โลกกว้างแสนกว้างใครมีที่ยึดที่เกาะ
วันที่ 19 เมษายน 2546 เวลา 16:00 น.
สถานที่ : สมาคมคนตาบอดแห่งประเทศไทย ถ.ราชวิถี กรุงเทพฯ
| |
ดาวน์โหลดเพื่อเก็บไว้ในเครื่อง
ให้คลิกขวาแล้วเลือก Save target as .. จาก link ต่อไปนี้ :
ข้อมูลเสียงแบบ(Win)

ค้นหา :

เทศน์อบรมฆราวาส

ณ สมาคมคนตาบอดแห่งประเทศไทย กรุงเทพมหานคร

เมื่อวันที่ ๑๙ เมษายน พุทธศักราช ๒๕๔๖

โลกกว้างแสนกว้างใครมีที่ยึดที่เกาะ

วันนี้เป็นวันมหามงคลของพี่น้องชาวไทยเรา ที่มีคุณหญิงอุไรวรรณ ศิรินุพงษ์ ประธานมูลนิธิช่วยคนตาบอดแห่งประเทศไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์ และนางทิพยา กิตติขจร รองประธานมูลนิธิ และผู้จัดการโรงเรียนสอนคนตาบอดกรุงเทพมาเป็นประธาน เป็นร่มโพธิ์ร่มไทรแก่บรรดาพี่น้องทั้งหลายที่รักชาติ ได้อุตส่าห์พยายามสละเวล่ำเวลาหน้าที่การงาน ตลอดทรัพย์สมบัติที่ได้มาด้วยความเหนื่อยยากลำบากเข็ญใจ นำออกมาเป็นน้ำใจแห่งความรักชาติ เพื่อเสียสละแก่ส่วนรวมคือชาติไทยของเรามีคลังหลวงเป็นต้น

วันนี้นับว่าเป็นมงคลอันสูงสุดที่พี่น้องทั้งหลายได้มาบริจาคทาน จากนั้นก็จะได้ยินได้ฟังเสียงอรรถเสียงธรรม ที่นานๆ จะมีหนหนึ่งๆ ไม่ได้มีทั่วๆ ไปเหมือนเสียงโลกเสียงสงสารซึ่งหาความสงบไม่ได้ มีอยู่ทุกแห่งทุกหนสร้างความกังวลยุ่งเหยิงให้แก่กันและกันไม่มีวันจบสิ้น นี่คือเสียงโลกเสียงสงสาร ส่วนเสียงอรรถเสียงธรรมนั้นแสดงไปที่ไหนทำให้มีความสงบร่มเย็นเป็นสุข ยิ่งผู้ได้ยินได้ฟังอรรถธรรมอยู่โดยสม่ำเสมอนำมาปฏิบัติดัดแปลงกายวาจาใจของตน ให้เป็นไปตามแถวแห่งธรรมที่ได้ยินได้ฟังมาด้วยแล้ว ก็ยิ่งเพิ่มพูนความดีงามความเป็นสิริมงคลแก่ตนมากขึ้นๆ ทุกวี่ทุกวันทุกผู้ทุกคน บ้านเมืองของเราซึ่งเป็นชาวพุทธก็จะมีความสวยงามด้วยกฎระเบียบข้อบังคับที่เป็นศีลเป็นธรรมนำมาปฏิบัติ เมืองไทยก็จะมีความสง่างาม

วันนี้เป็นโอกาสที่ท่านทั้งหลายจะได้ยินเสียงอรรถเสียงธรรม เพราะธรรมนี้ต้นเหตุที่เกิดแห่งธรรมก็คือพระพุทธเจ้า ธรรมเหล่านี้มีอยู่ทั่วไปในแดนโลกธาตุเช่นเดียวกับแร่ธาตุที่มีค่ามากๆ มีอยู่ทั่วไป แต่คนที่ไม่มีความเฉลียวฉลาดก็เหยียบย่ำไปมากันอยู่ทั่วๆ ไป สิ่งที่มีคุณค่าเหล่านั้นก็ไม่เกิดผลประโยชน์อันใดเลย ต่อเมื่อท่านผู้มีความเฉลียวฉลาดไปคุ้ยเขี่ยขุดค้นแร่ธาตุต่างๆ ที่มีค่ามีราคาโดยลำดับลำดามาใช้แล้ว สิ่งเหล่านั้นก็กลายเป็นของมีคุณค่ามีราคาขึ้นเป็นลำดับลำดา

ธรรมะของพระพุทธเจ้าก็เช่นเดียวกัน นี่คือพระพุทธเจ้าเป็นผู้ทรงค้นพบในเบื้องต้น ธรรมแท้นั้นมีอยู่ทั่วไปเช่นเดียวกับแร่ธาตุต่างๆ ซึ่งมักมีอยู่ทั่วไปเช่นเดียวกัน ต้องอาศัยผู้คุ้ยเขี่ยขุดค้นด้วยความเฉลียวฉลาดนำมาปฏิบัติ จนกลายเป็นผลประโยชน์ขึ้นมาทั่วโลกดินแดน นี่ธรรมะก็ออกจากพระพุทธเจ้า ธรรมะนั้นมีอยู่ทั่วไป แต่ไม่มีใครมีความรู้ความสามารถฉลาดแหลมคม ที่จะนำธรรมเหล่านี้มาปฏิบัติและรู้เห็นตามหลักความจริง แล้วนำมาสั่งสอนโลกเหมือนพระพุทธเจ้าของเรา ธรรมจึงมีเป็นบางกาลบางเวลา ไม่ใช่มีอยู่ตลอดไป สำหรับที่จะเป็นความเด่นในสายตาแห่งปวงชนทั่วๆ ไป สำหรับธรรมแท้นั้นมีอยู่ทั่วไป แต่ผู้ที่จะขุดค้นขึ้นมาให้เป็นประโยชน์แก่โลกนั้นต้องอาศัยพระพุทธเจ้า

ขอสรุปความว่าธรรมนี้เกิดจากศาสดาองค์เอกของเรา นำมาชี้แจงให้พี่น้องทั้งหลายเราได้ทราบอยู่ปัจจุบันนี้ก็คือธรรมของพระพุทธเจ้า ธรรมนี้เป็นธรรมเลิศเลอและเป็นธรรมสูงสุดตั้งแต่พื้นๆ ขึ้นไปจนกระทั่งถึงธรรมอันสูงสุด เป็นประโยชน์แก่โลกโดยลำดับลำดา เราในฐานะที่เป็นลูกเต้าเหล่ากอคือพุทธบริษัทของพระพุทธเจ้า ก็ควรจะได้นำอรรถธรรมมาปฏิบัติแก่ตนเอง ตามกาลเวลาที่ควรจะแบ่งสันปันส่วนให้มีอยู่กับตนทุกๆ คนไป เช่นเวลาประกอบหน้าที่การงาน สำหรับการทำมาหาเลี้ยงชีพเราก็ประกอบวิ่งเต้นขวนขวาย แต่สติธรรมปัญญาธรรมที่ควรระลึกรู้ในหน้าที่การงานของตน ว่าผิดถูกดีชั่วประการใด ก็ควรจะมีติดแนบไปตามงานนั้นๆ นี่ก็เรียกว่าผู้มีธรรมในใจ

