เทศน์รับผ้าป่าช่วยชาติ ณ การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย
เมื่อวันที่ ๒๑ เมษายน พุทธศักราช ๒๕๔๖
ไม่ขอกลับมาเกิดอีก
วันนี้เป็นวันมหามงคลแก่พี่น้องชาวไทยเรา โดยงานนี้ตั้งขึ้นที่การไฟฟ้าฝ่ายผลิตโดยมีคุณสิทธิพร รัตโนภาต ผู้ว่าการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย และคุณสินชัย ธีรวัฒนะ รองผู้ว่าการบริหารประธานคณะจัดงาน มาเป็นประธานในงานมหากุศลครั้งนี้ นับว่าเป็นงานอันยิ่งใหญ่ในนามแห่งประเทศไทยของเรา การที่งานต่างๆ จะสำเร็จลุล่วงไปได้ด้วยความราบรื่นดีงาม ย่อมขึ้นอยู่กับหัวหน้าผู้เป็นประธานพาดำเนินกิจการงานต่างๆ ให้สำเร็จเป็นลำดับลำดาในหน่วยงานนั้นๆ
วันนี้เป็นโอกาสอันดีงามสำหรับท่านทั้งหลาย ที่จะได้ยินได้ฟังเสียงอรรถเสียงธรรมที่หลวงตาจะนำมาแสดงให้พี่น้องทั้งหลายทราบในครั้งนี้ โดยยึดหลักพระพุทธศาสนา ซึ่งเป็นหลักแห่งความถูกต้องดีงามมาตั้งแต่องค์ศาสดาของเรา แนะนำสั่งสอนโลกด้วยความราบรื่นดีงาม นับตั้งแต่เทวดาอินทร์พรหมลงมาถึงมนุษย์ ตลอดถึงสัตว์เปรตผีนรกอเวจี อยู่ในข่ายแห่งพระโอวาทคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าทั้งนั้น ท่านเหล่านี้ได้รับความสุขความเจริญสงบร่มเย็นเป็นขั้นเป็นตอน จนกระทั่งได้รับความพ้นทุกข์ไปโดยสิ้นเชิง เพราะพระโอวาทคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าซึ่งเป็นศาสดาองค์เอกไม่มีใครเสมอเหมือน
การบำเพ็ญพระองค์ก็ทรงสละพระชนม์ชีพทุกด้านทุกทาง ปรากฏในตำนานว่าทรงสลบถึง ๓ ครั้ง ถ้าเลยจากสลบแล้วก็เรียกว่าตาย แต่นี้พระองค์เพียงสลบ แต่กิเลสซึ่งเป็นมหาภัยต่อพระทัยของพระพุทธเจ้าเรา ได้สิ้นซากลงไปในสนามรบวันเพ็ญเดือน ๖ ที่เรียกว่าพระพุทธเจ้าตรัสรู้ธรรม ในขณะที่กิเลสความมัวหมองมืดตื้อปิดบังหัวใจสัตว์โลกและปิดบังพระทัยของพระพุทธเจ้าโดยเฉพาะในคืนวันนั้น ได้ขาดสะบั้นลงไปจากพระทัย ฟ้าดินหวั่นไหวไปทั่วแดนโลกธาตุประกาศความกระจ่างแจ้งขึ้นมาแห่งธรรมอันเลิศเลอว่า พระพุทธเจ้าตรัสรู้แล้วๆ
เทวดาอินทร์พรหมทั้งหลายตั้งแต่ชั้นอากาสเทวดาถึงเทวดา ๖ ชั้น ตลอดถึงพรหมโลก ได้ประกาศก้องเป็นเสียงเดียวกันว่าพระธรรมได้เกิดขึ้นแล้วในโลก พระธรรมเกิดขึ้นแล้วในโลก ประกาศเป็นลำดับลำดาในครู่เดียวยามเดียวเท่านั้นถึงพรหมโลกได้ทราบทั่วถึงกันหมด นี่เพราะพระธรรมของพระพุทธเจ้าได้กระจ่างแจ้งขึ้นในพระทัย ตั้งแต่บัดนั้นมาก็ทรงประกาศธรรมสอนโลกจนกระทั่งถึงปัจจุบันนี้ เป็นเวลา ๒๕๐๐ กว่าปี ปรากฏบรรดาสัตว์ทั้งหลายที่ได้ผ่านพ้นความทุกข์ความลำบากมานานแสนนาน ได้หลุดพ้นไปตามพระโอวาทคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าเป็นลำดับลำดา นับตั้งแต่พระเบญจวัคคีย์ทั้ง ๕ นี้เป็นปฐมสาวก ผู้ได้ยินได้ฟังเป็นครั้งแรกแล้วตรัสรู้ธรรมบรรลุธรรมตามลำดับลำดากันมาเป็นจำนวนสาวกทั้งหลายไม่น้อยเลย
นี่เพราะพระโอวาทคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าทรงเป็นธรรมที่สิทธิ์ขาด เป็นธรรมที่เลิศเลอไม่มีสิ่งใดเสมอเหมือนในโลก จึงได้คงเส้นคงวาหนาแน่นมาด้วยพุทธบริษัทที่กราบไหว้บูชาเป็นขวัญตาขวัญใจ เพราะมีความเคารพเลื่อมใส เชื่อฟังพระพุทธเจ้าตลอดมา จนกระทั่งปัจจุบันนี้ก็ปรากฏในเมืองไทยเรา เรียกว่าถึง ๘๐% ล้วนแล้วแต่เป็นชาวพุทธทั้งนั้น ที่ได้ยินได้ฟังอรรถธรรมของพระพุทธเจ้าแล้วปฏิบัติตาม
บัดนี้เราก็กำลังได้ยินได้ฟังอรรถธรรม ที่หลวงตากำลังแสดงให้พี่น้องทั้งหลายฟัง ธรรมที่แสดงอยู่ขณะนี้หลวงตาก็ได้อุตส่าห์ตะเกียกตะกายปฏิบัติมา ตั้งแต่วันเริ่มแรกออกปฏิบัติกรรมฐาน ขึ้นเวทีต่อกรกันกับกิเลสเป็นเวลา ๙ ปีเต็ม เรียกว่าสละชีวิตจิตใจทุกด้านทุกทาง เพื่อบำเพ็ญตนให้หลุดพ้นจากทุกข์โดยถ่ายเดียวเท่านั้นเรื่อยมา หลังจากได้ยินได้ฟังโอวาทคำสั่งสอนของหลวงปู่มั่น ที่ถอดออกมาจากจิตใจจากความบริสุทธิ์ของท่านโดยถ่ายเดียวเท่านั้นแล้ว รู้สึกว่าถึงใจ เต็มตื้นไปด้วยความพากความเพียร ความอุตส่าห์พยายาม ความตะเกียกตะกาย
ตั้งแต่บัดนั้นมาก็ได้ปฏิบัติตนเต็มกำลังความสามารถ ไม่มีคำว่าย่อหย่อนอ่อนข้อ จุดที่หมายก็คือขอเป็นพระอรหันต์เท่านั้นในชาตินี้ จะไม่ขอกลับมาเกิดอีกเพราะธรรมเป็นสวากขาตธรรม ตรัสไว้ชอบ ตรัสไว้โดยถูกต้องทุกแง่ทุกมุม ที่จะนำสัตว์ทั้งหลายผู้ปฏิบัติตามให้หลุดพ้นจากทุกข์โดยถ่ายเดียวเท่านั้น เมื่อพระธรรมตรัสไว้โดยถูกต้อง ได้ถึงใจแล้วก็อุตส่าห์ปฏิบัติมา จึงขอสรุปความในธรรมทั้งหลายให้เหมาะแก่กาลเวล่ำเวลาที่ได้ปฏิบัติมา เป็นที่ภูมิใจในธรรมทั้งหลายของพระพุทธเจ้า
ตั้งแต่เริ่มแรกปฏิบัติ จิตใจว้าวุ่นขุ่นมัวไปด้วยกิเลสตัณหาอาสวะประเภทต่างๆ บีบบี้สีไฟภายในจิตใจ ยืนเดินนั่งนอนหาความสะดวกสบายไม่ได้ ความโลภบีบเข้าทางหนึ่ง ความโกรธบีบเข้าทางหนึ่ง ราคะตัณหาบีบเข้าทางหนึ่ง ซึ่งสามกษัตริย์นี้ล้วนแล้วตั้งแต่เป็นกษัตริย์อันใหญ่หลวงที่ครอบงำ หรือแผ่อำนาจครอบสัตวโลกทั้งหลายให้พ้นเงื้อมมือไปไม่ได้ตลอดมา กิเลสทั้งหลายเหล่านี้ก็เต็มอยู่ในหัวใจ แต่อาศัยธรรมะคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าด้วยความแกล้วกล้าภายในจิตใจไม่สะทกสะท้าน โดยถือเอาธรรมที่มีความแกล้วกล้าสามารถปราบกิเลสทั้งหลายเหล่านี้ได้เรื่อยมา
