เทศน์อบรมพระ ณ วัดป่าบ้านตาด
เมื่อวันที่ ๒ เมษายน พุทธศักราช ๒๕๓๓
โมฆภิกษุ
การประชุมวันนี้ก็เกี่ยวเนื่องกับพระเณรเข้าๆ ออกๆ อยู่เสมอ ส่วนมากก็มีแต่มาใหม่เข้ามา ที่ออกไปก็ใหม่ออกไป และพระเณรก็มากอยู่ตลอด ความมีพระเณรมาก การบำเพ็ญและที่อยู่ก็ย่อมไม่สะดวกเป็นธรรมดา อย่างทุกวันนี้ยิ่งหาสถานที่ที่เหมาะสมในการบำเพ็ญสมณธรรมจริงๆ ดังครั้งพุทธกาลท่านพาบำเพ็ญมานั้น รู้สึกจะหายากมากเข้าไปทุกวันๆ ป่าเขาลำเนาไพรที่เคยมีมาดั้งเดิมก็ค่อยหมดไปสิ้นไป
ผู้มีความสนใจใฝ่ธรรมที่จะปฏิบัติเพื่อมรรคเพื่อผล ก็ย่อมลำบากในการเสาะแสวงหาที่ดังกล่าวนี้ เพราะสถานที่ที่พระพุทธเจ้าทรงแสดงกับภิกษุบริษัทเรื่อยมาไม่ได้ขาด จนกระทั่งเป็นตำรับตำรามาถึงทุกวันนี้ ก็คือป่าคือเขาลำเนาไพร ตามถ้ำ เงื้อมผา ป่าช้า ป่ารกชัฏ รุกขมูลร่มไม้ สถานที่เหล่านี้เป็นสถานที่สำคัญมาก จะว่าเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ก็ไม่น่าจะผิด เพราะการประพฤติปฏิบัติบำเพ็ญธรรมเป็นไปด้วยความสะดวกเกี่ยวกับสถานที่เหล่านี้ ไม่มีสิ่งใดผู้ใดเข้าไปรบกวน มีแต่ผู้บำเพ็ญทำหน้าที่ของตนอยู่โดยสม่ำเสมอ จึงเป็นความสะดวกในการบำเพ็ญอยู่มาก และที่ดังกล่าวนี้ก็ค่อยหมดไปสิ้นไป
นอกจากนั้น ความรู้สึกของผู้บำเพ็ญก็ค่อยสึกหรอไปเรื่อยๆ ค่อยอ่อนตัวลงๆ สุดท้ายก็โยนเข้าไปไว้ในตำรับตำราเสีย ชื่อศีลก็อยู่ในตำราโน้น ชื่อสมาธิคือความสงบเย็นใจซึ่งเป็นสิ่งที่พึงหวังอย่างยิ่งก็โยนให้ตำราเสีย ไม่ว่าจะเป็นสมาธิขั้นใดปัญญาขั้นใด ก็โยนเข้าไปให้ตำราเสีย ตลอดมรรคผลนิพพาน ขึ้นชื่อว่าความดีทั้งหลายที่จะพึงเกิดขึ้นจากการปฏิบัติบำเพ็ญ ก็ไล่หรือต้อนเข้าไปรวมอยู่ในตำรับตำราเสีย สิ่งที่ทรงไว้ในหัวใจของชาวพุทธเรา เฉพาะอย่างยิ่งพระและนักปฏิบัติที่ควรจะสนใจในธรรมเหล่านี้กลับเห็นไม่สำคัญ เลยมีแต่ชื่ออรรถชื่อธรรมเท่านั้นในหัวใจ ส่วนกิเลสความชั่วช้าลามกทั้งหลายนั้นเข้าบรรจุเต็มหัวใจ พร้อมกับการใฝ่ใจในสิ่งไม่ดีทั้งหลายนี้ไม่จืดจาง ส่วนสิ่งดีงามทั้งหลายนั้นค่อยจางไปๆ จากหัวใจของชาวพุทธและนักบวชนักปฏิบัติของเรา
ความเหินห่างจากความดีทั้งหลายที่เป็นแบบเป็นฉบับ สำหรับการดำเนินเพื่อความแคล้วคลาดปลอดภัยและสงบร่มเย็น นับวันค่อยหมดไปๆ จางไปๆ จะไม่มีในหัวใจ ไม่มีในการขวนขวาย จิตใจ กาย วาจา ความประพฤติ พลิกไปมีเสียทางหนึ่ง ซึ่งไม่ใช่ทางอรรถธรรมที่ยอมรับกัน ความทุกข์จึงมีมากเพราะใจห่างเหินจากธรรมไปโดยลำดับ เฉพาะผู้ปฏิบัติเราก็มีลักษณะดังกล่าวมานี้ซึ่งนับวันห่างไปๆ
ในหลักศาสนธรรมและการบำเพ็ญของพระในครั้งพุทธกาล ท่านถือการบำเพ็ญจิตตภาวนาเพื่อมรรคเพื่อผลเป็นรากฐานของใจจริงๆ เป็นเนื้อเป็นหนังของศาสนาจริงๆ เราจะเห็นได้จากผู้มีความเชื่อความเลื่อมใสออกมาจากสกุลต่างๆ นับแต่สกุลพระราชามหากษัตริย์ลงมาถึงพ่อค้าประชาชนคนธรรมดา ท่านผู้ใดออกมามีแต่ผู้ขวนขวายเพื่ออรรถเพื่อธรรม จะอยู่อย่างไรก็ได้ ถ้าเป็นที่ที่จะบำเพ็ญได้ด้วยความสะดวกเพื่ออรรถเพื่อธรรมทั้งหลายแล้ว เป็นอยู่ทั้งนั้น การขบการฉันปัจจัยทั้ง ๔ ท่านไม่ถือเป็นอารมณ์สำคัญใดๆ เลย ยิ่งกว่าความมุ่งมั่นต่อแดนพ้นทุกข์ที่ท่านมุ่งไว้แล้วอย่างเต็มใจ ท่านดำเนินไปด้วยความอุตส่าห์พยายามดังที่กล่าวมานี้
องค์ใดอยู่สถานที่ใด ส่วนมากมีแต่สถานที่ดังกล่าวมาสักครู่นี้ ในป่าในเขาที่แร้นแค้นกันดารในปัจจัยทั้งหลาย แต่เป็นที่สะดวกและสมบูรณ์ทางด้านการบำเพ็ญเพื่อมรรคเพื่อผลทั้งหลาย ท่านจึงเป็นผู้ทรงไว้ซึ่งมรรคซึ่งผลด้วยวิธีการเหล่านี้เป็นจำนวนมากต่อมากในครั้งพุทธกาล ครั้นนานมาๆ ก็ค่อยจืดค่อยจางไปโดยลำดับ นี่แลท่านว่าศาสนาเสื่อม ขอให้ท่านทั้งหลายได้จดจำเอาไว้