เวลาว่างเรานำธรรมะนั้นเข้ามาสู่ใจ เช่นเวลาจะหลับจะนอน กราบพระสวดมนต์ตามแต่เราได้มากได้น้อย แล้วก็ทำความสงบใจด้วยสงบอารมณ์ มีธรรมเป็นเครื่องกล่อมเกลาจิตใจของเรา เช่น บทบริกรรม ท่านสอนให้ภาวนาด้วยบทธรรมบริกรรมเช่นพุทโธ หรือธัมโม หรือสังโฆเป็นต้น เรานำธรรมบทนั้นๆ เข้ามาบริกรรมด้วยความมีสติกำกับอยู่กับบทธรรมคือคำบริกรรมนั้นๆ แล้วบริกรรมติดต่อกันไป มีสติติดแนบอยู่กับใจ ระงับการคิดการปรุงทั้งหลายที่เคยคิดเคยปรุงเสียในเวลาเช่นนั้น ให้มีแต่ความคิดเป็นอรรถเป็นธรรม ทำงานแทนที่ของความคิดอื่นใดทั้งสิ้น เช่นคำบริกรรมพุทโธก็ได้ ธัมโมก็ได้ สังโฆก็ได้ หรือใครจะบริกรรมธรรมบทใดตามแต่ถูกกับจริตนิสัยของตนมาบริกรรมก็ได้ ให้มีสติกำกับอยู่กับใจ

คำว่าสติได้แก่ความระลึกรู้ตัวอยู่ในขณะที่บริกรรม ก็ให้รู้ว่าตนบริกรรมภาวนาธรรมบทนั้นๆ นี่เรียกว่ามีสติ แล้วให้ควบคุมคำบริกรรมของตนให้สงบในเวลานั้น ระงับความคิดความปรุงทั้งหลาย ที่เราเคยคิดมาเป็นเวลานานเสียทั้งสิ้น ให้มีความคิดเฉพาะคำบริกรรมคำเดียว เช่นพุทโธๆ ติดแนบภายในใจ นี่เรียกว่างานของธรรม งานของธรรมมีสติควบคุมอยู่แล้วใจของเราที่กำลังบริกรรมพุทโธๆ นั้นจะมีความจดจ่ออยู่กับคำบริกรรมบทเดียวนี้เท่านั้น แล้วจิตจะค่อยสงบตัวลงไปๆ จากนั้นก็มีความเย็น มีความสว่างไสวภายในใจของเราเอง

นี่คือธรรมเป็นเครื่องกล่อมใจ ไม่ใช่เป็นเครื่องส่งเสริมใจให้ฟุ้งซ่านรำคาญเพราะความคิดต่างๆ ซึ่งเราเคยคิดมามากต่อมาก ซึ่งล้วนแล้วตั้งแต่เป็นอารมณ์ฉุดลากจิตใจให้สั่งสมความยุ่งเหยิงวุ่นวายและความทุกข์มากขึ้นกับตนทุกวันทุกเวลา ความคิดเช่นนั้นเป็นภัยแก่เรา สำหรับความคิดคือคำบริกรรมพุทโธนี้เรียกว่าความคิดที่เป็นธรรม ให้นำความคิดนี้เข้ามาบริกรรม ใจจะมีความสงบเย็นลงไปโดยลำดับลำดา ถ้ามีคำบริกรรมติดต่อสืบเนื่องอยู่ด้วยความมีสติแล้วจะสงบไปเรื่อยๆ ละเอียดลออไปเรื่อยๆ นี่เรียกว่าการอบรมจิตใจ

คนมีการอบรมจิตใจด้วยจิตตภาวนาปรากฏผลขึ้นมามากน้อยแล้ว ใจของเราจะมีความผิดปกติจากดั้งเดิมที่ไม่เคยภาวนาเป็นลำดับลำดาไป ถ้าผู้มีผลปรากฏขึ้นจากการภาวนาแล้ว จะรู้สึกเป็นความตื่นเต้น เป็นความแปลกประหลาด เป็นความอัศจรรย์ขึ้นมาในความรู้ของตน ซึ่งไม่เคยมีมาแต่กาลก่อนเลย แต่จะปรากฏขึ้นในเวลาภาวนานั้นๆ นี่เรียกว่าเป็นผลเครื่องกระตุ้นจิตใจของเราให้รู้สึกตัว ใจเมื่อมีธรรมเข้ากล่อมใจแล้วจะมีความรู้สึกตัว กระตือรือร้นในเหตุในผลอันเป็นเรื่องของอรรถของธรรม และสิ่งเกี่ยวข้องภายนอกก็มีเหตุมีผลติดตามกันไป

เพราะฉะนั้นผู้ได้รับการอบรมทางด้านจิตตภาวนา จึงมักทำหน้าที่การงานไม่ค่อยผิดพลาด การจะทำหน้าที่การงาน กิริยาอาการแสดงออกแต่ละอย่างๆ จะมีสติและมีปัญญาคอยควบคุมความเคลื่อนไหวของตนไปโดยสม่ำเสมอ คนนี้เรียกว่าเป็นผู้เริ่มมีหลักใจ หลักใจนี้เป็นของสำคัญมากยิ่งกว่าหลักทรัพย์ภายนอกเป็นไหนๆ หลักทรัพย์ภายนอกจะมีมากน้อยต้องมีหลักใจ ผู้เป็นเจ้าของเป็นผู้ควบคุมรักษา แล้วจะมีความแน่นหนามั่นคงไปโดยลำดับ เพราะคนมีหลักใจซึ่งเกิดขึ้นจากจิตตภาวนาของเรา

หลวงตาจึงอยากขอบิณฑบาต ให้พี่น้องทั้งหลายได้หันเข้ามาสู่อรรถสู่ธรรมทางพุทธศาสนาของเรามากขึ้นๆ ตามชื่อตามนามที่เราก็ทราบด้วยกันว่าเป็นชาวพุทธ เพราะเมืองไทยเราถือพระพุทธศาสนาเป็นจำนวนมากมาย จึงอยากให้คำว่าพุทธศาสนานี้เข้าติดแนบภายในจิตใจ จะแสดงอากัปกิริยาอันใดออกมาควรจะมีหลักของพุทธแทรกขึ้นมาเสมอ เช่น สติปัญญาในหลักธรรมที่จะนำไปใช้ในหน้าที่การงานต่างๆ การงานของเราก็จะเป็นผลเป็นประโยชน์ไปโดยลำดับเพราะเรามีหลักใจ หลักใจนี้ไม่มีอะไรเกินธรรม ธรรมเป็นหลักใจอันสำคัญมากสำหรับผู้ที่ตั้งใจมีความสุขความเจริญทั้งปัจจุบัน อนาคต จึงควรมีหลักธรรมเป็นหลักใจ ให้ได้ภาวนากันเป็นประจำแห่งชาวพุทธของเรา