ตั้งแต่ครั้งพุทธกาลมาถึงตัวของเรา กิเลสประเภทเหล่านี้ก็เป็นกิเลสที่เป็นข้าศึกประเภทเดียวกัน ธรรมะทุกประเภทเป็นประเภทที่ปราบกิเลสให้สิ้นซากลงไปจากใจอย่างเดียวกัน จึงได้น้อมนำธรรมเหล่านั้นเข้ามาปราบปรามกิเลส เอาให้ถึงเหตุถึงผลถึงพริกถึงขิง จิตใจที่เคยว้าวุ่นขุ่นมัวก็ค่อยสงบลง ด้วยอำนาจแห่งธรรมเครื่องปราบปรามหรือชะล้าง แล้วค่อยสงบเย็นลงๆ ใจที่เคยมืดมัวมั่วสุมก็กลายเป็นใจที่สว่างไสวขึ้นมา เพราะอำนาจแห่งธรรมเป็นเครื่องชำระซักฟอกอยู่ตลอดเวลา กลายเป็นจิตที่ละเอียดลออสว่างไสว เป็นความแปลกประหลาดอัศจรรย์ขึ้นมาเป็นขั้นเป็นภูมิประจักษ์กับใจตนเอง เพิ่มกำลังความสามารถที่จะก้าวหน้าหรือบึกบึนต่อไปโดยลำดับลำดา
ผลที่แปลกประหลาดและอัศจรรย์ เกิดขึ้นจากการบำเพ็ญธรรมอันเลิศเลอของพระพุทธเจ้า ก็เริ่มปรากฏขึ้นที่ใจ กลายเป็นจิตใจที่สว่างไสวและค่อยเริ่มเลิศขึ้นมาๆ กิเลสตัวมืดมิดปิดจิตปิดใจทั้งวันคืนยืนเดินนั่งนอนนั้น ได้ค่อยกระจายออกไปๆ เพราะอำนาจแห่งธรรมชำระล้าง แล้วกลายเป็นใจที่สว่างไสวขึ้นมาๆ ประจักษ์กับใจโดยไม่ต้องไปถามใครหรือหาใครมาเป็นสักขีพยาน
ถือเอา สนฺทิฏฺฐิโก ความรู้เองเห็นเองของท่านผู้ปฏิบัติธรรมเป็นเครื่องประกาศความสัตย์ความจริงขึ้นกับตัวเองทุกรายๆ ไป เหล่านี้ได้ปรากฏขึ้นมาภายในจิตใจโดยลำดับลำดา จนกระทั่งใจที่มีกำลังด้วยอรรถด้วยธรรมแล้ว กิเลสที่เคยมืดมิดปิดตาทั้งหลายก็สลายตัวลงไป ธรรมเป็นเครื่องกำจัดปัดเป่าได้กระจายสิ่งเหล่านั้นพังทลายลงไปจากใจ กลายเป็นใจที่อัศจรรย์เลิศเลอขึ้นมาภายในตัวเองโดย สนฺทิฏฺฐิโก ไม่ต้องไปทูลถามพระพุทธเจ้าว่าพระองค์เสด็จอยู่แห่งหนตำบลใด ปรินิพพานอยู่ในสถานที่เช่นไร
นั่นเป็นเพียงเรือนร่างของพระพุทธเจ้าเท่านั้น ส่วนองค์ศาสดาที่แท้จริงแล้วคืออมตธรรม อมตจิต ประทานไว้สำหรับผู้ต้องการธรรมดวงนี้ทุกรูปทุกนาม ขอแต่ให้ปฏิบัติตามสวากขาตธรรมที่ทรงตรัสไว้ชอบแล้วนี้เถิด มรรคผลนิพพานจะอยู่ในเงื้อมมือแห่งเหตุ คือการบำเพ็ญโดยถูกต้องดีงามของตนเองด้วยกัน ธรรมเหล่านี้ก็ปรากฏขึ้นภายในใจตั้งแต่ขั้นสมาธิ ความสงบเย็นใจ ความสว่างไสวถึงขั้นปัญญา ขั้นปัญญาเป็นปัญญาแห่งธรรมไม่ใช่ปัญญาของกิเลส
คำว่าปัญญาก็ดี สติก็ดี มีได้ทั้งกิเลสและธรรม สติและปัญญาที่ใช้ไปในทางของกิเลส จะสะท้อนย้อนกลับมาเป็นภัยแก่ตัวเองและส่วนรวมเป็นลำดับลำดาไป นี่ท่านเรียกว่าสติปัญญาซึ่งเป็นเครื่องมือของกิเลสเป็นตัวภัย เมื่อสติปัญญามีอยู่กับผู้ใด สติปัญญาประเภทที่กล่าวนี้ จะแสดงความเป็นพิษเป็นภัยแก่ตนเองและส่วนรวมจนกระทั่งถึงทำโลกให้พินาศฉิบหายได้ เพราะความฉลาดของกิเลสตัวโหดร้ายทารุณได้เครื่องมือที่ทันสมัย เมื่อย้อนกลับมาเข้าสู่ธรรมะ สติธรรมปัญญาธรรมกำจัดสติปัญญาของกิเลสนี้ให้เหือดแห้งหรือสูญไปจากจิตใจ กลายเป็นธรรมทั้งแท่งขึ้นมาภายในจิตใจ กลายเป็นใจที่บริสุทธิ์ล้วนๆ ถึงวิมุตติพระนิพพานด้วยความบริสุทธิ์ของใจ หากิเลสแม้เม็ดหินเม็ดทรายติดใจไม่ได้เลย นั่นแลคือองค์ศาสดาโดยแท้ นั้นแลคือธรรมะอันแท้จริง นั้นแลคือพระสงฆ์สาวกโดยหลักธรรมชาติอันแท้จริง
มีอยู่กับทุกๆ ท่านที่ตั้งใจประพฤติปฏิบัติตามศาสนธรรมของพระพุทธเจ้า ที่ตรัสไว้ด้วยความชอบธรรม ที่เรียกว่าสวากขาตธรรม ตรัสไว้ชอบแล้วคือชอบต่อมรรคผลนิพพานชอบต่อความพ้นทุกข์สำหรับผู้ปฏิบัติตาม จะไม่เป็นอย่างอื่นอย่างใด สมพระนามว่า สวากขาตธรรมโดยแท้ คือตรัสไว้ชอบแล้ว นี่เราทั้งหลายเป็นชาวพุทธ หลวงตาจึงขอนำธรรมะที่ได้ปฏิบัติมาเต็มกำลังความสามารถของตนเอง ได้รู้ได้เห็นขึ้นกับใจตามธรรมที่ท่านสอนไว้เต็มกำลังความสามารถของตน จึงได้มาแจกจ่ายแก่บรรดาพี่น้องชาวพุทธทั้งหลายเรา
กรุณาให้ทราบไว้ตั้งแต่บัดนี้ ถ้าหากว่าเรายังไม่ทราบว่าพระพุทธเจ้าคือองค์เช่นไร พระธรรมพระสงฆ์คือองค์เช่นไร ได้แก่องค์ที่ประเสริฐเลิศเลอ ประกาศกังวานมาเป็นเวลา ๒๕๐๐ กว่าปีนี้แล้ว ขอให้มาประกาศกังวานกับใจของเราด้วยการเปล่งหรือระลึกถึงท่าน เป็นคำว่าพุทโธบ้าง ธัมโมบ้าง สังโฆบ้างภายในจิตใจตนเอง ในวันหนึ่งๆ คืนหนึ่งๆ อย่าให้หลับให้นอนทิ้งเนื้อทิ้งตัว ทิ้งมืดทิ้งแจ้งเวล่ำเวลาไปเปล่าๆ จะไม่เกิดผลประโยชน์อันใดสำหรับมืดกับแจ้ง เป็นบาปก็ไม่เป็น เป็นบุญก็ไม่เป็น ตกนรกก็ไม่ตก ไปสวรรค์นิพพานก็ไม่ไป มีแต่มืดกับแจ้งอยู่อย่างนี้ประจำโลกสงสารเรื่อยมาเป็นเวลาหลายกัปหลายกัลป์
สิ่งที่เป็นปัญหาอย่างยิ่งเวลานี้อยู่กับเราทุกคนๆ คือใจดวงรู้ๆ อยู่นี้แหละ เป็นนักท่องเที่ยวที่จะต้องเกิดต้องตายในภพน้อยภพใหญ่ ไม่มีสิ่งใดที่จะนอกเหนือไปจากใจดวงที่เรารับผิดชอบในตัวของเราเองแต่ละรายๆ นี้ไปได้เลย จึงขอให้ทุกๆ ท่านได้ยินได้ฟังอรรถธรรมแล้วน้อมนึกเข้าไปเป็นคติเครื่องเตือนใจแก่ตน และระลึกเป็นหลักใจไว้ว่าพุทโธ หรือธัมโม หรือสังโฆ ตามแต่ที่เราชอบในจริตนิสัยของเรา ธรรมใดหรือบทใดบาทใด ให้ระลึกถึงตัวเสมอ
คำว่าพุทโธคำเดียวนี้กระเทือนทั่วพระพุทธเจ้าทุกๆ พระองค์ ซึ่งเทียบเหมือนกับน้ำมหาสมุทรทะเลหลวง ใหญ่กว้างลึกขนาดไหน พี่น้องทั้งหลายที่เคยเห็นน้ำมหาสมุทรแล้วย่อมหายสงสัย ข้อนี้ฉันใดก็เหมือนกัน พระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์รวมเป็นธรรมแท่งเดียวกันแล้ว เป็นมหาวิมุตติ เป็นมหานิพพาน เป็นธรรมธาตุ ประหนึ่งแม่น้ำมหาสมุทรสุดที่จะกว้างจะขวางลึกซึ้ง แต่ธรรมธาตุนี้ยังกว้างขวางลึกซึ้งยิ่งกว่าน้ำมหาสมุทรทะเลหลวงเป็นไหนๆ