ย้อนเข้ามาสู่ตัวของเรา มันเจริญไปโดยลำดับหรือเสื่อมลงโดยลำดับ คำว่าศาสนาคือธรรมนั้นเอง พูดง่ายๆ ความดีงามทั้งหลายค่อยเสื่อมลงจากจิตใจโดยลำดับลำดาหรือไม่ สิ่งไม่ดีทั้งหลายนับวันคืบคลานเข้ามาเรื่อยๆ หรือไม่ อันนี้เราก็ไม่อยากจะถาม เพราะเป็นสิ่งที่เด่นชัดในหัวใจของนักบวชเราด้วยกัน ทั้งๆ ที่ตั้งหน้าตั้งตามาชำระ แต่สิ่งทั้งหลายเหล่านี้ก็เพ่นพ่านๆ อยู่ในหัวใจของเรา เหยียบย่ำทำลายธรรมของเรา สติธรรม ปัญญาธรรม วิริยธรรม อุตสาหธรรม ไปต่อหน้าต่อตา ทั้งๆ ที่เราก็เข้าใจว่าเราปฏิบัติบำเพ็ญอยู่นั้นแล นี่ละศาสนาเสื่อม เสื่อมอยู่ทุกอิริยาบถ ทุกกิริยาความเคลื่อนไหวของใจเราที่ไม่มีสติปัญญารู้เท่าทันมัน
กิเลสไม่เคยมีความอ่อนข้อย่อหย่อนต่อการทำลายหรือลบล้างธรรมทั้งหลาย จะเป็นภายนอกก็ตามภายในก็ตาม เฉพาะภายในหัวใจของเรานี้เป็นสำคัญ ถูกลบล้างอยู่ตลอดเวลา การเจริญจิตใจแม้ที่สุดเพียงความสงบเท่านั้นก็เป็นไปได้ยาก ก็เพราะเหตุนี้เอง กำลังแห่งสติ กำลังแห่งการรักษาใจของเรา เพื่อรักษาจิตไม่ให้ส่ายแส่ไปในอารมณ์ต่ำทรามทั้งหลายเหล่านี้ไม่มีกำลังพอ มันก็ข้ามเราไปต่อหน้าต่อตานี้เอง ทั้งๆ ที่เราก็พยายามตั้งสติพินิจพิจารณาด้วยปัญญาอยู่นั้นแล แต่สิ่งที่มันมีกำลังกล้ากว่าเรามันมีอยู่แล้ว มันก็เดินข้ามหัวเราไปอย่างสะดวกสบาย เราเองก็ยังไม่รู้สึกตัวเลยว่าได้ถูกกิเลสเดินข้ามหัวไป เหยียบหัวไป ด้วยความรู้เท่าไม่ถึงการณ์ของตนเป็นอย่างน้อย มากกว่านั้นก็คือความไม่มีสตินั้นแลเป็นสำคัญ
จึงทำให้วิตกวิจารณ์เสมอเกี่ยวกับเพื่อนฝูงในวงปฏิบัติของเรา เพราะครูบาอาจารย์ทั้งหลายที่พาบำเพ็ญอย่างถูกต้องดีงามเต็มเม็ดเต็มหน่วย ก็ค่อยล่วงลับไปๆ ผู้ทรงมรรคทรงผลทั้งฝ่ายเหตุคือการบำเพ็ญมาอย่างไร และผลปรากฏอย่างไร ได้แสดงให้พวกเราทั้งหลายฟังอย่างองอาจกล้าหาญไม่มีผิดเพี้ยน ก็ล่วงไปๆ นี่สำคัญมาก
สิ่งที่ใกล้ชิดติดพันกับเราก็คือกิเลส มันติดพันอยู่ตลอดเวลา จึงไม่ทันกับสิ่งเหล่านี้ ความสงบของใจที่จะเกิดขึ้นด้วยการบำเพ็ญสมถธรรมก็เกิดไม่ได้ ยิ่งนักบวชเราบำเพ็ญธรรมอยู่เรื่อยมาดังที่เป็นอยู่นี้ ไม่ปรากฏความสงบใจภายในตัวเองเลยจากการปฏิบัตินี้ รู้สึกว่าจะพูดอะไรก็พูดลำบาก เราหมดคุณค่าขนาดไหนอยากว่าอย่างนั้น คุณค่าแห่งความเพียรของเราไม่มีเลย คุณค่าแห่งการระมัดระวัง แห่งความอุตส่าห์พยายาม แห่งการต่อสู้ของเรา เพื่อยับยั้งจิตใจของเราจากอารมณ์ทั้งหลายให้เข้าสู่ความสงบไม่มี ไม่ได้รับความสงบภายในใจเลยเป็นยังไงนักบวชเรา เป็นโมฆะมากขนาดไหน นี่ละโมฆภิกษุ ปฏิบัติธรรมแต่ไม่ได้ทรงธรรม แม้เพียงความสงบก็ไม่ได้ทรง ไม่ได้สัมผัสสัมพันธ์ ไม่รู้ไม่เห็น ไม่ได้ดูดได้ดื่มบ้างเลยนี้เป็นยังไง นี่น่าสลดสังเวชอยู่มากนะท่านทั้งหลายผู้ปฏิบัติ กรุณาฟังให้ถึงใจ
ธรรมของพระพุทธเจ้าตีตะล่อมเข้าไปสู่ความสงบเป็นอย่างน้อย สำหรับผู้บำเพ็ญคือนักบวชเรา เพราะตามธรรมดาของจิตมีความวุ่นวายส่ายแส่อยู่เป็นประจำ เป็นพื้นเป็นนิสัยของตัวเอง เนื่องจากกิเลสฝังจมอยู่ภายในนั้น แล้วธรรมตีตะล่อมเข้าไปเพื่อความสงบด้วยการบำเพ็ญสมถธรรมไม่มีกำลังพอ หรือไม่มีความเพียรที่จะบังคับจิตใจของตนให้อยู่ด้วยการรักษาของตน เพื่อความสงบของใจ ก็ไม่มีไม่เป็นจะทำอย่างไร
ใจถ้าได้รับความสงบแล้วย่อมจะเป็นพื้นฐานอันสำคัญ ที่จะให้ก้าวในความเพียรและกำลังวังชาทั้งหลาย ไม่ว่าทางด้านความเพียรด้านใด การระมัดระวังรักษาก็เข้มงวดกวดขันมากขึ้น ความอุตส่าห์พยายามก็หนักแน่นขึ้น ความเพียรก็สืบต่อกันไปโดยลำดับ เพราะสมถะคือความสงบใจมีรสชาติพอที่จะดึงดูดบรรดาความเพียรทั้งหลายเหล่านี้ เข้าสู่จุดรวมเป็นกำลังอันเดียวกัน และหนุนจิตใจให้มีความสงบเย็นยิ่งกว่านี้ขึ้นไปโดยลำดับ ถ้าความสงบใจมีต้องเป็นอย่างนั้น ถ้าไม่มีเลยเราจะเอาความอุตส่าห์พยายามมาจากไหน เพราะผลไม่ปรากฏพอเป็นรสเป็นชาติให้ติดใจบ้างเลย
การทำอะไรต้องมีรสมีชาติติดใจพอที่จะให้ดูดดื่ม สืบสาวราวเรื่องไปตามรสตามชาตินั้นยิ่งขึ้นไปๆ เพลินไปเรื่อยๆ ถ้ามีรสชาติต้องทำให้เพลิน ต้องทำให้มีแก่ใจ อันนี้รสชาติแห่งความสงบเป็นความสุขอันหนึ่งที่ละเอียดตามภูมิของตน ซึ่งพอที่จะให้เป็นรสชาติดึงดูดความพากเพียรทั้งหลายของเราให้เข้าสู่จุดรวมและเป็นพลังขึ้นมา เพื่อบำเพ็ญจิตใจนี้ซึ่งมีความสงบอยู่แล้ว ให้มีความสงบยิ่งๆ ขึ้นไป เราชักไม่แน่ใจว่าจะมี