คำว่าการภาวนาการอบรมนี้คือการพักเครื่องนั่นเอง จิตใจของเรามีความคิดปรุงอยู่ตลอดเวลา เรียกว่าเดินเครื่องตลอดไป ทีนี้เวลาเราพักเครื่อง คือเราอบรมจิตของเราให้เข้าสู่ความสงบด้วยบทธรรมต่อเนื่องกันไป ใจของเราจะสงบลงโดยลำดับลำดา นี่เรียกว่าจิตพักเครื่อง จิตพักเครื่องจะมีความแปลกประหลาดภายในตัวของเรา มีความตื่นเต้น มีความแปลกประหลาด มีความอัศจรรย์ เพราะเห็นความสุขที่ไม่เคยเห็นไม่เคยรู้ ตั้งแต่วันเราเกิดมา จากความสุขอื่นใดก็ตามไม่เหมือนความสุขที่เกิดขึ้นจากจิตใจที่ได้รับความสงบจากการภาวนานี้เลย

เมื่อเป็นเช่นนั้น จึงทำจิตใจของเราให้มีความรักใคร่ใฝ่ใจต่อจิตตภาวนาไปเรื่อยๆ คนนั้นก็เริ่มรู้เนื้อรู้ตัวไปโดยสม่ำเสมอ ไปที่ไหนจะระลึกถึงพระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์ ระลึกถึงความผิดถูกดีชั่วอยู่โดยสม่ำเสมอเช่นเดียวกัน เพราะหลักใจที่เราภาวนานี้เป็นเครื่องกระตุ้นเตือนกิริยาแห่งการแสดงออกทั้งทางกาย ทางวาจา ความประพฤติ หน้าที่การงาน ส่อไปจากใจนี้ทั้งนั้น ใจจะเป็นผู้คอยเตือน เป็นผู้คอยสะกิดให้รู้ผิดถูกชั่วดีอยู่โดยสม่ำเสมอเรียกว่าผู้มีหลักใจ

นี่ละการถือพุทธศาสนา ไม่เพียงสักแต่ว่าถือพระพุทธๆ  เราควรมีความจริงจังต่อพุทธศาสนาด้วยการปฏิบัติรักษาตัวเองตามแนวทางแห่งธรรม นี่เรียกว่านับถือพระพุทธศาสนา ไม่ใช่สักแต่ว่านับถือเฉยๆ เดินผ่านวัดไปมองเห็นวัดเห็นพระพุทธรูปก็ยกมือไหว้ แล้วผ่านไปอย่างหายห่วงไปเลยอย่างนี้ มันมีแต่กิริยา ความระลึกความนับถือพระพุทธเจ้าให้มีอยู่ภายในใจ เฉพาะอย่างยิ่งสตินี่สำคัญมากทีเดียว สติจะระลึกกับธรรมบทใดก็ได้จะติดกับหน้าที่การงาน หน้าที่การงานก็เป็นการเป็นงานไม่ปราศจากหลักเกณฑ์ที่ดีงามและไม่ล่อแหลมต่อความเสียหาย เพราะเรามีพุทโธความระลึกรู้อยู่ภายในใจ นี่เรียกว่าชาวพุทธ

ตื่นนอนขึ้นมาให้พากันไหว้พระย่อๆ ก่อน ก่อนที่จะไปทำหน้าที่การงานอะไร นี้ควรถือเป็นความจำเป็น เวลาทำหน้าที่การงาน เราระลึกธรรมได้บทใดเช่นพุทโธๆ ก็ควรระลึกอยู่ภายในจิตใจของเรา เราเขียนหนังสืออยู่เราก็ระลึกธรรมได้ เราทำอะไรอยู่เราก็ระลึกถึงบทธรรมได้เช่นเดียวกับเราทำหน้าที่ต่างๆ เราก็ระลึกถึงเรื่องโลกเรื่องสงสาร หน้าที่การงานหรือเรื่องราวอื่นๆ ได้ นี่เราก็ระลึกถึงธรรมได้เช่นเดียวกัน ควรจะมีธรรมติดแนบบ้าง เวลานี้เราชาวพุทธเรารู้สึกว่าเหลิงเจิ้งทางพุทธศาสนามากมาย จิตใจไหลออกสู่ความฟุ้งเฟ้อเห่อเหิม ความลืมเนื้อลืมตัวเป็นไปด้วยกันทั่วหน้าในประเทศไทยของเรา

การกล่าวทั้งนี้ต้องขออภัยจากบรรดาพี่น้องทั้งหลาย ในฐานะที่หลวงตาเป็นครูเป็นอาจารย์ได้รับอาราธนาและนิมนต์มาแสดงธรรม ให้แนะนำในทางผิดถูกชั่วดีประการต่างๆ จึงถือโอกาสแนะนำในเวลาเช่นนี้ ให้ได้รู้เนื้อรู้ตัวว่าเราทั้งประเทศนี้เป็นชาวพุทธ ควรจะมีเหตุผลติดตัวอยู่ในตัวของเราเสมอ ไปที่ไหนอย่าลืมว่าเราถือพุทธ ให้มีสติติดตัวของเราไป ระลึกถึงบุญบาปชั่วดีติดตัวเสมอ พระพุทธเจ้าเป็นผู้กลัวบาป เป็นผู้มีความรักใคร่ใฝ่ใจในศีลในธรรม เราเป็นลูกตถาคตก็ควรจะมีธรรมภายในจิตใจ รักใคร่ใฝ่ธรรม ไปที่ไหนเราบริกรรมไปก็ได้ ไปทำงานก็นึกพุทโธๆ ภายในใจตามแต่ท่านผู้ชอบธรรมบทใด ถูกกับจริตนิสัยของตนควรจะระลึกธรรมบทนั้นๆ ไปด้วยตนเอง

แม้แต่ขับรถไปก็ไม่ผิด เราขับรถไม่ใช่เป็นตุ๊กตา ในเวลาขับรถเช่นนั้นจะไม่เกี่ยวกับธรรมบทใดก็ตาม แต่เรื่องความคิดความปรุงประจำใจของเรา อันเป็นไปตามนิสัยนั้นมีได้ด้วยกันทุกคน คิดตลอดทาง นี่เราจะคิดอรรถคิดธรรมติดแนบภายในใจของเราด้วยความมีสติทำไมเราจะคิดไม่ได้ นี้คืองานของธรรม งานบำรุงจิตใจของเราให้มีหลักมีเกณฑ์ให้มีความสง่างาม ให้มีความสงบผ่องใสด้วยธรรม เราย่อมคิดได้ แม้แต่เรื่องของการคิดทางโลกใครๆ ก็ตาม คิดได้ด้วยกันโดยหาฝั่งฝาเขตแดนไม่ได้ มันก็คิดได้ด้วยกันทั้งนั้นมนุษย์เรา ไม่ได้หลักได้เกณฑ์อะไรก็คิดได้

นี่เราคิดเพื่ออรรถเพื่อธรรม เพื่อบำรุงจิตใจของเราด้วยธรรม ทำไมเราจะคิดไม่ได้ เราต้องคิดได้ ในข้อนี้จึงขอให้ท่านทั้งหลายมีความรู้สึกเสียใหม่เปลี่ยนแปลงความคิดที่เพลิดเพลินรื่นเริงไปตามจริตนิสัยที่เคยต่อกิเลสตัณหา จนไม่รู้เนื้อรู้ตัวนั้น ยับยั้งเข้ามาสู่อรรถสู่ธรรม พอให้มีเขตมีแดนมีฝั่งมีฝาบ้าง เราจะค่อยเป็นคนดีขึ้นมาเป็นลำดับลำดา สมนามกับเราเป็นชาวพุทธ

