เทศน์อบรมพระ ณ วัดป่าบ้านตาด
เมื่อวันที่ ๘ กรกฎาคม พุทธศักราช ๒๕๓๓
ความวิตกวิจารณ์ในหมู่คณะ
นี่ก็ไม่มีอะไรจะพูดละ มันหมดของมัน เวลาไม่เอาไหนมันไม่เอาจริงๆ นะ อย่างทุกวันนี้มันหดของมันเข้าไปเลย ถ้ามันหดแล้วก็จะได้เรื่องอะไร แต่ก่อนก็ไม่เป็น นี่มันเป็นเข้ามาๆ โดยลำดับลำดา อย่างเมื่อเช้านี้บิณฑบาตทางโน้นก็พอแล้วนี่ ก้มแล้วเงยวิงเวียนน่ะ จะล้มต่อหน้าต่อตาคนจนได้ เพราะฉะนั้นมาถึงหน้าวัดนี้จึงรับไม่ได้ ถ้ารับก็ล้มจริงๆ ใครจะรู้ยิ่งกว่าเรารู้เรา ที่ทำนี้ผมก็เอาหัวใจคนสุดท้ายเจ้าของก็จะพัง ทำนี้เพื่อหัวใจคนทั้งนั้นนะ บึกบึนๆ เท่าไรเจ้าของยิ่งอ่อนลงๆ
ทุกวันนี้ได้พิจารณาหมดทุกสิ่งทุกอย่างแล้ว มันไม่มีอะไรที่จะออกไปเกาะไปเกี่ยวกับอะไรมันก็หมด แม้ที่สุดการสงเคราะห์สงหาเทศนาว่าการเครื่องมือมันก็หมดกำลัง ความเมตตาสงสารนั้นเมตตา แต่ว่าเครื่องมือที่เป็นเครื่องแสดงออกด้วยกิริยาแห่งความเมตตามันไม่เอาไหนแล้วก็จำเป็นต้องอยู่
เรื่องวิตกวิจารณ์กับหมู่กับเพื่อนนั้นผมวิตกมากยิ่งกว่าแต่ก่อน ตั้งแต่ยังหนุ่มยังน้อยความเมตตาสงสารก็เสมอกัน แต่ไม่มีความวิตกวิจารณ์อย่างทุกวันนี้มากเหมือนที่เป็นอยู่เวลานี้ในวัยนี้ เกี่ยวกับการประพฤติปฏิบัตินี่เป็นสำคัญ ผู้นำทางก็หมดไปๆ อยู่โดยลำพังใครก็เคยอยู่แล้วเป็นยังไง มันไม่ได้หลักได้เกณฑ์อะไร เหล่านี้ก็ได้นำมาพูดให้หมู่เพื่อนฟังหมดแล้ว ไม่มีครูมีอาจารย์เป็นเครื่องฉุดเครื่องลาก เป็นแม่เหล็กเครื่องดึงดูดเอาไว้นี้มันพังได้ง่ายๆ ใจนี่ เรื่องอรรถเรื่องธรรมนั้นจำได้ แต่กิเลสมันไม่ยอมฟังเสียงความจำนั่นซิ นอกจากความจริงเท่านั้นกิเลสถึงจะยอม
เมื่อได้ยินได้ฟังครูอาจารย์แนะนำสั่งสอนอยู่ เห็นอยู่ต่อหน้าต่อตา ได้ยินอยู่ด้วยหูของเรา คิดอยู่ด้วยใจของเรา ซึ่งเกี่ยวข้องกับท่านอยู่มันก็มีกำลังภายในจิตใจ นี่ก็จัดว่าเป็นความจริงอันหนึ่ง ที่จะต้านทานความจอมปลอมทั้งหลายได้ เพราะความจอมปลอมนี้ไม่เคยอ่อนตัวโดยธรรมชาติของมัน มีแต่จะแข็งขึ้นเรื่อยๆ ถ้ามีธรรมะเข้าไปปราบไปปราม ไปคัดค้านต้านทานมันก็อ่อนตัวลง เพราะกำลังมันสู้ธรรมะไม่ได้ พอธรรมะอ่อนลงมันก็แข็งขึ้นทันที แต่ธรรมะนี้เราต้องได้ฉุดได้ลาก เมื่อยังไม่ถึงขั้นที่ควรเป็นเองที่ควรช่วยตัวเองได้แล้วก็ต้องได้ฉุดได้ลาก การฉุดการลากนั้นก็มีเวลาอ่อนตัวได้ เวลาอ่อนตัวนั้นแลเป็นเวลาฝ่ายต่ำคือกิเลสทั้งหลายมีกำลัง มันดีดขึ้นๆ ถ้าทนมันไม่ไหวก็พัง