ทำไมเพียงความสงบเท่านี้ให้มีไม่ได้ มันเป็นอย่างไรนักปฏิบัติของเราแท้ๆ นี่ละที่ทำให้ท้อใจในการแนะนำสั่งสอนหมู่เพื่อน ผลเบื้องต้นที่จะก้าวเข้าสู่ธรรมที่ยิ่งกว่านั้นๆ ยังตั้งไม่ได้ มีแต่ล้มเหลวๆ พื้นฐานเบื้องต้นคือความสงบใจล้มเหลวไปแล้ว เราจะเอาอะไรไปตั้งหลักตั้งฐานให้มีความเฉลียวฉลาดแหลมคม แก้กิเลสไปโดยลำดับจนถึงวิมุตติหลุดพ้นได้ล่ะ นี่ละสำคัญ เพราะหลักฐานเพียงเท่านี้ก็ตั้งไม่ได้
การตั้งรากฐานเพื่อความสงบใจนี้เป็นสิ่งสำคัญมาก ที่จะทำให้ก้าวขึ้นสู่ธรรมขั้นสูงกว่านี้ มีความสงบละเอียด จากนั้นจิตที่มีความอิ่มตัวในอารมณ์ทั้งหลายเพราะจิตเป็นสมาธิ จิตมีความสงบย่อมอิ่มตัวอยู่ตามภูมิของตน แล้วพาก้าวเดินทางด้านปัญญา พินิจพิจารณาในสภาวธรรมทั้งหลายซึ่งควรจะรู้ให้รู้เป็นลำดับไป เรื่องของสมาธิมีความสำคัญอย่างนั้น
ถ้าไม่มีเลย แต่เราจะหวังเอามรรคผลนิพพานด้วยปัญญาที่เราคาดเราคิดเฉยๆ ปัญญาอันนั้นไม่ได้เหมือนปัญญาของสมาธิที่เป็นเครื่องหนุน มันเป็นสัญญาอารมณ์ไปได้อย่างรวดเร็ว เราไม่อยากจะว่าช้าเลยนะ พิจารณาไปๆ เดี๋ยวก็เป็นสัญญาอารมณ์ๆ ไป กลายเป็นเรื่องสัญญาไปหมด ปัญญาไม่ทราบหายหน้าไปไหน นี่ปัญญาของผู้ที่คิดโดยที่ไม่มีสมาธิเครื่องหล่อเลี้ยงจิตใจ หนุนจิตใจให้อิ่มตัวก่อนแล้วพิจารณาทางด้านปัญญาเป็นไปอย่างนั้นแล
ถ้ามีความสงบเย็นใจ เป็นความอิ่มในอารมณ์ของใจได้แก่ความสงบนี้ ไม่ยุ่งกับอารมณ์ภายนอกที่จะมากวนใจและก้าวเดินทางด้านปัญญา แม้จะยังไม่เห็นผลทางด้านปัญญามาเลยก็ตาม แต่อาศัยการบังคับบัญชาของสติที่เป็นหัวหน้างานนั้น ให้ทำหน้าที่คลี่คลายดูสภาวธรรมทั้งหลาย เมื่อพิจารณาหลายครั้งหลายหนหลายตลบทบทวน ย่อมจะมียิบๆ แย็บๆ ขึ้นมาในเรื่องความจริงอันเกิดจากทางด้านปัญญา แล้วจะได้เห็นเหตุเห็นผลกันไปโดยลำดับ
ต่อเมื่อปัญญาได้คลี่คลายและเห็นเหตุเห็นผลของตนขึ้นไปโดยลำดับแล้ว ก็จะมีแก่ใจและก้าวเดินไปเรื่อยๆ จนถึงขั้นคล่องตัว พอใจในการพิจารณา อย่างท่านสอนว่าพิจารณาอสุภะอย่างนี้เป็นต้น อสุภะก็เพลิน เพลินในทางอสุภะโดยธรรม พิจารณาหลายครั้งหลายหนก็ปรากฏขึ้นมาเป็นสิ่งที่น่าสลดสังเวช เช่นในร่างกายของเรานี้ เพียงหนังบางๆ หุ้มห่อ ไม่ได้หนาเท่าใบลานเลย เท่านั้นเราก็หลง เราก็ไม่เห็นเราก็ไม่รู้ เราก็ติด
เมื่อปัญญาได้คลี่คลายเข้าไป ตามสภาพแห่งความเป็นจริงของสิ่งเหล่านี้หลายครั้งหลายหน ทำไมจะไม่เห็นทำไมจะไม่เจอ เพราะสิ่งเหล่านี้ท้าทายปัญญาอยู่แล้วด้วยความมีอยู่ของตนๆ ไม่ว่าจะเป็นอาการใด เป็นความจริงที่ท้าทายอยู่ตลอดเวลา เอาสติจ่อลงไป ปัญญาจ่อลงไป ทำไมจะไม่รู้ทำไมจะไม่เห็น เพราะสิ่งเหล่านี้ไม่ใช่เป็นของปลอม เป็นของจริงแท้ๆ และประกาศกังวานอยู่ทั่วสรรพางค์ร่างกายของเรา และจิตก็อยู่ในร่างนี้ด้วย ปัญญาที่จะคิดเพื่อความฉลาดก็อยู่ในใจนี้ด้วย
สิ่งที่จะทำให้ฉลาด สิ่งที่จะเป็นหินลับปัญญา ก็คือสกลกายทั้งหลายมีอสุภะอสุภังเป็นต้น ก็มีอยู่ในกายนี้ทั้งหมด เราไม่อยากพูดว่ายกเว้นในส่วนใดของร่างกายนี้ที่จะไม่เป็นอสุภะอสุภัง ทุกฺขํ อนตฺตา มันเต็มไปหมด ปัญญาก็พร้อมพิจารณาเพื่อรู้เพื่อเห็นด้วย และสมาธิคือความสงบใจก็หล่อเลี้ยงจิตใจให้มีความอิ่มตัวๆ ไม่หิวโหยกับอารมณ์ภายนอก ซึ่งนอกไปจากวงการพิจารณาของตน จิตมีแต่ทำหน้าที่ของตนอยู่ภายในร่างกายนี้ โดยทางอสุภะอสุภังเป็นพื้นฐานก่อน ซึ่งเป็นธรรมสำคัญมากกว่าสิ่งใด ส่วนมากนักปฏิบัติท่านจะดำเนินทางนี้มากกว่าอย่างอื่น
เมื่อเวลาได้รู้ได้เห็นเข้าไปแล้ว จะเกิดความเพลิดความเพลินในความรู้ความเห็นนั้น เพลิดเพลินอันนี้ไม่ได้เพลิดเพลินเหมือนกิเลสพาเพลิดพาเพลิน แต่เป็นธรรมพาเพลิดพาเพลิน เห็นไปเท่าไรรู้ไปเท่าไร ยิ่งมีความสลดสังเวชมากไปๆ สลดสังเวชมากเท่าไรจิตใจยิ่งเบาลงๆ นั่นละคือความเริ่มถอดถอนอุปาทานความยึดมั่นถือมั่นไปในขณะที่รู้ที่เห็นนั้นแล เมื่อพิจารณาถึงขั้นที่ควรจะเพลินทำไมจะไม่เพลิน กิเลสพาเพลินมันก็มีรสมีชาติที่ควรจะให้ติดได้ จึงได้เพลินจึงได้ติดคนเรา ใครจะอยากไปติด ธรรมท่านประกาศป้างๆ อยู่แล้วว่ากิเลสเป็นเครื่องล่อลวงให้ตกหลุมตกบ่อ มันก็ยังเป็นไปตามกิเลสเพราะความเชื่ออันนั้นจนได้ ทีนี้ธรรมท่านก็ยิ่งประกาศความจริง ไม่ใช่ความจอมปลอมเหมือนกิเลสด้วยแล้ว เมื่อเจอเข้าไป เห็นเข้าไปหลายครั้งหลายหน เพราะการพินิจพิจารณาทำไมจะไม่เพลิน เพลินไม่สงสัย
