เทศน์อบรมพระ ณ วัดป่าบ้านตาด
เมื่อวันที่ ๕ มิถุนายน พุทธศักราช ๒๕๓๒
จิตที่อยู่ในวงล้อมของกิเลส
การปฏิบัติทางด้านจิตตภาวนาในเบื้องต้น ยังไม่ปรากฏผลอย่างใดที่จะให้เป็นความดูดดื่มพอใจ จิตใจย่อมหาที่ยึดที่เกาะในสิ่งที่ตนมุ่งหวังไม่ได้ ดังที่ท่านสอนว่าจิตเป็นสมาธิ จิตเป็นปัญญา จิตเป็นวิมุตติหลุดพ้น มันก็มีแต่สัญญาอารมณ์เต็มไปหมด คือความคาดความหมายด้นเดาภายในจิตนั้นแล ไม่ว่าสมาธิความสงบเย็น เห็นจะเป็นอย่างนั้น ปัญญาเห็นจะเป็นอย่างนี้ ตลอดวิมุตติความหลุดพ้นของจิตที่เป็นจิตบริสุทธิ์ล้วนๆ คงจะเป็นอย่างนั้น
เรื่องที่กล่าวมาเหล่านี้ เป็นเรื่องที่ฝังจมอยู่ภายในจิตใจของสัตว์ของบุคคลทุกรายไป ไม่ให้คาดไม่ได้ เป็นคู่เคียงกันกับความอยากรู้อยากเห็น ต้องคาดไปเรื่อยๆ เพราะฉะนั้นความคาดแม้จะไม่มีผลปรากฏอย่างไรก็ตาม แต่ก็พอใจคาดพอใจด้นเดา นี่เป็นธรรมดาของจิตที่ยังไม่เคยรู้เคยเห็นความจริง ที่ท่านแสดงไว้ในพุทธศาสนาของเราทั้งหมด ไม่พ้นที่จะคาดคะเนด้นเดาไปได้ เพราะใจนี้อยู่กับอุปาทานความยึดมั่นถือมั่นในขันธ์เป็นภาคพื้น เช่น รูปกายก็ยึดไว้หมดว่าเป็นกายของเรา เวทนา ความสุขทุกข์เฉยๆ ทั้งทางกายทางใจ ก็ยึดไว้ว่าเป็นสุขเป็นทุกขเวทนาของเราเป็นเรา สัญญาก็เหมือนกัน ความจำได้หมายรู้มีแต่เรื่องของเราเข้าไปแทรกๆ ทั้งนั้น เพราะธรรมชาติที่จะดึงดูดหรือผลักดันจิตใจให้ออกคาด ออกยึดออกสำคัญมั่นหมายนั้น มีอยู่ภายในจิตใจเป็นพื้นอยู่แล้ว สังขารวิญญาณก็แบบเดียวกัน
สิ่งนี้แลเป็นสิ่งที่ยึดมั่นถือมั่นอยู่อย่างลึกลับในเวลายังไม่เข้าใจ ในเวลายังไม่รู้ ในเวลายังละยังถอนกันไม่ได้ แยกกันไม่ได้ตามหลักธรรมชาติที่ธรรมท่านสอนไว้ สิ่งเหล่านี้จึงปิดบังไปเสียทุกสิ่งทุกอย่าง ในบรรดาความจริงทั้งหลายจะไม่ยอมรับ เพราะผู้ที่เป็นใหญ่ฝังอยู่ภายในจิตใจนั้นไม่ใช่ของจริง คือของปลอมมันแผ่อำนาจปกคลุมไปหมด ไม่ว่ากิริยาอาการอันใดของจิตที่แสดงออก ส่วนมากอยากจะพูดว่า ร้อยทั้งร้อยเป็นเรื่องของความบงการของธรรมชาตินั้น ผลักดันให้แสดงออกไปสู่อารมณ์ต่างๆ เพราะฉะนั้นอารมณ์เหล่านั้นจึงกลับกลายเข้ามาคละเคล้ากัน กับว่าเราว่าของเราไปเช่นเดียวกับธาตุกับขันธ์ของเรานี้แล
ไม่เช่นนั้นธรรมะซึ่งเป็นของเลิศของประเสริฐ ปราชญ์ทั้งหลายไม่เคยแสดงแยกแยะผิดกันไปแม้แต่น้อยเลย ทำไมผู้ปฏิบัติจึงไม่รู้ไม่เห็นในสิ่งที่ท่านแสดงไว้นั้น ก็เพราะสิ่งที่จะไม่ให้รู้ให้เห็น มันคอยปิดคอยบังคอยกั้นคอยกีดคอยขวางอยู่ตลอดเวลา ของอาการแห่งจิตที่เคลื่อนไหวออกไป ซึ่งการเคลื่อนไหวนั้นก็ออกไปเพราะอำนาจของมันอีก เมื่อเป็นเช่นนั้นจะให้เราได้รู้ได้เห็นความจริงเต็มเม็ดเต็มหน่วยได้อย่างไร
การปฏิบัติธรรมที่ว่าเป็นของยาก ก็เพราะสิ่งเหล่านี้แลเป็นผู้ปิดผู้บังความจริงทั้งหลายไว้ แล้วเอาความจอมปลอมเข้าไปทาบไปปกคลุมไว้เสียหมด ความจริงเลยอยู่ภายในอยู่ใต้อำนาจของมัน จึงมีตั้งแต่ความจอมปลอมเข้าแทรกเข้าสิงเข้าบงการเข้าทำงานไปเสียหมด อย่างตาเห็นรูป ถ้าตามหลักความจริงแล้วรูปก็เป็นรูป เราพิจารณาแยกแยะเพื่อจะให้เข้าสู่ความจริง ก็เช่นรูปหญิงรูปชาย เป็นรูปมาจากอินทร์พรหมที่ไหน ก็เป็นรูปมาจากธาตุ ๔ ดิน น้ำ ลม ไฟ เรานี้ ของเราเองที่อยู่กับเรากับความรู้แท้ๆ ซึ่งควรจะรู้กันมันยังไม่รู้ มันยังรู้ไปแบบปลอมๆ ถ้าไม่ปลอมแล้วจะว่าขันธ์ทั้ง ๕ นี้เป็นเราเป็นของเราไปไม่ได้ ในตอนนี้เรามีโอกาสทราบได้เมื่อผ่านสิ่งเหล่านี้ไปแล้ว อย่างไรก็เกาะกันไม่ติด จะบังคับให้เป็นดังที่เคยเป็นว่าธาตุว่าขันธ์เหล่านี้ เป็นเราเป็นของเรานั้น เป็นไปไม่ได้ในจิตที่เข้าขั้นอฐานะ คือความเป็นไปไม่ได้แล้ว นั่นเรียกว่าจิตทรงธรรมชาติของตัวไว้
เช่น พระอรหันต์ท่านจะทำอย่างไรให้ท่านติด จะทำอย่างไรให้ท่านยึด ทั้งๆ ที่ท่านเคยยึดมาตั้งแต่สมัยที่กิเลสมันรุมล้อมให้ยึด ท่านก็ยึดท่านยอมยึด แต่เวลาพิจารณาคลี่คลายกันเข้าสู่หลักความจริงแล้ว ปล่อยวางไปตามหลักความจริงแห่งธรรมที่ท่านแสดงไว้จนตลอดทั่วถึงหรือรอบไปหมด ทั้งส่วนหยาบส่วนกลางส่วนละเอียด สิ่งทั้งหลายที่กล่าวมาว่า ส่วนหยาบส่วนกลางส่วนละเอียดของธาตุของขันธ์นี้ จึงไม่สามารถซึมซาบธรรมชาติคือความรู้ที่บริสุทธิ์นั้นได้ ธรรมชาตินั้นก็เป็นอฐานะของตัวเองไม่ขึ้นกับสิ่งใดๆ ทั้งสิ้น ซึ่งแต่ก่อนเคยขึ้นอยู่กับสิ่งเหล่านี้ ให้สิ่งเหล่านี้เป็นผู้บงการเสียทุกแง่ทุกมุม จนหาทางกระดิกโดยความเป็นอิสระของตัวเองแม้ขณะหนึ่งไม่ได้ ถ้าธรรมชาติที่เป็นเจ้าอำนาจนี้ไม่บงการเสียขยับเขยื้อนตัวเองไม่ออก นี่ในขั้นเริ่มแรกเป็นอย่างนั้น