ธรรมเหล่านี้แลที่รื้อขนสัตว์ทั้งหลาย ให้หลุดพ้นจากทุกข์โดยลำดับลำดาตลอดมา แม่น้ำมหาสมุทรไม่สามารถจะรื้อหรือขนสัตว์โลกรายใดตัวใดให้หลุดพ้นจากทุกข์ไปได้ ไม่เหมือนแม่น้ำอมตธรรมที่พระพุทธเจ้าทั้งหลาย พระสงฆ์ทั้งหลายตรัสรู้แล้วกลายเป็นธรรมแท่งเดียวกัน มาเป็นพระนามว่ามหาสมุทร มหาวิมุตติมหานิพพาน อันนี้ไม่มีอันใดจะเสมอเหมือนมหาวิมุตติมหานิพพานนี้เลย
เมื่อเราระลึกถึงท่านก็เท่ากับเรายึดเราเกาะท่านให้หลุดพ้นจากสิ่งที่เป็นภัย แล้วบรรเทาเบากายเบาใจของเราเป็นลำดับลำดา เพราะอำนาจแห่งคุณพระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์ ซึ่งมีสดๆ ร้อนๆ อยู่กับหัวใจผู้ระลึกถึงท่านตลอดมาและจะตลอดไป ไม่มีการที่ว่าจืดจางหรือครึหรือล้าสมัย ดังโลกตาบอดหูหนวกของกิเลสมันเสกสรรปั้นยอมันมาเป็นศาสดาของสัตว์โลก แล้วครอบงำสัตว์โลกด้วยความล่อลวงต้มตุ๋นต่างๆ ว่าบาปไม่มี บุญไม่มี นรกไม่มี สวรรค์ไม่มี พรหมโลกไม่มี นิพพานไม่มี เปรตผีประเภทต่างๆ ที่เกลื่อนอยู่ในโลกธาตุนี้มาแต่กาลไหนๆ ไม่มี
เหล่านี้เป็นกลอุบายของกิเลสตัณหาประเภทต่างๆ ซึ่งเป็นสกุลอันหนึ่งอยู่คนละฝั่งกับแม่น้ำคือใจของเราซึ่งเท่ากับแม่น้ำ อีกฝั่งหนึ่งคือฝั่งธรรม ฉุดลากสัตว์โลกทั้งหลายให้หลุดพ้นจากทุกข์เป็นลำดับลำดา นี้เรียกว่าฝั่งหนึ่งแห่งธรรมที่ติดแนบอยู่กับใจของเราที่เรียกว่าแม่น้ำๆ นี้แล อีกข้างหนึ่งได้แก่กิเลส สกุลนี้เป็นสกุลที่ต้มตุ๋นสัตว์โลกมานาน ไม่มีสัตว์โลกตัวใดที่จะเห็นว่าสิ่งเหล่านี้เป็นภัย จึงต้องหลงกลอุบายของมันอยู่เรื่อยมาและยังจะเรื่อยไป ถ้าไม่มีธรรมเป็นเครื่องฉุดลากหรือไม่เชื่ออรรถเชื่อธรรมเท่านั้น เราจะหวังหรือไม่หวังก็ต้องจมไปกับมันด้วยความเชื่อความหลงกลของมันจนได้นั้นแล ทั้งสองประเภทนี้เป็นคู่เคียงกันมาแต่กาลไหนๆ โดยถือหัวใจของสัตว์โลกเป็นที่เกิดที่อยู่ด้วยกัน
กิเลสเกิดที่ใจ ธรรมะเกิดที่ใจ งานของกิเลส อารมณ์ของกิเลสให้เกิดความรักชอบในสิ่งที่จะเป็นภัยและเป็นฟืนเป็นไฟต่อจิตใจเสมอไป สิ่งใดที่ธรรมไม่ชอบสิ่งนั้นกิเลสชอบ ขวางกันไปอย่างนี้ตลอดมา อารมณ์เหล่านี้เรียกว่าอารมณ์ของกิเลส เกลี้ยกล่อมสัตว์ทั้งหลายให้ล่มจมไปตามมันโดยลำดับลำดามาจนกระทั่งบัดนี้ และยังจะมีต่อไปอีกตลอดกาลไหนๆ ส่วนสกุลแห่งธรรมที่เกิดขึ้นภายในจิตใจอันเดียวกันนั้นเป็นธรรม เป็นความสัตย์ความจริง แสดงออกมาตามความสัตย์ความจริง รื้อถอนขนสัตว์ออกจากความลุ่มหลงและกองทุกข์ทั้งหลาย ให้หลุดพ้นจากทุกข์ไปโดยลำดับลำดา
ผู้ใดเชื่อถือและปฏิบัติตามธรรมที่ท่านแสดงไว้นั้น ผู้นั้นมีหวังพ้นทุกข์ไปโดยลำดับลำดา จนกระทั่งพ้นทุกข์โดยสิ้นเชิง ดังพระพุทธเจ้าและพระสาวกทั้งหลายท่านพ้นไปเพราะอำนาจแห่งธรรม เครื่องยึดเครื่องเกาะของท่านโดยลำดับ นี่เรียกว่าธรรม ธรรมนี้เป็นความซื่อสัตย์เป็นความตรงไปตรงมาจึงเรียกว่าภาษาธรรม ถ้าเรานำมาปฏิบัตินำมาชี้แจงแสดงบอก ถ้าเป็นพระก็เรียกว่าภาษาพระ ถ้าเป็นประชาชนหรือใครนำมาพูดก็เรียกว่าภาษาธรรมคือตรงไปตรงมา ไม่มีคดไม่มีงอ ไม่มีหลอกลวงต้มตุ๋น คดโกงรีดไถผู้หนึ่งผู้ใดเรียกว่าธรรม ตายใจได้ตลอดไป
ส่วนกิเลสจะออกมาในแง่ใดมุมใด มีแต่การหลอกลวงต้มตุ๋นสัตว์โลก เพราะฉะนั้นโลกที่อยู่ร่วมกัน เพราะอำนาจแห่งกิเลสครอบงำอยู่ภายในจิตใจด้วยกันทุกคนนั้น จึงไว้ใจกันไม่ได้ง่ายๆ ต้องมีหลบมีหลีกมีระวังเนื้อระวังตัวตลอดหาความไว้วางใจไม่ได้ เพราะกิเลสหลอกลวงเสมอมา ไม่ว่าจะมีอยู่ภายในจิตใจของเราและจิตใจของใคร ขึ้นชื่อว่ากิเลสแสดงออกมาแล้วต้องเป็นเรื่องหลอกลวงต้มตุ๋น การพูดการจากิริยามารยาทไพเราะเพราะพริ้ง นิ่มนวลอ่อนหวาน ชวนให้เพลิดให้เพลิน ให้หลงงมงายไปตามจนกระทั่งถึงล่มจมไปตามมันก็ได้ หรือได้โดยไม่ต้องสงสัย เพราะสิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งที่นิ่มนวลหลอกลวงสัตว์โลกได้ง่าย
แต่เรื่องของธรรม ถ้าภาษาของเราเรียกว่าขวานผ่าซาก คือตรงไปตรงมา เรียกภาษาธรรม ภาษาพระ ภาษาของผู้มีธรรมเป็นอย่างนี้ ทั้งสองประเภทนี้คือภาษาของกิเลสและภาษาของธรรมนี้มีอยู่ในหัวใจของสัตว์โลกด้วยกัน กรุณาเอามาวินิจฉัยใคร่ครวญดูว่าจิตใจของเรา ตั้งเอาในปัจจุบันนี้ละตั้งแต่ตื่นนอนมานี้ จิตใจได้หลอกลวงต้มตุ๋นเจ้าของในแง่ใดบ้าง เช่นเราคิดว่าจะไปทำผลทำประโยชน์ หรือจะไปวัดไปวาฟังธรรมจำศีล รักษาจิตใจจิตตภาวนา ให้จิตใจมีความสงบร่มเย็น นี่เป็นเรื่องของธรรมที่ดำริขึ้นมา
กิเลสซึ่งเป็นข้าศึกของธรรมมันจะสอดแทรกขึ้นมาประเภทต่างๆ ว่าไม่มีเวล่ำเวลาหรือไม่เชื่อว่าบาปมีบ้าง ไม่เชื่อว่าบุญมีบ้าง ไม่เชื่อว่านรกมีบ้าง ไม่เชื่อว่าสวรรค์มีบ้าง ไม่เชื่อว่าพรหมโลกนิพพานมีบ้าง ทุกสิ่งทุกอย่างที่มีเกลื่อนอยู่ในโลกธาตุนี้ กิเลสจะลบล้างไปหมด บอกว่าไม่มี สิ่งที่มีก็คือให้ทำตามกิเลสที่ชอบ บงการไปทางไหนจะจริงไม่จริงก็ตามทำให้เกิดความเชื่อตามมันไปจนได้ เช่น ความโลภ โลภได้เท่าไรยิ่งดีๆ ได้เท่าไรจะพาให้เจ้าของจม ถ้าได้เกินเหตุเกินผลเกินความพอดีของอรรถของธรรมแล้วพาเจ้าของให้เสียได้