ในเมืองไทยเรานี้ชาวพุทธทั่วประเทศไทย ถ้าต่างคนต่างมีความรู้สึกนึกคิดอรรถธรรมเข้าสู่ใจอยู่โดยสม่ำเสมอแล้ว การปรับปรุงตัวเองในทางที่ถูกที่ดีทั้งหลายจะค่อยเป็นไปเรื่อยๆ และจะค่อยกำจัดปัดเป่าสิ่งเลวร้ายทั้งหลายซึ่งมีประจำนิสัยของเรามาดั้งเดิมนั้นออกได้เช่นเดียวกัน ไม่ใช่จะทำไม่ได้ เมื่อมีธรรมแล้วจะทำความรู้สึกตัวขึ้นมา ทั้งความผิดถูกดีชั่วประการต่างๆ จะปรากฏขึ้นที่ใจของเรา แล้วเราก็ค่อยแก้ไขดัดแปลงไปตามความรู้สึกของเราที่เห็นว่าเป็นธรรมนั้นบ่งบอกออกมา หรือรู้สึกออกมา ค่อยแก้ไขออกไป แก้ไขไปตามเรื่อยๆ เราจะค่อยมีหลักมีเกณฑ์มีฝั่งมีฝาภายในจิตใจ

ใจเป็นของสำคัญมาก ท่านเรียกว่าเรือนกายเรือนใจ เรือนกายได้แก่ตึกรามบ้านช่อง ถนนหนทาง ที่อยู่ที่อาศัยทั้งหลายนี้มีได้ด้วยกันทุกคน อยู่ที่ไหนก็มี จนถึงกับว่าจิตใจของเราตายใจติดแนบกับสิ่งทั้งหลายเหล่านั้น ว่าเป็นที่พึ่งเป็นพึ่งตายจริงๆ โดยไม่ได้คำนึงว่านี้เป็นแต่เพียงอาศัยในเวลามีชีวิตอยู่เท่านั้น พอตายจากนี้แล้วก็เรียกว่ากรรมสิทธิ์ที่เราสำคัญมั่นหมายว่าเป็นที่พึ่งก็ขาดสะบั้นจากกันไปเลย นี่เรือนกายมีทางขาดไปได้ ส่วนเรือนใจนั้นติดแนบอยู่กับตน คำว่าเรือนใจได้แก่ธรรม ธรรมคือเรือนใจ วัตถุสิ่งของต่างๆ ไม่ว่าประเภทใด นั้นคือเรือนหรือที่อาศัยของกาย ได้อาศัยไปวันหนึ่งๆ ทั่วโลกอาศัยกันอย่างนั้น จนลืมตัวไปเลยว่าโลกนี้มีตั้งแต่ด้านวัตถุ ตึกรามบ้านช่อง ถนนหนทางเต็มบ้านเต็มเมืองเป็นที่พึ่งของโลก

โลกมีที่พึ่งคือสิ่งเหล่านี้เท่านั้น ไม่ได้มีอะไรแปลกต่างจากสิ่งเหล่านี้เลย นี้คือความเห็นของโลก ที่ไม่มีศาสนาก็ได้ มีศาสนาแต่ลืมศาสนาของตัวซึ่งเป็นที่พึ่งภายในก็ได้ จึงคิดไปอาศัยที่พึ่งเสียมากต่อมากเกี่ยวกับเรื่องทางโลกล้วนๆ ไม่ได้ระลึกถึงที่พึ่งภายในใจคือธรรมนี้บ้างเลย นี่ละเสียท่าเสียที สำหรับชาวพุทธของเรานับว่าเสียมากทีเดียว จึงขอให้แยกสันปันส่วนสมกับนามว่าเราเป็นชาวพุทธ

เรือนกายคือที่อาศัยของกายก็ให้มี ดังที่เราขวนขวายอยู่ทั่วหน้ากัน เรือนใจคือการบำเพ็ญคุณงามความดี มีการให้ทาน การรักษาศีล การเจริญเมตตาภาวนา การเฉลี่ยเผื่อแผ่สงเคราะห์สงหาสัตว์ทั้งหลาย ตลอดเพื่อนบ้านร้านตลาดที่มีความจำเป็นมาอาศัยเรา นี่ก็เรียกว่าความดีแต่ละอย่างๆ นี่คือเรือนใจ เราให้ได้ทำไปเป็นประจำนิสัยเช่นเดียวกับเราเสาะแสวงหาที่อาศัยของกาย ที่อาศัยของกายมีทั้งที่อยู่ที่หลับที่นอน ที่กินที่พักผ่อนนอนหลับมีทุกอย่าง ทีนี้เรือนใจก็ให้ได้ทั้งทานทั้งศีลทั้งภาวนา ขวนขวายหามาให้ได้หลายด้านหลายทาง เพื่อเป็นเครื่องบำรุงจิตใจของเราให้มีความสงบร่มเย็น

ใจมีธรรมมีบุญมีกุศลเท่านั้นเป็นที่พึ่งของตน และเป็นเรือนของใจโดยแท้คือธรรม คือคุณงามความดี สิ่งภายนอกเป็นที่อาศัยของร่างกาย สิ่งภายในคือคุณงามความดีทั้งหลายนี้เป็นที่อาศัยของใจ เวลาตายแล้วสิ่งภายนอกหมดความหมายทันที ในขณะที่ชีวิตหรือลมหายใจได้ขาดสะบั้นลงเท่านั้น ส่วนบาปและบุญที่ติดแนบอยู่กับใจนี้ไม่ได้ขาด ใครชอบสร้างบาปสร้างกรรม บาปกรรมนั้นก็กลายมาเป็นคู่กรรมคู่เวรทำลายเจ้าของไปตลอดภพตลอดชาติ

ในภพใดชาติใดอำนาจแห่งกรรมชั่วซึ่งเราทำลงไปด้วยความพอใจ ไม่พอใจ หรือเพลิดเพลินหลงลืมไปแบบไหนก็ตาม กรรมชั่วเป็นกรรมชั่วไปตลอด ทำจนเคยชินต่อนิสัย ไม่ได้ทำบาปทำกรรมอยู่ไม่ได้ก็ตาม เรียกว่าผู้นี้เป็นผู้ชินชาต่อการทำกรรมชั่วแล้ว แล้วตายไปก็มีแต่จะจมโดยถ่ายเดียว นี่ละติดแนบไปกับใจ แต่ไม่ได้ติดแนบไปเพื่อบำรุงรักษาใจให้มีความสุขความสำราญบานใจในภพนั้นๆ แต่ตามจองล้างจองผลาญตัวเองผู้สร้างกรรมนั้นไปได้ทุกภพทุกชาติ นี่คือกรรมชั่ว กรรมนี้ก็ไม่ขาดเหมือนวัตถุทั้งหลาย

