เทศน์อบรมฆราวาส ณ วัดป่าบ้านตาด
เมื่อวันที่ ๘ พฤษภาคม พุทธศักราช ๒๕๔๗
เข้าออกให้ดูเวลา
ก่อนจังหัน
ใครเอากระต่ายมาปล่อยในวัด ฟังว่าเอามาปล่อยตั้ง ๒๐-๓๐ ตัว ทำไมในวัดนี้กระต่ายมันเต็มวัดแล้วมันจะมาปล่อยหาอะไร พวกนี้ชอบเบียดเบียนวัดว่ะ กระต่ายมันขนมาปล่อยในนี้ ก็เขียนประกาศไว้แล้วห้ามไม่ให้เอาสัตว์อะไรๆ มาปล่อยในวัดและบริเวณวัด บอกแล้วนะนั่น เอาอันนั้นมาปล่อยอันนี้มาปล่อย ทะลึ่งไม่หยุดนะ มันเป็นยังไงกัน เอามาปล่อยหาอะไร ตั้งแต่ในวัดนี้ก็เต็มแล้วนี่กระต่าย เป็นร้อยๆ ของเล่นเมื่อไร แล้วเป็นภาระเลี้ยงดูอีกด้วย มิหนำซ้ำยังขนเข้ามาเมื่อวานนี้หรือวันไหนตั้ง ๒๐-๓๐ ตัวนู่นน่ะ มันหลับตามาทำอะไรพวกนี้ คนหนึ่งแบบหนึ่งๆ มันทำลายวัดอยู่ในตัวของมันนั่นแหละ
พระอย่าขี้เกียจเดินจงกรมนะ ใครขี้เกียจเดินจงกรมให้หนีจากวัดนี้ อย่ามาอยู่วัดนี้นะ เห็นแล้วมันขวางตา วัดนี้เป็นวัดทำความเพียรมาดั้งเดิมตั้งแต่สร้างวัดมา งานการอะไรก็ตามเราไม่ให้เข้ามาแตะต้องงานภาวนาซึ่งเป็นงานสำคัญของพระ นี่เที่ยวเดินลัดเลาะดูหมดสถานที่ของพระที่พักในที่ต่างๆ ทางจงกรมจงเกร็มเราไปเที่ยวดูหมดนะ มาขี้เกียจไม่ได้นะในวัดนี้ ไม่มาฝึกเจ้าของจะฝึกอะไร สถานที่นี่เป็นสถานที่ฝึกอบรมตัว เลอะๆ เทอะๆ ไปทุกวันนะพระกรรมฐานเรา วันนี้เท่าไร (๓๗ ครับผม) นู่นน่ะฟังซิ วันนี้ก็ตั้ง ๓๗-๓๘ ไหลเข้ามา กดไว้เท่าไรก็ทะลักเข้ามาเรื่อยๆ เราผู้ดูแลดูแลไม่ทันไม่ทั่วถึง
ในครัวก็เหมือนกัน มาแบบไหนๆ ก็ไม่รู้ในครัวนั่น เพ่นๆ พ่านๆ อยู่ตามนั้น มันหลายแบบนะ ดูเดี๋ยวนี้วัดนี้เลอะเทอะไปหมดนะ ไม่ทราบว่าอะไรต่ออะไร สิ่งก่อสร้างแปลกๆ ต่างๆ แทรกซ้อนขึ้นมาทุกแห่งทุกหน มันมาหาก่อหาสร้างหาอะไรยุ่งไปหมด เราสงวนจิตใจให้ก่อสร้างจิตใจ ชำระจิตใจ นี้เป็นรากฐานสำคัญของพุทธศาสนา งานอันนี้เป็นงานสำคัญสำหรับพระเรา ไปหายุ่งอะไรเรื่องภายนอก มองดูแล้วมันดูไม่ได้นะ เลอะเทอะๆ เรื่องภายนอกวัตถุต่างๆ มันทำง่ายนะ แต่จะแก้กิเลสมันทำได้ยากมันเลยไม่อยากทำ ไปหาทำสิ่งนั้นสิ่งนี้ ไปหาเกาในที่ไม่คัน ที่มันคันๆ อยู่ในหัวใจไม่ยอมเกา