แต่กิเลสไม่ว่าเสีย กิเลสจะว่าดีทั้งนั้นๆ ตายแล้วสมบัติที่ได้มากองท่วมหัวอยู่เจ้าของตายลงไปจมในนรก เพราะศีลธรรมไม่มีในใจ อย่างนี้กิเลสก็หลอกได้อย่างสบายพอใจหลอก แต่สัตว์โลกผู้รับเคราะห์รับกรรมทนทุกข์ทรมานเพราะความหลงกลของกิเลสนี้มามากมายก่ายกอง นี่ละเรื่องของกิเลสคอยกระซิบกระซาบเรา ถ้าเราจะทำคุณงามความดีกิเลสมาลบล้าง ให้ดูหัวใจของเราทั้งหลายบ้างนะ เวลานี้เรามาฟังอรรถฟังธรรม หรือเรามาฟังกลมายาของกิเลส ให้ไปคลี่คลายดูในใจของเรานี้มีทั้งอรรถทั้งธรรม มีทั้งกิเลสตัวหลอกลวงต้มตุ๋นนั้นแหละ ให้เอาไปพินิจพิจารณา
ถ้าเรามีการพินิจพิจารณาในจิตใจของเราอยู่บ้าง เราจะได้คติธรรมเป็นเครื่องทดสอบคัดเลือกในสิ่งไม่ดีทั้งหลายที่เกิดอยู่เป็นประจำภายในใจของเรา แล้วเราจะมีทางปัดออก พลิกออก แก้ไขออก แล้วหาสิ่งที่ดีงามเข้ามาเพิ่มเติม เราจะค่อยดีขึ้นๆ เป็นลำดับลำดา
คำว่าบาปไม่มีนั้นเป็นเรื่องของกิเลสหลอกลวงร้อยเปอร์เซ็นต์ ทุกอย่าง บาป บุญ นรก สวรรค์ พรหมโลก นิพพานไม่มี นี่คือเรื่องต้มตุ๋นของกิเลสทั้งมวล ไม่มีอะไรเป็นความจริงเลย ส่วนธรรมของพระพุทธเจ้า ไม่ว่าพระพุทธเจ้าพระองค์ใดตรัสรู้ขึ้นมาก็มารู้มาเห็นสิ่งเหล่านี้แล คือบาปบุญ นรกสวรรค์ พรหมโลกนิพพาน ประกาศก้องขึ้นในพระทัยของพระพุทธเจ้าทุกๆ พระองค์แล้วมาประกาศธรรมสอนสัตว์โลกให้ละเว้นสิ่งที่มีทั้งหลายแต่เป็นภัยต่อสัตว์โลกให้ห่างไกล อย่าไปใกล้ชิดติดพันกับมัน
เช่น การทำบาปหาบกรรมทั้งหลายนี้เป็นภัยแก่ตัวเอง การสร้างคุณงามความดีนี้เป็นคุณต่อจิตใจของเราอย่างเดียวกัน คือทำสิ่งที่ชั่วช้าลามกเป็นภัยต่อจิตใจของเรา สิ่งที่ดีเป็นคุณต่อจิตใจของเรา ให้จิตใจของเราได้คัดได้เลือกเสียตั้งแต่บัดนี้ ซึ่งเราเป็นชาวพุทธ ศาสดาองค์เอกไม่มีพระพุทธเจ้าพระองค์ใดได้มาโกหกสัตว์โลกหลอกลวงสัตว์โลก ถึงขนาดสัตว์โลกได้ตกนรกหมกไหม้ เพราะพระพุทธเจ้าแต่ละพระองค์ที่มาตรัสรู้แล้วนั้นไม่เคยมี มีตั้งแต่กิเลสคือความโลภ ความโกรธ ราคะตัณหา ความหลงงมงายไปตามมันๆ นี้แหละคือสิ่งที่หลอกลวง เป็นสิ่งที่จะทำให้เราล่มจมตกนรก
ว่านรกไม่มีก็คือเราเป็นผู้ตก กิเลสมันหลอกเฉยๆ มันไม่ไปตกนรก บาปไม่มีกิเลสบอกไม่มีแต่เราผู้สร้างบาป หาบบาปหาบกรรม หาบความทุกข์ความทรมานอันเป็นตัวของเราเอง นี่เรียกว่าเราโง่หรือเราฉลาด กิเลสหลอกเราให้ทำอะไรเราก็ทำตามมัน ครั้นทำลงไปแล้วการรับเคราะห์รับกรรมกิเลสไม่ได้มารับ เราเป็นคนรับเอง สัตว์โลกเกลื่อนอยู่ในนรก นี่พระพุทธเจ้าก็ประกาศว่านรกมีมากี่กัปกี่กัลป์ สัตว์โลกอัดแน่นอยู่ในนรกประจำ แล้วทำไมกิเลสมันก็หลอกได้ลงคอว่านรกไม่มี เราก็หลับหูหลับตาเชื่อมัน แล้วยังจะหลับหูหลับตาทำบาปทำกรรมต่อไปอีกไม่มีสะทกสะท้านหวั่นไหว ไม่มีหิริโอตตัปปะประจำใจแล้วเราจะจมอีก
เมื่อจมลงไปแล้วใครจะเป็นผู้มารับเคราะห์รับกรรม มาเป็นตัวประกันลากเราออกจากนรก ตั้งแต่เขาติดคุกติดตะราง เมื่อเขาตัดสินลงแล้วว่าติดคุกติดตะรางเท่านั้นปีเท่านี้เดือน ใครเป็นตัวประกันมีไหม ไม่มี ต้องเป็นนักโทษคนนั้นเป็นผู้ไปรับเคราะห์รับกรรมเสียเอง จนสิ้นโทษสิ้นภัยสิ้นบาปสิ้นกรรมของตนตามจำนวนที่เขาตัดสินไว้แล้วว่าเท่านั้นปีเท่านี้เดือน ถึงจะออกมาจากเรือนจำได้ นี้ก็เวลาตกนรกลงไปใครเป็นผู้ไปประกัน กิเลสตัวใดมันมีโคตรมีแซ่ปู่ย่าตายาย แล้วโคตรแซ่ปู่ย่าตายายของกิเลสจนกระทั่งลูกหลานเหลนของกิเลสมีกิเลสตัวใดไปเป็นตัวประกันสัตว์โลก ว่าสัตว์โลกตกนรกแล้วไปประกันเอาขึ้นมาๆ โดยไม่ต้องตกนรก นรกนั้นว่างไปหมด ไม่มีสัตว์โลกไปตกเพราะกิเลสไปเป็นตัวประกันขึ้นมาได้หมดๆ อย่างนี้เราเคยเห็นมีที่ไหน ไม่เคยมี พระพุทธเจ้าจึงไม่แสดงไว้ว่ามี มีตั้งแต่สัตว์โลกทั้งหลายทำบาปเป็นบาป ทำบุญเป็นบุญ ตามความสัตย์ความจริงของศาสดาทุกองค์ได้ตรัสไว้ เราเป็นลูกศิษย์ตถาคตขอให้ท่านทั้งหลายนำไปพินิจพิจารณา
วันนี้หลวงตาได้นำธรรมมาแสดงให้ท่านทั้งหลายฟัง พูดให้เต็มหัวใจก็คือองอาจกล้าหาญชาญชัย หลวงตาไม่เคยสะทกสะท้านกับสิ่งทั้งหลายเหล่านี้เลย ว่าผิดเพี้ยนจากธรรมที่พระพุทธเจ้าทรงสั่งสอนไว้แล้ว ไม่มี สอนตรงไหน รู้ตรงไหน เห็นตรงไหน ประจักษ์ตรงนั้นๆ ตลอดไป เมื่อเจ้าของเป็นผู้ยอมรับสิ่งที่เจ้าของประจักษ์กับใจแล้ว เล็งไปถึงพระพุทธเจ้าพระองค์ทรงสอนไว้เรียบร้อยแล้วๆ เราจะทะนงตัวของเราไปไหน มีตั้งแต่ยอมรับกราบไหว้ ที่นำธรรมมาสอนท่านทั้งหลายนี้ นำออกมาจากธรรมที่กราบไหว้พระพุทธเจ้าอย่างราบแล้วว่าถึงใจๆ ทุกอย่าง
ไม่ว่าบาปว่าบุญ นรกสวรรค์ เปิดจ้าอยู่ในหัวใจสดๆ ร้อนๆ แล้วจะว่าบาป บุญ นรก สวรรค์ไม่มีได้ยังไง นอกจากกิเลสมันอยู่หัวใจเราถึงบอกว่ามีอย่างนี้มันก็ไม่เชื่อ มันต้องปฏิเสธลบล้างอยู่ว่าบาปบุญนรกสวรรค์ไม่มีอยู่นั่นแล กิเลสไม่อายใครนะ หน้าด้านที่สุดคือกิเลสมันอยู่ในหัวใจของสัตว์โลก สัตว์โลกก็เป็นสัตว์โลกที่หน้าด้านสันดานหยาบ เห็นอรรถเห็นธรรมเห็นคุณงามความดีที่เขาไปสร้างคุณงามความดี ยังพูดหัวเราะเยาะเย้ยไปต่างๆ นานา นี่เขาไปวัดไปวานะวันนี้
นี่เห็นไหมกิเลสเวลามันหนาเข้าในหัวใจเรานั้นแหละ ไม่ได้หนากับหัวใจใครละ หัวใจของคนผู้ดื้อด้านสันดานหยาบนั้นแหละ มันคัดค้านต้านทานธรรมว่า นี่เขาไปวัดแล้วดีนะ เขาไปทำบุญให้ทาน เขาจะไปสวรรค์กันหมด พวกเราจะสนุกหาปูหาปลาเล่นไพ่แทงโปสนุกสนาน เอาเมียมาสักร้อยคนก็ได้ไม่มีใครมาแย่ง ไปหาผัวสักพันคนมาก็ได้ไม่มีใครแย่ง พวกเราสนุกสนานแล้วนะที่นี่ พวกนี้เขาทำบุญให้ทานเขาไปสวรรค์กันหมดแล้วใครไม่มาแย่งเรา นี่เห็นไหมกิเลสตัวมันหน้าด้านมันเป็นอยู่ในหัวใจเราทุกคน ให้พากันจำเอา