การมีครูมีอาจารย์จึงเป็นสิ่งสำคัญมากทีเดียว เราเคยมาแล้วไม่สงสัย ประจักษ์ใจ อยู่กับท่านมันร่มเย็น กลัวก็กลัวด้วยธรรมไม่ใช่กลัวแบบโลกๆ ที่เขากลัวกัน กลัวเป็นธรรม เคารพเลื่อมใสทุกอย่างเป็นธรรมทั้งนั้น ความขลาดความกลัวความระมัดระวังท่าน กลัวท่านจะดุจะว่านี้ก็เป็นธรรมหมด มันต่างกันอย่างนั้น ความระวังอย่างนี้เป็นธรรมๆ ทั้งนั้น จิตก็ไม่ค่อยผาดโผนโลดเต้น ค่อยไปตามร่องตามรอย
องค์หลักฐานพยานท่านร่วงโรยไปๆ คือครูบาอาจารย์ร่วงโรยไปๆ ใจของเราก็ยิ่งอ่อนลงๆ นี้ที่ว่าวิตกมาก แล้วเชื้อไฟเวลานี้มากจริงๆ จนมองไม่ทันคิดไม่ทัน เชื้อไฟที่จะส่งเสริมกิเลสให้มีความรุนแรงมากขึ้น เพื่อเผาหัวใจของสัตว์โลกไม่ว่าใครๆ ก็ตาม มีอยู่รอบด้านมีอยู่ทุกแห่งทุกหน นี่ซิที่ทำให้วิตกวิจารณ์มาก สิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งที่กล่อมได้อย่างง่ายดายที่สุดเลย มีมาทุกแง่ทุกมุมทำให้หลงให้เพลินได้ทั้งนั้น
ความหลงความเพลินเป็นเรื่องของกิเลส สิ่งที่จะทำให้หลงให้เพลินก็คือเครื่องล่อของกิเลส ทีนี้มันก็เป็นอยู่อย่างนี้ทั่วไปหมด ใครจะคิดว่าสิ่งเหล่านี้เป็นภัย ถ้าคิดว่าเป็นภัยเข้าใจว่าเป็นภัยภายในจิตจริงๆ แล้ว ใครจะไปเสาะใครจะไปแสวงหามา ไม่หามา นี่ก็คิดเห็นว่าเป็นความเพลิดความเพลินความสนุกสนานรื่นเริง โดยไม่ได้คิดว่ายาพิษมันแฝงตัวของมันมากับสิ่งนั้นๆ เลย นี่ซิสำคัญมาก โลกถึงได้เสียหายกันมากมายทั้งๆ ที่ว่าโลกเจริญนั้นแหละ เจริญมันก็เจริญไปเพื่อความทุกข์ความลำบากความทรมานเสีย ไม่ได้เจริญไปเพื่อความสงบสุข ถ้าไม่มีธรรมเข้าแทรกแล้วหาจุดที่หมายไม่ได้เลย
ใครจะว่ามีความรู้วิชาฐานะมั่นคงขนาดไหนก็ตาม ก็เป็นเพียงลมปาก เป็นเพียงความสำคัญของใจเท่านั้นว่ามีสิ่งนั้นว่ามีสิ่งนี้ จิตเข้าไปพึ่งสิ่งนั้นเข้าไปพึ่งสิ่งนี้ ไปเกาะสิ่งนั้นไปเกาะสิ่งนี้ เกาะได้เพียงสัญญาความจำความหมายเท่านั้น ความจริงไม่มีในหัวใจ เพราะไม่มีธรรมซึ่งเป็นความจริงแทรกอยู่นั้น แล้วจะเอาอะไรมาเป็นสาระแก่นสารได้ ไม่มี ล้มไปด้วยกันทั้งนั้น ถ้าไม่มีธรรมเสียอย่างเดียว นี่ที่ทำให้วิตกมากไปทุกวันๆ
สิ่งที่เป็นข้าศึกต่อสัตว์โลกมีอยู่ทุกแห่งทุกหน ทั้งผู้มีชีวิตอยู่ทั้งผู้ตายไปแล้ว ก็เต็มไปด้วยสิ่งที่ทำให้เกิดความทุกข์ความทรมาน มีชีวิตอยู่นี้ก็มีสภาพหนึ่งที่จะทำให้ลุ่มหลง ให้ได้รับความทุกข์ความทรมาน ตายไปแล้วก็เป็นอีกสภาพหนึ่งซึ่งเรียกว่าวิบากกรรม ต้องแผดต้องเผาสัตว์ทั้งหลาย ตามอำนาจแห่งกรรมหนักเบามากน้อยของตนๆ ทั่วดินแดนไม่มีอะไรว่างเลยว่าสัตว์ทั้งหลายไม่ได้ทำกรรม ผู้ที่จะมาฉุดมาลากให้หลุดให้พ้นไปจากนั้นก็มาเป็นกาลเป็นเวลา เช่นพระพุทธเจ้ามาตรัสรู้ก็มาเป็นกาลเป็นเวลา ที่จะได้รับผลรับประโยชน์คือสัตว์ทั้งหลาย พอหลุดพอพ้นไปได้ หรือผ่อนหนักเป็นเบาก็ตอนนั้นเท่านั้นแหละ