เลอะไปหมดแล้วเวลานี้ สติจ่อเข้าไปดูใจไม่ได้ เพราะมีแต่เปลวไฟของกิเลสพลุ่งๆ ขึ้นมา หงายหมาไปเลย แล้วไปเกาอันนั้นเกาอันนี้นะเวลานี้ ยุ่งไปหมด เรื่องภาวนาไม่สนใจ หลักพุทธศาสนาหลักชำระความทุกข์ทรมานทั้งหลาย อยู่ที่การชำระจิตใจนะ ต้นเหตุมันอยู่ที่นี่ ความทุกข์ก็มารวมอยู่ที่ใจ ชำระได้โดยลำดับๆ ความสุขอยู่ที่ใจ ชำระได้เด็ดขาด บรมสุขอยู่ที่ใจ ไปหาที่ไหนไม่เจอ ต้องหาที่ใจ ทุกข์ก็หาที่ใจ สุขก็หาที่ใจ ตัวนี้เป็นผู้ไขว่คว้าเอาแต่ฟืนแต่ไฟมาเผาตัวเองนั่นแหละ ให้พร
หลังจังหัน
บุคคลที่ควรจะก่อเจดีย์เป็นที่กราบไหว้บูชามีอยู่ ๔ ประเภท ท่านแสดงไว้ในตำรา พระพุทธเจ้า ๑ พระปัจเจกพุทธเจ้า ๑ พระอรหันต์ ๑ พระเจ้าจักรพรรดิ ๑ ควรจะถือเป็นแบบเป็นฉบับ ไม่ควรจะก่อสุ่มสี่สุ่มห้า เคารพนับถือผู้ใดก็ก่อเจดีย์ๆ ไม่เลือก ไปเห็นเข้าเจดีย์ ไอ้ปุ๊กกี้ตายก็ก่อเจดีย์ให้ ไอ้หยองตายก็ก่อเจดีย์ให้ กราบทั้งไอ้ปุ๊กกี้ ไอ้หยอง ไอ้จ้ำหลอดตายก็ก่อเจดีย์ให้กราบไหว้กัน อย่างนั้นมันดูได้เมื่อไร ควรจะมีกฎเกณฑ์ พอเห็นเจดีย์ปั๊บต้องระลึกถึงท่านผู้เลิศผู้เลอขึ้นทันที หากว่าจะก่อเจดีย์ของเราก็ก่อในวงบริเวณบ้านของเรา แม้เช่นนั้นนานไปๆ คนล้มหายตายจากกันไป อันนี้ก็เจดีย์เด่นอยู่นั้น ใครก็นึกว่าเป็นพระพุทธเจ้าแล้วกราบ เป็นอย่างนั้นนะ ไม่ใช่จะทำสุ่มสี่สุ่มห้า ท่านมีแบบมีฉบับเอาไว้
พระพาหิยะท่าน เวลามาถึงจะเข้าเฝ้าพระพุทธเจ้า พอดีไปตอนเช้า พระองค์กำลังเสด็จเข้าบิณฑบาต ก็ตามพระพุทธเจ้าไปถามปัญหา รอเสียก่อน เรากำลังรับบิณฑบาต ไปอีกตามอีก พระพุทธเจ้าทรงเล็งญาณดูเรียบร้อยแล้วก็เทศนาให้ฟังย่อๆ ในขณะบิณฑบาตรับสั่งย่อๆ ให้ฟังแต่เนื้อธรรมที่สำคัญๆ พอดี สำเร็จเป็นธรรมขั้นหนึ่งที่เรียกว่ามัธยัสถ์ธรรม จิตใจเป็นกลางรวมตัวได้แล้ว จากนั้นก็เทศน์แล้วได้เป็นพระอรหันต์ขึ้นมา พระพาหิยะถ้าเราจำไม่ผิดดูว่าไปตกน้ำนะ เรื่องราวก่อนนั้นมีอีกเราก็ลืมเสีย จำได้แต่ตกน้ำ แล้วเอาผ้าอะไรนุ่งห่มเข้าไปเลยเป็นฤาษีดาบสไป นี้อันหนึ่งถูกติเตียนจากเทวดาที่เป็นเพื่อนกันไม่ใช่เหรอ พอรู้สึกตัวและมีนิสัยเป็นพระอรหันต์ด้วย ติดตามพระพุทธเจ้า
พอได้สำเร็จเป็นพระอรหันต์แล้วยังไม่ได้บวช กำลังไปหาบริขารที่จะมาบวช พอดีถูกวัวแม่ลูกอ่อนขวิดตาย ตายแล้วจะทำยังไง เกิดปัญหากันขึ้น ทราบว่าท่านเป็นพระอรหันต์ ตายแล้วจะทำยังไง จะควรก่อเจดีย์ไหม ควร นี่เป็นพระอรหันต์โดยหลักธรรมชาติแล้ว ผ้าเหลืองผ้าอะไรเครื่องหมายนั้นเป็นภายนอก อันนี้เป็นหลักธรรมชาติแล้ว สมควรก่อได้แล้ว พระพุทธเจ้ารับสั่งเอง ก่อเจดีย์ ในที่ชุมนุมชน สามแพร่งสี่แพร่ง ถนน ที่ชุมนุมชน ไม่ใช่จะไปก่อสุ่มสี่สุ่มห้าในป่าในเขา ก่อในที่ชุมนุมชนตามท่านรับสั่งไว้ เช่น ถนนสามแพร่ง สี่แพร่ง หรือที่ชุมนุมชนเขามากราบไหว้บูชา แล้วได้บุญได้กุศลมากมาย กราบท่านผู้วิเศษ