การปฏิบัติธรรมที่ท่านว่าเป็นของเลิศ สิ่งที่ไม่เลิศมันไปครอบไว้เสียปิดไว้เสีย หุ้มห่อไว้อย่างมิดชิดเสีย เลิศขนาดไหนเราก็มองไม่เห็น เพราะสิ่งที่ไม่เลิศแต่เป็นความนิยมของเจ้ามหาอำนาจ มันเสกสรรว่าเป็นของเลิศเป็นของดี เราก็ติดพันไปตามอันนั้นเสีย อย่างศาสนธรรมหรือว่าความดีทั้งหลาย หรือว่าธรรมทั้งหลายของพระพุทธเจ้านั้น ถ้าเราจะพูดให้ตรงไปตรงมา ตามหลักความจริงแห่งสิ่งที่เป็นอยู่มีอยู่ทั้งหลายแล้ว ตลาดแห่งมรรคผลนิพพานกับตลาดแห่งวัฏจักรวัฏจิต มีสินค้าเกลื่อนอยู่ด้วยกันนั้นแลไม่มีอะไรบกพร่อง
เอ้า ถ้าพูดเรื่องความดี จะเอาดีขนาดไหนตั้งแต่ดีพื้นๆ มองดูในตลาดเต็มไปหมดตั้งแต่ความดีเป็นพื้นๆ แล้วมองดูความดีแห่งธรรมทั้งหลายขยับขึ้นไปก็เต็มไปหมด ขึ้นสูงขนาดไหนก็เต็มไปหมดตั้งแต่อรรถแต่ธรรมตั้งแต่มรรคผลนิพพาน จนกระทั่งวิมุตติหลุดพ้น เต็มอยู่ในตลาดนั้นหมดไม่มีสิ่งใดบกพร่องเลย แต่ทำไมจิตมันถึงไม่ยึดถึงไม่ไปติดใจในสิ่งเหล่านั้น
ทีนี้พูดถึงเรื่องว่าสมบัติของวัฏจิตวัฏจักรคือสมมุติทั้งหลาย ที่จิตได้เคยคลุกเคล้ากันมากี่กัปกี่กัลป์นั้นมันก็มีอยู่เต็มด้วยกัน ถ้าจะเทียบกันแล้วความมีมากแห่งมรรคผลนิพพานของพระพุทธเจ้า กับความมีมากแห่งสมบัติของสมมุติที่ธรรมชาติอันนี้เสกสรรปั้นยอขึ้นมานั้น มีอยู่ในฉากเดียวกัน มีเพียงพอเช่นเดียวกันหมด ไม่มีสิ่งใดบกพร่องว่ามีจำนวนน้อยต่างกัน แต่เวลาให้จิตของเราไปยึด จะไปยึดตั้งแต่สิ่งที่เป็นกิเลสทั้งมวลๆ ไม่ว่าส่วนหยาบส่วนกลางส่วนละเอียด จะไปเกาะติดๆ ที่ตรงนั้นทั้งนั้น มองหาสาระอันสำคัญของธรรมทั้งหลาย ตั้งแต่ธรรมขั้นพื้นๆ ความดีพื้นๆ นั้น จนกระทั่งถึงมรรคผลนิพพานไม่เห็นเลย เพราะอะไร ก็เพราะสิ่งจอมปลอมที่กิเลสทั้งหลายมันเสกสรรปั้นยอเอาไว้ปิดกั้นไว้หมด จิตใจจึงดูดดื่มมาทางนี้
นั่นแหละที่ว่าการชำระกิเลสเป็นของยาก เพราะกิเลสอยู่กับตัวตลอดเวลา ทำงานอยู่กับหัวใจเราตลอดเวลา ไม่มีการละเว้นเลย นอกจากหลับสนิทเท่านั้น ส่วนธรรมนั้นได้ทำเป็นบางกาลบางเวลา เมื่อยังไม่ถึงขั้นที่จะทำตลอดกาลหรือ อกาลิโก เช่นเดียวกับกิเลสทำงานบนหัวใจเรา ธรรมะจึงต้องมีกาลมีเวลาที่จะได้โอกาสทำบ้าง หรืออย่างหนึ่งไม่ค่อยมีโอกาส อย่างหนึ่งไม่มีโอกาส เกิดขึ้นมาตายทิ้งเปล่าๆ ไม่ได้บำเพ็ญคุณงามความดี พอที่จะเป็นสมบัติอันมีค่าเข้าสู่ใจของตนเลย อย่างนี้ก็มีแยะ นี่เพราะอำนาจเครื่องดึงดูดอยู่ภายในจิตใจนั้นมันอยู่กับใจเสียเอง จึงไม่มีกาลสถานที่เวล่ำเวลาที่มันจะทำงานไม่ได้ เมื่อเป็นเช่นนั้นจึงต้องมีการปิดการหุ้มห่อหรือว่าปิดบังอยู่ตลอดเวลาไม่เคยละเว้นเลย
และผู้ที่จะมองดูอรรถดูธรรมทั้งๆ ที่กิเลสปิดอยู่นั้นจะเห็นได้อย่างไร สมาธิก็เห็นไม่ได้ ปัญญาก็เห็นไม่ได้ วิมุตติหลุดพ้นก็เห็นไม่ได้ จึงต้องมีแต่สิ่งเหล่านี้เป็นเรือนอยู่เรือนเป็นเรือนตาย เรือนวัฏจักรวัฏจิตหมุนไปเวียนมาอยู่อย่างนี้ด้วยสิ่งเหล่านี้ทั้งนั้น ธรรมหรือความดีทั้งหลายเข้าเคลือบแฝงไม่ได้ หรือเข้ายื้อแย่งแข่งดีกันไม่ได้ เพราะยังไม่มีกำลังพอ จึงต้องปล่อยให้ธรรมชาตินี้ทำงานตลอดไปตลอดมา ดังที่เราๆ ท่านๆ เห็นอยู่เวลานี้
เราอย่าดูจิตคนอื่น ให้ดูจิตของเราที่หมุนเวียนเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา ในความคิดความปรุงความสำคัญมั่นหมายนี้ มันเคยเบื่ออะไรบ้างมีไหม ไม่เคยมี คิดปรุงวันยังค่ำเพลินคิดวันยังค่ำ ไม่เคยเบื่อความคิดความปรุงของตนเลย สำคัญมั่นหมายอันใดกับอารมณ์ใดก็ตาม ขึ้นชื่อว่าเป็นกิเลสแล้ว มันพออกพอใจหมุนติ้วกันอยู่ทั้งวันทั้งคืน เพราะฉะนั้นการเกิดการตายจึงไม่มีคำว่าแก่คำว่าชราคร่ำคร่า จะต้องมีเกิดมีตายไปเรื่อยอย่างนี้ เพราะธรรมชาติกิเลสอันนี้ไม่เคยมีคำว่าชราคร่ำคร่าลงไป แม้กฎ อนิจฺจํ ของธรรมท่านว่า อนิจฺจํ ทุกฺขํ อนตฺตา สิ่งทั้งหลายไม่เที่ยงไม่แน่นอน ถือเป็นตัวของตัวไม่ได้ แต่เรื่องของกิเลสจะแปรก็แปรไปเพื่อกิเลส เป็นทุกข์ก็เพราะกิเลสเป็นผู้บีบให้เป็นทุกข์ อนตฺตา ก็กิเลสเป็นผู้เสกสรรปั้นยอว่าเราว่าของเราเอาเสียอย่างดื้อๆ ด้านๆ ที่ให้เราได้เชื่อได้เห็นอยู่ ทั้งๆ ที่ธรรมพระพุทธเจ้าประกาศกังวานอยู่นั้นแล นี่ในเวลาที่จิตของเรายังไม่สามารถมันเป็นได้อย่างนี้ ดูหัวใจเราก็รู้
เวลาฝึกหัดจิตใจเบื้องต้น พยายามจะทำภาวนาให้จิตมีความสงบ ทั้งๆ ที่มีครูมีอาจารย์มีตำรับตำราบอกสอนไว้แล้วก็ตาม แต่เวลาเข้าสู่สงครามคือขึ้นเวที ได้แก่การประกอบความพากเพียร จะเป็นท่านั่งท่ายืนท่าเดินก็ตาม ซึ่งเป็นท่าแห่งความเพียรที่เราได้ตั้งเอาไว้เพื่อชำระกิเลส มันจะล้มเหลวไปๆ เพราะถูกกิเลสบีบบังคับ ถูกกิเลสเตะถูกกิเลสยัน ให้เหลวแหลกแตกกระจายยึดหลักเกณฑ์ไม่ได้ เช่น ให้ภาวนาคำว่า พุทโธ ๆ นี้ไม่กี่วินาที เราไม่อยากจะพูดถึงนาทีเลย ก็ถูกกิเลสลัดปัดทิ้งลงไปเสีย เหลือตั้งแต่ความเผลอสติอันเป็นเรื่องของกิเลสทำงาน แล้วฉุดลากจิตใจของเราไปสู่อารมณ์นั้นสู่อารมณ์นี้ ทั้งๆ ที่เราอยู่ในท่าแห่งการประกอบความเพียร หรือท่ารบกับกิเลสนั้นแล เราก็ไม่มีโอกาสที่จะทราบได้ จิตของเราจึงหาความสงบไม่ได้
