้นสิ้นไปได้ ทีนี้ภายนอกจากพระทัยพระพุทธเจ้าแล้วก็ดูออกไปข้างนอกรอบ ภาษาเราเรียกว่ารอบใจ เห็นไปหมด อันนี้ตัวใจแท้ก็คือกิเลสอยู่กับใจ แก้ที่ใจ ถอดถอนที่ใจ หมดที่ใจ พอหมดที่ใจก็เลิศที่ใจ กระจ่างขึ้นที่ใจ แล้วมองไปเห็นหมด อันนั้นนอกจากใจไปละที่นี่ ดูที่ไหนเห็นไปอย่างนั้นตามความสามารถ
อย่างพระพุทธเจ้านี่เป็นพุทธวิสัย สามารถรู้แจ้งแทงทะลุไป สาวกก็ย่นเข้ามา แต่เป็นพยานกันได้อย่างแม่นยำๆ สาวกนั่นละเป็นพยานของพระพุทธเจ้า แม้ไม่รู้ตลอดทั่วถึงเหมือนพระพุทธเจ้า ก็เป็นพยานว่าได้รู้ได้เห็น สิ่งที่ไม่รู้ไม่เห็นก็ยอมรับ บรรดาสาวกทั้งหลายไม่รู้สิ่งใดซึ่งพระพุทธเจ้ารู้แล้ว สาวกยอมรับทั้งนั้น เพราะเห็นไปเต็มกำลังของตัวเองก็ยอมรับๆ นั่นละท่านสอนด้วยความรู้แจ้งแทงทะลุ ท่านไม่ได้สอนด้วยลูบๆ คลำๆ สอนอย่างแท้จริง ถ้าผู้ปฏิบัติตามท่านอย่างแท้จริงก็หลุดพ้นไปได้จริงๆ ดังสาวกทั้งหลาย สอนวิธีแก้กิเลสใครมาสอนไม่มี
ในโลกอันนี้เราไม่เคยเห็นผู้ใดศาสนาใดที่จะมาสอนวิธีแก้กิเลส ซึ่งฝังจมอยู่ภายในจิตเหมือนพระพุทธเจ้า พระองค์ทรงสอนวิธี พระองค์ทรงรู้แล้ว ถอดถอนวิธีใด นำมาสั่งสอนสัตว์โลก แล้วก็แม่นยำตามนั้นด้วย ผู้ปฏิบัติตามนั้นพ้นได้จริงๆ นี่ภายในพระทัย ทีนี้ภายนอกออกไปก็เห็นอีกอย่างนั้น ก็สอนไว้เป็นความจริงเช่นเดียวกับกิเลสอยู่กับใจ รู้เห็นที่นั่น ละที่นั่น สิ่งภายนอกก็รู้เห็นอย่างเดียวกัน ถึงไม่ละไม่ถอนเขาก็รู้เห็น เขามีตามสภาพของเขา เช่น บาป บุญ นรก สวรรค์ พรหมโลก นิพพาน เปรตผีประเภทต่างๆ มีอยู่ทั่วไปเช่นเดียวกับเรามองเห็นด้วยตาของเรา เรามองไปไหนก็เห็นหมด คนตาดีเห็นไปหมดทั่วถึงกันตามวิสัยของตาคน ถ้าตากล้องไปอีกก็ขยายไปอีก กว้างขวางออกไป ถ้าตาเนื้อก็เห็นธรรมดา เพราะเป็นของมีอยู่ด้วยกัน พระพุทธเจ้าสอนจึงไม่ผิด ควรจะนำมาปฏิบัติ ไม่ได้มากก็ให้ได้พอเป็นพอไป สงบร่มเย็นภายในจิตใจของตัวเองก็ยังดี
เพราะศาสนาพุทธนี้เป็นศาสนาที่เลิศเลอสุดยอดแล้ว ไม่มีที่ใดๆ มาแข่ง มีพุทธศาสนาเท่านั้นสอนได้อย่างแม่นยำทั้งภายในภายนอกตลอดทั่วถึง บอกวิธีการใดถูกต้องตามนั้นๆ พอพูดอย่างนี้แล้วเราก็ระลึกถึงพระองค์หนึ่ง ท่านพิจารณาถึงคู่บารมีของท่าน ท่านพิจารณาไปตรงนั้นๆ แล้วไปเจอเอาจุดสำคัญจุดหนึ่งเกิดความสลดสังเวช ว่าภรรยาได้ทำให้เราเสียใจขนาดนี้ๆ ภรรยาของเราคนนี้ได้ทำให้เราเสียใจอย่างนี้ สะดุดใจมาก ทีนี้ภรรยาก็ดูพระที่ท่านกำลังพิจารณาเรื่องของตัวเองอยู่นั้น ภรรยาก็รู้ พอไปถึงจุดนั้นท่านเกิดความสลดสังเวชในความเสียหายของภรรยาที่มีต่อท่าน ทีนี้ภรรยาก็กระตุกมาทันที ท่านอย่าพิจารณาแต่แค่นี้นะ ให้พิจารณาต่อไปอีกท่านจะได้เห็นความแปลกต่าง ท่านก็พิจารณาต่อไปอีกก็รับกันได้ ลบอันนี้ได้
คือที่ทำความเสียหายช้ำใจแก่พระองค์นั้น ช้ำใจจนกระเทือนมากทีเดียว ทางภรรยาก็ว่าให้พิจารณาต่อไปอีก อันนี้เป็นอย่างนี้ พิจารณาต่อไปก็เห็นความสละชีวิตเพื่อสามีของตน แล้วเกิดความสลดสังเวช เกิดความประทับใจ ลบอันนี้ได้ นั่นละถ้าญาณต่อญาณเห็นกันมองกัน อย่างพระพุทธเจ้าทรงเล็งญาณดูพระกัสสปะกำลังพิจารณาดูความเกิดความตายของสัตว์ทั้งหลายไม่มีประมาณ มากมายก่ายกอง เกิดความอิดหนาระอาใจ แหม สัตว์โลกนี้เกิดตายๆ มากขนาดนี้เชียวนา ทางนั้นก็กระตุกมาทันที ทางพระพุทธเจ้า โอ กัสสปะ อันนี้เป็นวิสัยของพระพุทธเจ้า ให้เธอหยุดเสีย พิจารณาเท่าไรก็ไม่สิ้นสุด เป็นความอิดหนาระอาใจเปล่าๆ ไม่เกิดประโยชน์ อันนี้เป็นวิสัยของพระพุทธเจ้าต่างหาก หยุดเสีย อย่าพิจารณาต่อไป