นั่นละพวกประเภทขิปปาภิญญา ทีนี้มันก็หมุนในจิตเอง พอถึงกาลเวลาที่จะได้สำเร็จมรรคผลนิพพานแล้ว แต่ก่อนอยู่ก็สะดวกสบายธรรมดา พอถึงกาลเวลาแล้วร้อนเป็นฟืนเป็นไฟ สถานที่อยู่หลับนอนอยู่ไม่ได้แล้ว อย่างพระยสไม่ใช่หรือที่ขัดข้องยุ่งเหยิงวุ่นวาย ก็อย่างนั้นละ หนีออกไปเลย พอถึงกาลเวลาแล้วพระธรรมท่านเตือนๆ หมุนติ้วเข้าๆ อย่างพระพาหิยะนี้พระพุทธเจ้าเสด็จบิณฑบาตก็ตามเลยๆ ให้รอเสียก่อนไม่รอ ยังตามเรื่อย พระองค์เทศน์ย่อๆ ให้ฟัง ได้หลักใจแล้ว พอถึงสถานที่พระองค์ก็เทศน์โปรดได้สำเร็จเป็นพระอรหันต์ขึ้นมา นี่ประเภทขิปปาภิญญา บรรลุธรรมได้อย่างรวดเร็ว แล้วก็เร่งตัวเองด้วย คิดดูมาถึงสถานที่พระพุทธเจ้าประทับอยู่แล้วยังไม่อยู่ ทรงบิณฑบาตก็ติดตามไป
พระยสกุลบุตรก็อยู่ไม่ได้แบบเดียวกัน ร้อน อยู่ในบ้านในเรือน เป็นลูกเศรษฐีด้วย มีลูกชายคนเดียวด้วย อยู่ไม่ได้เลย พ่อแม่เอาทรัพย์สินเงินทองมากองไว้มองหาไม่เห็น(ตัวคน) แหละ กองสมบัติมากต่อมากไม่เอา ไม่ยินดีทั้งนั้น เห็นเป็นความวุ่นวายไปหมด ออกไปเลย ออกไปก็บ่นไปตามทาง ที่นี่วุ่นวาย ที่นี่ขัดข้องยุ่งไป ก็พอดีไปถึงพระพุทธเจ้า เพราะตั้งหน้าจะไปหาพระพุทธเจ้า เมื่อพระองค์รับสั่งว่า ที่นี่ไม่ขัดข้อง ที่นี่ไม่วุ่นวาย มาที่นี่ พอเทศน์สอนเท่านั้นได้สำเร็จอรหันต์ขึ้นมา อย่างนั้นละถึงเวลามันหากหมุนของมันเอง
กิเลสเวลามันมีกำลังมากมันก็แบบเดียวกัน หมุน ไม่ได้ทำชั่วอยู่ไม่ได้วันหนึ่งๆ ดิ้นรนกระวนกระวาย ต้องได้ทำชั่วเสียก่อน ไม่ได้ทำชั่วอยู่ไม่ได้ เวลากรรมที่มันหนักมากมันก็หมุนไปทางต่ำ มันมีกำลังมากหมุนไปทางต่ำเรื่อยๆ กรรมทางดีก็หมุนไปทางดีเรื่อย อยู่ที่ไหนถึงกาลเวลาจะออกแล้วอยู่ไม่ได้ทั้งนั้น เป็นฟืนเป็นไฟ หนีโดยถ่ายเดียว เป็นอย่างนั้นแหละ ประเภทที่จะตรัสรู้หรือบรรลุธรรมอย่างรวดเร็วเป็นอย่างนั้น ที่ว่าขิปปาภิญญา หรืออุคฆฏิตัญญู บรรลุธรรมได้อย่างรวดเร็ว จากนั้นก็รองกันลงมาตามอุปนิสัย ก็เหมือนไม้ต้นหนึ่งมันมีผลของมัน เช่นมะม่วงลูกไหนแก่ก่อนมันก็สุกก่อน หล่นก่อน ลูกไหนสุกทีหลังก็หล่นตามๆ กันลงมา ตามๆ กันลงมา อยู่ต้นเดียวกันมันก็ไม่หล่นพร้อมกันนะ มันหล่นลงมาจากขั้วของมัน มีก่อนมีหลังเหมือนกัน ทีนี้อุปนิสัยของสัตว์ก็เหมือนกันมีก่อนมีหลังตามๆ กันมา ท่านจึงแยกสามสี่ประเภท