ทีนี้ส่วนกรรมดีคือบุญคือกุศล เราสร้างไว้มากน้อยไม่ว่าที่แจ้งที่ลับ สร้างมาตลอดกาลไหนๆ จะฝังอยู่ที่จิตใจของเรา นี่จะเป็นเครื่องอุดหนุนจิตใจ ค้ำชูจิตใจของเราให้ไปเกิดในภพชาติที่ดี คติที่เหมาะสมตลอดไป ท่านจึงให้สร้างเรือนใจ คือการขวนขวายสร้างคุณงามความดี มีการให้ทาน วันหนึ่งควรจะได้ให้ทานไม่มากได้น้อยก็ยังดี รักษาศีลก็เป็นสมบัติอันล้นค่าของเราเอง ทำไมเราจะไปโยนศีลนี้ให้ผู้ใด ทานการกุศลก็เป็นบุญของเรา การรักษาศีลก็เป็นคุณงามความดีของเรา การเจริญเมตตาภาวนาอบรมตนให้จิตใจมีความสงบร่มเย็นประจักษ์ใจ ก็เป็นความดีของเรา นี่เรียกว่าเรือนใจ

เมื่อเราสร้างเรือนใจเหล่านี้อยู่โดยสม่ำเสมอใจของเราจะมีความอบอุ่น นึกถึงความตายจิตใจก็ปัดวัตถุทั้งหลายที่เคยอาศัยมา เช่น บ้านเรือนเป็นต้น เข้ามาสู่จิตใจคือบุญคือกุศล จะเป็นความอบอุ่นภายในตัวเองแล้วตายไปแบบสุคโต คือไปดีอยู่ดี เสวยสมบัติอันเป็นทิพย์ซึ่งตนนั้นแลเป็นผู้สร้างไว้ไปทุกภพทุกชาติ นี่เรียกว่าผู้สร้างเรือนใจ เราขอให้สร้างทั้งเรือนกายทั้งเรือนใจ อย่าให้เสียท่าเสียที

เวลานี้ส่วนมากขวนขวายตั้งแต่เรื่องของวัตถุ จนมีเท่าไรจะล้นฟ้าล้นแผ่นดินก็ไม่พอกับความต้องการของมนุษย์ที่ใฝ่ฝันในความไม่รู้จักประมาณ แล้วก็ดีดก็ดิ้น เวลาย้อนมาคิดถึงสิ่งเหล่านี้ได้มาแล้วเพื่ออะไร ก็ไม่เห็นมีหลักมีเกณฑ์อะไร เกิดแล้วก็ต้องตายเช่นเดียวกับโลกทั่วๆ ไป ทั้งเป็นคนมีคนจนเกิดแล้วต้องตายเหมือนกันหมด นี่เป็นหลักธรรมชาติของวัฏวนหมุนกันไปหมุนกันมา ส่วนความดีงามที่ควรจะได้เป็นหลักเป็นเกณฑ์เป็นที่พึ่งที่อาศัยจริงๆ ภายในใจนั้นไม่มี คนนี้เรียกว่าขาดทุนสูญดอก

เป็นมหาเศรษฐีก็มีแต่ชื่อแต่นามเวลามีลมหายใจอยู่เท่านั้น รอลมหายใจขาดเท่านั้น พอลมหายใจขาดคำว่ามหาเศรษฐีก็ขาดสะบั้นไป อนาถาหาที่พึ่งไม่ได้ จิตใจแห้งผากจากคุณงามความดีจะเป็นเรื่องของผู้นั้นรับแต่ผู้เดียว ให้เอามาพิจารณาถึงเรื่องตัวของเราเอง เราชอบใจไหมอย่างนั้น ถ้าไม่ชอบใจก็ให้รีบคัดเลือกกลั่นกรองเสียตั้งแต่บัดนี้ เวลานี้ยังมีชีวิตอยู่สร้างบุญสร้างกุศลไม่มีใครมาบังคับเรา เราทำของเราได้ เราอุตส่าห์พยายามทำได้นี่เป็นเรือนใจ นี้เป็นที่พึ่งเป็นพึ่งตายของเราโดยแท้ขอให้เราได้ทำไปตลอด นี่คือหลักธรรมของพระพุทธเจ้าที่เราทั้งหลายเป็นชาวพุทธไม่ควรปล่อยวางหลักใจ หรือเรือนใจได้แก่คุณงามความดีสำหรับตัวของเราเอง

อย่าฟุ้งเฟ้อเห่อเหิมกับโลกกับสงสาร ซึ่งเป็นเรื่องของกิเลสหลอกลวงไม่มีสิ้นสุดจนเกินไป จะเสียตัวของเราเองนั้นแล ไม่เสียอะไร กิเลสเป็นเครื่องหลอกลวง หลอกตลอดเวลามา แล้วจะหลอกตลอดไป เช่นเดียวกับธรรมซึ่งเป็นของจริงตลอดมา ธรรมเป็นของจริงสอนว่าอย่างไรจริงตามนั้น กิเลสเป็นของหลอกลวง ออกมาแง่ใดมุมใดล้วนแล้วตั้งแต่ความหลอกลวงต้มตุ๋นสัตว์โลก ให้ล่มจมไปตามมันทั้งนั้น

ก็เมื่อเรามีทั้งอรรถทั้งธรรม มีทั้งกิเลสภายในใจ เราจะคัดเลือกปัดอะไรออกเราก็รีบคัดเลือกรีบปัดเสียในสิ่งจอมปลอมทั้งหลาย ให้หาแต่ของดิบของดีเข้ามาสู่จิตใจของเรา เราจะไม่เสียท่าเสียทีที่เกิดแล้วต้องตายเหมือนกันหมด ไม่มีใครจะอยู่ค้ำฟ้าได้ การสร้างคุณงามความดีนี้เป็นเครื่องประจักษ์แก่จิตใจจริงๆ เฉพาะอย่างยิ่งจิตตภาวนาเป็นสำคัญมาก คนที่เคยทำบุญให้ทานก็มีความอบอุ่นภายในจิตใจ ระลึกถึงบุญถึงทานของตนที่ได้ช่วยบ้านช่วยเมืองหรือบริจาคในสถานที่ใดบุคคลผู้ใด ก็เป็นความอบอุ่นภายในจิตใจ

สร้างมากเท่าไรยิ่งมีความอบอุ่น พอระลึกถึงความล้มความตายเข้ามาเท่านั้น จิตใจจะหดตัวออกมาจากสิ่งที่เคยอาศัยเคยยึด เช่นตึกรามบ้านช่องสมบัติเงินทองเข้ามาทันที เข้ามาสู่สมบัติทิพย์ นี้เรียกว่าอัตสมบัติ คือสมบัติได้แก่บุญกุศลซึ่งเป็นสมบัติของตนแท้ จิตจะย้อนเข้ามาสู่สมบัติของตนคือบุญกุศลนี้ทันทีทันใด ยิ่งผู้ได้สร้างบุญกุศลมากเท่าไร จิตยิ่งมีความปีติยินดีในเวลาตายไม่กลัว ทั้งๆ ที่แต่ก่อนเรากลัวตาย สัตว์ก็กลัวตาย แต่เราได้สร้างความดีงามไว้แล้วภายในตัวของเราจนถึงขั้นไม่กลัวตาย ต้องมีกับเราทุกคน เพราะความดีมีกำลังแล้ว ย่อมต้านทานต่อความตาย ไม่กลัวตายได้ไม่ต้องสงสัย

