กิเลสตีตลาด
วันที่ 11 มิถุนายน 2533 เวลา 19:00 น. ความยาว 66.02 นาที
สถานที่ : วัดป่าบ้านตาด
| |
ดาวน์โหลดเพื่อเก็บไว้ในเครื่อง
ให้คลิกขวาแล้วเลือก Save target as .. จาก link ต่อไปนี้ :
ข้อมูลเสียงแบบ(Win)

ค้นหา :

เทศน์อบรมพระ ณ วัดป่าบ้านตาด

เมื่อวันที่ ๑๑ มิถุนายน พุทธศักราช ๒๕๓๓

กิเลสตีตลาด

 

การได้ยินได้ฟังอรรถธรรมอยู่โดยสม่ำเสมอ ย่อมเป็นความราบรื่นภายในจิตใจ เพราะใจของเรานั้นใช้งานอยู่ตลอดเวลา ไม่มีสิ่งใดบุคคลใดที่จะประกอบหน้าที่การงานอยู่ตลอดเวลาโดยไม่มีการพักผ่อนหย่อนตัวบ้างเลย เหมือนใจที่คิดอยู่ตลอดเวลานี้ เพราะฉะนั้นจึงเรียกว่าใจนี้ทำงานไม่หยุดไม่ถอยทั้งหนักทั้งเบา ไม่ทราบว่างานใดเป็นงานหนัก จะค่อยพักผ่อนหย่อนกำลังแห่งความหนักนั้นลงสู่ความเบา เพื่อบรรเทาตนเองไม่มีเลย เพราะใจไม่รู้ว่าจะพักผ่อนอย่างไรบ้าง มีแต่หนักก็ดิ้นเบาก็ดีด มีแต่ความดีดความดิ้นอยู่ภายในจิตใจ เพราะสิ่งผลักดันนั้นผลักดันอยู่ไม่หยุดไม่ถอย จิตจึงต้องดีดต้องดิ้นอยู่ตลอดเวลา

ถ้าเทียบกับงานทางโลกแล้ว ก็ไม่มีงานที่จะทำมากมีงานมากหมุนตัวอยู่ตลอดเวลาเหมือนจิตนี้เลย เมื่อการปฏิบัติธรรมคือจิตตภาวนาเป็นเครื่องประกอบกันเข้าบ้าง ใจก็มีการพักผ่อนหย่อนตัว เช่นหดตัวเข้ามาสู่ความสงบ เพราะอำนาจแห่งธรรมเป็นเครื่องดึงดูด ในเบื้องต้นมีคำบริกรรมเป็นสำคัญ บังคับจิตใจให้ทำงานอยู่กับคำบริกรรม เช่นเดียวกับการคิดปรุงในงานอื่นๆ อยู่โดยสม่ำเสมอด้วยความมีสติ

เพราะงานนี้เป็นงานทางด้านของมรรคที่จะทำจิตใจให้สงบได้ ไม่เหมือนกับงานทางด้านสมุทัย ที่กิเลสบีบบังคับให้ทำให้คิดให้ปรุง ใจเมื่อมีอรรถมีธรรมเข้าเป็นเครื่องระงับดับอารมณ์ทั้งหลาย ยังเหลือแต่อารมณ์คือคำบริกรรมเท่านั้น ย่อมจะสงบตัวเข้ามาได้ และเห็นความเย็นใจเห็นความสบายใจขึ้นภายในจิตดวงที่เคยรุ่มร้อนนั้นแล

แต่การเทศนาว่าการดังที่ผมเป็นอยู่เวลานี้ มันเป็นไปไม่ได้เหมือนอย่างที่เคยเป็นมาเลย เพราะธาตุขันธ์บอกอยู่ตลอดเวลาว่าไม่สามารถ อ่อนลงทุกเวล่ำเวลา ความจดความจำอันเป็นเครื่องมือสำคัญที่จะทำงานในการเทศนาว่าการนี้ เราไม่อยากจะพูดเพียงคำว่าสึกหรอ นอกจากว่าเสื่อมลงไปโดยลำดับลำดา จนจะไม่มีความจำเหลืออยู่แล้วภายในใจเท่านั้น เหมาะกับความเป็นอยู่เวลานี้ เพราะฉะนั้นจึงไม่อาจจะเทศนาว่าการอบรมพระเณรดังที่เคยปฏิบัติมาได้ จึงต้องพักไปๆ

นี่ก็นับแต่วันกลับมาจากกรุงเทพฯ วันที่ ๒๐ เมษายน จนกระทั่งบัดนี้ ถึงได้เริ่มมาประชุมเทศน์บ้างวันนี้ แต่ก็ไม่แน่ใจว่าจะเทศน์ไปได้มากน้อยเพียงไร เพราะความจำนี้เสื่อมลงๆ จับหน้าชนหลัง จับหลังชนหน้า หลงหน้าหลงหลังเหมือนกับคนไม่เคยเทศน์ ประหนึ่งว่าเด็กเพิ่งฝึกหัดพูดนั่นแล เพราะคำพูดและความจดจำไม่สืบไม่ต่อกัน พอพูดไปๆ ลืมหายเงียบไปเลยไม่ทราบว่าตกไปไหน ถ้าระลึกได้ก็มาต่อกันไป ความต่อกันไปด้วยความระลึกได้นี้ ก็ไม่เต็มเม็ดเต็มหน่วยตามหลักแห่งการเทศน์ทางภาคปฏิบัติ ถ้าระลึกไม่ได้ก็ตั้งใหม่ขึ้นมาก็เป็นเรื่องใหม่ไปเสีย พอจะเป็นเรื่องเป็นราวก็ลืมหายตกไปอีก แล้วก็ตั้งใหม่ขึ้นมา

เทศน์เพียงครั้งเดียวนั้นตั้งขึ้นใหม่ไม่รู้กี่ครั้ง และเทศน์ไปคนละแห่งละหน ไปคนละวรรคละตอนไม่เกี่ยวเนื่องกันเลย เพราะความจำหายไปแล้ว นี่จึงไม่ได้เทศน์ ส่วนอื่นก็นับว่าพอประมาณ กำลังวังชาก็พอเป็นไป แต่ความจำนี้รู้สึกว่าเสื่อมลงอย่างมากทีเดียว จนเจ้าของก็รู้ได้ชัด ถึงกับได้พูดออกมาในก่อนหน้านี้แล้วว่า ต่อไปนี้จะเทศน์ไม่ได้ เพราะเครื่องมือคือความจำสัญญาไม่ทำงานให้เหมือนอย่างแต่ก่อน อยากขาดเมื่อไรก็ขาดไป อยากหยุดเมื่อไรก็หยุดไป แล้วจะเทศน์ไปได้ยังไงเมื่อไม่มีสัญญาความจำได้หมายรู้ จะจับปะติดปะต่อกันเพื่อเป็นเรื่องเป็นราวต่อไปได้

จึงขอให้ทุกท่านได้ตั้งใจประพฤติปฏิบัติ ในวัดนี้เทปก็มีที่เทศน์ไว้แล้ว เอาเทปไปฟัง เทปนั้นแลคือธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า การเทศนาว่าการผมก็ไม่ได้มีความสงสัยในการเทศน์นั้นว่าไม่ถูก เทศน์ด้วยความเต็มอกเต็มใจ เทศน์ด้วยความแน่ใจ ในทางเหตุก็เป็นที่แน่ใจไม่สงสัย ทางผลจะมีจะปรากฏมากน้อยเพียงไรก็แน่ใจไม่สงสัยเช่นเดียวกัน ทั้งสองอย่างคือเหตุกับผลนี้รวมลงในเทปแต่ละกัณฑ์ๆ อยู่แล้ว เมื่อฟังนั้นก็พอจะเป็นคติเครื่องเตือนใจได้ ถ้าไม่ปล่อยใจให้เถลไถลไปเสียดังที่เคยเป็นมาและเป็นอยู่เวลานี้ ต่อไปก็ยังจะเป็นไปอีกอย่างนี้แล้วก็หมดหวังในเพศนักบวชของเรา

คำว่ามรรคผลนิพพานๆ เลยกลายไปอยู่เมืองอินเดีย กลายไปอยู่กับพระพุทธเจ้า กลายไปอยู่กับพระสงฆ์สาวกที่ท่านปรินิพพานไปแล้วนั้นเสียหมด ไม่มีอะไรยังเหลือหรือตกค้างอยู่เลยในศาสนธรรมของท่านที่ประกาศสอนไว้ ซึ่งได้จดจารึกในคัมภีร์ใบลาน เพราะไม่ได้ถือคัมภีร์ใบลานอันเป็นศาสนธรรมของท่านมาประพฤติปฏิบัติให้ถูกต้อง ไม่ว่าทางแง่ธรรม ไม่ว่าทางแง่วินัย กลายเป็นความไม่สำคัญไปหมด