คือพิจารณาเท่าไรยิ่งหนายิ่งแน่น ความเกิดความตายของสัตว์ สัตว์แต่ละประเภทๆ คือใจดวงนี้ละมันพาไปเกิดไปตาย ไม่ตายไม่ฉิบหายคือใจดวงนี้ เกิดที่นั่นตายที่นี่ สูงๆ ต่ำๆ ไปเรื่อยๆ พอดีพระกัสสปะกำลังพิจารณาความเกิดความตายของสัตว์ทั้งหลายอยู่ เกิดความอิดหนาระอาใจ พระพุทธเจ้าจึงทรงเตือนมาให้หยุด อย่าพิจารณา ไม่มีสิ้นสุดเรื่องของสัตว์โลกที่เกิดตายเต็มอยู่อย่างนี้ ไม่ใช่วิสัยของเธอ นี้เป็นวิสัยของพระพุทธเจ้าต่างหาก ให้หยุดเสีย นี่พระพุทธเจ้ากระตุกพระกัสสปะ ท่านกำลังพิจารณา พระองค์ทรงเตือน แล้วพวกเราจะมีใครล่ะอย่างนั้น ไม่มีใครนะ เจ้าของคิดออกไปผิดถูกชั่วดีก็ไม่รู้ นั้นผู้อื่นยังมารู้ให้อีกด้วย ก็ญาณท่านประสานกัน
เรื่องของพระพุทธเจ้าเป็นเรื่องที่ตายใจได้ทุกอย่าง ไม่มีผิดมีพลาด ท่านจึงว่า เอกนามกึ หนึ่งไม่มีสอง คือพระญาณหยั่งทราบของพระพุทธเจ้า ลงได้หยั่งทราบอันใดแล้วแม่นยำๆ ไม่มีสองเป็นคู่แข่ง พระวาจาที่รับสั่งออกไปก็เหมือนกัน ไม่มีสอง ถูกต้องแม่นยำ จึงเรียกว่า สวากขาตธรรม ตรัสไว้ชอบแล้ว ธรรมะที่มาสอนโลกนี้ตรัสไว้ชอบแล้วทั้งนั้น ที่ไม่ชอบก็คือสัตว์โลกเดินผิดๆ พลาดๆ ตกหลุมตกบ่อไป พระพุทธเจ้าไม่ได้สอนให้ตกหลุมตกบ่อ แต่สัตว์โลกมันผิดมันพลาดไปด้วยความโง่เขลาเบาปัญญา ผิดๆ พลาดๆ ไป ส่วนพระพุทธเจ้าสอนด้วยสวากขาตธรรม แม่นยำๆ ไปเลย
ธรรมทุกประเภทอยู่ในสวากขาตธรรม ตรัสไว้ชอบแล้วทั้งนั้นไม่ผิดพลาด ไม่ว่าธรรมะขั้นใดภูมิใด เป็นความถูกต้องแม่นยำทั้งนั้น เราควรจะได้เป็นคติ สำหรับชาวพุทธเราให้ทนนะ กิเลสนี้หนาแน่นมาก มันลบหมดเรื่องบาปเรื่องบุญ นรกสวรรค์ที่ท่านแสดงไว้ด้วยความชอบธรรม แสดงไว้ด้วยความถูกต้อง กิเลสมันจะลบไปหมด เอาตาบอดนั่นไปลบ พระพุทธเจ้าตรัสไว้ด้วยความหูแจ้งตาสว่าง แต่กิเลสมันจะเอาหูหนวกตาบอดไปลบหมด ว่าสิ่งเหล่านี้ไม่มีๆ เพราะมันไม่เห็น พระพุทธเจ้าเห็น มาบอกว่ามี แต่สัตว์โลกที่ตาบอดนั้นบอกไม่เห็น บาปไม่มี บุญไม่มี นรกสวรรค์ไม่มี ทุกอย่างที่มีเต็มโลกธาตุอยู่ตามหลักธรรมชาติของเขา ที่พระพุทธเจ้าทรงแสดงไว้ตามหลักธรรมชาตินั้นๆ กิเลสตัวตาบอดคุมหัวใจสัตว์โลกนี้ไปลบหมด ว่าไม่มีๆ
สิ่งที่มีคืออะไร ความอยาก อยากทุกสิ่งทุกอย่าง ขอให้ได้อยาก ไม่ว่าดีว่าชั่วทำทั้งหมด ขอให้ได้อยากอะไร ไม่ได้สนใจว่าบุญว่าบาป ว่าผิดถูกชั่วดีประการใดเลย ความอยากนี้ลบไปหมด อันนี้ละพาสัตว์โลกให้จม เพราะความอยากความทะเยอทะยาน ความดีดความดิ้น ความอยากมีกำลังมากเท่าไร ยิ่งขับไสสัตว์โลกให้ทำความชั่วช้าลามกมากเท่านั้น เพราะความอยากทางฝ่ายธรรมมีน้อยมากทีเดียว มีแต่เรื่องของกิเลส เรียกว่าร้อยทั้งร้อย สัตว์โลกจึงแฉลบออกไปๆ ไม่ไปตามทางของศาสดาที่สอนไว้ เราก็จำเอานี้ให้ดีนะ