เพราะคำว่าความเผอเรอนั้น ไม่ใช่เป็นทางให้เดินเพื่อความสงบของใจ แต่เป็นทางให้เป็นไปเพื่อความฟุ้งซ่าน เพราะกิเลสผลักดันหรือฉุดลากให้ไปต่างหาก เมื่อเป็นเช่นนั้นการเผลอก็เผลออยู่ไม่หยุดไม่ถอย ทั้งๆ ที่เราก็ภาวนาอยู่เช่นนั้นแลตามความเข้าใจของเรา แต่จิตหาความสงบไม่ได้เพราะเหตุไร ก็มางงในเจ้าของ งงอะไร ถ้าจะให้ความรู้เหนือกว่านั้นขึ้นไปก็คือว่า เพราะเผลอสตินั่นเอง ถ้าสติได้ตั้งกันตามจุดที่หมาย เช่น เรากำหนดพุทโธ นี่ในขั้นเริ่มแรก หรือจะกำหนดอานาปานสติ ลมหายใจเข้าออก ก็ให้ตั้งความรู้ลงที่จุดแห่งลมหายใจ ความรู้ที่เรียกว่าใจ และมีสติรับทราบให้เด่นขึ้นในความรู้นั้นอยู่ตลอดเวลาแล้ว จิตไม่มีโอกาสที่จะเถลไถลไปที่ไหนได้ มีธรรมะเป็นเครื่องผูกมัดจิตใจด้วยสติอยู่โดยสม่ำเสมอ จิตนั้นจะสงบตัวๆ เข้ามา แล้วกลายเป็นความสงบขึ้นที่ใจ
เมื่อใจเริ่มสงบเข้ามาเท่านั้น เราก็เห็นความสุขความสบาย และเห็นคุณค่าแห่งความสงบ ว่าเป็นผลแห่งความสบายขึ้นมา ในขณะเดียวกันเราก็เห็นโทษแห่งความฟุ้งซ่าน ที่ถูกกิเลสผลักไปดันไปหรือฉุดลากไปในเวลาเดียวกัน แล้วเราก็มีความเข้มงวดกวดขันที่จะทำจิตของเราให้ยิ่งกว่านี้ขึ้นไปด้วยความมีสติ อย่างนี้เรามีทางที่จะทราบได้ นี่ในขั้นเริ่มแรกยากอย่างนี้
ผู้ปฏิบัติเท่านั้นที่จะทราบได้ว่ายากหรือง่าย ลำบากลำบนขนาดไหน เป็นกาลเป็นเวลาเป็นสถานที่ที่จะให้จับกันได้ เช่นเวลาใดจิตสงบไม่ได้เลย เวลานั้นก็หาความสบายไม่ได้ เวลาใดที่จิตมีความสงบแน่วแน่ลงได้ เวลานั้นความสบายความแปลกประหลาดก็ปรากฏขึ้นที่ใจของตัวเอง ทั้งสองนี้เป็นสักขีพยานให้เห็นได้ชัดว่า ฝ่ายที่เป็นโทษคือความฟุ้งซ่านรำคาญ ทำให้เกิดความทุกข์ความทรมานก็ทราบได้ ฝ่ายเป็นคุณคือเป็นสุขเพราะความสงบของใจ ไม่ส่ายแส่ไปหาอารมณ์ที่เป็นพิษเราก็ทราบได้ จากหัวใจของเราผู้สัมผัสสัมพันธ์หรือผู้ปรากฏเสียเอง และพยายามก้าวเดินตามนั้น จะยากขนาดไหนก็ตาม
เรื่องของจิตที่อยู่ในวงล้อมของกิเลสแล้ว อย่างไรมันต้องฉุดต้องลากให้หาความสงบร่มเย็น ให้หาความเป็นอิสระอยู่โดยลำพังตนเองไม่ได้อยู่โดยดี จิตดวงใดก็จะต้องเป็นเช่นนั้น จึงต้องได้ใช้สติทุกเวล่ำเวลาทุกกาลสถานที่ สำหรับนักปฏิบัติแล้วต้องเป็นเหมือนนักมวยที่ต่อยกันบนเวทีเผลอไม่ได้ ต้องเอาให้เต็มเม็ดเต็มหน่วย สติปัญญากำลังวังชามีเท่าไรทุ่มกันลงหมดในเวลานั้น นี่ก็เหมือนกัน การต่อสู้กับกิเลสจึงไม่ใช่เป็นเรื่องเล็กน้อย
สำหรับผมเองที่ได้มาแสดงให้เพื่อนฝูงฟังนี้ ถ้าจะพูดว่าอำนาจวาสนาของเราหยาบ นิสัยวาสนาของเราหยาบ อย่างนี้ผมก็ยอมรับ เพราะทำยากจริงๆ ทำยากถึงขาดน้ำตาร่วง เพราะสติก็มี ปัญญาก็มี แต่สู้กิเลสไม่ได้ ให้กิเลสฉุดลากหัวใจไปสู่อารมณ์ต่างๆ อันเป็นพิษเป็นภัยอยู่ต่อหน้าต่อตา สติมีแต่กำลังไม่พอ ปัญญามีแต่กำลังไม่พอ ก็ให้มันฉุดลากไปต่อหน้าต่อตา นี่ละในขั้นเริ่มแรกขั้นล้มลุกคลุกคลานเป็นอย่างนี้ มีตั้งแต่การต่อสู้ท่าต่อสู้ถ่ายเดียว แต่กำลังสติปัญญาไม่พอ
พยายามหาวิธีต่อสู้หลายแง่หลายกระทง เช่น ผ่อนอาหารบ้าง อดอาหารบ้าง อดนอนบ้าง เดินนานๆ บ้าง นั่งนานๆ บ้าง หลายวิธีการ เพราะหาแง่หาทางที่จะให้มีกำลังต่อสู้กับกิเลสคือความฟุ้งซ่านรำคาญ จนหาหลักหาเกณฑ์ภายในตัวไม่ได้นี้ ให้สงบตัวลงและเห็นได้อย่างชัดเจนภายในจิตใจ จึงต้องได้ใช้หลายวิธี ดังที่เคยนำมาแสดงให้หมู่เพื่อนฟัง ตามความถนัดแห่งจริตนิสัยของตนก็คือการผ่อนอาหาร การอดอาหาร ดังที่แสดงให้ฟังอยู่เสมอ อย่างอื่นในขั้นเริ่มแรก ไม่ปรากฏว่าสิ่งใดวิธีการใดที่ทำเจ้าของให้ปรากฏเป็นความสงบเย็นใจ และเป็นของแปลกประหลาดภายในจิตขึ้นมาให้เห็น
เช่นเดินนานก็เคยเดิน ยืนนานๆ ก็เคยยืน นั่งนานๆ ก็เคยนั่ง เว้นการนั่งตลอดรุ่งนั้นเสียที่ทำในระยะต่อมา มันก็ไม่แสดงผลอย่างไรขึ้นมา ก็ยังสู้ความวุ่นวายของจิตความส่ายแส่ของจิตนี้ไม่ได้อยู่นั่นแล
เฉพาะอย่างยิ่งราคะตัณหานี้รวดเร็วมากสำหรับวัยที่ยังหนุ่มยังแน่น เช่นอย่างพวกเราๆ ท่านๆ นี้ ใครๆ ก็จะต้องเหมือนกัน เพราะธาตุขันธ์มีกำลัง ย่อมจะเป็นเครื่องส่งเสริมกิเลสให้มีกำลังมากขึ้นและรวดเร็วหรือคล่องตัวมากขึ้น เช่นราคะตัณหาจะปรากฏขึ้นอย่างรวดเร็ว คำว่าปรากฏแห่งราคะตัณหานี้เราไม่ได้หมายถึงว่า เรามองเห็นรูปวิสภาคเช่นรูปหญิงแล้ว จะเกิดความกำหนัดยินดีขึ้นมาเสียอย่างออกหน้าออกตาอย่างนี้ หรือได้ยินเสียงหญิงเป็นต้น แล้วปรากฏความกำหนัดยินดีขึ้นมา เกิดความรักความชอบขึ้นมาอย่างออกหน้าออกตาอย่างนี้ก็ไม่ใช่ แต่มันปรากฏอยู่ที่จิตซึ่งเราเฝ้าดูอยู่นั้นด้วยสติสตังของเรา มันแสดงความแปลกประหลาดไปในทางนั้นให้เห็นอยู่ชัดๆๆ