สิ่งที่สำคัญก็คือ ความดื้อด้านหาญทำโดยไม่คิดอ่านไตร่ตรองอะไร ในเรื่องความผิดความถูกประการต่างๆ ให้เหนือไปจากความอยากที่บีบบังคับอยู่ภายในจิตใจ ให้แสดงออกมาทางกายทางวาจาทางความประพฤตินั้นเลย นี่เป็นสิ่งสำคัญ แล้วมรรคผลนิพพานก็กลายเป็นสิ่งที่สุดเอื้อมหมดหวังไปหมด โน้นคิดไปเมืองอินเดีย คิดไปถึงความปรินิพพานของพระพุทธเจ้าและสาวกโน้น เลยทุ่มเทไปโน้นหมด

ความทุ่มเทไปโน้นเพื่อจะได้ผลกลับมาก็ไม่มี ทั้งทุ่มเทไปด้วย ทั้งเป็นความล่มจมหมดหวังไปด้วยในเวลาเดียวกัน ที่จะย้อนเข้ามาสู่ศาสนธรรมที่ท่านจดจารึกไว้ในคัมภีร์ใบลานทั้ง ๓ ปิฎก ใจก็ไม่ได้สนใจเสีย ไม่มีหวังอะไรกับธรรมเหล่านี้เสีย ไปหวังโน้น หวังก็หวังลมๆ แล้งๆ ไม่ได้หวังอย่างที่จะนำมาเป็นคติปรับปรุงตนเองให้เกิดผลขึ้นมาเสีย

ถ้าย้อนเข้ามาสู่คัมภีร์ก็ไม่ได้เห็นคัมภีร์เป็นของสำคัญ ยิ่งกว่าความอยากความทะเยอทะยาน ความฟุ้งเฟ้อเห่อเหิมของกิเลสประเภทต่างๆ ซึ่งฝังจมอยู่ภายในจิตใจนี้เสีย สุดท้ายก็ไม่มีอะไรเหลืออยู่ภายในตัวของพระของเณรผู้ปฏิบัติเรา เหลือก็เหลือแต่กิริยาว่าเป็นพระธุดงคกรรมฐาน เป็นกิริยาที่แสดงออกอย่างผิวๆ เผินๆ นี้เท่านั้น ส่วนใจไม่ได้ฝังลึกลงในอรรถในธรรม ในศีลในสมาธิในปัญญา ในวิมุตติความหลุดพ้นตามหลักศาสนธรรมนั้นเลย นี่จึงเป็นพระที่เรียกว่าโมฆภิกษุ เปล่าจากผลจากประโยชน์ในเพศของตน

ทั้งๆ ที่เพศของพระนี้เป็นเพศที่ตักตวงเอามรรคผลนิพพาน ดังพระพุทธเจ้าและพระสาวกทั้งหลายท่าน ท่านเป็นเพศอันนี้แลทรงผ้ากาสาวพัสตร์ ไม่เว้นแต่พระองค์เดียวที่ไม่ได้ทรงผ้ากาสาวพัสตร์ และเพศอันนี้แลเป็นเพศที่ตักตวงเอามรรคผลนิพพาน และเป็นเพศที่ได้ประกาศธรรมกระเทือนโลกแห่งชาวพุทธของเรามานานจนกระทั่งบัดนี้ว่า พุทฺธํ ธมฺมํ สงฺฆํ สรณํ คจฺฉามิ เป็นสรณะที่ตายใจได้ออกมาจากเพศนี้แล

แต่เมื่อเพศอันนี้มาถึงพวกเราแล้ว เลยกลายเป็นผ้าเหลืองปกคลุมหุ้มห่อตอไม้ไปเสีย เราจึงเป็นเหมือนกับตอไม้ กิเลสจะจับโยนไปที่ไหนก็ได้ ไม่ว่ามันจะบงการไปทางใด ไม่ได้มีความคิดความอ่านอะไรเลย ว่าความอยากประเภทนี้มาจากอะไร ไม่ว่าอยากเห็นอยากดู อยากได้ยินได้ฟัง อยากคิดอยากปรุงในแง่ใดเรื่องใด อดีตอนาคตแม้ปัจจุบันที่เป็นธรรมารมณ์ ก็มีแต่อารมณ์ของกิเลสทั้งนั้น ไม่ได้มีความรู้สึกตัวเลยว่า เรื่องเหล่านี้เป็นเรื่องของการชำระกิเลส หรือเป็นเรื่องของการสั่งสมกิเลสให้มีกำลังมากมูนขึ้น  จึงเรียกว่าเป็นพระหัวตอครองผ้ากาสาวพัสตร์ แต่ตัวเองไม่ได้ทำหน้าที่แห่งความเป็นพระ ดังพระพุทธเจ้าและสาวกท่านดำเนินและสอนไว้โดยลำดับมาจนทุกวันนี้ เพราะฉะนั้นผลจึงไม่ปรากฏ

เรื่องมรรคผลนิพพาน ประหนึ่งว่าเป็นเสนียดจัญไรแก่ชาวพุทธเราเข้าไปโดยลำดับแล้ว ทุกวันนี้ถ้าพูดถึงเรื่องมรรคผลนิพพาน พูดถึงเรื่องการประพฤติปฏิบัติตัวเพื่อมรรคผลนิพพาน รู้สึกจะแสลงแทงใจของชาวพุทธเรามากมาย เพราะในชาวพุทธของเราล้วนแล้วแต่เป็นคลังกิเลส ที่ต่างคนต่างส่งเสริมให้หนักมือมากเข้าทุกทีๆ จนปรากฏที่ว่าเป็นน่าอุจาดบาดตาของท่านผู้ดีทั้งหลาย เพราะในโลกนี้ปราชญ์ยังมี ไม่ใช่มีแต่ประเภทเล่นละครสดๆ ร้อนๆ ต่อหน้ากันอย่างไม่อายอย่างนี้โดยถ่ายเดียวที่น่าสลดสังเวชมาก

คำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า เป็นธรรมชาติที่คงเส้นคงวาหนาแน่นอยู่ด้วยเหตุด้วยผลด้วยมรรคผลนิพพาน ไม่มีอะไรบกบางเลย สิ่งที่บกบางก็คือผู้จะประกอบหน้าที่การงานเพื่อมรรคผลนิพพาน นี่มันบกบางหรือมีน้อยมาก จนแทบไม่มีไม่ปรากฏเลย สุดท้ายมรรคผลนิพพานก็มีแต่ชื่อ ถือศาสนาก็สักแต่ว่าเป็นพิธี เป็นกิริยาแห่งชาวพุทธเพียงงามตาโลก คืองามตากิเลสเท่านั้น ไม่ได้งามในหัวใจที่เป็นที่สถิตอยู่แห่งธรรมเลย นี่แลเป็นที่น่าสลดสังเวชเอามากมายในชาวพุทธเรา

สำหรับพวกเรามีความรู้สึกอย่างไรบ้างในการปฏิบัติธรรม ธรรมทั้งหลายที่กล่าวมาเหล่านี้จนกระทั่งถึงวิสุทธิธรรมนั้น ไปรวมตัวถูกกักขังไว้ที่เมืองอินเดียดินแดนตรัสรู้ธรรมของพระพุทธเจ้าหมดแล้วเหรอ ตั้งปัญหาขึ้นถามเจ้าของดู และไปรวมตัวอยู่กับพระสงฆ์สาวกท่านผู้ปรินิพพานไปจนไม่มีเหลือแล้วเหรอ ท่านขวนขวายด้วยเหตุผลกลไกอะไรทำไมจึงไม่นำมาคิดบ้าง ธรรมทุกบททุกบาทสอนเพื่อแก้เพื่อชำระกิเลส เพื่อให้จิตใจมีความสะอาดสงบร่มเย็น และมีความเฉลียวฉลาดปราดเปรื่องเลื่องลือภายในหัวใจของผู้บำเพ็ญขึ้นโดยลำดับ ทำไมจึงไม่ได้คิดและไม่ได้นำมาซักฟอกแก้ไขดัดแปลงหรือฝึกทรมานตนบ้าง มันเป็นยังไง เหล่านี้ให้ตั้งปัญหาถามตัวเอง ถ้าอยากมีทางเล็ดลอด ไม่จอดจมไปตามๆ กันหมดน่ะ

เวลานี้เป็นอย่างนั้นเสียมากต่อมากแล้ว ต่อไปนี้จะพูดเรื่องมรรคผลนิพพานไม่ได้ หัวเราะกันเต็มบ้านเต็มเมือง เพราะกิเลสมันหน้าด้านอย่างออกหน้าออกตา ไม่มีขยะแขยงต่ออรรถต่อธรรมเลย ไม่มียางอาย มันแสดงได้อย่างเต็มที่อย่างที่รู้ๆ เห็นๆ กันอยู่ ถ้าดูก็เห็น ถ้าสังเกตก็รู้ว่ากิเลสออกตีตลาดตเลเวลานี้ เป็นอย่างไรบ้างทั้งชาวพระชาวบ้านทั่วๆ ไป สำหรับชาวพุทธชาวพระเรา มักมีแต่นำเรื่องเป็นภัยมาเผาผลาญกันอย่างออกหน้าออกตา หมดยางอายเข้าไปเรื่อยๆ นั่นแล ส่วนสิ่งที่จะระงับดับสิ่งเป็นภัยเหล่านั้นไม่คำนึงถึงเลย เมื่อเป็นเช่นนี้สิ่งเหล่านั้นจะระงับดับลงได้อย่างไร เมื่อไม่มีใครสนใจนำมาระงับดับมันหรือชะล้างกัน สุดท้ายก็ดำเหมือนตอตะโกหมดทั้งตัวทั้งใจนั้นแล