พิจารณาร่างกายของเรานี่แหละ ในความรู้สึกทั้งๆ ที่เราพิจารณาร่างกายของเรานี้แล แต่ไม่รู้เนื้อรู้ตัวเลยเวลานั้น ไม่ทราบว่ากายไปอยู่ที่ไหน ทั้งๆ ที่เราก็จับร่างกายส่วนใดส่วนหนึ่ง หรือทั้งหมดในร่างกายนี้ เป็นที่ท่องเที่ยวแห่งสติปัญญาของเรา ตลบทบทวนอยู่ภายในนั้นแล มันเพลินอยู่กับสิ่งที่เรารู้เราเห็นภายในร่างกายนี้ ความหมายความสำคัญดั้งเดิมที่เรารู้สึกกายของเรานี้ มันเป็นเรื่องธรรมดาๆ และเจือกับสมุทัยด้วยความยืดมั่นถือมั่นด้วย เมื่อปัญญาได้สอดเข้าไปข้างใน จึงลืมเนื้อลืมตัวภายนอกที่เคยเป็นมานี้ทั้งหมด ประหนึ่งว่าร่างกายไม่มีเพราะไม่รู้สึกเจ็บปวดแสบร้อนอะไร มีแต่เพลินกับอาการนั้นอาการนี้
ดูอาการใดก็มีแต่สิ่งที่ทำให้เกิดสลดสังเวช ดูไปข้างบนก็เหมือนข้างล่าง ข้างล่างเหมือนข้างบน ด้านไหนเหมือนกันๆ ไปที่ไหนมีแต่ความสลดสังเวชและเป็นหินลับปัญญาให้คมกล้าให้เฉลียวฉลาดคล่องตัวเข้าไปโดยลำดับๆ มันก็เพลิน นี่ละการปฏิบัติเมื่อถึงขั้นเพลินแล้วเพลินได้ทางด้านปัญญา เช่นเดียวกับทางสมาธิเพลินอยู่นั้น เพราะเป็นความสุขที่จะให้ความสะดวกตายใจได้ในเวลานั้น ซึ่งยังไม่มีธรรมะที่สูงกว่านั้นก็ติดได้เพลินได้ นั่งกี่ชั่วโมงก็เพลินอยู่นั้น ไม่มีอะไรเข้ามายุ่งกวน
พอก้าวเข้าสู่ปัญญา พิจารณาร่างกาย ส่วนมากก็หมายถึงร่างกายของเราเพราะความจริงเป็นอย่างนั้น แม้แต่หนังว่าเป็นสิ่งที่ว่าพอดูได้ มันก็มีความสกปรกอยู่ในตัวของมัน แต่เป็นความละเอียดมองเห็นได้ยากกว่าอาการทั้งหลายภายในเท่านั้นเอง พิจารณาเข้าไปสิ่งเหล่านี้เป็นความจริงทั้งหมด เมื่อรู้เข้าไปโดยลำดับแล้วทำไมจะไม่เพลิน ต้องเพลิน เพราะรู้ตรงไหนอุปาทานความยึดมั่นถือมั่นจะค่อยเบาลงๆ เพราะรู้เพื่อละเพื่อถอน ต้องรู้เพื่อเบาไปเสียก่อน เมื่อรู้มากน้อยเข้าไปเท่าไรก็ยิ่งเบาลงไปๆ ในความยึดมั่นถือมั่น จนกระทั่งรู้ตลอดทั่วถึงพอแล้วเท่านั้น อุปาทานความยึดมั่นถือมั่นก็ขาดสะบั้นไป ไม่ทำให้สงสัยอะไรเลยทั้งนั้น
การพิจารณาทางด้านปัญญา ถ้ามีสมาธิคือความสงบใจพอเป็นบาทเป็นฐานเป็นปากเป็นทางบ้างแล้ว การพิจารณาทางด้านปัญญาแม้จะบังคับก็บังคับในฐานะที่ว่า ปัญญายังไม่เข้าใจในผลของตน เพราะยังไม่เกิด เพราะยังไม่เคยพิจารณา ต้องมีการบังคับเท่านั้น ไม่ได้บังคับจากอารมณ์นั้นจากอารมณ์นี้ ที่จิตไปยุ่งวุ่นวาย เพราะความหิวโหยในอารมณ์นั้นๆ เหมือนจิตที่เป็นธรรมดาๆ เมื่อมีความสงบแล้วเราพิจารณาทางด้านปัญญา นี่คือความจริงเป็นได้อย่างนี้ๆ ไม่สงสัย เมื่อได้เริ่มก้าวเข้าสู่ความเห็นเช่นนี้แล้ว จะก้าวเข้าสู่ความละเอียดและคล่องตัวเรื่อยไปๆ จากนี้พิจารณาออกภายนอก จะเป็นรูปใดนามใดสัตว์ใดบุคคลใดก็ตาม หญิงใดชายใดก็ตาม มันก็กระจายไปหมดด้วยความจริงอันนี้แล เป็นแกนสำคัญไปเที่ยวตีตราไว้หมด ว่าเป็นความจริงเช่นเดียวกันนี้ นี่ละปัญญา
เมื่อได้เริ่มทราบเริ่มรู้อย่างนี้แล้ว ที่นี่ความเพียรจะเริ่ม หากเป็นขึ้นในตัวนั่นแล ไม่ต้องพูดว่าความอุตส่าห์พยายาม คือความเพลินในการพินิจพิจารณาเพื่อธรรมขั้นสูง เพื่อธรรมขั้นละเอียดยิ่งไปกว่านี้ และเพื่อความปลดเปลื้องสิ่งเหล่านี้ซึ่งมีอยู่ในใจนั้นโดยลำดับลำดาอยู่แล้ว ตั้งแต่เรายังไม่รู้เราก็อยากปลดอยากเปลื้อง อยากถอดอยากถอนอยู่แล้ว เมื่อรู้แล้วเช่นนั้นทำไมจะไปนอนใจได้ ไม่นอนก็ยิ่งเพลิดยิ่งเพลินเรื่อยๆ ที่นี่เริ่มรู้เริ่มเห็นช่องทางที่จะทรงมรรคทรงผล เริ่มรู้เริ่มเห็นช่องทางที่จะก้าวเข้าสู่ความพ้นทุกข์ไปโดยลำดับลำดา ผู้ประกอบความเพียรถึงขั้นนี้แล้ว ย่อมเป็นผู้มีความขยันหมั่นเพียรอยู่ในตัวนั้นแล