ประเภทที่แห้งอยู่บนกิ่งบนขั้วก็มี ไม่เกิดประโยชน์อะไร คนตายแห้งอยู่ในโลกไม่เกิดประโยชน์อะไรก็มี ประเภทนี้เป็นประเภทปทปรมะ ประเภทอุคฆฏิตัญญูคอยที่จะตรัสรู้ พอแย็บธรรมออกมาเท่านั้นละพุ่งเลย เหมือนวัวที่จะรอออกปากคอกอยู่แล้ว พอเปิดประตูปั๊บพุ่งออกเลยๆ เปิดประตูก็หมายถึงพระพุทธเจ้าประทานพระโอวาท พอพระโอวาทแย็บออกเท่านั้นเริ่มพุ่งๆ ออกเลย จากนั้นตามกันไป พวกเดียวกันถัดกันลงมา ตามกันลงไปเรื่อยๆ
สัตว์โลกทั้งหลายปัจจุบันนี้มันเนยยะกับปทปรมะกำลังแย่งกันอยู่ อย่างพวกนักบวชเรามันแย่งกันอยู่ มาเดินจงกรมห่วงเสื่อห่วงหมอน คือมันแย่งกัน ทางนี้จะเดินจงกรม จะไปมรรค ผล นิพพาน เสื่อหมอนก็ติดตามกันไป พันกันไป สุดท้ายสู้เสื่อสู้หมอนไม่ได้ แน่ะจมเสีย นี่เนยยะพอไปได้ทั้งนั้น เข้าทางจงกรมก็ไปได้ มาเสื่อมาหมอนก็ได้ นี่พวกเนยยะ พวกนี้ต้องได้บึกบึนเต็มเหนี่ยว อย่างครูบาอาจารย์สมัยปัจจุบันนี้ประเภทเนยยะที่เราได้กราบไหว้บูชากันอยู่
ฟังองค์ไหนนี่ โอ๋ย น่าฟังเหมือนกัน ท่านไม่ได้เป็นไปอย่างง่ายๆ นะ นี่พวกเนยยะบึกบึนอย่างเต็มเหนี่ยว ครูอาจารย์องค์ใดที่ปรากฏชื่อลือนามและเป็นเพชรน้ำหนึ่งๆ ในสมัยปัจจุบันนี้ เวลาท่านล่วงไปแล้วอัฐิท่านกลายเป็นพระธาตุๆ มีแต่สุดเหวี่ยงๆ ความเพียรของท่านนะ เวลาเข้าถึงกันแล้วถึงได้เห็นความอัศจรรย์ในความเพียรของท่าน องค์ไหนพอๆ กัน นี่พวกเนยยะ หากมีนิสัยอันหนึ่งที่จะพาให้หมุน ยากลำบากก็หมุนอยู่นั่นละ สุดท้ายก็ไปจนได้
หลังจากนั้นแล้วก็หมด หมดคุณสมบัติเพื่อบรรลุมรรค ผล นิพพาน แล้วยิ่งหมดความรู้สึก หมดเรื่องบาปเรื่องบุญ นรก-สวรรค์ไม่มีในใจเลย เป็นสัตว์ล้วนๆ ในเพศของมนุษย์นี้ไปเลย พวกนี้ไม่มีนิสัย ว่าบาปบุญคุณโทษอะไรอย่างนี้ไม่ฟัง จะฟังเอาตั้งแต่ความอยาก ความทะเยอทะยาน ความดีดความดิ้นตามใจชอบ สิ่งที่จะให้ชอบก็คือกิเลสซึ่งดึงลงตลอด มันก็ลงไปเรื่อยๆ ประเภทนี้ท่านเรียกว่าปทปรมะ คือหมดสาระแล้ว ยังเหลือแต่ลมหายใจ รอวันตายเท่านั้น พอตายแล้วจมไปเลย