ครั้นจะทำความดีทั้งหลายแล้วมันจะมีสิ่งขัดขวางภายในใจทันทีเลยนะ เป็นขึ้นภายในใจ ถ้าเราจะทำความดีงามทั้งหลายมันหากมีสิ่งที่ขัดขวางภายในจิตใจ ไม่อยากให้ทำ หรือให้หลีกให้เว้น ให้หยุดเสียไม่ให้ทำ สุดท้ายมันก็เอาไปกินเงียบๆ เลยมีแต่กิเลสเอาไปกินเสียมากต่อมาก เพราะฉะนั้นจึงให้ทราบกลมายาของมัน มันไม่อยากให้ทำเราทำ เราเชื่อศาสดาองค์เอกที่บริสุทธิ์เลิศโลกแล้ว กิเลสไม่ได้วิเศษวิโสอะไรพอจะเชื่อมันทุกแง่ทุกมุม เอาอันนี้มาตัดกันซิ ถ้าเราเชื่อพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าเป็นคนประเภทใด ประเภทที่เลิศเลอสุดยอด กิเลสมันเลิศเลอที่ไหน
เลวสุดยอดก็คือกิเลส เอาอันนี้มาเทียบซิ เมื่อมาเทียบแล้วฝืนได้ บึกบึนได้คนเรา ทุกข์ยากลำบากขนาดไหนมันก็บึกบึนได้ในขั้นที่อยู่ในขั้นบึกบึนนะ แต่ขั้นที่สะดวกไปแล้วจนราบรื่นนั้นไม่ต้องบอก ธรรมะมีความราบรื่นเหมือนกันกับกิเลส กิเลสมันเดินมาตั้งกัปตั้งกัลป์ราบรื่นในหัวใจของสัตว์ ขึ้นชื่อว่ากิเลสแล้วจะกระดิกพลิกแพลงทางไหน จะไม่มีใครคิดว่าผิดหรือถูก จะวิ่งตามมันทั้งนั้นๆ ราบรื่นมาก ถ้ามาทางอรรถทางธรรมถูกกิเลสขวาง ต้องคิดอ่านแล้วอ่านเล่า ไปหรือไม่ไปน้า นั่น กิเลสฉุดไปแล้วนะนั่น
ทีนี้เวลาเราทำเข้าๆ ทางทางด้านธรรมะก็ค่อยราบรื่นไปๆ เรื่อยๆ จนถึงขั้นราบรื่น ทีนี้เอาเลย ดังที่เทศน์ให้ท่านทั้งหลายฟัง ถอดจากหัวใจมาเทศน์นะ นี่เคยพูดแล้ว เวลาไปภาวนาอยู่บนภูเขาไปน้ำตาร่วงสู้กิเลสไม่ได้ นี่ก็มาเล่าให้ฟัง มาเล่าเพื่ออะไร ก็เพื่อเป็นคติเครื่องเตือนใจว่าจิตใจนี้ฝึกได้นะ ฝืนได้ ธรรมนั้นละไปฝืนกิเลสได้อยู่ในหัวใจของเรา พยายามมาฝึก ฝึกเข้าๆๆ ทีนี้ก็ค่อยราบรื่นๆ ถึงขั้นราบรื่นแล้วอย่างที่ว่าอยู่กับใครไม่ได้ ต้องอยู่คนเดียว ใครมาเกี่ยวข้องนิดหน่อยก็ไม่ได้ มันเสียการเสียงานที่กำลังพุ่งๆ นั่น
นี่ละธรรมเวลามีกำลังแล้วไม่มีรอเหมือนกัน เช่นเดียวกับกิเลสมันมีกำลังมันไม่รอ ทำได้หมดขึ้นชื่อว่าความชั่ว ไม่ได้คิดถึงบาปถึงบุญอะไรเลย กิเลสมันราบรื่น ทีนี้พอธรรมราบรื่นแล้วกิเลสตัวไหนแย็บออกมา นั่นตัวมหาภัย รู้ทันที เอาขาดสะบั้นๆ ไปเลย นั่นละมันทันกัน ไม่งั้นแก้กันไม่ได้ ไม่ตก พระพุทธเจ้าไม่มีในโลก ธรรมไม่มีในโลกได้ ฟื้นธรรมขึ้นมาจนมีกำลังกล้าสามารถ และปราบกิเลส จิตใจขึ้นสู่ความเลิศเลอ เอาธรรมชาตินี้มาสอนโลก
ในเบื้องต้นเอ้าบึกบึน ทุกข์ยอมรับว่าทุกข์ เพราะกิเลสหนามันต้องทุกข์มาก ฝืนกันมาก สู้กันมาก หนักมาก ครั้นต่อไปๆ สู้ไม่ถอยกิเลสค่อยเบาลงๆ ธรรมหนาแน่นขึ้นมา จนกระทั่งถึงธรรมขั้นราบรื่นแล้วทีนี้อยู่ไม่ได้ละ ยังไงมีแต่จะไปท่าเดียวไม่มีรอ จะไปท่าเดียวๆ ถึงขั้นราบรื่นมันกระจ่างมันลืมเมื่อไรวะ ถึงขนาดที่ว่าอยู่กับใครไม่ได้ เราก็ยังเคยพูดเรื่องท่านเจ้าคุณธรรมเจดีย์ อุปัชฌาย์เราให้ฟังไม่ใช่เหรอ จนท่านปักใจกับเราว่าเรารังเกียจท่าน เลยออกมาพูดข้างนอก ไม่ใช่ธรรมดานะ ท่านพูดกับพระกับอะไร ท่านไม่พูดกับประชาชนแหละ
มหาบัวไม่ทราบเป็นยังไง อยู่กับเราไม่สนิทกับเราเลย มีแต่ลาจะไปนู้นลาจะไปนี้ อยู่งั้น มหาบัวนี้เป็นยังไงน้าๆ ก็เราจะไปนู้นแต่ท่านขอไปด้วยน่ะซี เราขโมยหนีจากหมู่เพื่อนแล้วมาโดดเดี่ยวคนเดียว ทีนี้จะเอาให้สุดเหวี่ยง มาก็มากราบท่านด้วยความเคารพ เพราะท่านเป็นอุปัฌาย์ มาอุดรจะเผ่นไปทางอื่นเลยก็ไม่เหมาะ ไปกราบท่าน ท่านก็ถามจะไปเที่ยว เอ้อ ถ้าจะไปทางนู้นข้าจะไปด้วย กูตายเรา โอ๊ย ยังไง ท่านก็ไปด้วย ไปด้วยท่านก็ไปแบบของท่านละซิ แบบของเราต่างหาก แบบของท่านต่างหาก ครั้นเวลาไปแล้วมันไม่สะดวก นี่คือว่าอยู่กับใครไม่ได้ ทนไปกับท่าน