ทั้งๆ ที่ประกาศตนอยู่อย่างอาจหาญว่าเป็นลูกศิษย์ตถาคต เป็นพุทธบริษัท เป็นชาวพุทธ ก็มีแต่ลมปากเท่านั้น เราเองก็ว่าเป็นพระก็มีแต่ลมปาก ตัวจริงที่ควรจะได้จะทรง คือศีล สมาธิ ปัญญา วิมุตติหลุดพ้นไม่มีในหัวใจ เพราะภาคปฏิบัติที่จะยังธรรมเหล่านี้ขึ้นมาปรากฏในหัวใจไม่มี จึงทำให้วิตกวิจารณ์

ผมพูดตามหลักความจริง ผมวิตกวิจารณ์มากจริงๆ ไม่ใช่ว่าเรานี้เลิศเลอกว่าโลกกว่าสงสารที่ไหนแหละ ความคิดอย่างนั้นเราก็ไม่มี แต่ความเป็นอย่างนี้มันมีอยู่ก็ต้องบอกว่ามี วิตกวิจารณ์ เพราะสิ่งที่มันล่อมันแหลมมันเป็นฟืนเป็นไฟเผาไหม้หัวใจของสัตว์โลก จนแสดงออกมาทางกิริยามารยาทแทบหายางอายไม่ได้ และหายางอายไม่ได้นั้น นับวันท่วมท้นเต็มสัตว์เต็มบุคคลเวลานี้ ไม่ว่าผู้หญิงผู้ชายนักบวชฆราวาส ไม่ว่าเราว่าเขา ใครก็มีแต่เรื่องเสาะเรื่องแสวง เรื่องส่งเรื่องเสริมกันให้เป็นฟืนเป็นไฟหนาแน่นขึ้นทุกวันๆ

คำว่าธรรมๆ คำว่าบาปว่าบุญนั้นเริ่มหมดไปๆ จากหัวใจและความประพฤติ สุดท้ายคัมภีร์ก็อยู่ในตู้ในหีบ เปิดออกมาดูไม่ได้หัวเราะกัน ไม่ต้องพูดถึงจะเอามาปฏิบัติให้เห็นต่อหน้าต่อตากันนี้เลย เพียงแต่จะเปิดคัมภีร์ธรรมะออกมาอ่านก็หัวเราะกันแล้ว นั่นละเรื่องของกิเลสเมื่อมีมากเข้าๆ เป็นอย่างนั้น เป็นอยู่ในหัวใจของท่านของเรานี้แล อย่าไปหมายหัวใจของผู้ใด ให้ดูหัวใจของเจ้าของนี้เป็นสำคัญ

กิริยาใดแสดงออกมามีแต่เรื่องของกิเลสทั้งนั้นแต่เราก็ภูมิใจ แม้ที่สุดเดินจงกรมอยู่นั้นเป็นอย่างไรบ้าง หัวใจเรามันดีดมันดิ้นไปไหนกี่ทวีป อดีตที่เป็นเดนล่วงมาแล้วกี่ปีกี่เดือน มันก็เอามาปรุงมาแต่งมาอุ่นให้เป็นของสดๆ ร้อนๆ แล้วเผาเจ้าของอยู่ต่อหน้าต่อตาในทางจงกรมนั้นแล อนาคตก็ไม่ทราบว่าอยู่ที่ไหน เป็นลมๆ แล้งๆ มันก็ปรุงแต่งขึ้นมาเป็นตนเป็นตัวเป็นเนื้อเป็นหนัง เป็นหญิงเป็นชายเป็นสัตว์เป็นบุคคล เป็นสมบัติพัสถาน เป็นเทวบุตรเทวดาขึ้นมาในหัวใจด้วยความเป็นลมๆ แล้งๆ นั้นแล ปัจจุบันคิดออกก็คิดออกเพื่ออดีตเพื่ออนาคต ซึ่งเป็นเรื่องลมๆ แล้งๆ ทั้งนั้น แต่ไฟที่เกิดขึ้นจากอารมณ์นั้นมันเป็นไฟจริงๆ เผาหัวใจนั้นแล นี่ถึงว่าเดินจงกรมอยู่ใจก็สั่งสมแต่กิเลส แล้วธรรมจะมีที่ไหนมาปรากฏ

ถ้าผู้ตั้งใจจะให้เป็นมรรคเป็นผลจริงๆ ความจดจ่อต่อเนื่องแห่งสติปัญญาของเรากับใจย่อมไม่ห่างกัน ประหนึ่งว่าใจดวงนี้ได้คุ้มครองป้องกันอยู่ตลอดเวลาด้วยอำนาจของสติปัญญา เพราะกิเลสมันครอบอยู่ภายใน สติปัญญาครอบอยู่ภายนอกบังคับกิเลสไม่ให้มันดิ้นมันดีด พาจิตใจดิ้นดีดไปในอารมณ์ต่างๆ ดังที่เคยเป็นมา นี่จึงเรียกว่าใจนี้เป็นเหมือนกับผู้ต้องหา ปกติก็เป็นผู้ต้องหาของกิเลส ถูกย่ำยีสีไฟตลอดเวลา ถัดออกมาจากนั้นก็เป็นเรื่องของสติปัญญาเข้าช่วยจิตใจ นี่ก็เป็นกองทุกข์อันหนึ่งเพราะต้องต่อสู้กับกิเลส จิตจึงเป็นเหมือนกับผู้ต้องหา

การประกอบความพากเพียร เวลาหนักต้องหนัก จะว่าเบาไม่ได้ ในนิสัยวาสนาฐานะของเราๆ ท่านๆ ที่เป็นอยู่บัดนี้ ไม่ใช่ผู้จะสุกเอาเผากินได้อย่างง่ายดาย ครั้งพุทธกาลท่านมีอุปนิสัยสามารถต่างกันกับพวกเรา นั้นไม่ใช่ประเภทสุกเอาเผากิน แต่เป็นผู้ที่รู้อย่างรวดเร็ว พ้นได้อย่างรวดเร็ว เพราะความพร้อมแล้วๆ ที่จะพ้น พวกเราไม่เป็นเช่นนั้น จึงต้องได้ตะเกียกตะกายเต็มสติกำลังความสามารถของตน

เราอย่าไปคำนึงว่างานนี้หนักไป กิเลสบีบบังคับเราหนักมากยิ่งกว่านี้ และบีบบังคับมานานเท่าไรตัวเราเองก็นับไม่ได้ นี่ก็เคยแสดงให้ฟังแล้วไม่รู้กี่ครั้งกี่หนนานเท่าไร การประกอบความเพียรที่จะต่อสู้กับกิเลส ชำระกิเลสให้หมดสิ้นไปจากใจ หายความทุกข์ทรมานทางใจโดยประการทั้งปวงนั้น ทำไมเราจะทำไม่ได้ ทุกข์นานขนาดไหนในชีวิตของเรานี้ มีกี่ปีกี่เดือนมันก็ตาย เอ้า ขณะที่มีชีวิตอยู่นี้ซึ่งพอจะต่อสู้กันได้ เอาลงให้เต็มเม็ดเต็มหน่วย อย่างนั้นมันถึงจะได้ครองธรรมอันเลิศ อย่างน้อยก็ความสงบเย็นใจจะปรากฏขึ้นมาโดยไม่มีทางสงสัยว่าจะเป็นอื่นไป

วันนี้ว่างั้นเลยขึ้นเวทีแล้ว การขึ้นเวทีเป็นยังไง อย่างเขาต่อยมวยชกมวยเป็นยังไง พอขึ้นเวทีก็พร้อมแล้วที่จะต่อสู้ ใครก็หวังเอาชัยชนะอย่างเดียวเท่านั้น นี่ระหว่างกิเลสกับธรรม ส่วนมากต่อมากก็คือกิเลสมันเป็นฝ่ายชนะอยู่แล้ว ธรรมที่จะเข้าไปต่อกรกับกิเลส จึงต้องได้ใช้สติ ปัญญา ศรัทธา ความพากเพียร ความอดความทนอย่างหนาแน่นแม่นยำ ไม่เช่นนั้นกิเลสจะไม่ถลอกปอกเปิกเลย เอ้า ขณะนี้สู้ได้อย่างนี้ ขณะต่อไปก็ให้เป็นแบบเดียวกัน เหมือนกับขณะที่เป็นอยู่เวลานี้หรือยิ่งกว่านี้