นี่เราพูดเพียงขั้นปัญญา ขั้นเริ่มรู้เริ่มเห็นนี้เพียงเท่านั้น ก็พอที่จะย้อนเข้ามาสู่สมถกิจของเรา ว่าควรทำจิตใจให้มีความสงบได้นั้นแลสมกับเราเป็นนักปฏิบัติ วันหนึ่งคืนหนึ่งจิตใจของเราทุ่มเทไปทางไหน ใจของเราที่มุ่งว่าให้สงบๆ มันจึงสงบไม่ได้ ความสงบนี้สงบเพราะเหตุผลกลไกอะไร นอกจากการรักษาจิตด้วยสติ จะเป็นธรรมบทใดก็ตามไปไม่ได้ ผู้เริ่มต้นคือบริกรรมภาวนา นำคำบริกรรมภาวนาเข้ามากำกับใจของเรา รักษากันไว้อย่างเข้มงวดกวดขัน
อารมณ์ทั้งหลายที่เคยคิดเคยปรุงให้จิตส่ายแส่เร่ร่อนวุ่นวาย กลายเป็นฟืนเป็นไฟมานั้น เป็นมามากต่อมากนานแสนนานประจำวันๆ ประจำความคิดของเรามากน้อยขนาดใดแล้ว ได้รับความวิเศษวิโสอะไรพอที่จะพะวักพะวนกับมันเอานักหนา ถึงกับต้องปล่อยงานอันนี้ไปตามมัน เป็นบ้าไปกับมันมีอย่างเหรอนักปฏิบัติของเรา จึงทำให้เป็นเหมือนว่าอารมณ์ทั้งหลายเหล่านั้นไม่มีในโลกอันนี้ในหัวใจของเรา ถึงมีก็ไม่สนใจยิ่งกว่างานของเราที่กำลังทำอยู่นี้ นี่แหละที่เป็นปากเป็นทางที่จะให้จิตใจได้รับความสงบ ต้องเอาจริงเอาจังหนา
จิตนี้เป็นเหมือนนักโทษหนา นายนักโทษคืออะไร คือกิเลส มันเป็นนายใหญ่โตมากทีเดียว บังคับบัญชาฉุดไปโน้นฉุดไปนี้อยู่ตลอดเวลา เราไม่รู้มองไม่เห็นมองไม่ทัน มันละเอียดกว่าสติปัญญาของเราที่จะมองทันในขั้นเริ่มแรก เพราะฉะนั้นจึงต้องได้ใช้ความพยายามเอาอย่างมากมายทีเดียว ตั้งหน้าตั้งตาทำ อุบายวิธีการที่จะช่วยจิตใจของเราให้สงบนี้มีวิธีใดบ้าง เอ้า ค้นมา ดังที่เคยพูดแล้ว ส่วนมากจิตไม่สงบก็เพราะเรื่องกิเลสตัณหามันชอบออกหน้าออกตา ขอให้ท่านทั้งหลายได้จำเอาไว้ในข้อนี้ พูดอย่างเต็มเม็ดเต็มหน่วยตามความเป็นจริงของจิตทุกดวงๆ แม้ใครจะไม่นำมาพูดก็ตาม ความเป็นมันเป็นอย่างนั้น ทีนี้เราพูดเพื่อแก้เพื่อถอดเพื่อถอน เราต้องนำสิ่งเหล่านี้มาพูดมาแจงให้ได้เข้าใจกัน เพื่อรู้วิธีปฏิบัติรักษาและแก้ไขถอดถอนกันให้ได้ผลไปโดยลำดับลำดา ถ้าไม่นำมาพูดอย่างนี้ไม่ได้นะ เราจะไม่รู้วิธี
เรื่องที่จิตของเรามันสงบยากเพราะกายมันมีกำลังมาก หนุนจิตใจให้คิดมากแล้วคิดมาก ก็ไปคิดมากเรื่องของกิเลสนั่นเอง เพราะกายเป็นเครื่องหนุนกิเลสอยู่แล้ว จึงต้องใช้ความพินิจพิจารณาเอามากมายก่ายกองสำหรับผู้ปฏิบัติ ท่านให้อดนอนก็คือจะทอนกำลังร่างกายนี้ลง คนเราเมื่อเคยนอน นอนเต็มเม็ดเต็มหน่วยย่อมมีกำลังทางร่างกาย นอนน้อยกำลังทางร่างกายย่อมลดลง อดนอนก็ยิ่งเป็นการลดลงๆ เพื่อความเพียรจะได้ก้าวเดิน นั่นความหมายของท่านว่าอย่างนั้น เดินมากก็เหมือนกันเป็นการตัดทอนกำลังทางร่างกายนี้ลงด้วย เพื่อสติของเราจะได้ก้าวเดินสืบต่อกันด้วย
ผ่อนอาหารอดอาหารก็เคยได้พูดแล้ว อันนี้สำคัญมากเป็นเครื่องเสริมได้อย่างเต็มที่ เห็นได้อย่างชัดเจนภายในร่างกายวัยของเราๆ ท่านๆ นี้ จึงต้องได้ใช้ความพยายาม การผ่อนการอดนี้สำคัญมากที่จะตั้งสติให้ได้และเห็นได้ชัดเสียด้วย ตั้งสติได้หลังจากการอดอาหารการผ่อนอาหารไปไม่กี่วันแหละ แม้แต่ในวันนั้นก็จะเริ่มเห็นแล้ว สติค่อยมีๆ ผ่อนลงไปมีผ่อนลงไปโดยลำดับลำดา กำลังอ่อนลงไปสติดีขึ้นๆ ไม่ค่อยมีอะไรมาตบมาต่อยให้หลุดไม้หลุดมือไปเหมือนอย่างแต่ก่อน ซึ่งพอตั้งสติขึ้นมาเท่านั้นขาดไปแล้ว ถูกกิเลสมันตีมันตบมันต่อยหลุดไม้หลุดมือไปแล้ว หลุดมือไปแล้วอยู่อย่างนี้ เห็นชัดๆ ตั้งไม่อยู่ตั้งไม่ได้ตั้งไม่ติด เพราะอำนาจของกิเลสมันรุนแรงกว่า
ทีนี้เวลาเราผ่อนเข้าไปอดเข้าไป นี่หมายถึงวิธีการส่วนมากถูก เราอยากจะพูดว่าถูก วิธีการอันนี้ในวัยของเราๆ ท่านๆ นี่ถูกด้วยวิธีการนี้มากกว่าวิธีการอื่น เวลาเราผ่อนลงไปมาก อดลงไปมาก ความหิวความโหยเป็นธรรมดา ก็มันเคยกินจะไม่ให้หิวได้ยังไง ไม่ใช่คนตายก็ต้องหิว แต่ทีนี้ผลภายในเป็นยังไงเอามาเทียบกัน ความหิวกับผลภายในนั้นอะไรมีน้ำหนักมากกว่ากัน เรามุ่งต่อผลภายในนั้นเป็นสำคัญยิ่งกว่าความหิวความโหยอันนี้