จะพยายามระงับเท่าไรมันก็มี มีอยู่ภายในจิตโดยเฉพาะ ไม่ถึงกับว่าแสดงออกมาทางอาการหรืออวัยวะต่างๆ ก็ตาม แต่มันเป็นความเจ็บแสบเอามากทีเดียว เพราะเราตั้งหน้าตั้งตาจะฆ่ามันอยู่แล้ว เหตุใดมันจึงมาตั้งหมัดตั้งมวยต่อหน้าต่อตา เตะลมเตะแล้งเตะเฉียดหน้าเฉียดหลังเราอยู่ต่อหน้าต่อตาเรา นี่ทำไมคนเราจะไม่เสียใจ ทำไมคนเราที่มีหัวใจอยู่ด้วยกันจะไม่เจ็บไม่แสบภายในจิตใจ นี่ละเป็นเหตุที่จะให้ตั้งข้อสังเกตขึ้นมา หาอุบายวิธีการต่างๆ ขึ้นมาแก้กัน
จึงต้องได้ทรมานหลายวิธีการ ครั้นสุดท้ายก็ไม่พ้นวิธีที่จะได้รับความทุกข์ความลำบากมากๆ จนได้แหละ เช่น อดอาหารไม่ฉันเลยเป็นวันๆ ไปหลายๆ วัน ผ่อนก็ดีแต่มันไม่สมใจไม่ทันใจ ไม่ได้อย่างใจหวังของเรา เมื่ออดนี้รู้สึกว่าสติเด่นขึ้นๆ อดวันแรกสติค่อยมีขึ้น เหมือนกับว่าถ้าเป็นคนก็ค่อยรู้ภาษีภาษาขึ้นบ้าง อดวันที่ ๒ อดวันที่ ๓ เข้าไป ด้วยความเพียรที่ขะมักเขม้นอย่างเต็มที่อยู่นั้นแล กับวิธีการใดแห่งความเพียรก็ตาม แต่มันสู้วิธีการอดอาหารนี้ไม่ได้ เมื่อหลายวันเข้าไป กำลังของธาตุของขันธ์นี้ค่อยอ่อนตัวลง อ่อนตัวลง นี่ละสิ่งที่ว่าเครื่องเสริมกิเลสมีราคะตัณหาเป็นต้น ค่อยอ่อนตัวลงไป ไม่รวดเร็ว สติค่อยเด่นขึ้นมา สติเด่นขึ้นมา สุดท้ายใจก็สงบตัวลงได้ เพราะกิเลสทั้งหลายความวุ่นวายทั้งหลายไม่รบกวนจิตใจ ไม่ฉุดลากจิตใจไปอย่างรุนแรงต่อหน้าต่อตาของเราเหมือนที่เราฉันอยู่ตามปกติ
เมื่อปรากฏเห็นผลประจักษ์แล้ว ไม่เพียงแต่ว่าผลประจักษ์เพียงแค่นั้น ยังเห็นผลแปลกประหลาดอยู่ภายในจิตในขณะที่สงบแน่วแน่ลงไป ซึ่งเราก็ไม่เคยสงบอย่างนั้น ก็ปรากฏขึ้นมาเพราะการอดอาหาร ด้วยความเพียรโดยวิธีการอดอาหาร เด่นชัดขึ้นมาๆ จนถึงกับมีความรื่นเริงภายในจิตใจในธรรมทั้งหลาย จิตใจอยู่กับตัว สติตั้งจนกระทั่งเราอยากจะพูดว่า เพราะบางครั้งมันเป็นอย่างนั้นจริงๆ ทั้งวันมันไม่เผลอเลย ตั้งกันได้ทั้งวันไม่เผลอในขณะหรือในเวลาที่อดอาหารอยู่นั้น เพราะตั้งทุกเวลาตั้งทุกขณะ ไปวันนี้และวันหน้าต่อไปก็อดอยู่อย่างนั้น
ตั้งสตินานไปๆ สติติดต่อสืบเนื่องกันเป็นประหนึ่งว่าสัมปชัญญะ จิตคิดปรุงออกไปเรื่องอะไรรู้ทันๆ ดับได้ทัน นี่ยิ่งเด่นชัดขึ้นแล้ว ทำให้เจ้าของมีแก่ใจ มีความกล้าหาญชาญชัยต่อความเพียร เพราะเห็นผลประจักษ์ภายในจิตใจของตัวเอง นี้แลที่ทำให้ลำบากมาก ถึงไม่อยากลำบากแต่ทางเดินเป็นอย่างนี้ จะเรียกว่านิสัยวาสนาเราหยาบก็ยอมยกให้ เมื่อวิธีการนี้เป็นวิธีการที่ได้ผล ถึงจะอยากลำบากเราก็ต้องได้ฝ่าฝืนได้ทำอยู่นั่นแล ทั้งๆ ที่ไม่อยากทำ จนกระทั่งเห็นได้ชัดเลยว่ากิเลสนี้สงบตัวลงไป อ่อนกำลังลงไป เพราะการอดอาหารเป็นเครื่องสนับสนุน และสติก็ตั้งขึ้นได้โดยสะดวกยิ่งกว่าเวลาปกติเราเห็นได้ชัด
ผลของการระมัดระวังรักษาตัวเองตลอดเวลาด้วยวิธีการอดอาหาร ทำให้จิตแน่วแน่ลงไปโดยลำดับ และเป็นความแปลกประหลาดอัศจรรย์อยู่ภายในตัวเอง จิตไม่ได้รวมแน่วแน่เป็นอันเดียวก็ตาม แต่มันสงบอยู่ภายในตัวเอง มันก็รื่นเริงอยู่ภายในนั้น นี่ขั้นที่เราฝึกหัดเบื้องต้นต้องได้ทำหนักมากอย่างนี้ หนักจริงๆ สำหรับนิสัยผม จำได้อย่างฝังลึกลงในขั้วหัวใจ ไม่มีวันหลงลืมได้เลยตลอดวันตายโน่นแหละ
แต่มีดีอย่างหนึ่ง ถึงจะว่านิสัยวาสนาหยาบก็ตาม แต่ความไม่ถอยนั้นรู้สึกว่าเด่นอยู่ตลอดเวลา ยังไงก็ไม่ถอย ไม่ได้ด้วยวิธีนี้จะเอาวิธีนั้น ไม่ได้ด้วยวิธีนั้นจะเอาวิธีนี้ มีแต่จะเอาๆ คำว่าจะถอยไม่มี นี้ดีอย่างหนึ่ง ถ้าว่าหยาบก็น่าชมตรงนี้ หากว่าอันนี้มีลดหย่อนลงไป ความที่ว่าจะเอานี้ถอยหลังกรูดลงไปแล้วเสร็จ ไปไม่รอดเลย นี่ไม่ถอย จึงยึดหลักได้ว่าการอดอาหารนี้เป็นวิธีสำคัญวิธีหนึ่งในการฝึกหัดตนเอง เพื่อได้หลักได้เกณฑ์ คือจิตเข้าสู่ความสงบ จิตเป็นสมาธิ ซึ่งเราเคยเรียนตามตำรับตำราก็เรียนมาเสียจนปากแฉะ แต่ก็ไม่เห็นผล บัดนี้ได้เห็นแล้วด้วยวิธีการอันนี้ นั่นก็จับได้ยึดได้
ทีนี้เมื่อยึดได้อย่างนั้นเราจะไปเดินทางไหน ทางไหนก็ไม่เหมือนทางนี้ ด้วยเหตุนี้จึงจำเป็นต้องบึกต้องบึน ต้องฝ่าต้องฝืน ทุกข์ก็ยอมทุกข์ ทรมานขนาดไหนก็ยอมทรมาน เวลาอดไปหลายๆ วันแล้วนี้ เดินจงกรมไม่ได้กี่ตลบนะจะก้าวขาไม่ออก เพราะอ่อนไปหมด แต่สำคัญที่ภายในจิตใจมันต่างกันคนละโลก ใจนั้นสว่างกระจ่างแจ้ง เพียงสมาธิเท่านั้นก็พออยู่พอกิน ความสว่างกระจ่างแจ้งของสมาธินี้ก็ไม่ย่อยเหมือนกัน เพราะเราไม่เคยเห็นธรรมที่สูงกว่านี้ ละเอียดกว่านี้ เราเห็นเพียงแต่จิตสงบเพราะจิตเราไม่เคยสงบ เพียงเท่านี้เราก็พออยู่พอกิน รื่นเริงบันเทิงในความสงบเย็นใจนี้ นี่ละเป็นเหตุที่จะขยับไปเรื่อยๆ