หลวงตานี้ได้เทศนาว่าการอย่างอาจหาญชาญชัย ใครจะว่าหลวงตาพูดโกหกก็ตามพระพุทธเจ้าไม่ใช่พูดโกหก ปฏิบัติตามธรรมของพระพุทธเจ้าเพื่อรู้เพื่อเห็นธรรมตามที่ทรงแสดงไว้แล้ว ปฏิบัติอย่างใดรู้เห็นอย่างนั้น เห็นอย่างนั้นคัดค้านพระพุทธเจ้าได้ยังไง ประจักษ์ยังไงก็ต้องสอนอย่างนั้น นี้กราบราบพระพุทธเจ้ามาเป็นเวลา ๕๔ ปีนี้แล้ว หาที่ต้องติไม่ได้ในธรรมที่เรารู้ในหัวใจของเรา จนกระทั่งเต็มหัวใจก็ไม่มีข้อใดในธรรมทั้งหลายที่จะคัดค้านพระพุทธเจ้าเลย ในบรรดาธรรมที่เรารู้เราเห็นภายในใจของเรา ว่าธรรมนี้ปลีกย่อยหรือแตกต่างจากธรรมพระพุทธเจ้าไป พอจะเป็นข้าศึกไปโต้เถียงกับธรรมพระพุทธเจ้าที่ทรงแสดงสอนเรามาในการปฏิบัติ จนกระทั่งมาปฏิบัติได้รู้ได้เห็นขึ้นมา แล้วได้ธรรมอันนี้เป็นธรรมปลีกย่อยไปคัดค้านต้านทานธรรมพระพุทธเจ้านี้ไม่มี มีแต่หมอบราบๆ
นอกจากที่จะมีความวิตกวิจารณ์กับบรรดาชาวพุทธเราเท่านั้นแหละ เวลานี้กำลังถูกกิเลสหลอกลวงเอามาก ยิ่งมืดมิดปิดตาหนาแน่นขึ้นทุกวันๆ มองไปที่ไหนเห็นเป็นคนก็จริง แต่งเนื้อแต่งตัวรูปร่างสดสวยงดงามพูดไพเราะเพราะพริ้ง มีตั้งแต่เรื่องของกิเลสหลอกลวงต้มตุ๋นให้นำกลมายานี้มาใช้หลอกกันไป คนนี้หลอกคนนั้นคนนั้นหลอกคนนี้ หาความสัตย์ที่จะเป็นที่ตายใจไม่ได้เลย นี่คือกิเลสมันหลอกลวงเรามันลากเข็นเราไป
ถ้าเป็นธรรมแล้วต้องคัดต้องเลือกในกิริยาท่าทางความคิดความอ่าน หน้าที่การงาน อะไรผิดอะไรถูกเราเป็นผู้รับผิดชอบในตัวของเรามาดั้งเดิม สิ่งใดผิดต้องเป็นพิษต่อเรา เราต้องคัดเลือก ปัดออกๆ สิ่งใดที่เป็นผลเป็นประโยชน์ให้พยายามสั่งสมขึ้นมา นี่เรียกว่าเราเป็นชาวพุทธฟังเสียงธรรมของพระพุทธเจ้า นิสมฺม กรณํ เสยฺโย ให้ใคร่ครวญเสียก่อนทุกสิ่งทุกอย่างก่อนที่จะลงมือทำ แม้จะผิดพลาดก็ไม่มาก ส่วนมากจะไม่ค่อยผิด ที่ผิดนี่ก็คือว่าสุกเอาเผากิน เพราะกิเลสมันลากมันถูไปจนไม่มีเวล่ำเวลาที่จะแต่งเนื้อแต่งตัว มันลากเข็นไป บางคนไม่นุ่งเสื้อนุ่งผ้าเพราะวิ่งตามกิเลสแล้วปล่อยหีปล่อยควยไปก็ได้
ต่อไปมันจะเป็นได้นะ เมื่อกิเลสมันหนาแน่นเข้ามาจะไม่มียางอาย เวลานี้มีธรรมประกันตัวอยู่พอมียางอายบ้างมนุษย์เรา ให้ดูเอา ดูตัวของเรานี้แหละ โลกก็คือตัวของเราแต่ละคนๆ มียางอายก็คือตัวของเราแต่ละคน หน้าด้านก็คือตัวของเรา ให้เอาธรรมของพระพุทธเจ้ามาฟัดมาเหวี่ยงมาซักมาฟอกมาเทียบเคียง อะไรไม่ดีเราก็จะรู้ในตัวของเรา เมื่อเรารู้แล้วที่เคยหน้าด้านมันก็หน้าบางเอง ค่อยบางเอง หิริโอตตัปปะมีประจำใจ ละอายต่อบาปต่อกรรมทั้งหลาย และมีความกระหยิ่มยิ้มย่องในอรรถในธรรม ปฏิบัติต่อธรรม คนนั้นจะมีความสง่างามขึ้นภายในใจ
สาระสำคัญในโลกนี้เราอย่าเข้าใจว่าสิ่งใดเป็นสาระมากยิ่งกว่าใจ และเลวร้ายยิ่งกว่าใจ ไม่มี วัตถุสิ่งของต่างๆ ทั่วแดนโลกธาตุเขาไม่มีความหมายอะไร ต้นไม้ภูเขาเป็นต้นไม้ภูเขาเราไปให้ชื่อให้นามเขาเอง มืดแจ้งเขาเป็นเรื่องของเขา แม่น้ำมหาสมุทรทะเลหลวง ท้องฟ้าอากาศ เราไปตั้งสมมุติให้เขาเองเป็นความกังวลตำหนิติเตียนหรือเชยชมเขา แล้วก็ขนเอาอารมณ์ต่างๆ ทั้งดีทั้งชั่วที่เราชอบใจไม่ชอบใจเข้ามาเผาหัวใจเรานั้นแล เพราะใจไม่ได้ใช้ความคิดความพินิจพิจารณาจึงไม่ทราบว่าอะไรถูกอะไรผิด เพราะฉะนั้นจึงเอาธรรมเข้าไปกลั่นกรอง ธรรมพระพุทธเจ้าท่านสอนว่า นิสมฺม กรณํ เสยฺโย ให้พิจารณาใคร่ครวญเสียก่อน ก่อนที่จะทำจะพูดอะไรขึ้นมา จะไม่ค่อยผิดพลาดมากนัก ท่านว่าอย่างนั้น นี่เราฟังอรรถฟังธรรมแล้วให้ไปกลั่นกรองตัวเอง
ดีชั่วอยู่กับใจ โลกอันนี้จะเลวร้ายที่สุด คือใจเป็นผู้พาให้เลวร้าย ใจเป็นผู้ร้อน ใจเป็นผู้หมดราค่ำราคาไม่มีอะไรติดเนื้อติดตัว เป็นฟืนเป็นไฟก็คือใจดวงนี้พาให้เป็น เราสร้างตั้งแต่ความชั่วช้าลามกเต็มเม็ดเต็มหน่วย นึกตามกิเลสหลอกว่าทำลงไปแล้วตกน้ำป๋อมแป๋มๆ ไปหมดไม่มีใครมาเสวยๆ ทำบาปทำกรรมเท่าไรก็ตกน้ำตกท่าป๋อมแป๋มไปหมด เราไปสบายๆ นี้คือความคิดของกิเลสหลอกสัตว์โลก แต่การกระทำเราเป็นผู้ทำเอง
ทำดีทำชั่วเราทำเอง ไม่มีที่ไหนจะไปเป็นภาชนะรับให้ตกป๋อมแป๋มๆ นอกจากใจของเราเท่านั้น ตกก็ตกเข้ามาที่ใจ ใจทำชั่วก็ตกเข้ามาที่ใจเผาที่ใจ ใจทำดีก็ตกเข้ามาที่ใจ บำรุงรักษาใจพยุงใจให้มีความสุขความเจริญขึ้นไป ใจมีคุณค่า มีคุณค่าขึ้นมาจากใจเพราะการสร้างคุณงามความดีเป็นเครื่องส่งเสริมใจ และเลวร้ายที่สุดก็คือใจ เพราะสร้างตั้งแต่บาปแต่กรรมเป็นฟืนเป็นไฟเผาไหม้ใจ รวมแล้วมีใจเท่านั้นในโลกธาตุนี้ไม่มีอะไร นี่เราได้พิจารณา
พระพุทธเจ้าทรงสอนไว้แล้วว่า มโนปุพฺพงฺคมา.ธมฺมา มโนเสฏฺฐา มโนมยา.สิ่งทั้งหลายมีใจเป็นใหญ่ มีใจเป็นประธาน สำเร็จแล้วด้วยใจ จะดีหรือชั่วขึ้นอยู่กับใจ ท่านสอนว่าอย่างนั้น จงพยายามปรับปรุงใจแก้ไขใจให้ดี ถ้าอยากให้ใจมีราค่ำราคา ถ้าใจเรามีราค่ำราคาภพชาติของเราที่จะสืบต่อจากภพนี้ไป ก็เช่นเดียวกับเมื่อวานนี้ต่อมาหาวันนี้ วันนี้ต่อไปหาวันพรุ่งนี้ ภพชาติ ชาติปางก่อนก็มาเช่นเดียวกับเมื่อวาน วันนี้มาเป็นชาติปัจจุบันแห่งมนุษย์ของเรา ต่อจากนี้จะไปเป็นภพใดชาติใดเป็นเปรตเป็นผีเป็นสัตว์นรก หรือเป็นเทวดาอินทร์พรหมก็ขึ้นอยู่กับตัวของเรา เป็นผู้สร้างต้นเหตุคือดีและชั่วนี้เท่านั้น