ชั่วโมงใดก็ตาม เวลาใดก็ตาม วันใดก็ตาม ต้องมีการต่อสู้กันอยู่อย่างนี้ ตลอดเวลาที่กิเลสยังฝังอยู่ภายในจิตใจหาเวล่ำเวลาไม่ได้เลย การประกอบความพากเพียรเราจะไปหาเวล่ำเวลาอย่างนั้นไม่ทันกับกิเลส นี่ละที่ว่าหนัก หนักที่ตรงนี้ ผู้ประกอบความเพียรในเบื้องต้นหนักด้วยกันทุกคน แต่ไม่ได้หนักไปตลอดเวลา เมื่อเราหนักมือเข้า สติหนักเข้า ปัญญาหนักเข้า ความเพียรทุกด้านความอดความทนหนักเข้าๆ กิเลสจะค่อยอ่อนตัวลงไป

ให้พึงทราบว่านี้ผลแห่งการประกอบความพากเพียรปรากฏเช่นนี้ เพราะสติดี ปัญญาดี ความเพียรดี ความอดทนดี ความสืบต่อเนื่องกันแห่งความเพียรดี เป็นสัมปชัญญะ ถ้าพูดถึงเรื่องสติ ให้ตั้งอยู่อย่างนั้น นั่นละเราจะได้เห็นความเบิกกว้างออกของกิเลส มันเบิกกว้างออกจากใจ ไม่บีบบังคับเหมือนอย่างที่เคยเป็นมา จิตใจถ้าหากพูดถึงเป็นลมหายใจก็พอหายใจได้ พอสะดวกสบาย เอ้า สู้กันเรื่อยไป นี่ขั้นเริ่มแรก ไม่มีขั้นใดจะหนักยิ่งกว่าขั้นเริ่มแรก ทั้งไม่รู้วิธีด้วย ถูไถกันไปอย่างนั้น

แต่นี้เราก็ได้ยินได้ฟังอุบายวิธีการต่างๆ จากครูจากอาจารย์ พอจะยึดเป็นคติหรือเป็นเครื่องมือแห่งการดำเนินได้ นอกจากเราไม่นำมาใช้เท่านั้น อันนี้ละเป็นหลักสำคัญ ในเบื้องต้นนี้ต้องได้หาอุบายวิธีการต่างๆ ใช้อยู่ตลอดเวลา สติปัญญาไม่เพียงแต่ไปแก้กิเลส ต้องหาอุบายมาแก้กิเลส หาอุบายหาวิธีการมาใช้ วิธีใดถูก วิธีใดได้ผล วิธีใดไม่ได้ผล พลิกแพลงเปลี่ยนแปลงหลายสันหลายคม นี่เรียกว่าปัญญา แล้วก็มีคมหนึ่งสันหนึ่งจนได้ขณะหนึ่งจนได้ ที่จะไปเจอกันกับกิเลสและได้ผลขึ้นมา แล้วยึดเอาไว้เป็นหลักเกณฑ์

ดังที่เคยพูดเรื่องผ่อนอาหารนี้ นี่เป็นเรื่องสำคัญมากนะ ในวัยของเราๆ ท่านๆ นี้เป็นวัยที่คึกที่คะนองทางธาตุทางขันธ์ เพื่อเสริมจิตใจให้คึกคะนองยิ่งขึ้นกว่าที่เป็นอยู่ของมัน ถ้าร่างกายมีกำลังมาก ราคะตัณหาก็มีกำลังรุนแรงมากไปตามๆ กัน สติปัญญาไม่มีความหมายเลย ล้มละลายๆ นี่เคยปฏิบัติมาแล้วจึงได้นำมาพูดให้ท่านทั้งหลายฟัง ถึงได้เอากันถึงพริกถึงขิงถึงเป็นถึงตาย เมื่อร่างกายเราอ่อนลงเพราะไม่เสริมมัน สติปัญญาก็ค่อยดีขึ้นในวันนั้นแหละ เริ่มตั้งแต่วันนั้นไปเรื่อยๆ สติปัญญาค่อยดีขึ้น ค่อยสืบต่อกันไปได้แล้วค่อยเด่นขึ้นๆ

กำลังของร่างกายอ่อนตัวลงเท่าไร สติปัญญาของเราที่หนุนอยู่ตลอดเวลาด้วยความพากเพียรนั้น ย่อมเจริญขึ้นเรื่อยๆ เด่นชัด ถึงขั้นเด่นชัดว่าสติเป็นอย่างนี้ เมื่อสติดีใจย่อมไม่ดีดไม่ดิ้นเพราะกิเลสไม่เตะไม่ยันมัน เอ้า ว่าเตะว่ายันนี้เหมาะเวลาใจหยาบกิเลสหยาบ และมันก็หมอบ เพราะกิเลสประเภทนี้ก็อ่อนตัวลงไปเมื่อไม่มีเครื่องเสริม แล้วค่อยพยายามหนักเข้าไป หากมันจะเป็นจะตายจริงๆ ไม่มีใครจะรู้ดียิ่งกว่าเรารู้เรา ถึงเวลาจะผ่อนผันสั้นยาวกันก็ผ่อนผันสั้นยาวกัน ถึงเวลาจะเด็ดก็ต้องเด็ด นี่คืออุบายวิธีการบำเพ็ญตัวให้ได้หลักได้เกณฑ์ ในขั้นเริ่มแรกเป็นอย่างนี้ ต้องหนัก

เพราะกิเลสประเภทนี้หนักมากนะ ขอพูดตรงๆ ตามหลักแห่งความจริง ไม่ได้เป็นของหยาบโลนอันใดเลย เพราะมีอยู่ในหัวใจของสัตว์ของบุคคลทุกประเภทอยู่แล้ว ถ้าหยาบโลนเอามากอดไว้ทำไม ตื่นมันทำไม เป็นบ้ากับมันทำไมถ้าว่าเป็นของหยาบโลน สลัดทิ้งเข้าป่าเข้ารกที่ไหนมันก็ไม่ได้เสียดายเรา แต่เราเสียดายมันต่างหาก นี่สิ่งนี้มีอยู่กับหัวใจทุกคน และทำลายสัตว์โลกให้ได้รับความบอบช้ำ ให้ได้รับความทุกข์ทรมาน จนถึงการทำบาปทำกรรมอย่างชั่วช้าลามกแสนสาหัส ก็เพราะธรรมชาตินี้แล จึงเรียกว่ามันหยาบโลน เมื่อนำสิ่งที่จะแก้ไขความหยาบโลนนี้ออกมาใช้ ทำไมจะเป็นของหยาบไป นี่ที่ว่ามันรุนแรง ต้องได้ใช้อุบายวิธีการอย่างหนักมากทีเดียว นี่แลเริ่มที่จะได้ผลก็คือการผ่อนการอดอาหาร

อดนอนก็อด นี่ก็เคยอดเหมือนกัน แต่ไม่ค่อยได้ผลเด่นชัด จะเป็นเพราะจริตนิสัยยังไงก็ทราบไม่ได้ แต่เรื่องการผ่อนอาหารอดอาหารนี้ เห็นชัดรู้ชัดภายในจิตใจ อย่างน้อยทรงตัวได้ มากกว่านั้นก็ขยับเข้าไปเรื่อยๆ กิเลสตัวนี้ถึงจะค่อยเบาลงๆ พอกิเลสตัวนี้เบาลง สติปัญญาก็นับวันหนักขึ้นๆ ทีนี้ก็มีช่องมีทางที่จะต่อสู้กันได้โดยลำดับ นี่หนัก จึงบอกว่าหนัก ต้องได้ใช้อุบายวิธีการอย่างหนัก ไม่หนักไม่ได้ เพราะมันดึงดูดที่สุดเลยแหละกิเลสตัวราคะตัณหานี้

ไม่มีสิ่งใดในโลกนี้ที่จะดึงดูดหัวใจสัตว์ ให้จมแนบอยู่กับพื้นแห่งความเกิดแก่เจ็บตายยิ่งกว่ากิเลสตัวนี้ อันนี้ดึงดูดจริงๆ หนักมากจริงๆ เพราะฉะนั้น การรื้อการถอนการเข็นการลากกันออกจากที่จมมิดๆ นั้น จึงต้องได้ใช้สติปัญญาและความเพียรทุกด้านทุกทางโหมกันเข้าไป ไม่เช่นนั้นไม่เห็นผล นี่ที่ว่าเป็นขั้นที่หนักมาก เพราะมันหยาบมากก็หนักมาก ดึงดูดมาก เมื่ออันนี้ค่อยเบาลงไปๆ พร้อมกับอุบายวิธีการต่างๆ ที่เราพินิจพิจารณา มีหลักของอสุภะอสุภังเป็นสำคัญ พิจารณาร่างกายทั้งของเขาของเรา