แต่นี้พุทธศาสนายังมีอยู่ แต่เราสังเกตดูซิว่า ผู้นับถือพุทธศาสนาด้วยความจริงใจมีสักกี่ราย นอกจากมีแต่ลมปากพูดว่าเป็นชาวพุทธเท่านั้น แม้ที่สุดพระเราก็ไม่พ้นจะเป็นอย่างโลกทั่วๆ ไปที่เขาไม่ได้บวชเลย เราอย่าเข้าใจว่าพระเหล่านี้เป็นผู้แน่นหนามั่นคงต่อสรณะ คือพระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์ และมั่นคงต่อการปฏิบัติเพื่อแก้ไขถอดถอนกิเลสให้ถึงแดนแห่งความพ้นทุกข์ มันไม่ค่อยมีจะว่าอะไร มีแต่เครื่องอาศัยทั้งนั้นแหละ ว่าเป็นโล่ก็ได้
เราบวชมาใครก็เคารพ เห็นผ้ากาสาวพัสตร์แล้วจิตใจก็อ่อนทำอะไรไม่ได้ เมื่อจะคิดดูถูกเหยียดหยามก็กลัวเป็นบาป ผู้ที่สนุกทำบาปที่อยู่ในวงผ้าเหลืองก็ทำอย่างหน้าด้านไปได้สบายๆ นั่นกิเลส ฟังซิกิเลสมันไว้หน้าใครที่ไหน ไม่ได้ไว้ ทำได้เป็นได้ทั้งนั้น ถ้าเผลอตัวเมื่อไรแล้วไม่ว่าพระไม่ว่าฆราวาสเป็นได้ด้วยกันนี่แหละ นี่ที่ว่าศาสนาเสื่อม ดังที่เคยพูดแล้วมันเสื่อมอยู่ที่ตัวบุคคลตัวผู้นับถือศาสนา ไม่ได้มีความจริงจังอะไรกับธรรมที่ท่านสอนไว้ด้วยความจริงจังด้วยพระเมตตา ผู้รับไม่ได้รับด้วยความจริงจัง สักแต่ว่ารับ เลยเป็นขนบประเพณีไปเสีย ทำอะไรจึงมีแต่ขนบประเพณีพอให้แล้วๆ ไปเท่านั้น ส่วนที่จะหวังเอาจริงเอาจัง เอาความถูกต้องดีงามจากศาสนธรรมจริงๆ ไม่สนใจ เลยมีแต่กิริยา มีแต่พิธีเพียงเท่านั้น เหล่านี้เป็นความอ่อนแอมากไหมผู้นับถือศาสนา พิจารณาตามนี้ซิ
มาวงพระวงเณรของเรานี้ เฉพาะวงพ่อแม่ครูอาจารย์มั่นของเรานี้ก็นับวันอ่อนลงๆ การอ่อนในความขวนขวายในการประพฤติปฏิบัติหลักธรรมหลักวินัย เพื่อความแก้ความไขความถอดถอนแล้ว จะเอาอะไรมาแข็ง จะเอาอะไรมาเป็นผล ผลถึงจะเกิดขึ้นให้เป็นความสงบร่มเย็น ให้เป็นความเฉลียวฉลาด เพราะความขวนขวายมันอ่อนแอเอามากถึงกับไม่มี
ต่อไปนี้ทางจงกรมในวัดกรรมฐานของเราจะไม่มีเหลือนะ พระพุทธเจ้าเป็นศาสดาองค์เอก ท่านทรงเดินจงกรมอยู่ตลอดวันปรินิพพาน มีในตำรับตำรา พระสาวกอรหัตอรหันต์ท่านทั้งๆ ที่ท่านสิ้นกิเลสแล้วทั้งนั้น ท่านก็เดินจงกรมอยู่จนกระทั่งวันปรินิพพานเช่นเดียวกันหมด ไม่มีใครที่จะเห็นว่าได้มรรคได้ผลเป็นที่พอพระทัยและเป็นที่พอใจแล้วการเดินจงกรมไม่จำเป็น ท่านหากจำเป็นของท่านในแง่หนึ่งที่เราผู้เป็นคลังกิเลสไม่สามารถที่จะทราบได้นั้นแล ทราบได้เฉพาะท่านผู้สิ้นกิเลส ว่าการเดินจงกรมนั่งสมาธิภาวนา มีความสัมพันธ์เกี่ยวเนื่องกันอย่างไรกับจิตใจและธาตุขันธ์ของท่าน เมื่อยังทรงพระชนม์อยู่และมีชีวิตอยู่ ท่านทราบของท่านได้ดี และความชุ่มเย็นระหว่างขันธ์กับจิตที่จะสืบต่อกันไปให้ยืดยาวนานพอถึงกาลอายุขัย ขึ้นอยู่กับอะไรท่านก็ทราบ เรื่องการเดินจงกรมนั่งสมาธินี้เป็นโอสถสำคัญทั้งนั้นสำหรับท่านจะดำเนินไม่ละไม่ถอย เป็นเพียงผิดกันกับพวกเราที่มีกิเลสอาสวะหนักเบามากน้อยเท่านั้น