ขาจนจะก้าวไม่ออกแล้ว แต่ส่วนจิตนี้ยิ่งเด่นเหมือนจะเหาะเหินเดินฟ้า นั่นมันต่างกันอย่างนี้เอง ที่ทำให้เราได้ตะเกียกตะกาย ทั้งๆ ที่ทุกข์ลำบากแทบเป็นแทบตายแทบจะเอาชีวิตไม่รอด แต่ความที่จะเอาหากไม่ถอยเท่านั้นเอง มันถึงได้หมุนกันไปๆ จากนั้นก็ตั้งหลักได้ นี้ละความตั้งหลักได้นี้ก็เพราะความตะเกียกตะกายนะ ไม่ใช่ความสุกเอาเผากิน ไม่ใช่ความเร่ๆ ร่อนๆ ตามสบายๆ กินสบาย นอนสบาย อยู่สบาย ไปสบาย ทำความเพียรเดินสบาย อยากหยุดเมื่อไรก็หยุด นั่งก็นั่งสบาย อยากหยุดเมื่อไรก็หยุด อยากนอนเมื่อไรก็นอน ไม่ใช่เป็นอย่างนั้น ไม่ใช่แบบนี้ ไม่ใช่อย่างนี้ แต่แบบเอาเป็นเอาตาย แล้วก็ตั้งขึ้นมาได้ จนถึงขั้นที่ว่าแน่ใจว่าจิตใจนี้มีหลัก
เมื่อจิตใจมีหลัก ความรู้ความเด่นความหนาแน่นมั่นคงฝังอยู่ภายในหัวใจของเรานี้ ดังที่เคยพูดในท่ามกลางอกนี้แล ไม่ได้อยู่ที่ไหน เห็นประจักษ์ สว่างกระจ่างแจ้งขนาดไหนก็อยู่ในท่ามกลางอกนี้แลๆ เห็นชัดอยู่อย่างนั้นจะให้ไปว่าที่ไหน เวลาเราเรียนหนังสือความจำนั้นทำงานอยู่ที่มันสมองหรืออยู่ที่สมอง จำเสียจนกระทั่งสมองทื่อไม่ทำงาน ไม่ยอมจำให้เลยก็รู้ จนงงหมด เราก็รู้ว่าทำงานอยู่บนสมอง สมองทื่อหมด แต่เวลาทำความพากเพียร จิตใจได้รับความสงบร่มเย็น มาปรากฏในท่ามกลางหัวอกของเรานี้อย่างเด่นชัด ตั้งแต่ขั้นพื้นๆ ของจิตจนกระทั่งถึงสุดความสามารถ ไม่ได้นอกเหนือไปจากท่ามกลางอกนี้เลย นั่นเห็นได้ชัด ไม่มีใครบอกก็รู้ เป็น สนฺทิฏฺฐิโก รู้อยู่โดยลำพังเจ้าของ
นี่เราพูดถึงเรื่องวิธีการทรมานตนเอง เราอย่าเอาความยากความลำบากเข้ามาเป็นอุปสรรค มากีดมาขวาง มันจะตีแข้งตีขาเราให้หักไปหมดก้าวขาไม่ออก ทุกข์ขนาดไหนให้เราเห็นว่า ธรรมชาติที่หลุดพ้นจากทุกข์นั้น เป็นของเลิศของวิเศษขนาดไหน เอานั้นมาเป็นอารมณ์ของใจ ใจจึงจะไม่ท้อถอย เมื่อตั้งหลักได้อย่างนี้แล้วเราก็พอฟัดพอเหวี่ยง
แต่เรื่องความทุกข์ความลำบาก ลำบากเหมือนกัน เป็นแต่เพียงว่าลำบากด้วยความมีต้นทุน ถ้าเราหิวโหยมา อาหารของเราที่มีอยู่เป็นพื้นได้แก่สมาธิเราก็มี เราก็สบาย ถึงจะทุกข์ยากลำบากเพราะการตะเกียกตะกาย สำหรับผลประโยชน์ในกาลต่อไปเราก็ยอมรับ แต่เวลาถอยจิตเข้ามาก็มีหลักมีเกณฑ์มีที่พึ่งมีที่เกาะ นี่ก็พอฟัดพอเหวี่ยงกันไปเรื่อย
ตั้งแต่วันออกปฏิบัติสำหรับผมเองนี้ หาความสะดวกสบายไม่ได้ ว่าอย่างนี้เลย เต็มหัวใจมันเป็นอย่างนั้น ไม่มีเวลาที่จะสะดวกสบาย ดูสิ่งใดฟังอันใดสิ่งที่มาสัมผัสสัมพันธ์ ได้ดูได้ยินได้ฟังได้คิดได้อ่านตามอิสระไม่เคยมี มีแต่ต้องบีบต้องบังคับเอาไว้ทั้งนั้น เพราะทางเดินของมันเป็นทางเดินของกิเลสทั้งนั้น ออกทางตาทางหูทางจมูกทางลิ้นทางกาย มันออกไปเพื่อกิเลส ขนกิเลสเข้ามาเผาเราทั้งนั้น เพราะฉะนั้นจึงไม่ยอมให้ออก สมกับว่าต่อสู้กัน จะฆ่ากัน จะยอมให้ออกไปไหน ให้มันเห็นกันชัดๆ อยู่ภายในจิตใจ
เมื่อจิตมีหลักเป็นสมาธิแล้วใจก็สบาย เย็น นี่เราไม่ต้องพูดไปให้ละเอียดลอออะไรมากนัก เพราะเคยพูดให้เป็นคติแก่หมู่เพื่อนมากแล้ว เมื่อจิตมีความสงบร่มเย็นควรแก่การพิจารณาทางด้านปัญญาแล้ว อย่าอยู่เฉยๆ ให้หาอุบายคิดอ่านไตร่ตรอง เพราะปัญญาในขั้นเริ่มแรกนี้ ต้องได้อาศัยการฉุดการลากออกไป เช่นเดียวกับเราฉุดลากจิตเข้าสู่สมาธินั้นแล ไม่มีอะไรผิดกัน เพราะมีความเพลินอยู่ในสมาธิ เนื่องจากสมาธินี้เป็นความสุขอันหนึ่ง ให้อยู่ด้วยความสงบแน่วอยู่นั้น ให้อยู่ทั้งวันก็อยู่ได้สบายไม่มีอะไรยุ่งเลย
รูป เสียง กลิ่น รส เครื่องสัมผัส อารมณ์ต่างๆ ไม่เข้ามายุ่งกวนใจ มีอารมณ์อันเดียว เอกัคคตารมณ์อยู่โดยลำพังแห่งความรู้ที่สงบตัวนั้น เท่านั้นก็พออยู่พอกินแล้ว ถ้าไม่มีขั้นปัญญาเข้ามาเกี่ยวข้อง ทีนี้เมื่อออกทางด้านปัญญา ทีแรกต้องได้ถูได้ไถต้องฉุดต้องลาก พาคิดพาอ่านไตร่ตรองดูธาตุดูขันธ์ของตน นี้ละที่มันผูกมันมัดจิตใจเอาไว้ไม่ให้เห็นความจริง ความจริงพระพุทธเจ้าท่านรู้มากขนาดไหน หยั่งพระญาณลงไปเท่านี้ เรื่องทั้งหลายสามแดนโลกธาตุนี้มีสิ่งใดปิดบังพระญาณของพระพุทธเจ้าได้ พอที่จะไม่ให้พระองค์ทรงทราบในสภาวะทั้งหลาย
พูดง่ายๆ เราเอาถึงว่า สัตว์โลกผู้ที่เสวยกรรมอยู่นั้นน่ะทั่วโลกดินแดน นรกก็อัดแน่น ไม่ว่าหลุมใดๆ อัดแน่นอยู่ด้วยสัตว์ที่เสวยกรรมประเภทนั้นๆ พ้นจากนรกมา หรือผู้ที่ไม่ได้ตกนรก ก็เสวยกรรมอยู่ตามประเภทของตน ๆ กรรมหนัก กรรมเบา กรรมมากกรรมน้อยขนาดไหนเต็มไปหมด ถ้าหากว่าเราจะพูดเป็นด้านวัตถุนี้ยั้วเยี้ยๆ หาที่อยู่หาที่พักที่จะไม่ให้โดนกับจิตวิญญาณของสัตว์นี้ไม่ได้เลย เป็นยังไง นี่ละพระญาณของพระพุทธเจ้าเป็นอย่างนั้น ทรงทราบไปหมดตลอดทั่วถึงในสามแดนโลกธาตุนี้
ไม่มีจุดใดดอนใดที่สัตว์ทั้งหลายจะไม่เกิดไม่ตาย จะไม่เสวยทุกข์ความลำบากลำบน เต็มไปหมดด้วยความเสวยกรรมของสัตว์ทั้งหลาย เนื่องมาจากการเกิดการตายมีอวิชชาเป็นสำคัญที่ผลักไสให้เกิด แล้วการได้รับความดีความชั่วนั้นมันเกี่ยวกับเรื่องกรรม การทำดีต้องให้ผลดีไม่สงสัยเป็นอื่น เช่นเดียวกับการทำบาปต้องเป็นบาป ทำดีต้องได้ดี ทำชั่วต้องได้ชั่ว เป็นหลักตายตัว ใครจะมาแก้ไขมาลบล้างไม่ได้