ส่วนมากเอาตัวของเรานี้พิจารณากระจายออกไป ที่ท่านสอนให้ไปเยี่ยมป่าช้า ก็มีแนวอันเดียวกัน เกี่ยวกับเรื่องให้มันเบื่อมันหน่ายในของอันนี้ มีอยู่เต็มร่างกายเต็มหัวใจเราแต่มันไม่เบื่อหน่าย มันยิ่งติดยิ่งพันเข้าไป ไม่ว่าเขาว่าเราว่าผู้ใด มันติดมันพันกับสิ่งสกปรกโสมมนี้ทั้งนั้น จึงต้องได้คลี่คลายออกมา เอาความจริงเข้าให้มันดูให้มันพิจารณา ความจริงคืออะไร ในร่างกายนี้มีอะไรบ้างดูซิ แม้แต่หนังมันก็หาความสะอาดที่ไหนได้ ชะล้างอยู่ทุกวัน ถ้ามันสะอาดแล้วชะล้างหาอะไร ก็คือความสกปรกของมันนั่นเอง แต่ผิวๆ เผินๆ นี้มันก็ยังแสดงให้เห็น แล้วข้างในเข้าไปเป็นยังไงบ้าง นั่นคือความจริง

แต่กิเลสมันจะไม่เอามาใช้ เพราะโลกทั้งหลายจะไม่ติดมัน มันต้องหาสิ่งที่โลกทั้งหลายจะติดจะพัน ที่มันกล่อมได้ง่ายๆ มันจึงเสกสรรปั้นยอขึ้นมาแบบลมๆ แล้งๆ ว่าเป็นของสวยของงามของจีรังถาวร เป็นสิ่งที่มีคุณค่าราคา โลกไหนสู้โลกนี้ไม่ได้ โลกไหนมันก็ไม่อยากไปถ้ามันลงได้ติดอันนี้แล้วไม่ว่าผู้ใด สัตว์ทั้งหลายติดกันเพราะอันนี้ ติดกันเพราะการเสกสรรปั้นยอแห่งความจอมปลอมของกิเลสนี้ เมื่อเปิดออกด้วยกฎแห่งธรรมที่เป็นความจริง ด้วย อนิจฺจํ ทุกฺขํ อนตฺตา และ อสุภะอสุภัง แล้วมันจะไปไหน ต้องรู้ต้องเห็นตามความจริงนั้นๆ

เมื่อเจอความจริงแล้วบอกให้ยึดก็ไม่ยึด ปล่อยสลัดปัดทิ้งโดยไม่มีความอาลัยเสียดายอะไรเลย และยังเสียดายรู้ตั้งแต่ก่อนๆ ที่ยังไม่รู้เสียอีก อ๋อ มันเป็นอย่างนี้ นี่เมื่อเข้าถึงกันแล้วเป็นอย่างนั้น เมื่ออันนี้เบาลงไป ความดึงดูดก็ย่อมเบาลงไป จิตใจย่อมทรงตัวได้ ไม่ดีดไม่ดิ้นไม่ถูกกวัดถูกแกว่ง ลากไปโน้นเข็นไปนี้ถลอกปอกเปิกเหมือนอย่างแต่ก่อน พอทรงตัวได้ จิตใจมีความสงบ นี่ละวิธีการปฏิบัติจงจดจำเอาไว้ให้ดี

นี้คือธรรมของพระพุทธเจ้า สดๆ ร้อนๆ พระองค์และพระสาวกทั้งหลายแก้มาแล้วแก้ด้วยวิธีนี้ ธรรมชาตินี้ไม่ได้มีอะไรเปลี่ยนแปลงไปเลย สิ่งที่จะพิจารณานี้ก็เป็นสภาพเดิมเหมือนอย่างนั้น คงเส้นคงวาหนาแน่นไปด้วยความปฏิกูลโสโครก อนิจฺจํ ทุกฺขํ อนตฺตา เสมอต้นเสมอปลายกันหมด เป็นแต่กิเลสมันหลอกว่าให้ยิ่งขึ้นไปๆ เรื่อยๆ เท่านั้น เราก็หลงมัน เมื่อเอาความจริงจับเข้าไปๆ ทำไมจะไม่เข้าจุดแห่งความจริงทั้งหลายเสมอต้นเสมอปลายเหมือนพระพุทธเจ้าและสาวกทั้งหลาย และทำไมจิตจะไม่ปล่อยวางเหมือนท่านล่ะ นี่พิจารณาอย่างนี้

ในขั้นหนักต้องหนัก เอาให้พันกันอยู่ทั้งวันทั้งคืน ไม่ให้อารมณ์อันใดเข้ามาเกี่ยวข้อง นอกจากอารมณ์อันนี้เท่านั้น ถ้าว่าเยี่ยมป่าช้าก็เยี่ยมทั้งวันทั้งคืนยืนเดินนั่งนอน นอนก็เยี่ยม นั่งก็เยี่ยม เดินก็เยี่ยม อะไรก็เยี่ยม ดูกันอยู่อย่างนั้นเรียกว่าเยี่ยม พินิจพิจารณาใคร่ครวญให้เห็นตามหลักความจริง เอา จิตมันดีดไปไหน มันอยากไปไหน ความอยากอันนั้นมีแต่เรื่องของสมุทัยมากต่อมาก จะให้เป็นความอยากเป็นมรรคนี้ยังเป็นไปไม่ได้

ในขั้นเริ่มแรกต้องเป็นเรื่องความอยากของสมุทัยทั้งนั้น จนกว่าว่าสติ ปัญญา ศรัทธา ความเพียรของเราหนาแน่นขึ้นๆ จิตมีกำลังแล้ว ทีนี้ความอยากทางด้านธรรมะไม่ต้องบอกก็รู้และชนะกันไปเรื่อยเลย ความอยากอันนี้ดิ้นออกดีดออกตรงไหน มีแต่จะดิ้นออกจากความผูกพันทั้งนั้น นี่ความอยากนี้เป็นมรรค มันก็รู้ในหัวใจเจ้าของเองนั่นแลไม่ใช่รู้ที่ไหน นี่ในเบื้องตันจะแก้ธรรมชาติคือราคะตัณหาที่เป็นเครื่องก่อกวนบีบบังคับหัวใจประหนึ่งว่าทรวงอกจะแตกโน่นน่ะ เวลามันบีบพอๆ มันเสียดแทงพอๆ เหมือนกับแหลมกับหลาวแทงอยู่ในหัวใจ มองเห็นอะไรไม่ได้ ได้ยินอะไรไม่ได้ เป็นข้าศึกเข้ามาทิ่มแทงหัวใจนี้ทั้งนั้นทีเดียว นี่เรื่องกองทุกข์มีอยู่ตรงนี้มากที่สุด และสิ่งที่ดูดดื่มก็ดูดดื่มอันกองทุกข์มากๆ อันภัยมากๆ นี้แหละมากที่สุดกว่าสิ่งใด

จึงต้องได้ตะเกียกตะกายกันอย่างหนัก เอ้า เป็นก็เป็น ตายก็ตาย ฟัดเหวี่ยงกันอยู่นั้น เมื่อหลายครั้งหลายหนความจริงจดเข้าไม่ถอย แทงเข้าไม่ถอย ขุดค้นเข้าไม่ถอย ก็เข้าถึงความจริงด้วยความเชื่อ อ๋อ เป็นอย่างนี้ หลายครั้งหลายหนเข้าไป ยิ่งชัดเข้าไปๆ สิ่งที่ว่าสวยๆ งามๆ มองหาที่ไหนมันไม่มี ก็ไม่เคยมีอยู่แล้วจะเอาอะไรมามี มันหลอกเฉยๆ ความจริงต่างหากมีอยู่ คืออย่างที่ว่า อสุภะอสุภัง ทุกฺขํ อนตฺตา มีอยู่ประจำอันนี้ แต่เมื่อไม่ดูก็ไม่เชื่อ มันเชื่อแต่ลมๆ แล้งๆ เพราะฉะนั้นหัวใจจึงเป็นบ้าอยู่ทั้งวันทั้งคืน คืออยู่ในหัวใจของเราแต่ละดวงๆ นั้นแล อย่าไปตำหนิผู้หนึ่งผู้ใด มันดูดหัวใจเจ้าของเวลามันดีดมันดิ้น เพราะฉะนั้นจึงต้องให้เอากันอย่างหนัก

ขั้นนี้ค่อยเบาบางลงไป ใจมีความสงบเย็นได้ และการรบกวนจากอารมณ์ทั้งหลายเหล่านี้ก็เบาลงๆ ที่นี่จิตสบาย เอ้า ปัญญาพิจารณาเข้าไป ยิ่งแยกยิ่งแยะเข้าไปให้เห็นชัดเจน จนกระทั่งถึงความรวดเร็วของปัญญา จะมองเห็นรูปใดหญิงใดชายใดก็ตาม มันจะรวดเร็วเหมือนฟ้าแลบ พอมองเห็นพับความปฏิกูลโสโครกมาพร้อมกันพรึบๆ นั่นเรียกว่าความรวดเร็วของสติปัญญาที่เป็นเองๆ เมื่อถึงขั้นเป็นเองแล้วไม่ต้องได้บังคับให้เป็นอย่างนั้นหากเป็นเองๆ