เพราะฉะนั้นจึงว่าไม่สะดวก จึงหาอุบายลาไปที่นั่น ท่านก็พูดที่นั่นดีบัว เป็นอย่างนั้น ที่นั่นไม่ดีอย่างนี้ หลายครั้งหลายหนท่านก็ออกปากพูดขึ้นมาเลยว่า เอ้อ บัวเอ๊ย จากเราไปแล้วนี้เธอจะสะดวกสบาย เธอไม่สะดวกสบายเพราะอยู่กับเรา ท่านขึ้นแล้ว เราก็ฟังแต่มันไม่ถอย มันหนักอยู่นู้น จากนั้นก็ลาท่านไปจนได้ ทั้งๆ ที่ท่านว่าขนาดนั้นยังไปจนได้ มาแล้วท่านก็มาพูดมหาบัวไม่ทราบเป็นยังไงไม่คุ้นกับเราเลย มาอยู่มีแต่จะไปนั้นจะไปนี้อยู่ตลอดเวลา มันเป็นยังไงไม่ทราบมหาบัวนี้ เหมือนกับว่าเรารังเกียจท่าน เวลามาเล่าให้พระท่านฟัง แล้วพระองค์นั้นก็เคยคุยธรรมะกับเราแล้วที่นี่นะ ท่านก็เข้าใจดี ท่านก็เลยกราบเรียนท่านว่า อ๋อ ไม่เป็นอย่างนั้น
ท่านก็เลยเล่าเรื่องการภาวนาของเราให้ฟัง เกี่ยวกับเรื่องอยู่คนเดียวๆๆ ท่านอยู่กับใครก็ไม่สนิท ท่านหลบหลีกจากหมู่จากเพื่อนตลอด เพื่องานของท่านสะดวกสืบต่อเป็นลำดับลำดาไม่ขาดวรรคขาดตอน ท่านที่ลาไปที่นั่นที่นี่คงจะเป็นเพราะการภาวนาของท่านเร่ง ว่างั้น ทางนี้ก็ฟัง หือๆ จ่อเข้าเรื่อย ฟังเรื่อย อ๋อๆ อย่างนั้นเหรอๆ สุดท้ายก็เลยยอม พอเล่าให้ฟังเรื่องของเรา เพราะพระเหล่านี้ก็ทราบแล้วว่าเราหลบจากหมู่จากเพื่อน ไม่อยู่กับใครได้เลย คือเวลามันอยู่กับใครไม่ได้อยู่ไม่ได้จริงๆ นะ มันเหมือนน้ำไหลบ่าแทรกนั่นแทรกนี่ เสียเวลา
ถ้าอยู่คนเดียวนี้พุ่งๆ ตลอด ตั้งแต่ตื่นนอนจนกระทั่งหลับจิตไม่มีคำว่าเผลอ สติปัญญาขั้นนี้แล้วไม่มีเผลอ หมุนกันตลอดเลย เหมือนนักมวยเข้าวงใน จะไปดูเวล่ำเวลานาฬิกานาทีตีโมงที่ไหนนักมวยเข้าวงใน ถ้าไปดูตายเข้าใจไหม อันนี้ก็เหมือนกัน กิเลสกับธรรมฟัดกันเข้าวงในเป็นอย่างนั้น ไม่รู้จักเป็นจักตาย หมุนติ้วๆ จนกระทั่งท่านเจ้าคุณท่านปักใจเหมือนกันนะว่าเรารังเกียจท่าน บทเวลามาเล่าให้พระฟัง พระก็ทราบเรื่องจากเราแล้ว เล่าถวายให้ท่านฟัง เหอๆ อย่างนั้นเหรอ เรื่อยๆ ต่อมาลงเลยที่นี่ อ๋อ พอเรามาท่านขอโทษเลยนะ เอ้อบัวข้าได้เข้าใจผิดเธอมากแล้ว ท่านก็เล่าให้เราฟัง ลงใจ เรียกว่าท่านลงใจ
นี่ละเวลามันราบรื่นท่านทั้งหลายฟังเสียนะ เรียกว่าอยู่ไม่ได้เลย มีแต่พุ่งทีเดียว ตายก็คอขาดกับสนามรบ ที่จะให้ถอยไม่มีเลย เวลาธรรมราบรื่นเป็นอย่างนั้น เอาจนทะลุพุ่งเลย ถ้าไม่มีกำลังทันกันมันก็แพ้เขาไปเรื่อย กิเลสมีกำลังมันก็ชนะเรา ทีนี้เวลาธรรมมีกำลังชนะกิเลสไปเรื่อยๆ จนกระทั่งถึงได้พูดว่าค้นหาที่ไหนก็ไม่เจอ กิเลสมันฉลาด มันซ่อนอยู่ลึกๆ สติปัญญาคุ้ยเขี่ยหามันก็ไม่เจอๆ เหอ เรานี่ไม่ใช่เป็นพระอรหันต์น้อยๆ แล้วเหรอ แต่เราไม่ได้สำคัญตัวเราว่าเป็นอรหันต์นะ คือมันค้นยังไงมันก็ไม่เจอ งานไม่ว่างก็คือว่าเวลาเจอกันแล้วฟัดกันเลย ถ้าไม่เจอก็ค้นหา นี่ก็เป็นงาน ค้นหาเป็นงาน เจอแล้วฟัดกันก็เป็นงาน