ภาวนาของพวกเราเดินจงกรมนั่งสมาธิของคนมีกิเลส จึงต้องเดินเพื่อแก้เพื่อไขเพื่อถอดเพื่อถอนเพื่อชำระกิเลสตามประเภทที่มีอยู่ของตน จนกระทั่งถึงให้ผ่านพ้นไปได้ นี่เจตนามีต่างกันอย่างนี้เท่านั้น สำหรับผู้สิ้นกิเลสแล้ว ท่านไม่มีเจตนาที่จะแก้ไขถอดถอนกิเลสตัวใด เป็นเรื่องระหว่างขันธ์กับจิตปฏิบัติต่อกันเท่านั้น จิตเมื่อจะครองธาตุครองขันธ์ไปนาน ก็ต้องมีการปฏิบัติเยียวยารักษากัน เหมาะสมในทางใดก็ต้องนำทางนั้นมาปฏิบัติ เช่นเดินจงกรมเป็นวิธีการบำบัดรักษาอย่างหนึ่ง นั่งสมาธิภาวนาเป็นวิธีบำบัดรักษาระหว่างขันธ์กับจิตที่อยู่ด้วยกันนี่ประการหนึ่ง สำหรับผู้มุ่งสิ้นกิเลสความเพียรทุกประโยคมีแต่ทุ่มลงไปเพื่อฆ่ากิเลสทั้งนั้น นี่ต่างกันที่ตรงนี้ กิเลสมีหนักเบามากน้อยเพียงไร ละเอียดแค่ไหน เรื่องความเพียรนี้ทุ่มลงไปเพื่อกิเลสๆ ทั้งนั้น เพื่อจะสังหารกิเลส ถ้าพูดถึงธรรมสุดยอดจริงๆ ก็เพื่อสังหารกิเลส ต่างกันอย่างนี้
นี่เราก็เป็นคลังกิเลสอยู่ด้วยกัน ยิ่งขี้เกียจขี้คร้านในการเดินจงกรมนั่งสมาธิภาวนา การสำรวมระวังรักษาจิตของตนแล้ว จะเอาอะไรมาเป็นหลักเป็นเกณฑ์ เป็นที่พึ่งเป็นที่ยึดถือเป็นที่ยึดที่เหนี่ยวที่เกาะของเรา คิดซิ จิตเมื่อยังไม่พอตัวต้องเกาะ ร้อยทั้งร้อยพันทั้งพัน ทั้งหมื่นทั้งแสนทั้งล้านๆ เกาะทั้งนั้น ดูจิตของเราดวงเดียวนี้ก็เท่ากับดูจิตทั่วโลกดินแดนของสัตว์ทั้งหลายนั่นเอง เมื่อยังไม่มีที่เกาะที่ยึดต้องเสาะต้องแสวงหา มีแล้วก็ต้องเกาะ เว้นแต่ผู้ที่พอแล้วดังที่กล่าวมาสักครู่นี้เท่านั้นท่านไม่เกาะ พระพุทธเจ้าพระสาวกอรหันต์ท่าน ท่านไม่เกาะ ธรรมกับท่านเป็นอันเดียวกันแล้ว ธมฺโม ปทีโป ธรรมฉันใดจิตใจที่บริสุทธิ์ก็ฉันนั้น จิตใจที่บริสุทธิ์ฉันใดธรรมที่เลิศก็ฉันนั้น เข้ากลมกลืนเป็นอันเดียวกันแล้วจะเอาอะไรไปเกาะอะไร มีอันเดียวไปหาเกาะกับอะไร ต่างกันอย่างนี้
ผู้มีกิเลส ฟังซิว่ามีกิเลสมันไม่ใช่สองแล้วเหรอนั่น แล้วจะทำอย่างไรที่จะแก้กิเลสลงไปได้ ก็ต้องชะต้องล้างต้องกำจัด ด้วยสังวรธรรมคือความระมัดระวังสังเกตตัวเอง ประกอบความพากเพียรเพื่อแก้เพื่อไขเพื่อถอดถอนตัวเองอยู่อย่างนั้น นั่นเรียกว่าเพื่อเกาะ เกาะธรรม สติปัญญาเป็นเครื่องเกาะ ความเพียรนี้เป็นเครื่องเกาะทั้งนั้นเครื่องยึดทั้งนั้น ไม่อย่างนั้นกิเลสไม่กลัว ต้องเอาสิ่งเหล่านี้มาเป็นเครื่องกำบังหรือเป็นเครื่องมือต้านทานซึ่งกันและกัน