มองเห็นเราฉันใด มองเห็นคนอื่นก็ฉันนั้น ดังที่เคยได้ยกนิทานในธรรมบทมาแสดงเป็นคติแก่ผู้ฟังทั้งหลายว่า มีพระองค์หนึ่งท่านกำลังบำเพ็ญสมณธรรม เวลานั้นท่านกำลังเจริญกรรมฐานมีอัฐิเป็นอารมณ์ของใจ พิจารณาร่างทั้งหลายนี้มันเปื่อยมันผุมันพังไปหมด ยืนเดินนั่งนอนตัวเจ้าของเองนี้มีแต่ร่างกระดูกเท่านั้น เป็นโครงกระดูกไม่มีเนื้อไม่มีหนังติดตัวเลย ประจักษ์หัวใจอยู่ตลอดเวลาของท่านผู้ปฏิบัติอยู่ในขั้นนั้น ทีนี้ก็มีผู้หญิงคนหนึ่งผ่านมาและสามีเขาก็ตามมา เขามาถามท่านว่า ท่านอยู่ที่นี่ท่านได้เห็นผู้หญิงเดินผ่านมานี้บ้างหรือเปล่า ท่านบอกท่านไม่ได้เห็นผู้หญิงผู้ชายที่ไหนผ่านมา เห็นแต่โครงกระดูกผ่านไป นี้คือท่านดูของท่านเป็นฉันใด ภายนอกก็เป็นฉันนั้น เพราะความชำนาญและรวดเร็วของปัญญาจึงเป็นอย่างนั้น

แต่ก่อนมองเห็นคนทั้งคนเป็นเทวดาไป กิเลสมันเสกสรรปั้นยอให้เป็นอย่างนั้น ถึงขนาดที่ว่าเป็นเทวดา โน่นอยู่บนชั้นสวรรค์ก็ถึงกันได้อย่างรวดเร็ว แต่พอสติปัญญาทันเข้าๆ และรวดเร็วเข้าโดยลำดับมองเห็นพับ ถ้าผู้ชำนาญในทางโครงกระดูกจะเห็นแต่โครงกระดูกเท่านั้น เนื้อหนังไม่เห็น ผู้ที่ชำนาญทางเนื้อจะมองเห็นร่างกายของคนแดงโร่ไปหมดเหมือนกับร่างกายของตัวเอง ความชำนาญในการพิจารณาเป็นเช่นนั้นแล

จากความชำนาญนี้แล้วก็ปล่อยวางโดยประการทั้งปวง ขั้นปล่อยวางนี้เป็น ปัจจักขทิฏฐิ คือรู้เฉพาะเห็นเฉพาะตน การอธิบายในขั้นนี้อธิบายยาก เมื่อพิจารณาพอแล้วจิตจะถอยเข้ามา เห็นโทษทั้งสิ่งนั้นด้วย เห็นโทษทั้งใจผู้ไปมั่นหมายสิ่งนั้นว่าเป็นของสวยของงามและยึดถือด้วย เมื่อเห็นโทษทั้งภายนอก เห็นโทษทั้งภายใน แล้วก็จะหลงอะไร ผู้นี้เป็นผู้ไปยึดไปถือก็รู้มันอยู่แล้ว นี้คือตัวขโมยตัวโจร อันนั้นเขาอยู่ตามสภาพของเขา เขาไม่ได้เป็นอะไร ไม่ได้สำคัญตนว่าเป็นของสวยของงาม ผู้นี้ต่างหากเป็นผู้ไปสำคัญว่าสวยว่างามแล้วก็ยึดถือเขา

เมื่อตนได้รู้โทษของตัวเองอย่างชัดเจนแล้วก็ปล่อยวาง เมื่อปล่อยอันนี้ก็แสดงให้เห็นชัดเจนว่า ปล่อยเครื่องดึงดูดอันใหญ่หลวงนี้ไปในขณะเดียวกัน เมื่อเครื่องดึงดูดอันหนักหน่วงถ่วงจิตใจภูเขาทั้งลูกสู้ไม่ได้ขาดออกไปจากใจแล้ว ใจย่อมดีดขึ้นอย่างเบาหวิวราวกับเหาะลอยอยู่บนอากาศนั่นแล นี่คุณค่าแห่งการปฏิบัติ แห่งการพินิจพิจารณาอย่างเอาจริงเอาจังเอาเป็นเอาตาย ไม่ว่าครั้งโน้นครั้งนี้จะเป็นแบบเดียวกันนี้

เพราะสวากขาตธรรมตรัสไว้ชอบแล้ว แม้พระพุทธเจ้าปรินิพพานไปแล้วก็ชอบอยู่อย่างนั้น จึงเรียกว่าสวากขาตธรรม ไม่ใช่เวลาพระองค์ยังทรงพระชนม์อยู่ ธรรมที่ตรัสไว้แล้วนี้จึงเป็นธรรมที่ชอบ เวลาปรินิพพานไปแล้วธรรมนี้เหลวไหลเหลวแหลกอย่างนั้น สวากขาตธรรมเป็นธรรมที่คงเส้นคงวา ตรัสไว้ตามความจริง ความจริงมีจริงฉันใดธรรมก็ตรัสไว้ฉันนั้น เช่นอย่างที่กล่าวมาแล้วนี้ อสุภะอสุภัง ทุกฺขํ อนตฺตา เป็นของจริงมาแต่ไหนแต่ไร ธรรมก็ตรัสไว้แล้วอย่างนั้น และยังจะเป็นของจริงตลอดไป ถ้าผู้ปฏิบัติดำเนินไปตามนี้แล้วย่อมจะหลุดพ้นปล่อยวางได้ไม่สงสัย

วันนี้เปิดให้ท่านทั้งหลายได้ฟังตอนสำคัญ ที่มันดึงมันดูดมันบีบบังคับจิตใจอย่างมาก จนหาที่อยู่ให้สบายใจสักนิดหนึ่งไม่ได้เลย ก็คือธรรมชาติอันนี้แลบีบบังคับ เวลาพิจารณาเข้าไปๆ จนกระทั่งมีกำลังวังชาสามารถรอบตัวแล้ว ไม่ต้องบอกก็ปล่อยเอง เมื่อปล่อยนี้แล้ว ความดึงดูดก็เป็นอันว่าหลุดลอยไปด้วยกัน เพราะเหตุนั้นพระอนาคามีท่านจึงไม่ลงมาเกิดอีก เพราะหมดความดึงดูดอันนี้แล้ว ให้มันเห็นชัดๆ ในหัวใจเจ้าของนั่นซิ เกิดก็เกิดเพราะอันนี้เป็นเครื่องดึงไว้ จิตไปไหนไม่ได้ต้องลงมาเกิดตายๆ อยู่นี้ เมื่อเครื่องดึงดูดนี้ขาดไม่มีอะไรเหลือแล้ว จิตก็ดีดขึ้นและเบาเหมือนนุ่นเหมือนสำลี เบาหวิวๆ และลอยตัวขึ้นไปในธรรมขั้นละเอียดโดยลำดับไม่กลับลงมาเกิดอีก

เรื่องอะไรไม่มีหนักยิ่งกว่าเรื่องราคะตัณหาภายในหัวใจของสัตว์โลก เอาให้เต็มเม็ดเต็มหน่วยเถอะมันเป็นอย่างนั้นจริงๆ ไม่เป็นอื่น อันนี้หนักมากไม่ว่าหญิงว่าชายว่าสัตว์ประเภทได วิชาชนิดนี้ไม่ต้องไปหาศึกษาเล่าเรียนมาจากที่ไหน ดังที่เขาโฆษณาเป็นบ้ากันอยู่ทั่วโลกดินแดนนั่น ในเมื่อมันมีอยู่กับทุกคน ใครไม่ต้องเรียนมันก็รู้มันก็เป็นด้วยกันหมด สัตว์เดรัจฉานเขามีโรงร่ำโรงเรียนที่ไหน เขาเป็นไหมดูเอา เพราะมันมีอยู่ในหัวใจของทุกคนเป็นทุกคน ลากเข็นให้ดีดให้ดิ้นด้วยกันทุกคน ให้มันเห็นชัดๆ อย่างนั้นซิการปฏิบัติธรรมน่ะ