ทีนี้เวลากิเลสมันละเอียดเข้าไปๆ ค้นที่ไหนมันก็ไม่เจอ เหอ มันไปยังไงหมดกิเลส แต่ก่อนมันเก่งนักทีนี้มันไปไหนหมด สุดท้าย เหอ มันไม่ใช่เป็นพระอรหันต์น้อยๆ ขึ้นมาแล้วเหรอ แต่มันไม่สำคัญนะว่าเฉยๆ ทั้งๆ ที่รู้อยู่ว่ากิเลสยังอยู่ คือค้นหาเท่าไรมันก็ไม่เจอ จึงว่านี่เป็นพระอรหันต์น้อยๆ ขึ้นมาแล้วเหรอ ถ้าเจอก็ฟัดกันอีก บทเวลาฟาดมันขาดสะบั้นลงไปแล้ว ทั้งอรหันต์น้อยอรหันต์ใหญ่ไม่มีความหมายอะไรเลย พุ่งตรงกลางไปเลย หายสงสัยทันที นั่น
นี่ละการปฏิบัติธรรม เวลาได้ผล ได้ผลเป็นที่พอใจ สมเหตุสมผลที่เราสละเป็นสละตายสู้กับกิเลสด้วยความเพียรของเรา เป็นก็เป็น ตายก็ตาย ถึงเวลามันเอากันจริงๆ แล้วมันไม่ได้เสียดายชีวิตนะ พุ่งๆ ไปเลย ไม่กิเลสก็เรา ไม่ฝ่ายใดก็ให้ฝ่ายหนึ่งตาย ที่ถอยกันไม่มีแล้ว นั่น ทีนี้มันก็พุ่งของมันเลย นี่ละอำนาจแห่งความเพียรของเรา บทเวลาธรรมมีกำลังมากเหมือนหนึ่งว่าธรรมนี้ช่วยอีกด้วย รอไม่ได้ๆ หนุนพุ่งๆ เลย เอาจนขาดสะบั้นไปไม่มีอะไรเหลือ ทีนี้อรหันต์น้อยก็หายเงียบ อรหันต์ใหญ่ก็หายเงียบ อันนี้พุ่งเข้าตรงกลาง หันหรือไม่หันก็ไม่รู้อันนี้พุ่งเข้าไปนี้ อรหันต์ทั้งสอง อรหันต์น้อยอรหันต์ใหญ่หงายไปหมดเลย อันนี้พุ่งใส่ตรงกลาง จ้าขึ้นทีเดียวเท่านั้นหายสงสัยหมดเลย ไม่ใช่อรหันต์น้อยเหรอมันไม่มี อรหันต์ใหญ่จะมีมากจากไหนวะ มันเป็นอย่างนั้น
นี่คือเกิดขึ้นจากความทุกข์ความทรมาน เราจะเอาตามใจของเรา ตามใจของเรามีแต่กิเลสทั้งนั้นนะ เราต้องเอาตามอรรถตามธรรม ฝืนกันบ้าง ถ้าไม่ฝืนจะจมกันทั้งนั้น กิเลสมีแต่จะดึงลงไม่มีคำว่าดึงขั้น ตามกิเลสเท่าไรก็ลงไปๆ ถ้าฝืนกิเลสแล้วจะขึ้นตามอรรถตามธรรม ธรรมมีแต่ฉุดขึ้นนะ กิเลสมีแต่ฉุดลง เราฝืนกับกิเลสนี้เราจะขึ้น ให้พากันตั้งอกตั้งใจประพฤติปฏิบัติ นี่เฒ่าแก่เท่าไรจวนจะตายเท่าไรแทนที่จะมาห่วงใยชีวิตจิตใจของเจ้าของไม่ได้ห่วงนะ ห่วงโลก อยากให้ได้รู้เนื้อรู้ตัวบ้างสมกับเรามาเฝ้าธรรมทั้งแท่ง คือศาสนาของพระพุทธเจ้า พุทธศาสนาเป็นธรรมทั้งแท่งที่เลิศเลอสุดยอดแล้ว ขอให้ได้อะไรติดเนื้อติดตัวไป
อย่าเป็นกบเฝ้ากอบัว ร้องเอ้บๆ อยู่เฉยๆ ไม่เกิดประโยชน์นะ ถึงเวลาเขาก็เอาดอกบัวไปบูชาพระเสีย กบก็ร้องเอ้บๆ อยู่ไม่ได้ประโยชน์อะไร และตายทิ้งเปล่าๆ นะ ร้องเอ้บๆ กบมันจะตายทิ้งเปล่าๆ ถึงวาระแล้วพญามัจจุราชตัดสินปึ๊บไปแล้ว ตาย เวลานี้ยังไม่ถึงเวลาให้รีบตักตวงกันเสียนะ อย่าตื่นเกินไปตื่นกิเลส เวลานี้โลกกำลังตื่นกิเลส ตื่นมากเท่าไรโลกยิ่งเดือดร้อน ร้อนมากขนาดไหนทั่วโลกดินแดน ทั่วโลกเรานี้ที่ไหนมีความสุขเย็นใจเพราะอำนาจของกิเลสไม่มี
ใครเรียนรู้มากน้อยเพียงไร บ้านใดเมืองใดว่าเจริญมากน้อย นั้นละคือเจริญด้วยฟืนด้วยไฟ เจริญเท่าไรยิ่งรังแกกัน ยิ่งบีบบี้สีไฟ รบราฆ่าฟันด้วยอำนาจป่าเถื่อน คือกิเลสนั้นละป่าเถื่อน ถือว่าเป็นของดิบของดีฆ่ากันแหลกเห็นไหมทุกวันนี้ ออกประกาศวันหนึ่งๆ สักเท่าไร มีตั้งแต่เรื่องของกิเลสทำงาน เรื่องธรรมทำงานทำโลกให้สงบร่มเย็น เพราะมีศาสนาทั่วโลกดินแดน ควรจะทำโลกให้มีความสงบเย็นเพราะศาสนานี้ไม่มี ศาสนามีมากเท่าไรๆๆ ยิ่งสั่งสมกิเลสตัณหาขึ้น กี่ประเภทของศาสนาแต่ละศาสนานี้เป็นโครงการของกิเลส ไม่ใช่โครงการของธรรม เมื่อใครก็มีๆ โครงการกิเลสมากต่อมากมันก็ยกทัพฟัดกัน นี่ก็ว่าศาสนาข้าดี คนนั้นศาสนาข้าดี สุดท้ายดีต่อดีก็ฟัดกัน ศาสนาเลยกลายเป็นหมากัดกันไป นี่ละศาสนาของกิเลส