อันนี้เราฉันเมื่อไรก็ได้ระงับทันที แต่อันนั้นตั้งได้ยากนะ สติดีใจย่อมสงบ ถ้าสติไม่ดีใจหาความสงบไม่ได้ เมื่อใจสงบแล้วสบายไม่มีอะไรกวนใจ ความรู้ของเราจะเริ่มเด่นขึ้นๆ เด่นขึ้นจนเห็นได้ชัด ว่านี้คือจุดแห่งผู้รู้ เด่นแล้วที่นี่ นี่แหละคือผู้รู้ นั่นคือร่างกาย เริ่มรู้แล้วทั้งส่วนร่างกายทั้งจิตใจ ทั้งอาการของจิตที่คิดปรุงออกมาเรื่องใด พอกระเพื่อมพับสติจะรู้ทันๆ เมื่อเราฝึกไปมากทรมานไปมากย่อมรวดเร็ว ถึงขนาดที่ว่าทั้งวันไม่เผลอเลย
แต่ในระยะนั้นนะ ระยะที่เราฝึกเราทรมานในเรื่องการอดอาหารอยู่นั้น ทั้งวันไม่เผลอเลย เมื่อไม่เผลอเลยเป็นยังไงจิตที่นี่ จิตก็สบายทั้งวัน จิตไม่ยุ่งเหยิงวุ่นวายอะไรเลย เอ้า ที่นี่ให้เข้าสู่สมาธิก็แน่ว แต่เวลาเรามาฉันแล้วมันก็มียิบๆ แย็บๆ เป็นเรื่องของกิเลสไปเรื่อยๆ เพราะฉะนั้นจึงต้องมีการฉันการผ่อนการอดสลับกันไป เพื่อให้สติของเรามีกำลังแก่กล้าสามารถขึ้นไปโดยลำดับ จากนั้นก็พอฟัดพอเหวี่ยงกันไป
นี่วิธีการของการฝึกการทรมาน อธิบายให้ท่านทั้งหลายได้ทราบในฐานะที่ว่าได้เคยดำเนินมาก่อนแล้ว และได้ดำเนินมาอย่างนั้นจริงๆ สำหรับผมเอง ได้เคยพูดให้ท่านทั้งหลายฟังแล้วว่ามีผลประจักษ์ในหัวใจ เพราะฉะนั้นจึงไม่มีการลดการละตั้งแต่เริ่มออกปฏิบัติ เราทำวิธีนี้ดูเห็นเป็นผลแล้วก็เริ่มเลย อย่างอื่นไม่ทันกับกิเลสประเภทหยาบๆ โลนๆ เหมือนวิธีการอันนี้
สุดท้ายก็ต้องหมุนกันไป จะเป็นจิตละเอียดขนาดไหนก็ตาม ความรวดเร็วของใจ ความรีบความด่วนของใจที่จะสังหารกิเลสให้ม้วนเสื่อลงในขณะนั้นๆ มันมีประจำหัวใจ ไม่อยากจะให้มันมีความยืดความยาวต่อสายยาวเหยียดเป็นภพเป็นชาติไปอีกหลายวันหลายคืน หลายปีหลายเดือน หลายกัปหลายกัลป์ อยากให้มันม้วนลงไปเดี๋ยวนี้ได้เร็วเท่าไรยิ่งดี นี่ก็ทำให้หยุดไม่ได้เรื่องการอดอาหาร แม้จะเป็นส่วนละเอียดของจิตของธรรม ก็ยิ่งเป็นเครื่องหนุนกันช่วยกันให้รวดเร็วขึ้น นั่นแหละที่ว่าเป็นทุกข์
ทุกข์ก็ตามทุกข์อันนี้ โลกก็เคยทุกข์ ใครก็เคยทุกข์ แต่สุขที่ปรากฏอยู่ภายในหัวใจของเรานั่นซิ ใครจะปรากฏ ถ้าไม่ได้ฝึกไม่ได้ทรมานโดยวิธีการที่ถูกต้องแล้วไม่เจอไม่พบ นี่สำคัญมาก อันนี้มีน้ำหนักมากกว่า ก็จำเป็นต้องทนต้องทานกันไปต้องอดกันไป สู้กันไปอย่างนั้น เพราะสู้เพื่อฆ่ากิเลสนี่
นี่แลอุบายวิธีการฝึกทรมานตนเอง ให้พินิจพิจารณา อย่าสักแต่ว่าทำ อย่ากลัวความลำบาก จะทำอะไรนี้กิเลสจะมัดมือๆ ไม่ให้จับ ถ้าจะจับไม้มาตีมัน มันก็ไม่ให้จับ จะก้าวขาไปเหยียบมันมันก็ไม่ให้เหยียบ อะไรๆ ทุกสิ่งถ้าเคลื่อนไหวไปเพื่อทำลายมันแล้วมันมัดไว้หมด นี่ซิสำคัญ พวกเราไม่รู้ๆ เมื่อยังอยู่ในขั้นที่ไม่รู้ต้องเป็นอย่างนั้นด้วยกันทั้งนั้นแหละคนเรา นี่ละที่ว่ามืด มืดขนาดไหนที่กิเลสปิดหูปิดตาปิดใจของเรา ทั้งๆ ที่ใจนี้เป็นใจที่รู้ๆ แต่ที่จะให้รู้กลมายาของกิเลสมันไม่รู้ มันปิดเอาไว้ๆ นั่นซิมันสำคัญที่ตรงนี้
นี่เราก็เป็นผู้ปฏิบัติ แล้วปฏิบัติมากี่ปีกี่เดือน ถ้าลงว่าความสงบในใจไม่มีเลยนี้มันหมดท่านะ เรานี้เริ่มหมดราคามานานเท่าไรแล้ว เริ่มไม่มีค่ามาเท่าไรแล้ว ให้ตั้งปัญหาถามตัวเอง เพื่อคุณค่าของธรรมจะได้ปรากฏขึ้นในใจ แล้วเราจะมีคุณค่าไปตามๆ กัน ให้ตั้งปัญหาถามเจ้าของอย่าอยู่เฉยๆ นะ
การปฏิบัติอย่าสักแต่ว่าเดินจงกรม สักแต่ว่านั่งสมาธิภาวนา กระทั่งวันตายก็มีแต่สักๆ เท่านั้นละ ไม่ใช่เป็นความจริงอะไรเลย พอที่จะให้ได้ผลได้ประโยชน์จากการปฏิบัติหรือจากความเพียรของตน อันนี้สำคัญมาก ขอให้ท่านทั้งหลายได้ฝังลงลึกๆ เพราะการสอนนี้สอนอย่างจริงใจจริงๆ ไม่ใช่สอนเล่นๆ สอนด้วยความเมตตาสงสาร นำความจริงออกมาสอน วิธีการยังไงๆ ไม่สงสัยในการสอน
เพราะได้เคยผ่านมาแล้วเหล่านี้ อุบายที่จะพลิกแพลงเปลี่ยนแปลงหลายสันพันคมก็คือเรื่องของปัญญา นี่ก็ได้ใช้เสียจนหมดพุงแล้วไม่มีอะไรเหลือ ทุกวันนี้มีใครจะมาถามว่าปัญญายังเหลืออยู่ในพุงบ้างไหม ไม่มีเหลือบอกได้เลย แล้วมันไปไหนหมด ฟัดกับกิเลสหมด ไม่มีอะไรที่จะแบ่งรับแบ่งสู้ไว้เลยกับคำว่ากิเลสนี้ แล้วหมดจริง ๆ กำลังวังชาทุกด้านทั้งทางร่างกายทั้งทางด้านจิตใจ กำลังวังชาของสติปัญญาม้วนกันลงไปหมด ขนาดนั้นแลสู้กับกิเลส