การอบรมจิตใจจึงเป็นของดิบของดีของเลิศเลอ แต่ชาวพุทธของเราไม่ค่อยจะสนใจ ก็มีเวลานี้ที่หลวงตาเป็นผู้นำออกมาสอนพี่น้องทั้งหลาย เรียกว่าทั่วประเทศไทย และไม่ค่อยมีผู้หนึ่งผู้ใด พระองค์ใดที่จะแนะนำสั่งสอนด้วยทางจิตตภาวนานี้นัก แต่สำหรับหลวงตานี้ทนความเมตตาสงสารบรรดาพี่น้องทั้งหลายไม่ได้ ทั้งด้านวัตถุที่จะพาบ้านเมืองให้ล่มจม ทั้งด้านจิตใจที่จะพาบ้านเมืองและจิตใจของตัวเองให้ล่มจม มันมีอยู่ด้วยกันทุกคน จึงต้องแนะนำสั่งสอนทั้งด้านวัตถุเพื่อพยุงชาติไทยของเราด้วยเศรษฐกิจที่พอเหมาะพอดี ไม่ฟุ้งเฟ้อเห่อเหิมเกินเนื้อเกินตัว ให้รู้จักประหยัดมัธยัสถ์ วิ่งเต้นขวนขวายหามาเพิ่มพูนเข้าโดยลำดับ นี่ทางด้านวัตถุ

ทางด้านจิตใจก็สอนให้จิตรู้จักประมาณในการอยู่การกิน การใช้การสอยต่างๆ แล้วก็มาให้รู้จักการอบรมจิตใจ อย่าให้ฟุ้งเฟ้อเห่อเหิมหิวโหยไปตามกิเลสจนเลยเถิดเลยแดน ให้มีการพักการยับยั้งชั่งตัวด้วยคุณงามความดีทั้งหลายมีจิตตภาวนาเป็นต้นด้วย นี่จะเป็นความดีงามเพราะเห็นคุณค่าแห่งการอบรมจิตใจนี้เป็นคุณค่าที่ล้ำเลิศประเสริฐสุด ในบรรดาบุญกุศลทั้งหลายไม่มีอะไรเลิศเลอยิ่งกว่าจิตตภาวนา จิตตภาวนาเป็นที่รวมแห่งบุญกุศลทั้งหลายที่เราได้สร้างมามากน้อย ไหลเข้าสู่จิตตภาวนา เมื่อไหลเข้าสู่จิตตภาวนา จิตตภาวนาเป็นทำนบใหญ่ เก็บบุญกุศลทั้งหลายได้เต็มที่แล้วก็พาเราก้าวขึ้นสู่ความสุขความเจริญยิ่งๆ ขึ้นไปจนกระทั่งก้าวขึ้นสู่ความหลุดพ้นจากทุกข์ เพราะอำนาจแห่งการสร้างกุศลนี้แล

ด้วยเหตุนี้เอง หลวงตาจึงได้แนะนำสั่งสอนพี่น้องทั้งหลายทางด้านจิตตภาวนา ทั้งๆ ที่ไม่มีใครแนะนำสั่งสอน อาจจะเป็นเพราะตัวเองก็ไม่สนใจ จะเป็นพระเป็นฆราวาสอะไรก็แล้วแต่ ตัวเองไม่สนใจในการภาวนาจึงไม่สั่งสอนคนอื่นก็ได้ หรือประการหนึ่งเราได้ทำบ้าง เวลาจะสอนเขาก็เกรงใจเขา เกรงใจเขาก็คือเกรงใจกิเลสนั่นแหละ แล้วไม่กล้าสอนก็ได้ ศาสนาพุทธของเรามีจิตตภาวนาเป็นธรรมที่เลิศเลอก็เลยไม่ค่อยมาปรากฏในแดนแห่งชาวพุทธของเรา อย่างมากก็สอนการให้ทาน ให้รักษาศีลเพียงเท่านั้นเป็นอย่างมาก นอกนั้นไม่เอาเรื่องจิตตภาวนา

แต่ส่วนใหญ่แล้วจิตตภาวนาเป็นสำคัญมาก รื้อฟื้นขึ้นมาได้ ทั้งทานให้มีความแน่นหนามั่นคง การทำบุญให้ทานหนักแน่นมั่นคงเพราะจิตตภาวนาเป็นรากฐานสำคัญ การรักษาศีลก็แน่นหนามั่นคงเป็นขึ้นมาเอง เพราะจิตตภาวนาเป็นรากฐานสำคัญ นี่ไม่ค่อยมีใครรื้อฟื้นขึ้นมา หลวงตารื้อฟื้นขึ้นมาสอนพี่น้องทั้งหลาย เพราะเราเองได้เห็นคุณค่าแห่งจิตตภาวนามาตั้งแต่วันออกปฏิบัติจนกระทั่งบัดนี้ จิตตภาวนาเป็นธรรมชาติที่ให้เกิดความตื่นเต้น เกิดความแปลกประหลาดอัศจรรย์ เห็นใจของเจ้าของ เห็นความสุขที่เกิดขึ้นจากใจของเจ้าของมาตั้งแต่เริ่มต้นภาวนาเรื่อยมาๆ จนกระทั่งมาปัจจุบันนี้ จิตใจหายสงสัยทุกอย่างในโลกธาตุนี้ไม่มีอะไรมาข้องใจเลย เพราะอำนาจแห่งการภาวนา

เมื่อภาวนาหาความดีเข้าสู่ใจๆ จนเต็มตื้นในหัวใจเต็มที่แล้วปล่อยได้หมดโดยประการทั้งปวง การสอนพี่น้องทั้งหลายจึงไม่มีสงสัยในแง่ธรรมต่างๆ ที่มาสอนนี้ว่าจะผิดไป สอนด้วยความมั่นใจว่าพระพุทธเจ้าสอนอย่างนี้เพราะพระองค์หลุดพ้นจากทุกข์ไปโดยสิ้นเชิงแล้ว เพราะการภาวนาเป็นหลักสำคัญ จึงได้นำภาวนามาสอนพี่น้องทั้งหลาย อย่างน้อยขอให้มีความสงบใจบ้างเป็นบางกาลบางเวลาก็ยังดี ดีกว่าที่จะปล่อยปละละเลยไปตลอดอย่างนี้ จะไม่เกิดประโยชน์อะไรเลย ขอให้พากันทำจิตตภาวนาบ้าง นี้ได้เห็นคุณค่าเต็มหัวใจ

หลวงตาที่ได้ประกาศธรรมมาสอนพี่น้องทั้งหลายเป็นเวลา ๕ ปีเป็นอย่างน้อยนี้ ออกมาจากด้านจิตตภาวนาทั้งนั้น ไม่ได้ออกมาจากที่ไหน ความรู้ความเห็นความเป็นที่เกิดขึ้นภายในจิต จากจิตตภาวนาล้วนๆ มาแนะนำสั่งสอน สอนตนเองก็สอน ปลดเปลื้องจนกระทั่งไม่มีอะไรเหลือภายในจิตใจ ด้วยอำนาจแห่งจิตตภาวนา กิเลสแม้เม็ดหินเม็ดทรายขาดสะบั้นลงไปหมดจากใจเพราะจิตตภาวนา จึงเห็นคุณค่ามหาศาลแล้วนำธรรมะนี้มาสั่งสอนพี่น้องทั้งหลาย