ศาสนาของพระพุทธเจ้า เอ้า กว้างไปเท่าไรยิ่งมีความสงบร่มเย็นมากไปโดยลำดับๆ จึงสมชื่อสมนามว่าธรรม ศาสนธรรม ไม่ใช่ศาสนกิเลสนะ คำสอนของกิเลสพาล่มพาจม คำสอนของธรรมฟื้นขึ้นๆ เป็นลำดับลำดา เราคิดดูซิโลกอันนี้มีว่างที่ไหนจากศาสนา ทั่วโลกดินแดน แล้วตรงไหนมีความสงบร่มเย็นเพราะศาสนาเต็มโลกนั่นน่ะ ความสุขน่าจะเต็มโลกเหมือนกันแต่กลับเป็นฟืนเป็นไฟ เพราะเหล่านี้เป็นโครงการของกิเลส ผู้เป็นเจ้าของของศาสนาก็คือคลังกิเลส เอาคลังกิเลสออกมาสอนบริษัทบริวาร ปฏิบัติตามไปแล้ว ก็ต่างคนต่างดำเนินตามกิเลสเป็นฟืนเป็นไฟมากน้อย
ใครก็สงวนรักษา มีความรักชอบในศาสนาของตนๆ จะเป็นฟืนเป็นไฟไม่คำนึง ต่างคนต่างรักสงวน ความรักสงวนก็เป็นเรื่องของกิเลสอีกแล้ว แล้วทีนี้ก็ฟัดกัน ทำลายกัน ใครมีศาสนาใครกว้างขวางเท่าไรดีอกดีใจ นี่คือแผ่อำนาจของกิเลสแล้วก็ฆ่าฟันรันแทงกัน เป็นยังไงเมืองไหนว่าเจริญ ที่ว่าไม่มีความทุกข์ เจริญต้องไม่มีความทุกข์ ความทุกข์ต้องน้อยลงเรียกว่าเจริญ อันนี้มันมีตั้งแต่ความทุกข์ความเดือดร้อน เอาฟืนเอาไฟเผากัน ใหญ่เท่าไรยิ่งเผามากๆ หาความสุขความเจริญมาจากที่ไหน จากศาสนานั้นๆ
เอ้าทีนี้ย่นเข้ามา ศาสนานี้เคยทำร้ายใครที่ไหน มีไหมพุทธศาสนาของเรานี้ มีแต่ความสงบร่มเย็นเป็นลำดับลำดา แผ่กระจายไปเท่าไรยิ่งกว้างขวาง ความสงบร่มเย็นประสานกันได้ทั่วโลก พุทธศาสนาของพระพุทธเจ้าไม่เป็นข้าศึกต่อผู้ใดนะ ใครนับถือพุทธศาสนาไม่เคยเห็นหน้าค่าตากันก็ตามเถอะ สนิทกันทันทีๆ เลย อย่างที่เรากราบพระพุทธเจ้าทุกวันเราเคยเห็นพระพุทธเจ้าที่ไหนเมื่อไร เรายังกราบท่านได้ลงคอ ยิ่งผู้ปฏิบัติเห็นธรรมอย่างพระพุทธเจ้าเห็นด้วยแล้ว กระจายทั่วถึงกันหมด กราบราบเลย ไม่มีใครที่จะกราบราบพระพุทธเจ้าได้อย่างสนิทติดจมจนตายแทนเลยได้ ยิ่งกว่าพระสาวกที่รู้ธรรมเห็นธรรมตามพระพุทธเจ้าซึ่งเป็นแบบเดียวกัน
นี่ละธรรมพระพุทธเจ้า เหมือนน้ำมหาสมุทรดังที่เคยพูดแล้ว แม่น้ำไหลมาจากสายต่างๆ รวมลงมหาสมุทรเวลายังไม่ถึงก็น้ำสายนั้นๆๆ ตกมาจากบนฟ้าก็น้ำบนฟ้าบนเมฆ พอเข้าถึงมหาสมุทรผางเท่านั้น ไม่ว่าสายไหนๆ ลบหมด เป็นน้ำมหาสมุทรอันเดียวกันหมดเลย เข้ากันได้สนิทเป็นมหาสมุทรด้วยกัน อันนี้ธรรมของพระพุทธเจ้าเหมือนกัน มหาวิมุตติมหานิพพานเทียบกับน้ำมหาสมุทร ต่างคนต่างปฏิบัติ ที่แม่น้ำไหลมาจากสายต่างๆ ก็คือผู้สร้างบารมีคุณงามความดี ผู้ไหลใกล้เข้ามาๆ ผู้อยู่ห่างไกลก็ไหลเข้ามาด้วยการสร้างความดีๆ เรื่อยๆ
พวกเทวบุตรเทวดาเขาก็มีความดีของเขา เขาก็สร้างเหมือนว่าน้ำบนเมฆก็ถูก ทางนู้นก็มีอรรถมีธรรมทางนี้ก็มีอรรถมีธรรม ไหลเข้ามาๆ เข้ามาจนกระทั่งถึงมหาวิมุตติ คือวาสนาบารมีเต็มที่แล้วเรียกว่าเข้าถึงมหาวิมุตติ-มหานิพพาน เท่ากับแม่น้ำสายต่างๆ ไหลเข้าสู่มหาสมุทรแล้วเป็นมหาสมุทรอันเดียวกัน อันนี้บารมีของผู้สร้างมาๆ เต็มที่แล้วเข้าถึงมหาวิมุตติ-มหานิพพาน ก็เท่ากับเป็นน้ำมหาสมุทรอันเดียวกัน ถามกันหาอะไร สนิทกันตลอดเลย นี่ละสนิทของท่านผู้สิ้นกิเลสด้วยกันนี้สนิทแนบทีเดียวนะ ไม่เคยเห็นพระพุทธเจ้าก็ตาม