ถ้าจะเทียบก็เหมือนคนไข้ที่เข้าไปในโรงพยาบาล เขาไปเขาหายจากโรคจากภัยออกมากันก็เยอะๆ ที่ตายก็มี แต่ออกมาก็เยอะ ผู้ที่ตั้งหน้าเข้าไปเพื่อตายเลยก็มี อย่างประเภทไอ ซี ยู เข้าไป มันหมดหวังแล้วตั้งแต่ยังไม่เข้าโรงพยาบาล เข้าไปแทนที่จะเข้าไปหาหมอหายา กลับเข้าไปห้องไอ ซี ยู รอแต่ลมหายใจไปเลย คนไข้ประเภทหมดหวังก็อย่างนี้ คนดีมีชีวิตอยู่เป็นประเภทหมดหวังก็คือ ไม่เชื่อบุญเชื่อบาป นรก-สวรรค์ เชื่อแต่ความอยากความทะเยอทะยานของตัวเองโดยถ่ายเดียว อันนี้เด่นมาก ไม่ได้สนใจว่าเป็นบาปเป็นบุญ ขอให้ได้ทำตามความอยากความต้องการแล้วพอใจๆ แล้วความอยากความสำคัญมีแต่ฝ่ายต่ำๆ ดึงลงๆ
พระพุทธเจ้าจะมาตรัสรู้แต่ละพระองค์นี้ ท่านมาพอดีกับอุปนิสัยของสัตว์ที่จะบรรลุธรรมได้มากมาย ระยะนั้นพระพุทธเจ้ามาตรัสรู้ หลังจากนั้นมาแล้วก็ลดลงไปๆ เป็นพวกเนยยะ ปทประมะไปอย่างนั้น อย่างศาสนาของพระพุทธเจ้าของเรานี้ ผู้ที่อุคฆฏิตัญญู วิปจิตัญญูนี้รู้สึกว่าน้อยมาก แต่พวกเนยยะนี่มาก เรียกว่ามาก ครูบาอาจารย์ทั้งหลายที่ปรากฏชื่อลือนามเวลาไปสนทนาธรรมะกันแล้วนี้ โถ เราก็ว่าเราเต็มเหนี่ยวความเพียรบึกบึน ท่านก็ไปอีกแบบหนึ่ง ไปคนละแบบนะ ความบึกความบึน สละเอาเป็นเอาตายไปคนละแบบๆ เลยตำหนิใครไม่ลง แบบบึกบึนแทบเป็นแทบตายเหมือนกัน ไปคนละแบบๆ คนนี้เด็ดไปทางนี้ บืนไปทางนี้ คนนี้บืนไปทางนี้ กว่าจะได้สำเร็จขึ้นมา ลำบากมาก
เท่าที่ผ่านมานี้องค์ไหนดูลำบากเหมือนๆ กัน ลำบากพอๆ กัน ผู้ที่รู้เร็วก็มีแต่น้อยมาก พวกเนยยะมากอยู่ เวลานี้พวกเนยยะมาก ส่วนพวกปทปรมะไม่ต้องนับ มันเลยนับ นับไม่ไหว ประเภทปทปรมะประเภทหมดหวัง ไม่มีสาระอะไรเลย ยังเหลือแต่ร่างมนุษย์นี้เต็มโลกเต็มสงสาร ประเภทเนยยะพอมีนิสัยอยู่บ้าง มีสับปนกันไป มีแต่น้อยมากทีเดียว ประเภทอุคฆฏิตัญญู วิปจิตัญญูนี้ เป็นประเภทที่เริ่มแรกพระพุทธเจ้ามาตรัสรู้แหละ พระพุทธเจ้ามาตรัสรู้ท่านเหล่านี้ออกได้อย่างรวดเร็วๆ เรื่อยมา
ศาสนาของพระพุทธเจ้าเรานี้ประทานไว้เพียง ๕๐๐๐ ปี ทรงเล็งญาณครอบไปหมดแล้ว ตาข่ายคือพระญาณครอบไปหมดแล้ว ถึง ๕๐๐๐ ปีนี้เรียกว่าหมด จิตใจที่จะมีความรู้สึกในบาป-บุญ คุณ-โทษ นรก-สวรรค์ไม่มีแล้ว หมด เหลือตั้งแต่ใจกับกิเลสพันกันอยู่เท่านั้น มองหาใจจนไม่เห็น นี่เรียกว่าศาสนาหมด ศาสนาหมดก็มีแต่ความโหดร้ายทารุณ มองเห็นกันเจอกันเป็นหอกเป็นดาบไปหมดเลย เอาหอกเอาดาบเป็นความดิบความดี ปฏิสันถารต้อนรับกันด้วยการฆ่าฟันรันแทง ด้วยความโหดร้ายของกิเลสนั่นแหละ มันปฏิสันถารต้อนรับกันด้วยความโหดร้ายทารุณ เพราะไม่มีธรรมในใจ มีแต่กิเลสก็มีแต่ฟืนแต่ไฟ เจอกันก็เป็นฟืนเป็นไฟใส่กันๆ เลย