นี่ที่วิตกวิจารณ์กับหมู่เพื่อน เกี่ยวกับเรื่องการประกอบความพากความเพียร เพราะสิ่งที่จะมาทับถมโจมตีเรานั้นมีมากต่อมากเวลานี้ มีอยู่ทุกแห่งทุกหนตำบลหมู่บ้าน ไม่ว่าบ้านนอกในเมืองมันเป็นอันเดียวกันหมด พระเราจะได้หนังหนาๆ ได้หนังเพชรมาจากไหนที่จะไม่ถลอกปอกเปิก เมื่อกระทบกระเทือนกับสิ่งเหล่านี้แล้ว มันก็เป็นเหมือนหนังของโลกเขานั่นแล คำว่าหนังก็หมายถึงใจ ใจยังมีกิเลสอยู่ก็เหมือนใจโลก เมื่อถูกกระทบกระเทือนก็ต้องถลอกปอกเปิกแล้วเสียหายไปตามๆ กันกับสิ่งที่มากระทบกระเทือนหนักเบามากน้อยอยู่โดยดี นี่ถ้าไม่มีการระมัดระวังรักษาเป็นอย่างนั้น
การประกอบความเพียรก็เคยได้พูดให้ฟังมากต่อมากแล้ว อุบายวิธีการใดที่ได้ผลมากกว่าวิธีการอื่นให้นำมาใช้ให้มาก ให้สนใจกับวิธีการนั้น เหล่านี้ก็บอกหมดแล้ว ใจที่ดื้อคืออะไร ก็กิเลสนั่นเองมันดื้อ ใจจริงๆ ไม่ดื้อไม่ด้าน กิเลสมันเข้าฝังใจซิจึงทำให้ใจดีดดิ้นดื้อด้านต่ออรรถต่อธรรม ใจจริงๆ ไม่ดื้อ กิเลสที่แฝงอยู่ในใจนั้นแลพาให้ดื้อพาให้ด้าน พาให้ทำความผิดพลาดอยู่เสมอ จึงต้องได้ใช้ความพินิจพิจารณาเอาอย่างมาก ไม่เช่นนั้นไปไม่รอดนะ
สติส่วนมากตั้งได้ด้วยการผ่อนอาหาร นี่สำคัญนะ ผมประจักษ์ในหัวใจจึงได้กล้าพูดอยู่เสมอ ยิ่งผู้ตั้งสติสตังไม่ได้เรื่องแล้วนั่นยิ่งแล้ว ธาตุขันธ์มีกำลังมากมันทับเอาจริงๆ ต้องได้ผ่อนได้บังคับ ก็เคยพูดให้ฟังแล้วว่า ตั้งแต่วันออกปฏิบัติกรรมฐานขึ้นเวทีต่อกรกับกิเลส ไม่มีวันไหนเวลาใดได้รับความสะดวกสบายตามอิสระเลย เพราะกิเลสมันเหยียบย่ำทำลายตลอดเวลา เราจะเอาอิสระมาจากไหน จึงต้องได้ระมัดระวังต่อสู้อยู่ตลอด
ทางธาตุทางขันธ์การอยู่การกิน ก็ต้องได้กดเอาไว้บังคับเอาไว้ไม่ให้กินมาก นอนก็เหมือนกัน มีแต่ท่าบังคับ ท่าตบท่าต่อยกันอยู่อย่างนั้น ท่าอยู่สะดวกสบายไม่มี การต่อสู้กับกิเลสต้องเป็นอย่างนี้ อยู่ปกติก็ระวังอยู่ตลอด สติกับใจไม่ให้พรากจากกัน มีอยู่อย่างนั้น ปัญญาที่จะนำมาสอดส่อง ที่จะนำมาพินิจพิจารณาสิ่งทั้งหลาย ให้รู้เหตุรู้ผลชัดเจนแล้วปล่อยวางนั้นก็ได้ใช้เรื่อยมา สับกันไปปนกันไปนั้น จึงอยู่เป็นสุขไม่ได้ เราจะอยู่เป็นสุขโดยลำพังทั้งๆ ที่มีกิเลสเต็มหัวใจอยู่นี้เป็นสุขไม่ได้ ทุกข์ก็ต้องยอมรับว่าทุกข์ ทุกข์เพราะการต่อสู้แก้ไขกิเลสนี้พระพุทธเจ้าก็พาทุกข์มาแล้ว สาวกทั้งหลายท่านพาทุกข์มาแล้ว ไม่เป็นของแปลกประหลาดอะไรสำหรับผู้ดำเนินงานเพื่อความพ้นทุกข์ ต้องยอมรับความหนักเบามากน้อยแห่งความเพียรของตน