อย่างน้อยขอให้ได้รับความสงบใจด้วยการภาวนาจะดี เพราะกิเลสมันยุแหย่ก่อกวนจิตใจสัตว์โลกให้หาความสงบร่มเย็นไม่ได้เลย ใครจะอยู่ในชาติชั้นวรรณะใดก็ตาม กิเลสจะอยู่บนหัวของคนนั้นๆ ให้ได้รับความทุกข์ความทรมาน มันเหยียบย่ำทำลายให้เกิดความทุกข์ไปด้วยกันหมดนั่นแหละถ้าไม่มีธรรม เมื่อมีธรรมแล้วอยู่ที่ไหนสบาย คนมั่งมีก็สบาย คนจนก็สบาย ยศถาบรรดาศักดิ์สูงต่ำประการใดมีธรรมประจำใจแล้วสงบร่มเย็นยับยั้งตัวได้ทั้งนั้นคนเรา ถ้าไม่มีธรรมมีแต่กิเลสอย่างเดียว ใครอย่าอวดใครอย่าคุยว่าเลิศว่าเลอ เลิศเลอแต่ชื่อแต่นามแต่หัวใจจมอยู่กับกองทุกข์เหมือนกันหมด เพราะไม่มีธรรมภายในใจ

การมีธรรมภายในใจ มีความองอาจกล้าหาญชาญชัยภายในตัวเองไม่มีสะทกสะท้าน ไปที่ไหนไม่มีคำว่าสะทกสะท้านคนที่มีธรรมภายในใจ ไม่มีคำว่ากลัวว่ากล้ากับสิ่งใดเลย เหนือไปทั้งหมด นี้คือธรรม อย่างน้อยขอให้ได้ทำความสงบใจเราด้วยจิตตภาวนาก็จะเป็นประโยชน์แก่พี่น้องทั้งหลายอยู่ไม่น้อย นี่หลวงตาเตือนเรื่องภาวนา อย่างอื่นก็เคยสอนมามากต่อมากแล้ว วันนี้ย้อนเข้ามาสู่ภาวนาเพราะนี้ได้เห็นคุณค่าของการภาวนามามากต่อมากจนกระทั่งปัจจุบันนี้ จึงได้แสดงออกอย่างเม็ดเต็มหน่วยต่อบรรดาท่านผู้ฟังทั้งหลายที่ควรจะได้รับมากได้น้อย ธรรมะนี้จะออกทันทีๆ เพื่อท่านผู้ฟังทั้งหลาย

เราไม่เสียดายธรรม เพราะความสงสารมีมากต่อมากเกินกว่าที่จะมาเสียดายธรรม สิ่งที่สงเคราะห์โลกทั้งหลายให้ได้รับความสุขนี้ จึงไม่มีคำว่าเสียดาย ได้อุตส่าห์พยายามแนะนำสั่งสอนท่านทั้งหลายที่เป็นชาวพุทธด้วยกัน อย่าให้มีแต่ชื่อแต่นามคำพุทธติดปากเฉยๆ ขอให้พุทโธ ธัมโม สังโฆ การอบรมจิตใจติดใจของเราบ้างจะเป็นความดีงามสำหรับชาวพุทธเรา เราจะร่มเย็นเป็นสุข จะไม่ว้าเหว่

เวลานี้เราคิดหรือยังว่าโลกนี้มีที่ยึดที่เกาะที่ตรงไหน โลกกว้างแสนกว้างนี้ใครมีที่ยึดที่เกาะที่ไหนเอามาอวดกันบ้างซิ มันไม่เห็น ไปที่ไหนก็มีแต่อิฐแต่ปูนแต่หินแต่ทราย ตึกรามบ้านช่องถนนหนทาง แร่ธาตุต่างๆ เอามาอวดกันทั่วโลกดินแดน แล้วจิตใจก็ไปยึดไปเกาะแล้วถือเป็นทิฐิมานะผยองพองตนขึ้น ว่าตัวมีสิ่งนั้นสิ่งนี้ซึ่งล้วนแล้วตั้งแต่กิเลสหลอกคน ส่วนความสุขจริงๆ ภายในจิตใจไม่มีใครได้รับ ไม่มีใครยืนยันเลย

พอถามถึงเรื่องความเป็นความตายจะไปที่ไหนไม่มีทางตอบ ก็มีแต่อาศัยยึด เหมือนหนอนนั่นแหละ มันยึดสิ่งนั้นยึดสิ่งนี้ เกาะนั้นเกาะนี้ตายแล้วพัง ไม่มีอะไรเป็นเครื่องยึดเลย นี้คือพวกชาวพุทธที่โง่เขลาของเราไปเห็นสิ่งเหล่านั้นดีกว่าธรรม เหยียบย่ำทำลายธรรมไปเสีย ธรรมแทบไม่มีเหลือมีแต่กิเลสเหยียบย่ำทำลาย กิเลสนั่นคือส้วมคือถานนั้นเอง ธรรมคือทองคำทั้งแท่งถูกเหยียบถูกย่ำทำลาย ไม่มีใครสนใจในอรรถในธรรมพอจะมาระลึกให้เป็นสง่าราศี และเป็นความอบอุ่นแก่จิตใจของตนบ้างเลย ธรรมก็ไม่ปรากฏ หาความสุขหาจนวันตายก็ไม่เจอถ้าไม่หาด้วยธรรม ถ้าหาด้วยอำนาจของกิเลสจะมีแต่ฟืนแต่ไฟเต็มบ้านเต็มเมืองเต็มโลกเต็มสงสาร

ดีไม่ดีได้มากๆ กิเลสมากๆ ขึ้นถือเป็นของดิบของดี หาเอามาเผาผลาญกันละซิ ว่าตัวรู้ตัวฉลาด ตัวมีศาสตราอาวุธทันสมัยแล้วก็ไปเผาผลาญเขา เผาผลาญตัวเองนั้นแหละโดยไม่รู้สึกตัว ถ้าเป็นเรื่องของธรรมจะไม่เผากัน คนมีกิเลสต้องเย่อหยิ่งจองหอง อยากจะเป็นเจ้าโลกแต่ผู้เดียวๆ แต่ตัวเองก็อยู่ใต้โลก เป็นเจ้าโลกจะเป็นได้ไงเมื่อเราอยู่ใต้โลก เราก็ต้องได้ถูกบีบบี้สีไฟได้รับความทุกข์ความทรมานเหมือนโลกทั่วๆ ไปนั้นแล นี่เรื่องธรรมท่านตำหนิอย่างนี้

ท่านจึงสอนให้มีความอภัยซึ่งกันและกัน สัตว์เล็กเขาก็อยู่ตามสภาพของเขา สัตว์ใหญ่อยู่ตามสภาพ ครัวบ้านครัวเรือนบ้านเล็กเมืองใหญ่ต่างคนต่างปกครองกันอยู่ตามสภาพของตน ผู้ใหญ่เท่าไรยิ่งให้ผู้อื่นได้รับความสุขความร่มเย็น นี้เรียกว่าธรรมอยู่ที่ไหนเย็นหมด ผู้มีธรรมใหญ่เท่าไรยิ่งให้ความร่มเย็นแก่ผู้อื่นได้มาก เรียกว่าผู้มีธรรม แต่ถ้าผู้มีตั้งแต่กิเลสตัณหา ความผยองพองตน ความเย่อหยิ่งจองแล้ว ไปที่ไหนนี่เป็นยักษ์เป็นผีเป็นมหาภัยต่อโลกต่อสงสาร ดีไม่ดีเอาไฟเผากันแหลก ล้วนแล้วตั้งแต่กิเลสที่อวดตัวว่าฉลาด