กิเลสเป็นของเล่น ๆ เมื่อไร เราจะมาทำเหยาะ ๆ แหยะ ๆ มันเข้ากันได้ไหม กิเลสประเภทไหนที่ไม่เหนียวแน่น ถึงขนาดที่จะต้องได้ทุ่มกันลงอย่างนั้น มีกิเลสประเภทไหน ถ้ากิเลสประเภทของเราเบาบางก็ควรจะได้ทรงอรรถทรงธรรม ตั้งแต่ยังไม่บำเพ็ญหรือตั้งแต่บวชทีแรกโน่น จนกระทั่งป่านนี้น่าจะเลยนิพพานไปแล้ว แล้วมันได้เรื่องอะไรพิจารณาซิ ก็เพราะกิเลสมันเหนียวมันฉลาดมันแหลมคมมันอ้อยอิ่งเอามากนั่นเอง จึงต้องได้ใช้ความพินิจพิจารณาเอาอย่างมาก วันหนึ่ง ๆ อย่านอนใจให้หาอุบายพิจารณา
เลยไม่ได้เรื่องอะไร เพียงสมาธิความสงบใจก็ไม่ได้แล้วหมด มาบวชในศาสนาครองผ้ากาสาวพัสตร์นี้ พระพุทธเจ้าพระสาวกอรหันต์ทุก ๆ พระองค์ครองมาแล้วทั้งนั้น เป็นเครื่องหมายของท่านผู้ได้ชัยชนะเลิศโลกมาแล้ว ๆ ทำไมจึงจะมาเป็นผู้พ่ายแพ้สำหรับเรานี้แข่งกับพระพุทธเจ้าและสาวกทั้งหลาย มันสมควรแล้วเหรอ ให้ตั้งปัญหาถามเจ้าของ ผ้ากาสาวพัสตร์นี้เป็นเครื่องหมายของท่านผู้ได้ชัยชนะอย่างเลิศโลกมาแล้ว เวลาเรานำมาครองเรานำมาห่มผ้าเหลืองเหล่านี้เป็นยังไง ผ้ากาสาวพัสตร์นี้ เลยเป็นความขี้เกียจขี้คร้านให้กิเลสเอาไปต้มไปตุ๋น จับโยนลงในส้วมในถานไปหมดแล้วเหรอ ตัวของเราเองก็ให้มันเอาไปขับถ่ายลงไป และโยนลงไปในถานเมื่อไรแล้ว เรายังไม่รู้อยู่เหรอ
ถ้าลงความสงบในหัวใจนี้ยังไม่มีแล้ว เท่านั้นละมนุษย์นักบวชเรา ไม่มีอะไรมีคุณค่า ไม่มีอะไรเด่นในหัวใจของพระนักปฏิบัติ อย่างน้อยให้ได้มีความสงบเย็นใจเป็นเครื่องเด่นอยู่ภายในจิตใจยังสบายนะ ไปอยู่ที่ไหนก็สบาย ๆ ไม่ได้มีอุบายแยบคายมากกว่านี้ เพียงความสงบก็ทรงตัวได้ ๆ สบาย ๆ อยู่ไหนสบาย แล้วยิ่งปัญญาได้กระจายตัวออกไปดังที่กล่าวมาเมื่อสักครู่นี้ด้วยแล้ว ก็ยิ่งเปิดกระจ่างแจ้งออกไป ๆ เพราะปัญญานี้ไม่มีสิ้นสุด ถ้ากิเลสไม่ม้วนเสื่อเสียเมื่อไรแล้ว ปัญญานี้ยิ่งจะแตกแขนงออกไปมาก ๆ เมื่อถึงขั้นที่แตกแขนงแล้วแตกเรื่อย ๆ ทีเดียว ตั้งแต่ส่วนหยาบเข้าถึงส่วนละเอียด ละเอียดสุด นี่ก็เรียกว่าปัญญา
จะทำไงวันหนึ่งคืนหนึ่งปีหนึ่งเดือนหนึ่งผ่านมาๆ ไม่ได้เรื่องได้ราว สุดท้ายก็จะอ่อนแอให้กิเลสลากไปหมดละนะ หมดทั้งตัวเลย ไม่มีการคัดค้านต้านทานกันเลย ครั้นนานเข้าไป ๆ มันชินชาแล้วก็ด้านไป นี่เรากลัวเหลือเกิน กิเลสจะเอาให้จนกระทั่งด้านนะ กิเลสมันลงได้เอาใครแล้วเอาเถอะ ไม่ได้เรื่องได้ราวในอรรถในธรรมทั้งหลายแล้วก็ด้าน นี่ซิสำคัญมากนะ
ธรรมเหล่านี้เป็นธรรมทรงมรรคทรงผล ชี้แนวทางเข้าสู่มรรคสู่ผลเข้าสู่ธรรมอันเลิศอันเลอทั้งนั้น แล้วทำไมหัวใจเรานี้จึงไปรับแต่สิ่งที่ต่ำช้าเลวทรามเข้ามาบรรจุเสียให้เต็มในเพศของพระเรานี้ มันเป็นยังไงถามเจ้าของซิ ก็อยู่กับสิ่งเหล่านี้มามากและนานขนาดไหนแล้วมันวิเศษวิโสอะไร ดูซิในหัวใจของเรา ความคิดความปรุงวันหนึ่ง ๆ มีแต่กิเลสพาคิด กิเลสพาไป กิเลสลากไปเข็นไปได้ความวิเศษอะไร ผลที่เกิดมาจากกิเลสลากไปเข็นไปนั่นน่ะ ถูไถไปนั่นน่ะได้ผลวิเศษอะไร เราจะระงับความคิดทั้งหลายเหล่านั้นเข้าสู่ความคิดแห่งธรรม ทำไมจะระงับไม่ได้ถ้าเราเป็นนักปฏิบัติจริง ๆ
นี่ก็ไม่ได้คิดคาดละว่าจะประชุม แต่เพราะเป็นห่วงเพื่อนฝูง ประการหนึ่งเราก็จะไม่ได้อยู่ในระยะนี้จึงต้องได้ถูไถกันลงมา ขอให้ทุกๆ องค์ตั้งหน้าตั้งตาประพฤติปฏิบัติ เราอยากให้รู้ให้เห็นธรรมของพระพุทธเจ้าที่ทรงสั่งสอนไว้นั้น ทรงสั่งสอนไว้ถ้าพูดแบบโลกๆ ก็ว่าแบบท้าทายทีเดียว สัจจะคือความจริงไม่ท้าทายได้ยังไง เอาซิถ้าว่าไม่ท้าทาย ไปทดสอบพิสูจน์ดูซิ ทุกฺขํ อริยสจฺจํ เป็นยังไงว่าเป็นธรรมของจริง เอา พิสูจน์ในทางภาคปฏิบัติ สมุทัย อริยสจฺจํ เอ้า พิสูจน์ทางภาคปฏิบัติตามตถาคตที่เคยพิสูจน์มาแล้ว นิโรธ อริยสจฺจํ ก็เหมือนกัน ดับทุกข์ดับด้วยเหตุผลกลไกอะไร ก็ มคฺค อริยสจฺจํ นั้นแลเป็นเครื่องมือดับ จึงเรียกว่าอริยสัจๆ อริยสจฺจํๆ เป็นของจริงอันประเสริฐๆ