แล้วครูบาอาจารย์พลัดไปพรากไปจากไป ก็จะกลายเป็นโลเลไปหมด กรรมฐานก็จะมีแต่ชื่อแต่นาม หาความจริงในวงกรรมฐานไม่ได้นี่ซิจึงทำให้วิตกมาก แล้วก็เรื่องการเกิดการตายที่จะหมุนไปเวียนมาของใจที่มีกิเลสนี้อันหนึ่ง ที่สำคัญเอามากทีเดียว ถ้าได้ชำระลงไปให้ได้มีความเบาบางไปพอสมควรแล้วก็ยังพอทำเนา ไปเกิดในภพชาติต่างๆ ก็เป็นภพที่ดีพอบรรเทาทุกข์ได้ในภพนั้นๆ ถ้าเป็นแบบคลังกิเลสเช่นเดียวกับโลกทั่วๆ ไปแล้ว ความเป็นอยู่ความหนักเบามากน้อยในเรื่องทุกข์ทั้งหลาย มันก็เป็นเหมือนโลกทั่วๆ ไป อันนี้ก็ทำให้วิตกวิจารณ์เหมือนกัน
เมื่อเทียบกับท่านผู้สิ้นกิเลสแล้ว มาบวกกันกับพวกเราที่เป็นคลังกิเลสนี้มันเป็นอย่างที่ว่านั้นแหละ เพราะท่านสิ้นท่านสิ้นจริงๆ ท่านหมดจริงๆ รู้อยู่ภายในหัวใจของท่าน ไม่มีอะไรเป็นปัญหาเลย ปัจจุบันอยู่ตลอดเวลา ไม่มีคำว่าอดีต เพราะอดีตที่ผ่านมาแล้วท่านก็ไม่ไปยึด อนาคตที่จะมาข้างหน้า จะมาจากไหนปัจจุบันก็รู้เท่าทันอยู่ตลอดเวลา ขาดจากสิ่งทั้งหลายอยู่แล้วโดยประการทั้งปวง จึงว่าไม่มีอดีตอนาคต อยู่ในวงปัจจุบันล้วนๆ
ท่านจะไม่ทราบได้ยังไง ว่าการเกิดการตายเมื่อสิ้นซากภายในจิตใจแล้ว ท่านจะเอาอะไรไปเกิด และจะเอาอะไรมาเป็นเครื่องก่อกวนวุ่นวายในวาระนั้นวาระนี้ชาตินั้นชาตินี้ ชาติก็ไม่มีมาเป็นเครื่องยืนยันรับรองทุกข์ทั้งหลาย ทุกข์จะเกิดมาจากไหน ทุกขํ นตฺถิ อชาตสฺส ผู้ไม่เกิดคือผู้ไม่มีทุกข์ ก็รู้อยู่ภายในจิตใจ จิตไม่เกิดอีกก็รู้ แล้วเอามาเทียบกับพวกที่วกเวียนเปลี่ยนแปลงไปในภพน้อยภพใหญ่สูงๆ ต่ำๆ ลุ่ม ดอนๆ ที่เต็มไปด้วยกองทุกข์ๆ จนกระทั่งถึงขั้นมหันตทุกข์นี้ซิ มันน่าทุเรศจริงๆ แต่พวกเราทั้งหลายมีแต่ความหลับความเพลิน มีแต่ความหวังเต็มหัวใจแต่ไม่เคยมีอะไรสมหวัง ตื่นขึ้นมาหวังแล้วจนกระทั่งหลับ หวังอยู่ตลอดเวลา แต่ไม่สร้างเหตุแห่งความหวังให้มีขึ้นมา พอต้อนรับความหวังให้สมหวังบ้าง นี่ซิอันหนึ่งนะสำคัญอยู่มากทีเดียว
ภพไหนที่จะไม่แบกกองทุกข์มากน้อย ส่วนมากมีแต่ภพเป็นฟืนเป็นไฟ เพราะจิตใจปฏิพัทธ์ยินดีกับสาเหตุแห่งความเป็นฟืนเป็นไฟ และเสาะแสวงหาขวนขวายกัน ดิ้นรนกันอยู่อย่างนั้นกับสิ่งที่เป็นฟืนเป็นไฟ ยังมีชีวิตอยู่ก็ร้อนให้เห็นอยู่ภายในหัวใจ เครื่องประดับภายนอกก็คือกิริยามารยาทเท่านั้น มองเห็นกันก็ว่าเป็นความสุขความสบาย ภายในหัวใจเหมือนไฟไหม้กองแกลบเพราะกิเลสอยู่ในนั้น เวลาตายไปแล้วจะเอาอะไรเป็นหลักเป็นเกณฑ์ หาหลักหาเกณฑ์ไม่ได้ ถ้าไม่สร้างหลักเกณฑ์คือความดีไว้สำหรับตนเสีย อย่างน้อยให้พอเป็นพอไปพอถูพอไถกัน มากกว่านั้นให้เป็นที่พอใจ แล้วไป หากยังมีเกิดอยู่อีกก็เกิดในสถานที่พอบรรเทาได้ในเรื่องความทุกข์ความทรมานทั้งหลาย เพราะความสุขที่เกิดขึ้นจากความดีภายในใจเป็นเครื่องต้านทานกัน จึงพอถูพอไถกันไปได้