การปฏิบัติเมื่อสิ่งที่ดึงดูดที่ลากให้ดิ่งจมลงอยู่ตลอดเวลานี้ ขาดสะบั้นไปจากหัวใจแล้ว เป็นยังไงหัวใจดวงนั้นเมื่อหมดเครื่องดึงดูดแล้ว นั่นแหละที่ว่าลอย ลอยขึ้น ละเอียดขึ้น สติปัญญาก็ไม่ต้องใช้แบบผาดโผนโจนทะยาน เอาเป็นเอาตายเข้าว่า เหมือนการพิจารณาเรื่องของ อสุภะอสุภัง ทุกฺขํ อนตฺตา ที่เกี่ยวกับราคะตัณหานี้เลย อันนี้หนักมาก ปัญญาก็ต้องเอาให้เต็มเหนี่ยว สติก็ต้องตั้งจริงๆ ไม่ตั้งไม่ได้ ไม่ทันกัน มันต้องหนักขนาดนั้นซิ ให้มันเห็นประจักษ์เจ้าของผู้ปฏิบัติแล้วก็พูดได้เองไม่สงสัย เพราะธรรมพระพุทธเจ้าเป็นธรรมเพื่อรู้เพื่อพูดได้ ทำไมจะรู้ไม่ได้ ทำไมจะพูดไม่ได้

เมื่อเวลาอันนี้มันขาดสะบั้นลงไปจากหัวใจแล้ว ใจดวงนั้นก็ลอยตัวขึ้นเท่านั้นเอง หมดความดึงดูดอย่างรุนแรงแล้ว มีก็มีอยู่อย่างละเอียดลออ นั่นแลที่ท่านว่าธรรมส่วนละเอียด เพราะฉะนั้นพระอนาคามีท่านจึงไม่ย้อนกลับมาเกิดอีก ท่านค่อยลอยตัวขึ้นไป คำว่าลอยตัวขึ้นไปนั้น ลอยขึ้นไปโดยอัตโนมัติ คือความบ่มอินทรีย์ของตัวเองให้แก่กล้าในขณะนั้นๆ ถ้ายังมีชีวิตอยู่ก็บำเพ็ญตนได้สะดวกรวดเร็วขึ้น ถึงขั้นอรหัตภูมิในชีวิตนั้นโดยไม่อาจสงสัย ดังพระอานนท์เป็นตัวอย่าง เราไม่ยกมามากแหละ ยกอย่างพระอานนท์ท่านสำเร็จพระโสดาในชาตินั้นแล้ว ท่านก็บรรลุถึงขั้นพระอรหัตบุคคลในชาตินั้นได้เพราะการบำเพ็ญ

การบำเพ็ญคือการหนุนอยู่ตลอดเวลา บำรุงอยู่ตลอดเวลา ส่งเสริมอยู่ตลอดเวลา ก็ค่อยเคลื่อนย้ายๆ ยิ่งจิตถึงขั้นนี้แล้วก็ย่อมเป็นจิตอัตโนมัติ แก่กล้าขึ้นไปโดยอัตโนมัติไม่มีการบังคับ เมื่อมีชีวิตอยู่ก็เร่งความเพียรเข้าไป ถ้าไม่มีชีวิตคือตายไปแล้วก็เป็นอัตโนมัติของจิตดวงนั้น ค่อยละเอียดเข้าไปๆ ควรอยู่ในขั้นใดก็ก้าวขึ้นไปในขั้นนั้นๆ อย่างที่ท่านว่า อวิหา อตัปปา สุทัสสา สุทัสสี อกนิฏฐา ท่านหมุนขึ้นไปเรื่อยๆ ของท่านด้วยอำนาจแห่งจิตแห่งธรรมอัตโนมัติ ทั้งนี้หากเป็นอยู่ในใจพูดไม่ถูก

ที่ว่าความเพียรๆ นี้ก็นำมาพูดเฉยๆ เพราะโลกนี้มีสมมุติ ถ้าให้ละเอียดกว่านี้ก็พูดได้ยาก ทั้งๆ ที่ใจรู้อยู่อย่างละเอียดก็ตาม เมื่อพูดออกมามันพูดไม่ถูกตามความเป็นของจิตดวงนั้น จำต้องเอาสมมุติมาพูดกัน พูดพอรู้เรื่องกันก็คือเป็นอัตโนมัติ จิตนั้นเป็นอัตโนมัติ ค่อยหมุนตัวไปๆ หมุนตัวสู่ความละเอียด หมุนตัวสู่ความละเอียดเรื่อยๆ เลื่อนขึ้นเรื่อย ขั้นสุดท้ายก็ดีดผึงจากขั้นอกนิฏฐาถึงนิพพาน หมดไม่มีอะไรเหลือเลยขึ้นชื่อว่าสมมุติ ที่ว่าสมมุติมีก็อย่างพระอนาคามีก็มีสมมุติขั้นละเอียดๆ แต่ไม่เป็นสมมุติอันดึงดูดเหมือนจิตที่ราคะตัณหาครอบงำอยู่เท่านั้น

ธรรมเหล่านี้เป็นธรรมสดๆ ร้อนๆ อยู่กับผู้ปฏิบัติเป็นสามีจิกรรม เราอย่าดิ้นอย่าดีดไปหาเมืองอินเดีย อย่าดิ้นอย่าดีดไปหาพระพุทธเจ้าพระสงฆ์สาวกท่านผู้ทรงมรรคผลแล้วที่เมืองอินเดีย ว่าเป็นเจ้าของแห่งธรรมเหล่านี้แต่พระองค์เดียวๆ สถานที่เดียวนั้น สถานที่นี่ก็คือวงแห่งอริยสัจ ตัวของเรานี้คืออริยสัจ พระพุทธเจ้าตรัสรู้ด้วยอริยสัจ พระสาวกอรหันต์ทั้งหลายเว้นไม่ได้แม้แต่พระองค์เดียว ตรัสรู้บรรลุธรรมด้วยอริยสัจนี้ทั้งนั้น

เวลานี้อริยสัจมีไหมอยู่ในตัวของเรา ทุกขสัจเป็นมาจากอะไร เป็นมาจากสมุทัยสัจ มีกามราคะหรือกามตัณหา ภวตัณหา วิภวตัณหา นี่เป็นหลักใหญ่ นี่แลคือตัวสมุทัย ตัวผลิตทุกข์ให้เกิดขึ้น นี่เรียกว่าสัจจะ ๒ แล้วก็นิโรธ มรรค นิโรธ ดับ-ดับอะไร ดับทุกข์ไปโดยลำดับๆ ถ้าสมุทัยไม่ดับไปโดยลำดับ ทุกข์จะดับไปโดยลำดับได้ยังไง สมุทัยดับไปโดยลำดับเพราะมรรค มรรค ได้แก่ สัมมาทิฏฐิ สัมมาสังกัปโป สรุปลงแล้วคือสติกับปัญญานั่นแลเป็นสำคัญ นี่คืออริยสัจ  อยู่ที่ไหนเวลานี้  หรือเหลวไหลไปหมดแล้วเหรอ พระพุทธเจ้าตรัสไว้แล้วไม่มีความหมายอะไรเหรออริยสัจน่ะ

ถ้าเรายังเห็นอริยสัจเป็นความจริง ดังที่พระพุทธเจ้าทรงรู้และทรงสั่งสอนไปแล้วนั้น และอยู่ในตัวของเรานี้ก็เป็นความจริงอย่างนั้นแล้ว ทำไมเราจะนำธรรมเหล่านี้มาฆ่าฟันหั่นแหลกกับกิเลสไม่ได้ล่ะ ก็มันมีอยู่ ๔ อย่างนี้เท่านั้น ไม่ใช่มี ๖ อย่าง ๑๐ อย่างหลังจากพระพุทธเจ้าปรินิพพานไปแล้ว แต่มีอยู่เท่าเดิม

สติปัญญาฝึกเข้าไปให้ดีซิ แล้วจะปรากฏธรรมขึ้นมาที่ใจดวงนี้ เมื่อสติปัญญาถึงขั้นละเอียดเต็มภูมิแล้ว กิเลสจะละเอียดขนาดไหนก็เถอะ มรรคนี่ฟันขาดสะบั้นไปเลยไม่มีเหลือ นั่นแลท่านว่าอริยมรรค เป็นมรรคที่ละเอียดมาก สามารถสังหารกิเลสได้ทุกประเภท ดังที่ท่านแสดงไว้ในภาวนามยปัญญา สุตมยปัญญา ปัญญาเกิดขึ้นจากการได้ยินได้ฟัง เช่นเราได้ยินได้ฟังจากครูจากอาจารย์ ปัญญาก็แตกแขนงออกไป อ๋อ ท่านว่าอย่างนั้นๆ เกิดปัญญาขึ้นมาแขนงหนึ่งๆ นี่เรียกว่าสุตมยปัญญา จินตามยปัญญาเป็นวิสัยคนชอบใคร่ครวญ เห็นอะไรๆ ชอบคิดชอบอ่าน แม้จะเป็นสามัญชนก็ตาม แต่เป็นนิสัยที่ชอบคิดชอบอ่าน นั่นท่านเรียกว่าจินตามยปัญญา