ก็เราไม่ได้ถึงของจริงอันนั้นมีแต่ความจำ ทุกข์ก็เลยกลัวว่าเป็นเรื่องลำบากลำบนไปเสียไม่อยากเจอทุกข์ แต่ไม่แหวกว่ายหลีกเลี่ยงหนีความทุกข์ไป มีแต่กลัวเฉยๆ พระพุทธเจ้าท่านพิจารณาถึงสาเหตุ ซึ่งเท่ากับการจะหลีกเลี่ยงหรือตัดความทุกข์ทั้งหลายออกด้วยต่างอันต่างเป็นของจริงด้วยกัน จึงเรียกว่า อริยสจฺจํๆ ของจริงทั้ง ๔ ประการ นี้แลเป็นเครื่องขัดเกลาจิตใจให้ได้หลุดพ้นไปจากกองทุกข์ทั้งหลาย ออกจากสัจธรรมทั้ง ๔ นี้ นั่นท่านให้พิสูจน์
เอ้า พิสูจน์ให้ได้เห็น ถ้าลงได้ประจักษ์ในหัวใจของเราแล้ว ไม่ต้องถามละว่าพระพุทธเจ้ามีกี่พระองค์ เป็นความจริงเหมือนกันหมดกับหัวใจของเราที่เป็นเวลานี้ นี่ละเครื่องยืนยัน จึงว่าท้าทายอริยสัจ หลักของศาสนาพุทธของเรานี้คืออริยสัจ แก่นก็คือนี้แหละ ที่จะทำจิตให้หลุดพ้นได้เพราะแก่นนี้ สำคัญมากนะเครื่องขัด โรงงานอันนี้แลเป็นเครื่องยืนยันได้
นี่ค่อยเหลวไหลไปๆ ใครอยู่ที่ไหนๆ ก็มีแต่ความเหลวไหลๆ จะทำยังไง ศาสนาก็เลยมีแต่ชื่อไม่มีตัว ไม่รู้ตัวไม่เห็นตัว ได้ยินแต่ชื่อ กิเลสเต็มหัวใจก็มีแต่ชื่อ ไปเต็มอยู่ในตำรา ไปมอบให้ตำราหมด เราไม่สนใจดูกิเลส ไม่สนใจแก้กิเลส ว่ามรรคผลนิพพานก็โยนให้ตู้ให้หีบนั้นหมด โยนเข้าในตู้ในหีบหมด เราไม่สนใจในมรรคผลนิพพาน จะอยู่แบบฟักแฟงแตงโมหรือ กลิ้งไปกลิ้งมาอยู่อย่างนั้นเป็นประโยชน์อะไร เพราะเราไม่ใช่ฟักแฟงแตงโม คนทั้งคนมีความรู้อยู่ในร่างนั้นจะเป็นฟักแฟงแตงโมยังไง แต่ทำตัวให้เป็นฟักแฟงแตงโมอย่างนั้นเป็นยังไงพิจารณาซิ
การปฏิบัติภาวนาก็ต้องให้มีหนักมีเบา เหมือนเขาเดินทางที่สูงก็ก้าวที่ต่ำก็ก้าว ควรเร่งก็เร่ง ที่ควรช้าก็ช้า ที่ควรเบาก็เบา ควรหนักต้องหนัก เรื่องของความเพียรเป็นอย่างนั้นนะ อันนี้อะไรๆ ก็ลอยๆ ไปเสียหมด มีแต่ลอยๆ ไปเลยไม่ได้เรื่องอะไร ถึงคราวที่ควรจะหนักไม่หนัก ถึงคราวควรจะเน้นไม่เน้น ถึงคราวควรจะเด็ดไม่เด็ด มีแต่ให้กิเลสเด็ดเอาๆ นี่ซิที่ทุเรศนะ
ให้เราพิจารณาถึงเรื่องความแหวกว่ายในเรื่องความทุกข์ทั้งหลาย มาจนกระทั่งถึงปัจจุบันนี้มากขนาดไหนคิดดูซิ แล้วยังจะมีความกล้าหาญชาญชัยที่จะแบกกองทุกข์เพราะความเกิดแก่เจ็บตาย เพราะวิบากกรรมต่างๆ ด้วยความลุ่มหลงของตนไปมากขนาดไหน เราไม่อาทรร้อนใจบ้างเลยนี่มันเกินไปนะนักบวชเรา ผู้ที่มาสอนคือผู้รู้แล้วเห็นแล้วทุกสิ่งทุกอย่าง นำความจริงล้วนๆ มาสอน ยังให้กิเลสร้องเพลงกล่อมให้หลับทั้งลืมตานี้มันเกินไปนะ ไม่ตื่นเนื้อตื่นตัวบ้างเลยในธรรมของพระพุทธเจ้าที่ทรงสั่งสอนเอาไว้ มีแต่ตื่นไปตามสิ่งหลอกลวงอยู่ตลอดเวลา มันก็ต้องจมไปอย่างนี้ตลอด หาเงื่อนต้นเงื่อนปลายไม่ได้ พวกเรานี้แหละจะเป็นใคร จิตของเรานี้แหละ ถ้าไม่จริงไม่จังแล้วจะเป็นอย่างนั้นไม่สงสัย
ถ้าจริงจังดังที่กล่าวนั้น ความสงบก็มีได้ แล้วเป็นผลอันหนึ่งจากภาคปฏิบัติของเรา ปัญญาก็เริ่มแล้วตามอุบายที่แนะนั้น และเริ่มแล้วๆ รู้แล้วๆ เข้าไปเรื่อยโดยลำดับลำดา นี้ก็เป็นอันว่าได้เห็นทุกข์ไปในขณะเดียวกันกับการเห็นธรรมเรื่อยๆ การก้าวก็เข้มงวดกวดขัน รีบเร่งละที่นี่ หนักมือเข้าไปละ ทุกอย่างหนักเข้าไปๆ เพื่อการก้าวเดิน ก็คือเพื่อความพ้นทุกข์ไปด้วยกันๆ ทีนี้เรื่องวัฏฏะทั้งหลายที่จะยืดยาวแสนยาวก็ตาม จะประมวลเข้ามาสู่จิตดวงนี้
จิตดวงนี้แต่ก่อนหาประมาณไม่ได้ เวลานี้มีเขตมีแดนแล้ว หดเข้ามาย่นเข้ามา กิเลสตัวใดที่เป็นภพเป็นชาติ จะพาให้เป็นภพเป็นชาติอันใดๆ ยืดยาวขนาดไหน สูงต่ำประการใด รู้อยู่ภายในจิตๆ ตัดเข้ามาๆ ย่นเข้ามาด้วยอำนาจของปัญญา ทีนี้ก็รู้ชัดๆ เข้ามาสู่ใจ ๆ เพราะรากฐานมันอยู่ที่ใจ จนกระทั่งขาดสะบั้นไปหมดแล้วไม่มีอะไรเป็นเงื่อนต่อกัน ถ้าว่าน้ำมหาสมุทรก็มหาสมุทร กว้างแสนกว้างก็กว้างไป แต่นี่ไม่ใช่มหาสมุทร นี้คือเกาะ เกาะอันนี้ไม่ใช่มหาสมุทร เป็นเกาะหนึ่งอยู่ท่ามกลางมหาสมุทร วัฏวนจะกว้างแคบขนาดไหนก็ตาม จิตดวงนี้ไม่ใช่วัฏวน เป็นวิวัฏฏะ แน่ะ รู้แล้ว อยู่ในท่ามกลางแห่งวัฏวนทั้งหลายแต่ไม่ใช่วัฏวน เป็นวิวัฏฏะ วิวัฏจิต ให้รู้อย่างนั้นซิผู้ปฏิบัติ ธรรมพระพุทธเจ้าเป็นธรรมที่ควรรู้แท้ๆ เมื่อปรากฏเต็มหัวใจแล้วทำไมจะไม่รู้ ประกาศป้างขึ้นมาด้วย สนฺทิฏฺฐิโก ในขณะนั้นนั่นแล
การแสดงธรรมพอเท่านี้เหนื่อย |