แต่สำหรับนักบวชเราจะไปคิดอะไรยืดเยื้อถึงภพนั้นภพนี้ ซึ่งผิดกับเพศของนักบวชซึ่งเป็นเพศเพื่อความพ้นทุกข์นี้มากมาย ความเพียรเวลาจะเด็ดกิเลสตัวไหนจะขาด ในวันนี้เดือนนี้ปีนี้เป็นความต้องการทั้งนั้นๆ นั่นถึงถูกต้อง ให้จิตมีแต่ห้ำหั่นกับกิเลสอย่างเดียว เพื่อความสิ้นไปๆ แห่งเชื้อที่จะพาให้เกิดนี้โดยลำดับลำดา นี่ทางของนักบวช เจตนาของนักบวช ความมุ่งหมายของนักบวชควรจะเป็นอย่างนั้น เพราะท่านเคยเป็นมาแล้วอย่างนั้น เอาจนกระทั่งไม่มีอะไรเหลือภายในใจเลย
เราจะได้สนุกดู ไม่ตั้งใจว่าจะดูแหละ แต่เรื่องทั้งหลายกับใจอันนี้ปิดไม่อยู่ เพราะใจเป็นนักรู้ทำไมจะไม่รู้ เหตุการณ์จะมีกว้างแคบขนาดไหนใจที่พ้นจากความปิดบังไปหมดแล้ว ไม่มีอะไรปิดบังหุ้มห่อ เปิดเผยตัวเองออกหมดแล้ว ทำไมจะไม่รู้ ทำไมจะไม่เห็น จะว่าสนุกดูก็ทำไมจะไม่สนุกดู แต่ท่านไม่สนุก กิริยาอันนี้เอามาจากโลกเท่านั้นมาพูด ดูตามเหตุตามผลตามหลักความจริง จะทำให้เกิดสลดสังเวชเป็นไหนๆ พูดไม่ถูก จะว่าล้นหัวใจก็ได้ พูดถึงเรื่องความสลดสังเวชต่อสัตว์ทั้งหลาย ที่ได้รับความทุกข์ความทรมานด้วยการเวียนเกิดเวียนตายอยู่ไม่หยุดไม่ถอย และการเสวยกรรมต่างๆ ที่เกิดขึ้นจากความคึกความคะนองของตนและความไม่รู้ไม่เห็นของตน ทำลงไปที่เกี่ยวกับฟืนกับไฟ แล้วกลับมาเผาไหม้ตนเอง นี่มันน่าสลดสังเวชเอามากมาย
ใครจะว่าบาปไม่มี บุญไม่มี นรกไม่มี สวรรค์ไม่มีก็ตามเถิด พระพุทธเจ้าเพียงพระองค์เดียวเท่านั้นพอแล้ว นอกนั้นมีแต่สัตว์ตาบอด คนตาบอดไปรู้ได้ยังไง เราเทียบดูซิสิ่งที่จะพึงเห็นเต็มแผ่นดิน แต่เราเป็นคนตาบอดเสียเท่านี้เป็นยังไง มีความหมายอะไรกับสิ่งที่มีอยู่เหล่านั้น คนตาบอดมันไม่เห็นก็บอกว่าไม่มี แต่คนตาดีนี่เห็นกันอยู่ เป็นยังไง ใครจะปฏิเสธได้ลงคอ นี่ละเรื่องบาปบุญคุณโทษนรกสวรรค์จนกระทั่งถึงนิพพาน แสดงไว้อย่างสดๆ ร้อน ๆ ไม่มีคำว่าครึว่าล้าสมัย นั้นเป็นเรื่องกลลวงของกิเลสมาเสกสรรปั้นยอ มาคัดมาค้านต้านทานไม่ให้เชื่อธรรมทั้งหลายที่เป็นความจริง ซึ่งพระพุทธเจ้าทรงแสดงไว้เท่านั้น เพราะฉะนั้นจึงขอให้เป็นที่ลงใจ แล้วปฏิบัติตัวให้ถึงเขตถึงแดนแห่งความมุ่งหมายไม่ให้เสียกาลเสียเวลา