แม้แต่พระพุทธเจ้าทุกๆ พระองค์ ไม่ปรากฏว่าพระพุทธเจ้าพระองค์ใดลบล้างบาปไม่ให้มีในสัตว์เลย ให้มีแต่บุญอย่างเดียว อย่างนี้พระองค์ทำไม่ได้ จึงต้องสอนอุบายวิธีการ บอกอันใดที่ชั่วช้าลามกอย่าทำ ถ้าทำแล้วผลจะเป็นอย่างนั้นขึ้นมา คือผลไม่พึงปรารถนา หนักเบามากน้อยจะเกิดขึ้นจากการกระทำของตนนั้นแล สอนให้สร้างแต่คุณงามความดี การสร้างคุณงามความดีมันไม่อยากสร้าง เพราะกิเลสไม่ให้สร้าง ทีแรกก็ต้องได้ฝืนกับกิเลสเอาหนักเอาหนาเหมือนกัน
เพราะกิเลสนี้เมื่อเราจะทำความดีก็หมายความว่า เราจะออกจากอำนาจวาสนาหรือเงื้อมมือของมัน มันไม่อยากให้ออก เพราะมันเคยครองจิตดวงนี้มากี่กัปกี่กัลป์แล้ว มันจะครองจิตดวงนี้ตลอดไป ไม่ยอมให้จิตดวงนี้มีอำนาจวาสนาแก่กล้าสามารถ ที่จะหลุดลอยไปจากมือมันเลย เพราะฉะนั้นมันถึงกีดถึงขวางถึงคัดถึงค้าน
ด้วยเหตุนี้เองการทำคุณงามความดีประเภทต่าง ๆ จึงต้องว่ายาก ว่าลำบาก แล้วดีไม่ดีไม่อยากทำ สิ่งเหล่านี้มีแต่เรื่องของกิเลสกีดกันเอาไว้ทั้งนั้น เราไม่เห็นเราไม่รู้นั่นซิ ต่อเมื่อสติปัญญาของเรามีความแก่กล้าสามารถแล้วปิดไม่อยู่ เหนือขึ้นไปๆ มองลงมาเห็นหมดๆ ระดับไหนๆ ของกิเลสประเภทใด หลอกลวงสัตว์โลกอย่างใดบ้าง กิเลสประเภทใดหลอกลวงสัตว์โลกด้วยกลอุบายใดบ้างๆ พูดง่ายๆ นะรู้หมดๆๆ นั่นเวลาถึงขั้นเหนือกิเลสแล้วต้องรู้เรื่องกลมายาของกิเลส ไม่งั้นฆ่ากิเลสได้ยังไง ไม่เหนือกิเลสฆ่ากิเลสได้ยังไง
พระพุทธเจ้าท่านเป็นอย่างนั้น และพระญาณหยั่งทราบของพระองค์นั้น ฟังแต่ว่า โลกวิทู รู้แจ้งทั้งโลกนอกโลกในตลอดทั่วถึง ไม่มีสิ่งใดจะปิดบังลี้ลับพระญาณของพระองค์เลย เห็นสัตว์ทั้งหลายเป็นอย่างที่ว่ามานี้ เป็นแต่เพียงว่าพระธรรมอันใดที่จะเป็นประโยชน์แก่โลก พระองค์ก็นำสิ่งนั้นมาแสดงนำสิ่งนี้มาแสดง เพื่อสัตว์โลกประเภทนั้นๆ เพราะมันต่างๆ กันในสัตว์ทั้งหลาย เช่นอย่างสอนมนุษย์ ธรรมประเภทใดที่จะเป็นประโยชน์แก่มนุษย์ ท่านก็นำมาสอนพวกเรา ดังที่บัญญัติไว้เพื่อมนุษย์ทั้งหลายเวลานี้ ธรรมประเภทใดที่จะควรสอนเทวดาอินทร์พรหม ท่านก็ทรงสอนเทวดาอินทร์พรหมเป็นประเภทๆ แห่งอรรถแห่งธรรม ตามอุปนิสัยของเทวดาอินทร์พรหมทั้งหลายจะรับได้ ตลอดถึงพวกยักษ์พวกเปรตพวกผีมีประเภทนับไม่ได้เลยในโลกนี้ ที่ควรแก่พระองค์จะทรงสงเคราะห์โดยวิธีใด พระองค์ก็สงเคราะห์ด้วยวิธีนั้นๆ จึงไม่ซ้ำกันกับธรรมเหล่านั้นที่นำมาสอนมนุษย์เรา
เราอย่าเข้าใจว่ามนุษย์เรานี้เป็นเจ้าของแห่งธรรมแต่ผู้เดียว สัตว์ทั้งหลายเขาก็มีทางได้รับธรรมจากพระพุทธเจ้าเหมือนกัน และคำว่า กรรม ก็เหมือนกันเช่นนั้น กรรมดีกรรมชั่วมีอยู่ทุกตัวสัตว์ไม่มีใครปฏิเสธได้เลย นอกจากพระพุทธเจ้าและพระอรหันต์ท่าน นั่นหมายถึงกรรมทางใจไม่ติดตามท่านได้ แต่กรรมในส่วนวิบากที่จะต้องรับนั้นยอมรับ ดังที่เห็นกันแล้วนั้น แต่ไม่เข้าถึงพระทัยถึงใจท่าน ท่านไม่รับเสวย กรรมทั้งหลายแม้จะมีมากมีน้อยก็ไม่ได้เสวยภายในจิตใจ ต่างกันที่ตรงนี้
นี่ละการสั่งสอนสัตว์โลก พระพุทธเจ้าจึงสั่งสอนอย่างเน้นหนักอย่างกว้างขวางมากมายไม่อาจพรรณนาได้ อรรถธรรมที่พระพุทธเจ้าทรงสั่งสอนสัตว์โลกที่มนุษย์เราไม่ได้รู้ได้เห็นเลย ไม่เกี่ยวข้องกับมนุษย์เราเลยมีมากขนาดไหน มากยิ่งกว่าที่สอนมนุษย์นี้อีกไม่รู้กี่ร้อยเท่าพันทวี แต่พระองค์ไม่ได้นำมาสอนพวกเรา เราจึงเป็นเหมือนว่าเรามีธรรมที่พระพุทธเจ้าทรงสอน ๘๔,๐๐๐ พระธรรมขันธ์ อันนี้เป็นเรื่องของสอนมนุษย์ ที่สอนพวกสัตว์นอกจากมนุษย์ไปมีเทวดาอินทร์พรหมเป็นต้น ตามควรแก่ฐานะของเขาจะรับได้มากน้อยเพียงไร พระองค์ทรงเมตตาสั่งสอนธรรมตามฐานะของเขาที่จะรับได้มากน้อยเพียงนั้น ธรรมเหล่านั้นมีมากต่อมากกว่าที่ทรงนำมาสอนมนุษย์เรา
นี่แลพระพุทธเจ้าทรงอุบัติขึ้นมาสู่โลกแต่ละพระองค์ๆ เป็นประโยชน์แก่โลกแห่งไตรภพอย่างมหาศาลไม่มีประมาณ ไม่มีใครเป็นคู่แข่งได้เลย แล้วก็ยากด้วยการที่จะมาตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าแต่ละพระองค์ๆ หลักความจริงที่ทรงปฏิบัติต่อโลกเป็นอย่างนี้ เป็นแต่เพียงว่าท่านไม่ได้สั่งสอนเทวดาอย่างเปิดเผยเหมือนสอนมนุษย์เท่านั้นแหละ ประการหนึ่งคำว่าตถาคตก็คือโลกวิทู ที่รู้แจ้งหมดแล้วนั่นแล การสั่งสอนจึงทรงเป็นไปตามพระวิสัยและวาระ พร้อมกับธรรมที่ทรงสั่งสอนก็มีนัยต่างกัน และหยาบละเอียดต่างกันกับมนุษย์ นอกจากที่ทรงสั่งสอนเทวดา แต่มนุษย์สามารถถือเอาประโยชน์ได้ เช่นมงคล ๓๘ ประการ ท่านก็นำมาสอนมนุษย์ อันใดที่เป็นประโยชน์แก่พวกเทพพวกอินทร์พรหมทั้งหลายล้วนๆ ท่านจะไม่นำมาสอนมนุษย์ ธรรมที่ท่านไม่นำมาสอนมนุษย์นี้มีมากขนาดไหนไม่อาจคำนวณได้เลย