ถ้าเราทำชั่วเราอยากไปเป็นอะไรมันก็เป็นไม่ได้ เพราะการทำอยู่กับเรา ผลที่เกิดขึ้นจากการกระทำคือความชั่วอยู่กับเราจะเผาเราทั้งนั้น จะไปประกาศว่านรกไม่มีก็มีแต่ลมปาก ใครก็พูดได้ว่านรกมีหรือไม่มี แต่สิ่งเหล่านี้ไม่ขึ้นอยู่กับลมปากคน ถ้าขึ้นอยู่กับลมปากคนแล้วพระพุทธเจ้าทุกๆ พระองค์มีลมปากเหมือนกัน ลมปากพระพุทธเจ้าเป็นลมปากที่ศักดิ์สิทธิ์ๆ ด้วยกันทั้งนั้นไม่เหมือนลมปากเรา ลมปากเรามันไม่ได้ศักดิ์สิทธิ์อะไรนะมีแต่หลอกตัวเองๆ ลมปากอันนี้ลมปากหลอกตัวเอง ลมปากพระพุทธเจ้าเป่าฟู่ไปที่ไหน สัตว์โลกนี้เสวยความสุขความทุกข์ชะล้างสิ่งสกปรกโสมมให้โลกได้รับความสุขความเจริญ นี่คือลมปากของพระพุทธเจ้า ถ้าหากว่านรกหรือสิ่งที่ไม่พึงปรารถนาทั้งหลายสำเร็จด้วยลมปากแล้ว ลมปากพระพุทธเจ้าเป่าพุดเดียวนรกจมไปหมดเลย เราจะสนุกสนาน ไปที่ไหนไปสะดวกสบาย เพราะทำบาปทำกรรมแล้วบาปไม่มี พระพุทธเจ้าเป่านรกทำลายนรกพุดเดียวหายหมดๆ
แต่นี้เป็นยังไงนรกมีมากี่กัปกี่กัลป์แล้วยังจะมีต่อไปอีก เรายังจะเชื่อลมปากความสำคัญผิดของเราอยู่เหรอ ให้เราพิจารณา เราใหญ่กว่าพระพุทธเจ้าหรือเป็นยังไงบ้าง ถ้าเราไม่ใหญ่กว่าพระพุทธเจ้าเราเป็นคนมีกิเลส พระพุทธเจ้าสิ้นกิเลสแล้วสอนมีน้ำหนักต่างกัน เราควรจะเชื่อพระพุทธเจ้าเราอย่าเชื่อแต่กิเลสที่เป็นตัวสกปรกหลอกแต่เราตลอดมาอย่างนี้โดยถ่ายเดียว เราจะจมไม่มีวันฟื้นฟู ให้รีบตัดสินใจเสียตั้งแต่บัดนี้
ตายไปแล้วนิมนต์พระมากุสลา ธมฺมา อกุสลา ธมฺมา เกิดประโยชน์อะไร ใครก็กุสลาได้คัมภีร์มีอยู่ ไปเรียนมา กุสลา ธมฺมา เรียนได้ทั้งนั้น หรืออย่างหนึ่งก็ เอ้าในกรุงเทพของเรานี้มันมีกี่ย่านกี่แห่ง เอ้าบวชหลวงพ่อไปไว้เสียย่านนั้นองค์หนึ่ง ย่านนี้องค์หนึ่ง ในกรุงเทพนี้บวชหลวงพ่อไว้สักกี่องค์ล่ะ เพื่อรับบาปรับกรรมของเราผู้ตัวคึกตัวคะนอง ตายแล้วไปล้างบาปกับหลวงตาเหล่านั้น พอตายแล้วนิมนต์พระมากุสลา ธมฺมา ส่งไปที่ไหนที่มีความสุขความเจริญเสียทั้งหมดๆ ไม่จำเป็นจะต้องไปทำบุญให้ทานเจริญเมตตาภาวนา ให้พระท่านมากุสลา ธมฺมา ให้สำเร็จไปหมด นี่มันไม่ได้สำเร็จอย่างนั้นซิ มันเป็นอยู่กับหัวใจของเรา
การกุสลา ธมฺมา ไม่ได้ประมาท กุสลา ธมฺมา สอนคนให้เป็นคนดิบคนดีต่างหาก แต่เรามันเลวอยู่ตลอดเวลา เอาพระมากี่ร้อยกี่พันองค์มากุสลาก็มีแต่ลมปากของพระ จะอุ้มเราหรือฉุดลากเราขึ้นจากนรกไม่ได้ เราต้องเป็นผู้ฉุดลากเราเสียตั้งแต่บัดนี้ที่ยังไม่ตาย ให้รีบเร่งขวนขวายพินิจพิจารณา
หลวงตาพูดตรงๆ พูดอย่างเป็นภาษาของธรรม วิตกวิจารณ์มากนะเวลานี้ อายุแก่ถึง ๙๐ นี้นะ จะ ๙๐ ปีในวันที่ ๑๒ สิงหาคมนี้ นานไหมบวชมานี้ได้ ๗๐ ปีจะถึงวันที่ ๑๒ พฤษภาคม นี้เป็นปีที่ ๗๐ ที่บวชมา อุตส่าห์พยายามปฏิบัติแต่ศีลแต่ธรรมเรื่อยมา ไม่มีความเดือดร้อนในจิตในใจว่าได้ข้ามเกินหลักธรรมหลักวินัยข้อใด มีความอบอุ่นตั้งแต่วันบวชมาจนกระทั่งออกปฏิบัติฟัดกับกิเลสขาดสะบั้นลงจากหัวใจ ตั้งแต่บัดนั้นมา เราไม่เคยมีกิเลสตัวใด มายุมาแหย่ก่อกวนให้ได้รับความเป็นทุกข์ภายจิตใจไม่มีเลย
จึงชี้นิ้วได้ว่ามีกิเลสเท่านั้นเป็นตัวก่อกวนจิตใจสัตว์โลก และบีบบี้สีไฟสัตว์โลกให้ล่มจมฉิบหายตลอดมา เพราะการหลอกลวงของมันทุกวิถีทาง เวลานี้เราเป็นลูกชาวพุทธ เรายังจะวิ่งตามกิเลสไปทุกแบบทุกฉบับ โดยไม่มีธรรมเป็นเครื่องยับยั้งชั่งตวงบ้างเหรอ มันเกินไปนะให้พินิจพิจารณา หรือหลวงตาบวชไว้แล้วยังมีอยู่ ยังไม่ต้องวิตกวิจารณ์ ตายแล้วไปนิมนต์องค์ไหนมาก็ได้ กุสลา ธมฺมา ส่งขึ้นไปสวรรค์นิพพาน เลยนิพพานไปก็ได้เพราะเรามันคนเลยเถิดแล้ว นิมนต์พระก็มากุสลา ธมฺมา ให้ไปเลยนิพพานเสีย
พระพุทธเจ้าถึงแค่นิพพานพวกเราเก่งกว่าครู นิมนต์หลวงตามาสี่องค์ห้าองค์ก็แล้วแต่ เพราะเราทำอะไรเราทำได้สบาย ตายแล้วเอาพระมาชำระบาปให้หมด เราไปสวรรค์แข่งพระพุทธเจ้าเลยนิพพานไปอีก เราจะเก่งกว่าครูอย่างนั้นเหรอ ถ้าเราจะเก่งกว่าครูอย่างนั้นจะจมตั้งแต่บัดนี้ต่อไปนะ เพียงลมหายใจฝอดๆ หมามันก็มีลมหายใจ เราอย่าว่าแต่เรามีลมหายใจเก่งกว่าหมา หมาก็มีลมหายใจ มันไม่ได้วิเศษวิโสกว่าลมหายใจ มันวิเศษวิโสกับใจของเราที่มีธรรมนี้เท่านั้น ถ้าไม่มีธรรมเลวกว่าหมาอีก เอาไปชั่งตัวเองนะ
วันนี้ที่ท่านทั้งหลายนิมนต์หลวงตามาสอน สอนให้ถึงเหตุถึงผลถึงพริกถึงขิง หลวงตาปฏิบัติตัวเองมาอย่างนั้น การมาพูดอย่างนี้ไม่ได้มาดูถูกเหยียดหยามตำหนิติเตียนทำลายพี่น้องทั้งหลาย มีแต่มาเชิดมาชูทั้งนั้นนะ ให้เห็นโทษเห็นภัยจริงๆ กิเลสเป็นโทษจริงๆ ธรรมเป็นคุณจริงๆ พูดให้ถึงเหตุถึงผลให้ถึงใจ เราปฏิบัติมาเราก็ปฏิบัติด้วยความถึงใจ เอาจนกระทั่งเอ้าตายก็ตายว่างั้นเลย ถึงขั้นถึงใจจริงๆ แล้วกิเลสขาดสะบั้นลงไป กิเลสตายเราไม่ตาย ได้นำธรรมะมาสอนพี่น้องทั้งหลายด้วยความถึงใจไม่มีคำว่าสะทกสะท้าน
ใครจะประกาศมาสี่ห้าแดนโลกธาตุก็ตามเถอะ ว่าบาปบุญนรกสวรรค์ไม่มี จะมาประกาศมากกว่านั้นก็ตามเถอะ พุทฺธํ ธมฺมํ สรณํ คจฺฉามิ คำเดียวพอแล้วเรา กราบพระพุทธเจ้าราบ ใครเป็นคนแสดงไว้ธรรมเหล่านี้ ศาสดาองค์เอก พวกนั้นพวกหูหนวกตาบอดกิเลสหลอกลวงต้มตุ๋นมันเท่านั้น นี่ละเป็นอย่างนี้ท่านทั้งหลายพินิจพิจารณาเสีย
เวลานี้โลกมันยุ่งเหยิงวุ่นวายไปกับความเพลิดความเพลิน ความลุ่มความหลงจนจะไม่รู้เนื้อรู้ตัว การหลับการนอนไม่ทราบมีพุทโธ ธัมโม หรือสังโฆ ซึ่งเป็นธรรมอันเลิศเลอติดหัวใจบ้างหรือเปล่าก็ไม่รู้ หรือมีตั้งแต่คิด ถ้าเป็นผู้ชายมีเมียแล้วก็คิดแต่หาอีหนู ผู้หญิงมีผัวแล้วก็คิดหาแต่ไอ้หนูอย่างนั้นเหรอแทนพุทโธ ธัมโม สังโฆ พิจารณาซิตัดสินใจถามเจ้าของเสียตั้งแต่บัดนี้ ถ้ามีธรรมแล้วต้องระลึกถึงพุทโธ ธัมโม สังโฆ ธรรมเหล่านี้แลเป็นเครื่องรื้อให้พ้นจากทุกข์ ไอ้เรื่องความรื่นเริงบันเทิงมีแต่จะพาให้จม ให้พากันพินิจพิจารณาตั้งแต่บัดนี้