อยู่ก็ให้เหมือนอยู่คนเดียว แม้จะมีเพื่อนฝูงมากขนาดไหนก็ให้ทำความรู้สึกตัวอยู่กับความเพียร ประหนึ่งว่าเป็นคนคนเดียว สองกับความเพียรเท่านั้น ให้หมุนกันอยู่อย่างนั้นนั่นแหละเหมาะ ขอให้ใจนี้ได้หลุดพ้นไปเถอะ เป็นยังไงแดนอัศจรรย์ ตั้งแต่เกิดมาเราไม่เคยเห็น ได้ยินแต่ท่านพูดให้ฟัง ธรรมท่านแสดงไว้แต่ไม่เคยปรากฏในหัวใจเราเลย เราก็เอาความแน่นอนไม่ได้ เมื่อเจอเข้าอย่างจังๆ แล้ว ดังพระสาวกท่านตรัสรู้หรือบรรลุธรรมตามพระพุทธเจ้าเท่านั้น หมอบราบเลยด้วยการยอมรับพระพุทธเจ้า เพราะความบริสุทธิ์ความหลุดพ้นจากทุกข์นั้นเป็นอันเดียวกัน ไม่จำเป็นต้องทูลถามพระพุทธเจ้า นั่นเป็นผู้หมดห่วงหมดใยหมดภาระกังวลทุกสิ่งทุกอย่าง หมดโดยสิ้นเชิงก็คือผู้สิ้นจากกิเลส สิ้นแล้วรู้แล้วประจักษ์อยู่ในปัจจุบันนั้น นี่แหละผลแห่งการประพฤติปฏิบัติธรรม
อย่าได้พากันย่อหย่อนอ่อนสติกำลังวังชา มีแต่ความขี้เกียจขี้คร้านโหมตัวเข้ามาทับถมแล้วไปไม่รอดนะ จะตายจมโลกอันนี้ซึ่งเป็นเหมือนกับว่าเราไม่เคยจมไม่เคยตาย ความจริงมันเคยเป็นมาสักเท่าไรแล้วก็ไม่เบื่อหน่าย จะต้องลงไปจุดนั้นอีกแหละ จุดแห่งความทุกข์ความทรมาน
นี่ก็ไม่ได้เทศนาว่าการเสียนาน ก็อย่างที่ท่านทั้งหลายได้ทราบแล้วนั่นแหละ วันนี้ก็ถูไถมาเฉยๆ เทศน์ก็อย่างที่เห็นที่ได้ยินอยู่เดี๋ยวนี้ ได้ถูไปลากไป เพราะฉะนั้นขอให้พากันตั้งอกตั้งใจ ผมเป็นห่วงหมู่เพื่อนก็เป็นห่วงอย่างที่เล่าให้ฟังนี่แหละ เป็นห่วงทางภาคปฏิบัติความพากความเพียรสติปัญญา เพราะอยู่ด้วยกันมันก็เห็นกันอยู่นี่ มันบกมันพร่องให้เห็นอยู่ ทั้งๆ ที่เจ้าของก็พยายามเต็มกำลังความสามารถ แต่ก็พ้นไม่ได้ที่เป็นช่องโหว่อันเป็นเครื่องหมายของกิเลสเปิดตัวออกมาให้เห็นๆ อยู่จนได้นั่นแหละ นี่ละที่ดุด่าว่ากล่าวก็เพราะสิ่งที่ทำให้เห็นมีอยู่ๆ คือไม่รอบกิเลสมันถึงแสดงออกมา ถ้ารอบแล้วจะไม่มีอะไรแสดงออก จึงต้องได้ใช้ความระมัดระวังให้มาก
จิตใจเป็นของสำคัญ อย่ามีความสนใจกับสิ่งใดว่าเป็นของเลิศเลอมาจากที่ไหน เป็นสิ่งที่เคยคลุกเคล้ากับหัวใจ ทำความทุกข์ทรมานแก่จิตใจมาแล้วมากมายเหมือนกันหมดไม่น่าสงสัย ก็มีอยู่ทางเดียวที่ความพ้นทุกข์เราไม่เคยพ้น เอาให้เห็นจริงจังซิ อันนี้ไม่เคย สิ่งเหล่านั้นเคยมาแล้วด้วยกัน ไปตื่นเต้นกับมันอะไร ไปติดอะไรกับมัน ไปหลงอะไรกับมัน เหมือนหนึ่งว่าสิ่งเหล่านี้ไม่เคยมี เคยมาแล้ว เคยยิ่งกว่าเคย แต่การชำระจิตใจของเราด้วยความพากความเพียรเพื่อความหลุดพ้นนี้ เรายังไม่เต็มเม็ดเต็มหน่วย มีบ้างก็เล็กๆ น้อยๆ เอาให้ถึงขีดถึงแดน ให้จิตได้หลุดพ้นจากกิเลสโดยประการทั้งปวงแล้วเป็นยังไง อันนี้เรายังไม่เคย ให้ได้เห็นในหัวใจของเราซึ่งเป็นนักบวช และมีหน้าที่การงานเพียงอย่างเดียวเท่านี้จะเป็นยังไง
เทศน์เท่านั้น วันนี้เหนื่อย |