สัตว์โลกที่เต็มอยู่ในโลกธาตุนี้ คือ กามภพ รูปภพ อรูปภพ หรือว่า กามโลก รูปโลก อรูปโลกมีมากขนาดไหน พระญาณทรงหยั่งทราบโดยตลอดทั่วถึง ในการที่จะสงเคราะห์สัตว์โลกตามภูมิอุปนิสัยนั้นเป็นพุทธวิสัย คือเป็นพระวิสัยของพระพุทธเจ้าโดยเฉพาะ ใครจะไปยื้อแย่งแข่งดีหรือจะไปเทียบไปเคียงไปคาดไปหมาย ไปด้นไปเดาไปตัดคะแนนให้คะแนนพระพุทธเจ้านั้น ไม่มีทางที่จะเป็นไปได้ เป็นเรื่องของพระพุทธเจ้าโดยเฉพาะ เพราะพระองค์ทรงรอบคอบและทรงรับภาระตามพระอัธยาศัยแต่ผู้เดียว นี่พูดถึงพระญาณความหยั่งทราบและการการทำประโยชน์แก่โลกของพระพุทธเจ้า เมื่อถึงขั้นรู้ท่านรู้อย่างนั้น และท่านบำเพ็ญประโยชน์แก่โลกอย่างนี้
พระสาวกทั้งหลายไม่ได้รู้แบบพระพุทธเจ้าอย่างเต็มเม็ดเต็มหน่วยก็ตาม แต่เป็นเครื่องยืนยันเป็นพยานกันได้อย่างประจักษ์ ไม่มีทางสงสัยเช่นเดียวกัน และท่านก็ทราบแง่แห่งธรรมต่างๆ พอเป็นเครื่องเทียบเคียงกันได้ ธรรมกว้างแคบเพียงใด บรรดาสาวกที่เปิดหัวใจออกมาแล้ว กิเลสที่ปิดบังหุ้มห่อได้กระจายตัวออกไปหมดแล้วทำไมจะไม่รู้ เพราะเป็นจิตที่ควรรู้อย่างเดียวกัน เป็นแต่เพียงว่ารู้กว้างรู้แคบรู้ลึกตื้นหยาบละเอียดต่างกันเท่านั้น เรื่องไม่ให้รู้เป็นไปไม่ได้ ต้องรู้ๆ
เหมือนกับเรื่องฆ่ากิเลส ฆ่าลงในหัวใจจนกระทั่งไม่มีเหลือเช่นเดียวกับพระพุทธเจ้า ความบริสุทธิ์ย่อมเป็นเหมือนกันหมด คือเป็นเช่นเดียวกับพระพุทธเจ้า นี่เป็นธรรมชาติเสมอกัน ท่านว่า นตฺถิ เสยฺโยว ปาปิโย บรรดาท่านผู้บริสุทธิ์แล้วนับแต่พระพุทธเจ้าลงมาถึงสาวกองค์สุดท้าย ไม่มีคำว่ายิ่งว่าหย่อนต่างกันเลย คือเสมอกัน แต่พุทธวิสัยที่ทรงรู้เห็นทรงเห็นธรรมทั้งหลาย และทรงนำมาทำประโยชน์เพื่อโลกเพื่อสงสารนั้นต่างกัน แต่เป็นเครื่องยืนยันกันได้ว่า สาวกทั้งหลายก็เป็นได้ตามวิสัยของท่าน
นี่แลธรรมที่นำมาสอนโลก เป็นอย่างไร มันปรากฏบ้างไหมในหัวใจของพวกเรา ที่ไม่ปรากฏก็เพราะมีสิ่งที่ปิดบังลี้ลับไว้ แม้แต่เรื่องที่สัมผัสสัมพันธ์อยู่กับตัวเองนี้ ยังแก้ไม่ได้แก้ไม่ตกละวางไม่ได้จะว่ายังไง เราจะไปพูดอะไรนอกๆ นานาที่ไกลแสนไกลยิ่งกว่านี้ ดูที่ตา หู จมูก ลิ้น กาย จิต ที่สัมผัสสัมพันธ์กับสิ่งใด มีแต่เรื่องของกิเลสมันจับมันจองเอาไว้เสียหมด ไม่ให้มีอะไรเหลือเลยว่าไม่เป็นกิเลส เมื่อเป็นเช่นนั้นเราจะหาสมาธิหาปัญญาหาวิมุตติหลุดพ้นมาจากไหน ถ้าไม่ได้ใช้ความพยายามอย่างเต็มที่ดังกล่าวมานี้
เอ้า หนักขนาดไหนก็ให้รู้ว่านิสัยวาสนาของเราเป็นอย่างนี้ หรือว่านาของเราสวนของเรามันรกรุงรังมันทำยาก แม้ทำยากก็เป็นนาของเรา จะไปทำนาของคนอื่นที่เขาทำง่ายๆ ได้อย่างไร ต้องทำนาของเราสวนของเรางานของเรานั่นแล งานของเรายากก็เป็นเรื่องของเราที่จะต้องทำ จะให้คนอื่นเขามาเปลี่ยนมือได้อย่างไร เราต้องทำ อันนี้ก็เหมือนกัน กิเลสเกิดขึ้นในหัวใจของเรา ว่าเป็นกิเลสของเราก็ถูก เราก็ต้องแก้เอาถอดถอนเอา ยากเราก็ต้องสู้ ยากก็ต้องทำ ง่ายก็ต้องทำ การยากการง่ายนี้ไม่ใช่จะยากตลอดไป ถึงระยะที่ยากมันก็ยากเหมือนกับว่าจะไม่มีง่ายเลย แต่ถึงระยะที่ง่ายมันก็ง่าย นาของเราก็เหมือนกัน สวนของเราก็เหมือนกัน งานของเราก็เหมือนกัน ไม่ใช่ว่าจะยากตลอดไป ส่วนที่ง่ายมันก็มีสับปนกันไปนั้นแล
นี่การประกอบความพากเพียรเพื่อชำระกิเลส ก็พึงทำให้เต็มเม็ดเต็มหน่วย ให้สมกับว่าเรานี้แบกกองทุกข์มานานขนาดไหน ควรจะตั้งความเข็ดหลาบเข้าไว้ แม้เราไม่เคยรู้ความเป็นมาของตน แต่พระพุทธเจ้าก็รู้มาก่อนแล้ว ตั้งแต่ทรงบรรลุปุพเพนิวาสานุสสติญาณ ในปฐมยามวันคืนตรัสรู้เดือน ๖ เพ็ญนั้นก็ประกาศกังวานให้ทราบแล้ว เป็นยังไง ดวงวิญญาณของพระพุทธเจ้าเคยเกิดที่ไหนๆ บ้างมากขนาดไหน พระองค์ทรงรู้ตลอดทั่วถึง ซึ่งล้วนแล้วตั้งแต่รู้ความหมุนเวียนเปลี่ยนไปเปลี่ยนมาของพระองค์เอง จึงได้มาพิจารณาถึงเรื่องสัตว์ทั้งหลายว่าเป็นยังไง
เรื่องจิตวิญญาณของเรามันเคยเกิดเคยตายมานี้จนนับไม่ได้แล้ว ถ้าจะพูดแบบโลกๆ แต่พระพุทธเจ้านั้นเป็นอีกวิสัยหนึ่ง เราไม่ต้องไปพูดว่าท่านนับได้ไม่ได้ เพราะไม่มีใครที่จะฉลาดทรงปรีชาญาณเกินพระพุทธเจ้าแล้ว เวลาพิจารณาดูสัตวโลกในอันดับที่สองคือมัชฌิมยาม เวลาได้บรรลุจุตูปปาตญาณแล้วเล็งดูสัตว์ทั้งหลาย โอ้โห ว่างั้นเลย ถ้าจะพูดอย่างพวกเราทั้งหลายนี้ว่าใจหายเลย จิตวิญญาณแต่ละดวงๆ นี้ล้วนแล้วตั้งแต่หาบภพหาบชาติ แบกกองทุกข์มาจนนับประมาณไม่ได้เช่นเดียวกัน ใครไม่อาจทราบว่าต้นของวิญญาณดวงนี้มาจากไหน และปลายของวิญญาณดวงนี้จะไปสิ้นสุดยุติที่ตรงไหน แบกไปแบกมาหามไปหามมา หมุนไปหมุนมา ด้วยความทุกข์ความทรมานมากน้อยตามวิสัยแห่งวิบากกรรม อยู่อย่างนี้กี่กัปกี่กัลป์มาแล้ว เมื่อไรจะผ่านพ้นไปได้