เราสอนพี่น้องทั้งหลายด้วยความถึงใจ เรารู้ธรรมก็รู้อย่างถึงใจหายสงสัยมาได้ ๕๔ ปีนี้แล้ว จ้าไปหมดไม่ว่าบาปบุญนรกสวรรค์มันจ้าอยู่ในหัวใจนี้แล้ว พระพุทธเจ้าก็จ้าอยู่ในหัวใจพระพุทธเจ้า บรรดาพระพุทธเจ้าทุกองค์จ้าทั้งนั้น ใครเชื่อไม่เชื่อไม่สนใจเหมือนเราเป็นคนตาดี คนตาบอดยกมาทั้งพระนครนี้เป็นคนตาบอดทั้งหมด แล้วคนตาดีมีแต่เราคนเดียวเราเชื่อใคร พิจารณาซิ คนตาบอดงุ่มง่ามต้วมเตี้ยมชนโน้นชนนี้เข้ามาหาเรา เราเป็นคนตาดีดูคนตาบอด แล้วอะไรดีกว่ากันเก่งกว่ากัน พิจารณาซิคนตาบอดหรือเก่งกว่าคนตาดี
พวกเราทั้งหลายนี้เก่งกว่าพระพุทธเจ้าเหรอ พระพุทธเจ้าโลกวิทู รู้แจ้งโลก พวกเรานี้มืดมิดปิดตานี้หรือเก่งกว่าพระพุทธเจ้า ถ้าเก่งกว่าพระพุทธเจ้ายังจะเก่งกว่านี้อีกนะ การตกทุกข์ได้ยากลำบากลงนรกหลุมไหนก็ไม่ทราบ ไม่มีใครจะรับรองนะ ถ้าเราไม่รับรองเสียตั้งแต่บัดนี้ ให้รีบแก้ไขดัดแปลงนะ หลวงตาเทศนาว่าการสั่งสอนพี่น้องทั้งหลายไม่สะทกสะท้าน แน่ตามความจริงที่สอน ใครเชื่อไม่เชื่อก็ตามมันเป็นกรรมของสัตว์
เราปฏิบัติตัวของเราได้ผลได้ประโยชน์จนกระทั่งถึงใจแล้ว บัดนี้ไม่มีอะไรที่จะแก้อีกแล้ว เรื่องโลกนี้โลกไหนเราหมดปัญหา คำว่าที่พึ่งที่ไหนหมดปัญหาโดยสิ้นเชิง ธมฺโม ปทีโป.กระจ่างแจ้งภายในจิตใจนี้หมด อดีตอนาคตไม่มี เหลือแต่ธรรมชาติที่เลิศเลอสุดยอดนี้เท่านั้นภายในใจ จากการปฏิบัติที่ตะเกียกตะกายมาตามธรรมของพระพุทธเจ้าไม่มีอะไรผิดพลาด ธรรมพระพุทธเจ้าแม่นยำที่สุดเรียกว่า สวากขาตธรรมตรัสไว้ชอบแล้ว เราปฏิบัติตามนั้นก็แม่นยำมาเป็นลำดับลำดา จนกระทั่งถึงขั้นที่ว่าพอแล้วทุกอย่าง
วุสิตํ พฺรหมฺจริยํ กตํ กรณียํ.การประพฤติพรหมจรรย์ การถอดถอนกิเลสซึ่งเป็นงานที่ยากมากที่สุดในสามแดนโลกธาตุได้ทำสำเร็จแล้ว กิเลสขาดสะบั้นลงไปจากใจ ไม่มีอะไรที่จะมาเสียดแทงอีกแล้วต่อไป ทุกข์ไม่มีในหัวใจ พระพุทธเจ้าก็ดีพระอรหันต์ก็ดี ไม่เคยมีทุกข์ในหัวใจ มีก็มีแต่ธาตุแต่ขันธ์ประจำเล็กๆ น้อยๆ เจ็บท้องปวดศีรษะ เพราะอันนี้เป็นสมมุติด้วยกัน แต่ไม่สามารถที่จะซึมซาบเข้าไปสู่จิตใจของท่านได้เท่านั้นเอง ก็อาศัยกันอยู่พอถึงกาลเวลาแล้วสลัดปั๊วะเดียวเท่านั้น หมดสมมุติโดยประการทั้งปวง ในพระพุทธเจ้าก็คือขันธ์นั้นแล
ขันธ์คืออะไร รูปกายของเรานี้เรียกว่าขันธ์ รูปขันธ์ เวทนาขันธ์ สัญญาขันธ์ สังขารขันธ์ วิญญาณขันธ์ นี้เรียกว่าขันธ์ห้า ขันธ์ห้านี้เป็นตัวสมมุติ ท่านรับผิดชอบอยู่ตั้งแต่วันตรัสรู้แล้วจนกระทั่งวันนิพพาน บรรดาสมมุติทั้งหลายปล่อยได้หมด ขันธ์ห้านี้ก็ปล่อยแต่ความรับผิดชอบยังมีอยู่ เพราะลมหายใจยังครองร่างอยู่ พออันนี้ขาดสะบั้นลงไปแล้วปัดหมด นั่นละท่านว่าอนุปาทิเสสนิพพาน เป็นนิพพานล้วนๆ สมมุติใดไม่เข้าไปเกี่ยวข้อง เหมือนที่มีขันธ์อยู่ ขันธ์นี้เพียงว่าสัมผัสสัมพันธ์ให้รู้ แต่ไม่ใช่ท่านติด ไม่ใช่ไปเสียดแทงท่านได้ เพียงให้รู้รับทราบๆ รับผิดชอบกันเท่านั้น
พระอรหันต์ พระพุทธเจ้าท่านรับผิดชอบในขันธ์เหมือนเราๆ ท่านๆ นี้แหละ ไม่ได้ผิดแปลกกัน แต่ที่แปลกต่างกันคือว่าท่านไม่ได้เป็นทุกข์ กับทุกข์ที่เกิดขึ้นตามอวัยวะของเรา เช่นเจ็บท้องปวดศีรษะก็ยอมรับว่าทุกข์ แต่มันเป็นอยู่ที่ศีรษะ มันเป็นอยู่ที่ท้องไม่ได้เป็นอยู่ที่ใจเหมือนพวกเรา พวกเราเป็นอยู่ที่ศีรษะก็ดีเป็นอยู่ที่ท้องก็ดีเป็นที่ไหนก็ดี มันมาเป็นอยู่ที่หัวใจ ทั้งร้องทั้งครวญครางอยู่ที่หัวใจ เอาไปขึ้นบนโรงพยาบาลกี่ชั้นก็ไปร้องครวญครางอยู่โน้น มันเป็นอยู่ที่คนๆ นั้น ไม่ได้เป็นอยู่ที่ตึกนั้นชั้นสูงๆ สิงๆ อะไรนะ มันเป็นอยู่ที่คน
อันนี้มันก็เป็นอยู่ที่ขันธ์ด้วย เป็นอยู่ที่ใจของเราทั้งหลายด้วย ส่วนพระอรหันต์ท่านไม่มี มีแต่ธาตุแต่ขันธ์ธรรมดา พอธาตุขันธ์หมดสภาพแล้ว ปัดปุ๊บเดียวเท่านั้น อนุปาทิเสสนิพพานผึงเลย นั่นละท่านว่านิพพานเที่ยง ธรรมเลิศหรือไม่เลิศเราพิจารณาซิ เราเป็นลูกชาวพุทธอย่าเป็นกบเฝ้ากอบัวอยู่เฉยๆ มันเสียจริงๆ นะเวลานี้ ชาวพุทธเราเหลวไหลไปทุกวันๆ มองไปที่ไหนแบบหูหนวกตาบอดนะ ดูไปๆ เหมือนหูหนวกตาบอด มองไปที่ไหนมีแต่กิเลสล้อมหน้าล้อมหลัง ความโลภความเลิศความเพลินความทะเยอทะยาน
การวิ่งเต้นขวนขวายหามาไม่ทราบหามาอะไร ตั้งแต่ตื่นนอนวิ่งทั้งวันทั้งคืน ครั้นได้มาแล้วนี้มีแต่ความผิดหวังๆ ที่เราหามาทุกวี่ทุกวันตั้งแต่ตื่นนอนจนกระทั่งค่ำ มันควรจะได้พออยู่พอกิน พอสงบร่มเย็นบรรเทาทุกข์เราได้บ้าง นี่ยิ่งเพิ่มทุกข์เข้าเป็นลำดับลำดา มันหาเรื่องอะไรอย่างนั้น หากองทุกข์เผาหัวเจ้าของละซิเป็นอย่างนั้น ให้ท่านทั้งหลายเอาไปคิดนะ นี่ละเอาธรรมมาสอนโลก ต้องสอนตามหลักความจริงอย่างนี้ เราเป็นคนผิดหรือพระพุทธเจ้าเป็นคนผิดเอาไปพินิจพิจารณาแก้ไขดัดแปลง จึงสมชื่อสมนามว่าเราเป็นลูกมีพ่อมีแม่คือศาสดาองค์เอกเป็นพ่อเป็นแม่ของเรา