เหมือนอย่างมือเราจ่อลงไปมหาสมุทร มหาสมุทรกว้างแคบขนาดไหน มือจ่อลงไปนี้ถึงมหาสมุทรทั่วกันแล้ว อันนี้พอจิตผางเข้าไปถึงวิมุตติพระนิพพานอันเดียว บริสุทธิ์สุดยอดแล้วจ้าทั่วกันหมดเลย พระพุทธเจ้ามีกี่พระองค์ท่านไม่ไปถาม ท่านยอมรับเลย เหมือนน้ำมหาสมุทร มีมากขนาดนั้นละพระพุทธเจ้า แต่มาพูดแล้วไอ้พวกหมาเห่า มันเห่าวอกๆ แวกๆ มันไม่เห็น หลับตาเห่าไปอย่างนั้น ท่านผู้ลืมตาท่านเห็นอย่างนั้นแต่ท่านไม่พูด ท่านรู้จักแง่หนักเบาของโลกที่มันหยาบละเอียดต่างกัน พอเข้าไปนั้นแล้วจะรู้กันเอง
บรรดาพระอรหันต์ยอมรับพระพุทธเจ้าทุกพระองค์ มีจำนวนมากขนาดไหนท่านจะไม่ค้านเลย เพราะเป็นน้ำมหาสมุทรด้วยกัน หรือเป็นมหาวิมุตติมหานิพพานด้วยกัน นี่ละท่านสนิทกันท่านสนิทอย่างนี้ ศาสนาสนิทต่อโลก โลกสนิทต่อศาสนาอย่างนี้ ไม่เคยพบหน้าค่าตากันละ พระพุทธเจ้ากี่พระองค์ท่านเคยพบกันเมื่อไร แล้วทำไมเป็นอันเดียวกันได้ บรรดาสาวกทั้งหลายบรรลุธรรมผึงเข้าเป็นอันเดียวกันได้ เราผู้ปฏิบัติอรรถธรรมทั้งหลายนี้ก็เป็นอันเดียวกันได้ตามขั้นภูมิแห่งธรรม คือความตายใจต่อกัน
ธรรมนี้ไม่เคยทำใครให้ผิดหวัง ไม่เคยหลอกลวงต้มตุ๋นใคร เวลาใครปฏิบัติตามได้มากน้อย เชื่อถือกันได้มากน้อย ตายใจกันไปมากน้อยโดยลำดับลำดา นี่ละเครื่องประสานคือธรรมของพระพุทธเจ้า ไม่มีคำว่าร้าวราน มีแต่ความประสานๆ ใครอยู่บ้านใดเมืองใดเมื่อเป็นศีลเป็นธรรมด้วยกันแล้วเข้ากันได้สนิทๆ นี่ละธรรมพระพุทธเจ้า ไม่ได้เหมือนทั้งหลายนะ ที่เสกสรรปั้นยอกันมาในโลกนี้มีศาสนาเท่าไร เต็มโลกเต็มสงสาร แล้วดูผลมันเป็นยังไง ดีไม่ดีศาสนาข้าใหญ่ ศาสนาคนนั้นสู้ของข้าไม่ได้ อันนั้นดีสู้ข้าไม่ได้ แล้วยกพวกตีกัน สุดท้ายศาสนาสอนคนให้เป็นหมากัดกัน
ศาสนาพระพุทธเจ้าไม่มี ถ้าอะไรเป็นอยู่งั้นเรียกว่ากิเลสเข้าแฝงแล้ว ถ้าเป็นธรรมจริงๆ ไม่มี เคารพกันตั้งแต่น้อยถึงส่วนมากเคารพกัน รักกันชอบกัน เชื่อกันตั้งแต่ส่วนย่อยถึงส่วนใหญ่ ตั้งแต่ภูมิธรรมขั้นต่ำจนถึงภูมิธรรมขั้นสูง สนิทกันไปได้โดยลำดับลำดา นี่ละธรรมพระพุทธเจ้าเป็นอย่างนี้ ให้ท่านทั้งหลายพากันนำไปปฏิบัติ ตัวของเราเองก็จะตายใจต่อตัวเองได้ ถ้าเราตั้งใจประพฤติปฏิบัติต่อตัวของเรา จะมีความอบอุ่นตายใจตัวตลอดเวลา ถ้าอันใดที่เราสร้างความชั่วไว้อันนั้นละจะเป็นเสี้ยนเป็นหนามทิ่มแทงหัวใจเราตลอด ให้ถอดเสี้ยนถอดหนามด้วยการละความชั่วต่างๆ สร้างตั้งแต่ความดีเป็นลำดับตามกำลังของเราๆ จะเท่ากับสร้างความอบอุ่นๆ ต่อตัวของเรา
ทีนี้อยู่ในโลกนี้เราก็อาศัยโลกนี้ ไม่อาศัยไม่ได้นะ การอยู่กินหลับนอนต้องอาศัยวัตถุต่างๆ เป็นเครื่องอาศัยทั่วโลกดินแดน ต้องก่อต้องสร้าง ต้องขวนขวายเหมือนกัน อันนั้นเราก็ยกให้เป็นเรื่องธาตุเรื่องขันธ์ ส่วนคุณงามความดีที่จะเป็นอาหารหรือว่าเป็นธรรมที่เลิศเลอเข้าหล่อเลี้ยงจิตใจนี้ นี่คือสมบัติของใจ แก้วสารพัดนึก อันนี้ก็ให้สร้าง อันนี้สำคัญมาก ตายแล้วไม่ตายนะจิตนี่ ไปเรื่อยๆ อัตภาพเราตายแล้วหมดความหมาย สมบัติเงินทองข้าวของหมดความหมาย พร้อมกับชีวิตจิตใจของเราขาดสะบั้นลงไป แต่ใจของเราไม่หมดความหมาย บุญกรรมติดแนบไปด้วย อันนี้ตลอดไปเลย จนกระทั่งถึงมหาวิมุตติมหานิพพาน ถึงมหาสมุทร สิ้นกิเลสเรียบร้อยแล้วหมดปัญหาโดยประการทั้งปวง ท่านเรียกว่านิพพานเที่ยง เพราะอำนาจแห่งความดีของเราส่งไปๆ จนถึงนั้น ให้พากันจำเอา เอาละพอ