ถึงแค่ ๕๐๐๐ ปี เรียกว่าหมด ตั้งแต่นี้ก็คิดดูซิ ๒๕๐๐ ปีที่มีศาสนามีครูมีอาจารย์ มีวัดมีวาอยู่ มันก็เห็นต่อหน้าต่อตาอย่างนี้ กิเลสมันเข้าตีตลาดๆ จนศาสนาจะไม่มีแล้วเวลานี้ ในศาสนา วัดวาที่เห็นก็เป็นมหาภัยอยู่ในนั้น เพราะกิเลสไม่อายใคร มันมีกำลังมากเท่าไรยิ่งทำลายมากๆ นี่ละในย่านกึ่งพุทธกาลก็เป็นอย่างนี้ และต่อไปนี้ก็ยิ่งจะร้อนมากๆ เข้าไป ธรรมนี่ลดลงๆๆ ในระยะนี้เราก็เห็นแล้วเวลานี้ จึงว่าใครจะฝึกหัดดัดแปลงตนเองก็ให้รีบเร่งเสียนะ ถ้าเชื่อธรรมของพระพุทธเจ้าแล้วไปได้ไม่มากก็น้อย ไปเพื่อความสุขความเจริญ ถ้าไม่เชื่อแล้วมีทางเดียว มีแต่จะจมท่าเดียวๆ ท่าอื่นไม่มี ถ้าเชื่อธรรมแล้วเหมือนมีที่ยึดที่เกาะ ไม่จมโดยถ่ายเดียว ยังมีที่ยึดที่เกาะเอาไว้
เรานี่ถ้าพูดถึงเรื่องครูบาอาจารย์ได้คบมากทีเดียว ครูบาอาจารย์ที่ปรากฏชื่อลือนาม ได้คบค้าสมาคมทั้งนั้น ไม่อยากว่าแทบทั้งนั้น อยากจะว่าทั้งนั้นไปเลย ตั้งแต่พ่อแม่ครูจารย์มั่นลงมา ลูกศิษย์ของท่านองค์ไหนๆ ไปมาหาสู่ท่าน สนทนาปราศรัยเรื่องอรรถเรื่องธรรมทุกขั้นทุกภูมิของอรรถของธรรม ด้วยความพากเพียรของท่านที่เด็ดเดี่ยวต่างๆ กัน องค์ไหนที่ไปสะดวกสบายแล้วบรรลุธรรมอย่างนี้ไม่ปรากฏนะ เท่าที่เราได้ศึกษากับครูบาอาจารย์มานี้ ท่านที่ปรากฏมาเหล่านี้มีแต่แทบเป็นแทบตายด้วยกัน นี่เรียกว่าเนยยะ บืนจนนั่นละ แล้วไปได้ บืนไปได้ ปทปรมะกับเนยยะมันอยู่ในคนๆ เดียวกัน ทางฝ่ายเนยยะก็บึกบึน ทางฝ่ายปทปรมะก็บืนลง ทางไหนเก่ง ส่วนมากจะสู้ปทปรมะไม่ได้นะ มันลากทีเดียวหงายเลย นี่เรียกว่าเนยยะ ส่วนปทปรมะไม่มีบึกมีบึนจมไปเลยๆ นี่เรายังอยู่ในย่านดีอยู่ พากันบึกบึน
วันนี้ไม่เป็นท่านะธาตุขันธ์ ไม่เอาไหนเลยวันนี้ เมื่อวานรู้สึกว่าดีขึ้นนิดหนึ่ง แต่วันนี้กลับไม่เป็นอย่างนั้น มันปวดมันเมื่อย มันอ่อนเพลียไปหมดเลย ไม่อยากลืมหูลืมตา