ปฏิบัติตามร่องรอยของพ่อของแม่บ้างซิจะพอสวยพองาม การอยู่การกินการใช้การสอยทุกอย่างก็จะพอดิบพอดี ไม่ฟุ้งเฟ้อเห่อเหิมทะเยอทะยานจนลืมเนื้อลืมตัวตลอดมาดังที่เป็นนี้ ยังจะสอนลูกหลานให้เป็นบ้าไปอีกนะ ได้มาเท่าไรไม่พอ อะไรไม่พอ บรรดาตกแต่งนี้ไม่มีอะไรสิ้นสุดนะ กิเลสมันตัวสกปรกมันกลบตัวของมันไว้ด้วยความสะอาดภายนอก หลอกนั้นสวยนี้หลอกนี้งามอย่างนั้นงามอย่างนี้ ตัวมันสกปรกอยู่ภายในจิตใจของเรา มันกลัวจะไปเห็นความสกปรกของมัน มันก็เอาเครื่องภายนอกมาตบแต่งอันนั้นสวยอันนี้งาม
ปลูกบ้านขึ้นมาก็ฟาดหรูๆ หราๆ ได้กี่ชั้นแล้วตกแต่งนั้นนี้แล้วทาสีนั้นทาสีนี้ สีพ่อสีแม่อะไรมันไม่รู้ สีมันมีมาตั้งแต่วันเกิดเราไปตื่นมันอะไรประสาสี สีขาว สีเหลือง สีแดงมันไม่มีหรือในบ้านเมืองของเราแต่ก่อน มันทำไมถึงมามีทุกวันนี้เป็นบ้าทุกวันนี้ จนลืมเนื้อลืมตัว หาอะไรมาไม่พอนะ มาปรนปรือสิ่งเหล่านี้แหละ แล้วก็ไม่เห็นได้อะไรเลย หัวใจมันไม่ได้ดูซี มันเสียตรงนี้นะ ดูตั้งแต่ภายนอก ตกแต่งแต่ภายนอก แก้ไขดัดแปลงแต่ภายนอก หัวใจเจ้าของเต็มไปด้วยความสกปรก ความโลภก็เป็นความสกปรก ความโกรธเป็นความสกปรก ราคะตัณหากินไม่พอกินไม่อิ่ม นี่คือความสกปรกเต็มอยู่ที่หัวใจ ควรจะแก้ไขตรงนี้ให้เบาบางลงบ้างคนเรา
เมื่อใจมีความสุขความสบายแล้ว อยู่ที่ไหนอยู่เถอะน่ะคนเรา อยู่กระต๊อบกระแต๊บก็อยู่ได้สบาย หัวใจพอแล้วอยู่ไหนสบายหมด ถ้าหัวใจไม่พอนี้สร้างหอปราสาทราชมณเฑียรมันก็ไปร้องไปครวญครางอยู่ที่หอปราสาทนั่นแหละ เช่นเดียวกับคนไข้ คนไข้หนักๆ เอาขึ้นห้องพยาบาลห้องไหนก็ไปซิ มันก็ไปครวญครางอยู่นู้นเหมือนเสือถูกปืนนั่นแหละ ร้องครวญคราง มันเป็นอยู่กับคนไข้ มันไม่ได้เป็นอยู่กับห้องกับหับเท่านั้นชั้นเท่านี้ชั้นอะไร มันเป็นอยู่กับคนไข้
อันนี้มันเป็นอยู่กับหัวใจของเรา ปลูกบ้านปลูกเรือนขึ้นกี่ห้องกี่หับสดสวยงดงาม มาดูก็มาหลอกกัน อ๋อ นี่บ้านสวยนะๆ สวยแบบประสาอิฐ ประสาปูน ประสาหินทราย อยู่ที่ไหนมันก็มี เป็นบ้ากันอะไรนักหนา ดูหัวใจเจ้าของ ปรับปรุงหัวใจเจ้าของให้พอดิบพอดี จนมีธรรมภายในใจสง่างามแล้วอยู่ไหนสบายหมด จิ้มน้ำพริกก็สบาย นอนหาผักมาจิ้มก็สบาย หัวใจสบาย สบายหมด ถ้าหัวใจไม่สบายนี้ โอ๊ย ไม่ว่าอะไรล้อมหน้าล้อมหลัง นั่งโต๊ะหนึ่งๆ เครื่องปรนปรือนี้เต็มไปหมด อย่างน้อยน้ำปลา
อันนั้นไม่ดีอันนี้ไม่ดี มันจะดีอะไรหัวใจมันเป็นบ้านั้นน่ะ กินอะไรมันก็ไม่อิ่มซิหัวใจมันหิวมันโหย แก้หัวใจเจ้าของให้มีธรรมภายในใจ ธรรมภายในใจนี้เป็นธรรมโอสถ เข้าสู่ใจแล้วใจจะพอดิบพอดี สบาย นี่ท่านเรียกว่าแก้ภายใน ให้แก้ภายในบ้างซิ นี่หาแก้หาดัดแปลงหาส่งเสริมหาทำความสะอาดสะอ้านตั้งแต่ภายนอก จิตใจไม่สนใจทำความสะอาด ไม่แก้ไขดัดแปลงจนกระทั่งวันตายมันก็ไม่เกิดประโยชน์อะไร ตายแล้วมิหนำซ้ำยังไปลงนรกได้นะคนเรา ถ้าทำตั้งแต่ภายนอก มันเข้าศาสนาไม่ได้นะ
เวลานี้ศาสนาไม่มีอะไรมีตั้งแต่วัตถุนั่นน่ะ ธรรมภายในใจที่พวกชาวพุทธเราจะปฏิบัติไม่ว่าพระว่าเณรว่าประชาชน สนใจการปฏิบัติให้สวยงามทางกายวาจาใจนี้ไม่ค่อยมีและไม่มีกัน โลกมันถึงเดือดร้อน ประชาชนก็เดือดร้อน พระก็เดือดร้อน เขาเดือดร้อนเราเดือดร้อน ปลูกบ้านปลูกเรือนขึ้นมาแทนที่จะให้อยู่ด้วยความร่มเย็นเป็นสุขมันกลายเป็นส้วมเป็นถานไปหมด แล้วสร้างวัดสร้างวาขึ้นมาแทนที่จะให้เป็นที่อยู่ของพระของเณรด้วยความสงบร่มเย็น กลายเป็นส้วมเป็นถานไปหมดเพราะผู้ที่ครองวัดมีตั้งแต่ความโลภ ความโกรธ ราคะตัณหา ดิ้นกับโลกกับสงสารไม่สนใจกับผ้าเหลือง ไม่สนใจกับหัวโล้นตนเองเลย มันก็เลวไปในวัดในวานั้นแหละ
นี่พูดทั้งเขาทั้งเราเอาธรรมเป็นกลางๆ มาพูดให้ฟัง หลวงตาบัวก็หัวโล้นด้วย ผ้าเหลืองด้วย ถ้าหลวงตาบัวผิด เอา ฟาดมาเลยหลวงตาบัวไม่ว่า ยอมรับธรรมของพระพุทธเจ้าว่าอะไรว่ามา หลวงตาบัวจะเป็นผู้ฟังเพื่อปฏิบัติตาม นี่เราก็นำธรรม เราเป็นผู้สกปรกนำธรรมที่สะอาดมาสอนพวกเรา เพื่อให้ต่างคนต่างมีความสะอาดสะอ้านบ้าง จะพออยู่พอกินพอเป็นพอไป ทุกอย่างจะไม่ดิ้นรนกวัดแกว่งจนเกินไป
วันนี้การแสดงธรรมก็เห็นว่าจะสมควรแก่กาลเวล่ำเวลาและธาตุขันธ์ ขอความสวัสดีจงมีแก่บรรดาท่านทั้งหลายโดยทั่วหน้ากัน และธรรมที่สอนในวันนี้เป็นธรรมที่สงเคราะห์ท่านทั้งหลายด้วยความถึงใจจริงๆ จากการปฏิบัติของหลวงตาที่ปฏิบัติมาได้ผลเต็มเม็ดเต็มหน่วย ไม่สงสัยแล้วในศาสนาพุทธเจ้าของเรานี้ เปิดหมด ถามว่ามรรคผลนิพพานอยู่ที่ไหน จ้าอยู่ในหัวใจนี้ถามอะไร แม้พระพุทธเจ้าประทับอยู่ข้างหน้าพูดแล้วสาธุ ไม่ทูลถาม ถามอะไร พระพุทธเจ้าว่าสนฺทิฏฺฐิโก ปฏิบัติลงไป ความรู้ความเห็นที่เกิดจากการปฏิบัติจะเป็นเจ้าของ เป็นผู้รู้เองเห็นเอง ทรงไว้เอง จำเป็นอะไรจะต้องไปทูลถามพระพุทธเจ้าหรือถามคนนั้นคนนี้
นี่ละธรรมะเป็นเครื่องประจักษ์ใจกับทุกคน สดๆ ร้อนๆ พุทธศาสนาเป็นตลาดแห่งมรรคผลนิพพาน เดี๋ยวนี้เป็นตลาดแห่งมูตรแห่งคูถไปหมด แห่งบาปแห่งกรรมเต็มบ้านเต็มเมืองทั้งๆ ที่เป็นชาวพุทธ มันเอาเรื่องมูตรเรื่องคูถ เป็นเรื่องของกิเลสเข้ามาทับถมธรรมของพระพุทธเจ้าที่เป็นของสะอาดให้เป็นส้วมเป็นถานไปตามๆ กันหมด รู้หรือยังพวกเราเวลานี้น่ะ ไปที่ไหนมีแต่ส้วมแต่ถานเต็มบ้านเต็มเมืองเต็มตัวบุคคล ธรรมไม่ค่อยมี ให้ชำระสิ่งเหล่านี้ออก คนเราดูกันก็จะน่าดูน่าชม การแสดงธรรมก็เห็นว่าสมควรกับเวล่ำเวลา จึงขอความสวัสดีจงมีแก่บรรดาพี่น้องทั้งหลายโดยทั่วกันเทอญ
รับชมและรับฟังพระธรรมเทศนาของหลวงตา ได้ที่
www.luangta.com หรือ www.luangta.or.th
สถานีวิทยุเสียงธรรมเพื่อประชาชน FM 103.25 MHz
และเครือข่ายทั่วประเทศ |