เวลาตายลงไปฉิบหายลงไป ไม่เห็นใครฉลาด จมไปอยู่ในกองมูตรกองคูถในเถ้าในถ่านเหมือนกันหมด นี่เรื่องของกิเลสหลอกโลกต่างหากนะ ว่าเราจะเป็นคนมั่งคนมีเป็นเจ้าอำนาจบาตรหลวงใหญ่กว่าโลกกว่าสงสาร เราไม่ได้ใหญ่กว่ากรรม ไม่ได้ใหญ่กว่าธรรม จมด้วยกันนั้นแหละ นี่คนไม่มีธรรม ถ้าคนมีธรรมมีมากมีน้อยเย็นไปหมด จึงขอให้พี่น้องทั้งหลายยึดธรรมนี้เข้ามาเป็นหลักใจ ปฏิบัติตน ไปที่ไหนอย่าลืมตัว สติให้มี สติธรรมปัญญาธรรม ระลึกตัวเสมอ อะไรทำลงไปผิดก็ผิดเรานั้นแหละ เราอย่าเข้าใจว่าถ้าคนไม่เห็นแล้วว่าไม่ผิด ผิดอยู่ที่เรา  ใครเห็นไม่เห็นก็อยู่ที่เราผู้ผิด ผู้ทำถูกอยู่ที่เราก็ถูก อยู่ที่ไหนก็ถูก

เช่น พระพุทธเจ้าตรัสรู้อยู่ในป่าใครไปเห็นพระองค์ ก็ยังเป็นพระพุทธเจ้าขึ้นมาได้ แน่ะ เรามาปฏิบัติตัวของเราเพื่อเป็นคนดี อยู่ที่ไหนก็ดีได้นั่นแหละ อย่าพากันปล่อยวางนะ จิตขอให้ได้เสาะแสวงหาธรรมเป็นที่พึ่งอย่างถูกต้องดีงาม ได้แก่คุณงามความดีบำรุงรักษาใจตนให้สงบร่มเย็นเสมอ อย่าปล่อยให้คิดให้ปรุงให้แต่งฟุ้งเฟ้อเห่อเหิมตั้งแต่ตื่นนอนจนกระทั่งหลับทุกวันๆ ตายแล้วจะจมนะ ให้อุตส่าห์พยายามยับยั้งตนเข้าสู่อรรถสู่ธรรม จะมีที่พึ่งที่เกาะที่ยึดสมชื่อว่าเราเป็นชาวพุทธ คำว่าพุทธไม่ใช่คนหูหนวกตาบอดมาเป็นพุทธนะ พระพุทธเจ้าเป็นผู้สว่างกระจ่างแจ้งมาสอนพวกเรา เราทำไมจะกลายเป็นคนหูหนวกตาบอด ไม่ฟังเสียงอรรถเสียงธรรมเลยนี้ใช้ไม่ได้ ไม่สมชื่อสมนามว่าเราเป็นลูกชาวพุทธ เราเป็นชาวพุทธ เราเป็นลูกศิษย์ตถาคต ขอให้พากันยึดหลักเกณฑ์ธรรมนี้เอาไว้

วันนี้ได้แสดงธรรมเพื่อเป็นที่ระลึกทางด้านธรรมะกับบรรดาพี่น้องทั้งหลาย การเทศนาว่าการทางด้านวัตถุก็เทศน์มามากต่อมาก วันนี้ย้อนเข้ามาสู่หลักใจให้ท่านทั้งหลายได้มีหลักใจเป็นที่ยึดบ้างไม่งั้นจะตายจมกันไปหมด ในเมืองไทยของเราซึ่งเป็นเมืองพุทธแต่ฟุ้งเฟ้อเห่อเหิมกับสิ่งที่ไม่เป็นท่า เกาะนั้นเกาะนี้ เกาะอะไรพังไปๆ ส่วนที่จะเกาะให้ติด พึ่งเป็นพึ่งตายได้ คือศีลคือธรรมไม่สนใจ ตรงนี้พลาดแน่ๆ นะ ให้พิจารณาเสียตั้งแต่บัดนี้ก่อนตาย ตายแล้วเราค่อยนิมนต์พระมากุสลา ธมฺมา เกิดประโยชน์อะไร เรากุสลา ธมฺมาด้วยความฉลาดของเรา ยึดธรรมเป็นหลักยึดของใจ ยึดธรรมมาเป็นหลักของใจ ปฏิบัติตัวให้ดี

ฝึกฝนอบรมซี เราอยากเป็นคนดี เราอย่าให้แต่กิเลสมาหลอก ทำชั่วเท่าไรก็ว่าดีๆ จมลงในนรกดีไหมล่ะ พระพุทธเจ้าเป็นผู้เลิศเลอในความสัตย์ความจริง บอกตามความสัตย์ความจริง กิเลสหลอกโลกว่านรกไม่มีๆ เวลานี้สัตว์ไปจมในนรกมากขนาดไหน เห็นไหม เป็นอย่างนี้ละ ถ้าหากว่าเป็นของจริงตามกิเลสแล้ว โลกนี้จะพ้นทุกข์กันไปหมดนั่นแหละ นี้มีแต่จมเพราะเชื่อกิเลสมากต่อมากกว่าเชื่อธรรม ผู้เชื่อธรรมจะไปได้ไม่สงสัย แม้ไม่มากก็ไปได้ จึงขอให้ท่านทั้งหลายได้นำไปพินิจพิจารณา

ขอฝากธรรมะ เฉพาะอย่างยิ่งจิตตภาวนาไว้กับชาวพุทธของเราทั้งหลายได้นำไประลึก พุทโธ ธัมโม สังโฆ ซึ่งเป็นเครื่องกลมกลืนกับจิตใจของเรา ทั้งเป็นทั้งตายไม่พรากจากกัน ขอยึดไว้ให้แน่นหนามั่นคง ส่วนภายนอกก็อาศัยกันไปอย่างนี้แหละ ดังที่เคยกล่าวมาแล้วนี้ การแสดงธรรมก็เห็นว่าสมควรแก่ธาตุแก่ขันธ์แก่กาลเวลา ขอความสวัสดีจงมีแก่บรรดาพี่น้องทั้งหลายโดยทั่วกันเทอญ

 

ชมถ่ายทอดสดพระธรรมเทศนาของหลวงตาทุกวัน

ได้ที่ www.luangta.com หรือ www.luangta.or.th


** ท่านผู้เข้าชมทุกท่านโปรดทราบ
    เนื่องจากกัณฑ์เทศน์บางกัณฑ์มีความยาวค่อนข้างมาก ซึ่งจะส่งผลต่อความเร็วในการเปิดเว็บไซต์ ขอแนะนำให้ทุกท่านได้อ่านเนื้อหากัณฑ์เทศน์บางส่วนจากเว็บไซต์ และให้ทำการดาวน์โหลดไฟล์กัณฑ์เทศน์ที่มีนามสกุล .pdf ไปเก็บไว้ในเครื่องของท่านแทนการอ่านเนื้อหาทั้งหมดจากเว็บไซต์

<< BACK

หน้าแรก