ส่วนภาวนามยปัญญานี้เกิดขึ้นจากด้านภาวนาล้วนๆ ไม่ขึ้นกับอะไร ไม่ขึ้นกับการเห็นการได้ยินได้ฟังการสัมผัสสัมพันธ์กับสิ่งใด แต่เป็นธรรมชาติของตัวเองหมุนติ้วๆ อยู่ภายใน เพราะเวลานั้นกิเลสอยู่ภายในแล้ว ก่อนที่สติปัญญานี้จะฟาดฟันหั่นแหลกกันหรือจะทำลายกัน ก็เพราะกิเลสนั้นถูกต้อนเข้ามาหมดแล้ว ส่วนหยาบๆ ดังที่กล่าวมาแล้วนี้ขาดสะบั้นไปหมดแล้ว กิเลสมีอยู่ภายในอย่างละเอียด สติปัญญาก็ทำหน้าที่ของตนอย่างละเอียดเป็นอัตโนมัติ และเป็นมหาสติมหาปัญญากลมกลืนกันไปกับภาวนามยปัญญา

มหาสติมหาปัญญาเป็นยังไงให้มันเห็นกับหัวใจเจ้าของซิ พระพุทธเจ้าเป็นโมฆบุคคลเหรอ สอนโลกแบบปาวๆ อย่างนั้นเหรอ พวกเราถึงได้เป็นแต่โมฆะเต็มไปหมด ทั้งๆ ที่พระพุทธเจ้าเป็นศาสดาองค์เอก แล้วสอนพวกเราเป็นยังไง หูถึงได้เป็นโมฆะ ตาก็โมฆะ จิตใจเป็นโมฆะไปหมด มีพิษมีสงแต่กิเลสงั้นเหรอถึงได้ผูกมัดรัดคอเราตลอดเวลา เราอยากพูดอย่างนั้นนะ มันคันฟันจริงๆ เพราะกิเลสอยู่ในหัวใจนี้ อริยสัจอยู่ในหัวใจ ทำไมจึงไม่เอามาฟาดฟันกันให้แหลกไป

นี่พูดถึงเรื่องมหาสติมหาปัญญา แล้วก็ก้าวเข้าสู่ธรรมอันละเอียดๆ เข้าไปโดยลำดับ เอ้า ทีนี้กิเลสละเอียดขนาดไหนก็เถอะว่างั้นเลย ธรรมชาตินี้จะเป็นเหมือนไฟได้เชื้อ เชื้อละเอียดขนาดไหนจะไม่พ้นไฟไปได้เลย ไฟจะลุกลามไปๆ จนกระทั่งเป็นเถ้าเป็นถ่าน นั้นแลไฟถึงจะหยุด อันนี้ก็เหมือนกัน เมื่อสติปัญญาขั้นนี้ได้เกิดขึ้นเรียกว่าภาวนามยปัญญานี้ได้เกิดขึ้นแล้ว จะทำหน้าที่ของตนบนหัวใจของเรา ที่กิเลสเคยฝังจมอยู่ภายในนั้นและกิเลสเคยครอบงำอยู่นั้น โดยอัตโนมัติ จนกว่ากิเลสนี้จะพังไปหมดเสียเมื่อไร สติปัญญาความเพียรประเภทนี้จึงจะยุติลงเอง กิเลสเคยทำหน้าที่อยู่บนจิตใจเป็นอัตโนมัติฉันใด สติปัญญาขั้นนี้ก็ทำหน้าที่ชำระกิเลสหรือสังหารกิเลสบนจิตใจในทำนองเดียวกันโดยอัตโนมัติ ไม่มีอะไรผิดแปลกกันเลย จนกระทั่งกิเลสมุดมอดไปหมดไม่มีอะไรเหลือแล้ว สติปัญญาประเภทนี้ก็หยุดเองเป็นหลักธรรมชาติ ไม่ต้องถูกบังคับหากเป็นเอง

ธรรมเหล่านี้มีแต่ครั้งพระพุทธเจ้าโน้นเหรอ พวกเราทำไมถึงเหลวๆ ไหลๆ โลเลโลกเลกอยู่ไม่ได้หน้าได้หลังอะไรเลย ผู้สอนก็จะตาย ผมสอนหมู่คณะนี้สอนอย่างเต็มภูมิแล้วนะผมพูดจริงๆ ว่าไม่มีอะไรเหลืออยู่ภายในหัวใจของผมเลย การสอนหมู่เพื่อนสอนด้วยความเมตตา สอนด้วยกำลังใจ ไม่ได้ปิดได้บัง พูดให้เห็นตามความจริงอย่างนี้ใครจะว่าบ้าก็ว่าไป ก็ความจริงมีอย่างนี้จะให้พูดว่ายังไง

กิเลสมันพูดได้มันเป็นได้ ทำไมเราพูดเพื่อจะตามแก้ตามถอดตามถอนกิเลสแท้ๆ จึงพูดไม่ได้ แก้ไม่ได้ถอนไม่ได้ กิเลสมันเป็นประเภทใด มันเลิศเลอมาจากโลกไหน จึงจะพูดเรื่องของมันตามความจริงของธรรมไม่ได้ กิเลสเป็นประเภทใดธรรมะก็ต้องเป็นประเภทนั้น ตามแก้ตามล้างตามผลาญกัน จนกระทั่งมันมุดมอดสิ้นซากไปจากหัวใจแล้ว เอ้า ทีนี้ใครจะว่าอะไรก็ว่าไป เรื่องโลกสมมุติเอาประมาณไม่ได้ ธรรมชาตินี้ไม่เหมือนอะไร นั่นแลความรู้ของพระพุทธเจ้ากับความรู้ของสาวกท่าน จึงไม่เหมือนใคร ไม่เหมือนอะไรในโลกนี้

ความรู้ใดก็ตามจะไปแข่งกับความรู้ของผู้สิ้นกิเลสเป็นไปไม่ได้ เพราะความรู้ของเราๆ ท่านๆ เป็นความรู้ที่เกิดขึ้นในวงของกิเลส เป็นความรู้ของผู้อยู่ใต้อำนาจของกิเลส จะรู้ขนาดไหนกิเลสต้องครอบงำอยู่นั่นแล ทำให้จิตได้หลุดพ้นจากนั้นไปดูซิเป็นยังไงที่นี่ จะมีอะไรมาบีบบังคับไหม ไม่มี แล้วความรู้ประเภทนั้นเป็นยังไง จะเห็นได้ประจักษ์ก็แต่ผู้สิ้นกิเลสเท่านั้น

ให้พากันตั้งอกตั้งใจไม่อย่างนั้นไม่ได้เรื่องนะ จะจมไปๆ ทุกวัน สุดท้ายก็พระเหมือนโยม โยมเหมือนพระ บ้านเหมือนวัด วัดเหมือนบ้าน จะไม่มีอะไรผิดแปลกกัน จะมีแต่ผู้สั่งสมกิเลส อยู่ในวัดก็สั่งสมกิเลสเต็มตัวเต็มใจ อยู่นอกวัดก็สั่งสมเต็มตัวเต็มใจ ไปที่ไหนมีแต่ผู้สั่งสมฟืนไฟไว้เผาตัวเผาโลก ไม่มีผู้สั่งสมอรรถสั่งสมธรรมบ้างแล้วจะเอาความร่มเย็นมาจากที่ไหน ไม่มีในโลกนี้ ใครจะอวดเก่งขนาดไหนก็อวดเถอะ ถ้าปราศจากธรรมซึ่งเทียบกับน้ำดับไฟเสียอย่างเดียวแล้ว โลกนี้จมโดยไม่อาจสงสัย

จึงขอให้ท่านทั้งหลายได้นำไปพินิจพิจารณา และประพฤติปฏิบัติเอาจริงเอาจัง ผลจะเป็นอย่างนี้ไม่สงสัย  สวากขาตธรรมตรัสไว้ชอบอย่างนี้เสมอต้นเสมอปลาย เช่นเดียวกับอริยสัจที่มีอยู่ตลอดมาแต่กาลไหนๆ ถ้าเราได้ฟื้นฟูอริยสัจฝ่ายแก้ฝ่ายถอดฝ่ายถอนขึ้นมาให้ทันกันแล้ว ยังไงกิเลสจะต้องพังเช่นเดียวกับครั้งพุทธกาลท่าน

เอาละพอ


** ท่านผู้เข้าชมทุกท่านโปรดทราบ
    เนื่องจากกัณฑ์เทศน์บางกัณฑ์มีความยาวค่อนข้างมาก ซึ่งจะส่งผลต่อความเร็วในการเปิดเว็บไซต์ ขอแนะนำให้ทุกท่านได้อ่านเนื้อหากัณฑ์เทศน์บางส่วนจากเว็บไซต์ และให้ทำการดาวน์โหลดไฟล์กัณฑ์เทศน์ที่มีนามสกุล .pdf ไปเก็บไว้ในเครื่องของท่านแทนการอ่านเนื้อหาทั้งหมดจากเว็บไซต์

<< BACK

หน้าแรก