(พระราชวรญาณมุนี เจ้าคณะจังหวัดฝ่ายธรรมยุตจังหวัดหนองบัวลำภู ประธานคณะกรรมการบริหารฝ่ายสงฆ์สถานีวิทยุกระจายเสียง เสียงธรรมจังหวัดหนองบัวลำภู และนายอภิชิต ชวลิตสกุลชัยประธานคณะกรรมการบริหารฝ่ายฆราวาส ได้ทำหนังสือมากราบเรียนถึงผลการจัดรายการวิทยุธรรมะ ว่าครอบคลุม ๗ จังหวัด และธรรมปฏิบัติซึ่งแสดงโดยองค์หลวงตาเป็นหลัก ได้รับกระแสตอบรับฟังที่ดีมากในหมู่พระและนักปฏิบัติธรรม) เวลานี้ก็กำลังจะตั้งวิทยุทางสวนแสงธรรม คณะลูกศิษย์นั่นละปรึกษากันในกรุงเทพเห็นชอบด้วยกัน แล้วก็มาหาเรา เราก็เห็นด้วยเพราะเป็นจุดสำคัญ เรื่องธรรมะนี้จะออกไม่ได้ง่ายๆ ไม่เหมือนกิเลสออกได้ทุกขณะ ไม่ทราบเวลา แล้วทุกขณะเลย เราเห็นด้วยเราก็เลยให้พิจารณากันดู ติดต่อไปทางอธิบดีกรมประชาสัมพันธ์แล้ว เวลานี้ยังไม่ลงตัวหรือว่าไง (กำลังดำเนินการขออนุญาตอยู่ครับ)
เราเห็นว่าจะเป็นประโยชน์มากมาย นี่ละคุ้มค่ากัน หัวใจคนสำคัญมากนะ ถ้าหัวใจได้รับอรรถรับธรรมจะชุ่มเย็นไปหมดเลย ยิ่งกว่าน้ำเงิน น้ำใจเป็นสำคัญมาก เราเห็นอันนี้แหละเราถึงได้อุตส่าห์ตะเกียกตะกาย ทุกวันนี้เป็นอย่างนั้นเอง เพราะเราเห็นน้ำใจเป็นสำคัญยิ่งกว่าสิ่งใด เช่นอย่างเรานำวัตถุเข้าสู่คลังหลวงนี้ก็เป็นชิ้นหนึ่งต่างหาก ส่วนใหญ่ของเรามุ่งต่ออรรถต่อธรรมที่จะให้โลกทั้งหลายได้เข้าใจ ก็สมความมุ่งหมายที่เราแสดงนี้ออกทั่วโลกแล้วใช่ไหมล่ะ อันนี้อันลึกลับแต่เราไม่พูด เราหวังอันนี้มากยิ่งกว่าสมบัตินี้นะ สมบัตินี้พอเป็นพอไป เมืองไทยเราไม่ขาดแคลนอะไรมากนัก ถึงจะว่าขาดแคลนก็ว่าไปตามสมมุติเฉยๆ
เมืองไทยเราไม่เคยอดอยาก ทั้งๆ ที่เมืองอื่นเขาสมบูรณ์เมืองไทยเราอดอยากอย่างนี้เราก็ไม่เคยมี แต่เรื่องศีลธรรมมันไม่สมชื่อสมนามกับเราเป็นชาวพุทธ ด้อยตรงนี้ เราจึงแทรกธรรมอันนี้เข้าไปด้วยการนำชาติแล้วเอาอันนี้ออก เวลานี้ก็สมมักสมหมายแล้วใช่ไหมล่ะ กว้างออกไปทั่วดินแดน วิทยุนี้ก็จะเป็นประโยชน์แก่โลกมากมายอีกเราจึงเห็นด้วย ก็มีเท่านั้นละ คอยฟังเขาปรึกษากันมายังไง
นี่เราจวนจะตาย ถ้าสมมุติเราตายเหล่านี้มันยุบกัน ไม่ต้องบอกมันยุบของมันเองนะ มันหากเป็นของมันเองละ เวลานี้หัวหน้ายังออกสนามอยู่เรื่องราวมันก็ก้าวเดินๆ ถ้าหัวหน้าตายปุ๊บลงไปนี้มันจะยุบกัน ถึงจะมีอรรถมีธรรมอยู่ก็ตามนะ ก็ต้องมีหลักเกณฑ์ มีหัวหน้าเป็นผู้นำออก นั่นละสำคัญอันนี้ เราจึงได้เตือนพี่น้องทั้งหลาย เรื่องอรรถเรื่องธรรมสำคัญมากนะ โลกของเราจะชุ่มเย็น ชุ่มเย็นเพราะธรรมต่างหาก ไม่ได้ชุ่มเย็นเพราะกิเลส กิเลสทั่วโลกเผากันอยู่ตลอดเวลานี้เห็นไหม นั่นละกิเลสเป็นอย่างนั้น ถ้าธรรมจะสงบได้เลย จะเผากันมากมายขนาดไหนตกลงกันได้คนเราถ้ามีธรรม ถ้าเป็นธรรมเข้าไปตกลงกัน ใหญ่โตเท่าไรยิ่งให้ความร่มเย็นแก่ผู้น้อยมากเท่านั้นแหละ ถ้าไม่มีธรรมมีแต่กิเลส ใหญ่เท่าไรยิ่งบีบยิ่งบี้เข้าไป เป็นอย่างนี้ ดูเอานะ ต่างกันอย่างนี้ เอาละทีนี้จะให้พร
ชมถ่ายทอดสดพระธรรมเทศนาของหลวงตาตามกำหนดการ ได้ที่
www.Luangta.com หรือ www.Luangta.or.th |