คนที่เข้ามาในวัดนี้เลยไม่มีประมาณนะ เข้ามาในวัดนี้ จนมืดจนดำยังหลั่งไหลเข้าออก มันกลายเป็นตลาดและกลายเป็นวัดสำเพ็งไปแล้วนะเวลานี้วัดป่าบ้านตาด ที่มันเป็นมากมันเข้าไปเกี่ยวกับครัว ทางครัวนี้เป็นมากกว่าทางพระเรา พระเราไม่ค่อยมีใครเข้าไปเกี่ยวข้องนัก แต่ในครัวนี้หลั่งไหลเข้าออกๆๆ ยั้วเยี้ยๆ จนค่ำมืดแล้ว เราด้อมๆ ออกมาจะไปดู ส่วนมากเราจะไปดูตอนค่ำ ตอนหมดแขกคนแล้ว แล้วยังหลั่งไหลเข้าออกอยู่ตลอดเวลา ให้มีกำหนดกฎเกณฑ์นะพวกนี้ ถึงเวลาที่ควรจะกลับบ้านกลับเรือนให้ออกจากวัดนี้กลับไป อย่าไปตามอำเภอใจนะ วัดมีขอบเขต ไม่ได้เตลิดเปิดเปิงเหมือนที่ทั้งหลายนะ
นี่ออกมาวันใดเจอทุกวัน สะดุดใจทุกวัน ไอ้เลอะๆ เทอะๆ มันมีอยู่ตลอด เข้าออกๆ จากในครัว ออกมา ออกไป เข้าไปในครัวมากต่อมากนะ ไม่ทราบมาแบบไหนไปแบบไหน เราผู้ปกครองนี้อกจะแตก ไม่เว้นแต่ละวัน ด้อมออกมาวันไหนเจอแล้ว เจอแบบนี้น่ะ ค่ำพอสมควรที่จะกลับบ้านก็กลับไปซิ ไม่มีเวล่ำเวลาได้ยังไง นี้เราอนุโลมเต็มที่นะให้พักอยู่ในครัวยั้วเยี้ยๆ มากกว่าพระเสียด้วยนะตั้งร้อยกว่า พระนี่เพียง ๕๐ เลยครึ่งไปอีก เรียกว่าอนุโลมเต็มที่นะ
แล้วอย่าทะเลาะกันหนึ่งนะ ถ้าทะเลาะแล้วไม่มีวินิจฉัยเราบอกตรงๆ ถ้าได้ยินว่าทะเลาะกันไล่เลยไม่ให้อยู่ เพราะการมาเสาะแสวงหาอรรถหาธรรมมากัดกันทำไม ไม่ใช่โรงเลี้ยงหมาสถานที่นี่ โรงอบรมศีลธรรมต่างหาก อย่าให้ได้ยินนะ นี่ไม่ได้เหมือนใคร จริงจังมากทุกอย่าง ไม่ว่าทางฝ่ายนู้นฝ่ายนี้ใครผิดไล่หนีเลย ไม่อยากยุ่ง เพราะสอนเต็มเม็ดเต็มหน่วย อันนี้หยาบๆ มาขวางหน้าทำไม ปัดออกทันทีเลย
ให้มีขอบเขตซิข้างใน เข้าออกๆ ให้ดูเวล่ำเวลานะ อย่าเพ่นพ่านๆ จนกระทั่งมืดยังเห็นอยู่ บางทีเราก็ดุเอาละถ้าเรามาเจอในย่านกำลังจะมืด ดุเอาเลย หรือจะวันกว่านั้นหน่อยมันก็เรียกว่ายังไม่เหมาะอยู่ ให้เวลาพอดิบพอดีเลิกกันไป เวลาพอดิบพอดีใครก็รู้ มืดใครก็รู้ โพล้เพล้กำลังมืดอย่างนี้ก็รู้ เวลาทั้งสองนี้ไม่ควรออกไม่ควรเข้า ให้วันกว่านั้นหน่อยออก ทางข้างในนั่นละมันเลอะเทอะตลอดเวลานะ
สำหรับทางด้านพระไม่เห็นมี มาก็มาแค่ศาลาออกไป ด้านพระนั้นห้ามตลอดอยู่แล้วไม่ให้เข้าไป จึงไม่มีใครเข้าไป พระก็จะมาเพ่นพ่านไม่ได้ ออกมาศาลงศาลานี่เหมือนกัน มาเพ่นพ่านผิดเวล่ำเวลาไม่ได้นะ ถ้าได้เห็นอย่างนั้นแล้วไล่ทันทีไม่ให้อยู่นะ ผิดหูผิดตาแล้วไล่ทันที ไม่เด็ดอย่างนั้นไม่ได้ ธรรมะต้องเด็ด กิเลสมันหยาบ ถ้าปล่อยไปแล้วก็ยั้วเยี้ยแล้วเลอะเทอะไปเรื่อยๆ ถ้าลงปล่อยไปแล้วเลอะเทอะไปเรื่อย จึงต้องได้ทำอย่างนั้นละ
วันนี้ก็ไม่พูดอะไรมากนัก เอาขนาดนี้พอดี ให้พากันตั้งอกตั้งใจปฏิบัติตัว อยากเป็นคนดีให้ฝึกฝนอบรมตนเอง ฝ่าฝืนจิตใจที่มันหยาบ มันทะเยอทะยาน บังคับไว้ อันนั้นตัวเป็นภัยมันเกิดที่ใจของเรา เราต้องบังคับเราด้วยธรรม ไม่ให้มันไป ไม่ให้มันทำ สิ่งไม่ดี ห้ามเอาไว้ มันอยากขนาดไหนดัดมันลง จนกระทั่งมันอยู่ ไม่ไปตามที่เราห้ามไว้ จะทำก็ห้ามไม่ให้มันทำ จะทำชั่วช้าลามก จะไปเพื่อความไม่ดีงามทั้งหลายเหมือนกัน ห้ามๆๆ เมื่อเราห้ามไม่กี่ครั้งกี่หนมันจะชินนะ จะไปไหนจะฟังเสียงเจ้าของ ควรไปหรือไม่ไป ควรทำไม่ทำมันจะค่อยรู้ๆ ต่อไปเป็นนิสัย เห็นว่ามันจะกีดจะขวางในใจแล้วหยุดทันที ไม่ต้องได้ศึกษาไต่ถามตัวเองละ
ถ้าปล่อยให้เลยตามเลยมันไหลลื่นไปเลยนะ กิเลสคล่องตัวมาก ไหลลื่นลงนี้เร็วที่สุด ที่จะขึ้นนี้ยากมาก ปรกติคนเราธรรมดาต้องได้ฝืนด้วยกันทุกคน จนกระทั่งถึงขั้นที่ธรรมราบรื่นแล้วมันก็รู้เอง แต่ก่อนที่ท่านจะราบรื่นท่านก็ฝืนเต็มเหนี่ยวเหมือนกัน จนกระทั่งถึงขั้นที่ราบรื่นแล้วดังที่เคยเล่าให้ฟัง พอถึงขั้นราบรื่นของธรรมแล้วรอไม่ได้เลย หมุนติ้วๆ เลย เอาจนพ้น ขั้นนี้แล้วขั้นไม่กลับ ขั้นเห็นภัยของทุกข์นี่เต็มหัวอก ขั้นเห็นคุณของธรรมก็เต็มหัวใจเช่นเดียวกัน จึงรอไม่ได้เลยหมุนติ้วๆ นี่ธรรมขั้นมีกำลังก็มี ขั้นหมุนตัวไปเองอย่างนี้ก็มี แต่เราต้องได้บึกได้บึนเสียก่อนก่อนจะถึงขั้นหมุนตัวไปเองของธรรมนะ
ส่วนกิเลสนั้นไม่ได้มีฝึกนะ มันหากไหลของมันราบรื่นอยู่ตลอดเวลา ผิดกันกับธรรม ธรรมนี่ทีแรกเอากันเสียจนเต็มเม็ดเต็มหน่วย ไม่อย่างนั้นมันไม่ไป ต้องบึกต้องบึนสู้กัน ต่อไปหลายครั้งหลายหนค่อยเป็นค่อยไป แล้วก็ค่อยสะดวกไปๆ ต่อไปถึงขั้นราบรื่น พอถึงขั้นราบรื่นแล้วแน่ใจเลย จะไม่อยู่ละทีนี้จิตดวงนี้จะไม่อยู่ จะพ้น รอแต่วันจะพ้น หมุนติ้วๆ เพื่อทางหลุดพ้น ก็ขึ้นอยู่กับเราที่เป็นเจ้าของฝึกอบรมเรา เวลามันฝืดมันเคือง มันลำบากลำบนก็ให้รู้ เราต้องหนักมือในการต่อต้านความชั่วทั้งหลาย ต้องบึกต้องบึนต่อต้านกัน หักห้ามกันอย่างรุนแรง ไม่เช่นนั้นจมไปได้ด้วยกิเลส เอาละเท่านี้จะให้พร
ชมถ่ายทอดสดพระธรรมเทศนาของหลวงตาตามกำหนดการ ได้ที่
www.Luangta.com หรือ www.Luangta.or.th
|