นี้แลพระพุทธเจ้าเวลาได้ตรัสรู้แล้ว จึงสอนโลกอย่างเต็มพระทัยพระเมตตาสุดส่วน การแนะนำสั่งสอนด้วยวิธีการใดๆ ไม่มีใครเกินพระพุทธเจ้าในเรื่องการสอนโลก ที่จะให้ได้รับประโยชน์ตามภูมิของตนๆ ไม่มีคำว่าอัดว่าอั้น และคำว่าเน้นว่าหนัก ว่าเผ็ดว่าร้อนว่าฉลาดแหลมคม ไม่มีใครเกินพระพุทธเจ้าในอุบายการสอนโลก ใครจะฉลาดยิ่งกว่าพระพุทธเจ้า เพราะอะไร เพราะสิ่งที่จะแก้สิ่งที่จะถอดจะถอนมีอย่างไรในหัวใจสัตว์ พระองค์ก็ทรงทราบและทรงแนะแนวทางให้ตามเหตุตามผลหนักเบาที่เป็นอยู่ในใจสัตว์โลก จึงต้องยากถ้าพูดถึงเรื่องยาก แต่พระองค์ก็พอพระทัย เนื่องจากพระเมตตาเป็นพื้นฐานสำคัญ
พระจิตทั้งดวงที่บริสุทธิ์แล้ว เราจะเรียกว่าเป็นพระเมตตาล้วนๆ ไปเสียหมดก็ไม่น่าจะผิด เพราะธรรมดาของจิตที่บริสุทธิ์เต็มที่แล้ว ไม่มีอะไรที่จะอ่อนนิ่มยิ่งกว่าจิตที่บริสุทธิ์ เข้าได้หมด ไม่มีคำว่าสูงว่าต่ำว่าสัตว์ว่าบุคคล สงสารได้หมดทุกเม็ดหินเม็ดทราย เลยนั้นไปอีกจะว่าไง นั่นแลอำนาจแห่งความเมตตาสงสาร จึงไม่มีถือพระองค์ คำว่าถือตนถือตัวไม่มี เพราะอำนาจแห่งความเมตตานี้ ให้ต้องมีแก่ใจ ให้ต้องสงสารอยู่งั้นตลอดไป
ถ้าเทียบก็เหมือนกับลูกตัวแดงๆ ของเราร้องห่มร้องไห้จะเอาอะไร เด็กจะดุจะด่าจะทุบจะตีจะกัดจะหยิกจะข่วนอะไรก็ตาม พ่อแม่ไม่ได้สนใจ มีแต่โอ๋ๆๆ เรื่อยไปเพราะความรักความสงสารมาก นี่พระพุทธเจ้าก็เหมือนกัน เพราะพระเมตตานี้มีแต่โอ๋ๆ แห่งพระเมตตาทั้งนั้นกับสัตว์ทั้งหลาย แล้วจะถือพระองค์ได้อย่างไร นี่แลอำนาจแห่งความเมตตาที่ออกมาจากพระทัยที่บริสุทธิ์เป็นอย่างนี้
ในเบื้องต้นได้อธิบายถึงเรื่องสมาธิภาวนาและพิจารณาทางด้านปัญญา ให้พากันใช้ทางด้านปัญญาให้มากอย่าอยู่เฉยๆ ให้หาอุบายใช้คิดกับธาตุขันธ์อันนี้ ตะกี้นี้พูดเรื่องนี้เลยกระจายออกไปอีก เช่น เรื่องว่ามันติดอะไรที่ว่านั่นน่ะ มันจืดมันจางไหมมันอิ่มมันพอไหม ก็คือสิ่งเหล่านี้ไม่มีความอิ่มพอ ถ้าให้กิเลสพาเดินแล้วตั้งกัปตั้งกัลป์ดังที่เคยเป็นมานี้ ไม่มีคำว่าอิ่มว่าพอ จึงต้องให้ใช้ปัญญาพาเดินเข้าสู่ความจริง แล้วตัดกันขาดสะบั้นลงไปๆ ดูให้เห็นชัดเจน ธาตุขันธ์ รูป เสียง กลิ่น รส เครื่องสัมผัส มันคืออะไร ตัวของเรานี้ก็เต็มอยู่แล้วกับสิ่งเหล่านี้ รูป เสียง กลิ่น รส เครื่องสัมผัส มีเต็มอยู่ในตัวของเราแล้ว ดูให้ชัดเจนลงไปซี อนิจฺจํ ทุกขํ อนตฺตา ท่านประกาศกังวานอยู่แต่จิตมันไม่ยอมรับนั่นซิ ให้พิจารณาตรงนี้ถึงเรียกว่าปัญญา ปัญญานั่นแลจะพาพ้นทุกข์ จงพากันพิจารณาให้มาก ความหลงเพลินตามกิเลสมีราคะตัณหาเป็นต้น อย่าหวังความพ้นทุกข์ มีแต่มันจะพาให้จมดังที่เคยเป็นมานั่นแล
ให้ตั้งหน้าตั้งตาทำงาน อย่าไปคาดเวล่ำเวลา อย่าไปนับอ่านเที่ยวว่าได้พิจารณาอย่างนั้นอย่างนี้มากหรือน้อย เอ้า พิจารณาจนกระทั่งรู้จนกระทั่งเห็น เมื่อรู้เมื่อเห็นแล้วจะค่อยจางไปๆ ในบรรดาความยึดมั่นถือมั่นในสิ่งทั้งหลาย จางไปๆ สุดท้ายก็เห็นได้ชัดว่าละได้ขาดได้ ดังที่ว่าขันธ์ทั้ง ๕ นี้มันเป็นเรามาสักกี่กัปกี่กัลป์ถ้าจะนับเป็นกัปเป็นกัลป์ให้มัน ขันธ์นี้ตั้งแต่วันเกิดมานี้เป็นยังไง มันถือมาเท่าไรแล้วว่าเป็นเราเป็นของเราทั้งนั้น ขันธ์ไม่ว่าเราก็ว่าเอาเองจะว่าไง ธรรมะพระพุทธเจ้าประกาศกังวานอยู่มันก็ไม่ยอมเชื่อ มันเชื่อแต่เรื่องของกิเลสคืออุปาทานความยึดมั่นถือมั่นนั่นซิ
เพราะฉะนั้นจึงใช้ปัญญาหมุนเข้าไปๆ ตรงที่ว่านั้นให้มันแตกกระจายหมด รูปกระจายออกไปซี หมดทั้งกองรูปนี้คืออะไร ก็คือป่าช้าผีดิบ เรานั่งเฝ้านอนเฝ้าอยู่กับป่าช้าผีดิบ ความรู้ฝังอยู่ในท่ามกลางป่าช้าผีดิบทั้งวันทั้งคืน เราทำไมจึงภูมิใจว่านี้เป็นเรานี้เป็นของเรา มันเราที่ตรงไหนมันป่าช้าผีดิบ หนังห่อกระดูกห่อสิ่งสกปรกรกรุงรังอยู่ภายในจิตใจนี้ ถ้าเปิดออกมาแล้วดูได้ยังไง แม้ตัวของเราเองจะดูเรามันก็ดูไม่ได้ อย่าว่าแต่เราจะดูคนอื่นหรือคนอื่นจะมาดูเราเลย เป็นยังไงใจของเรามันจึงไม่เห็น ดูอย่างนั้นซิปัญญาดู
เราอยู่กับอสุภะอสุภังอยู่กับป่าช้าผีดิบ ตั้งแต่วันเกิดมาจนกระทั่งถึงวันตาย เรายังจากกันไม่ได้กับป่าช้าผีดิบนี้ เรายังไม่รู้ว่าเป็นป่าช้าผีดิบอยู่เหรอ ยังมาเสกสรรปั้นยอตามกิเลสหลอกลวงอยู่เหรอ ว่านี้เป็นเรานี้เป็นของเรา มันตรงไหนเป็นเรา เราไม่ละอายผม ขน เล็บ ฟัน หนัง บ้างเหรอ เขาว่าเขาเป็นเราไหม เนื้อ เอ็น กระดูก ตับ ไต ไส้ พุง อวัยวะน้อยใหญ่นี้ เขาว่าเขาเป็นเรา เขารับทราบว่าเขาเป็นเราเป็นของเราไหม มีแต่เราบ่นบ้าอยู่คนเดียว ว่านี้เป็นเรานั้นเป็นของเราอยู่ลึกๆ ภายในหัวใจนั้นแล เหตุนี้เองปัญญาจึงแทรกเข้าไม่ได้
เพราะฉะนั้นจึงต้องใช้ปัญญาขุดลงไป หลายครั้งหลายหนขุดลงไปมันจะถึงความจริง เมื่อถึงความจริงแล้ว ว่าหนังก็สักแต่ว่า เนื้อ เอ็น กระดูก ก็สักแต่ว่า หมดอวัยวะนี้สักแต่ว่าทั้งนั้น เขาเป็นเพียงความจริงของเขาอันหนึ่ง เขาไม่ได้ว่าเป็นเราเป็นของเรา และเขาไม่ได้รับทราบความหมายของเราว่าไปหมายเขาอย่างไร และเขาก็ไม่รับทราบความหมายของเขาด้วย นั่นพิจารณาลงไปถึงความจริง ทำไมมันจะไม่ปล่อย เมื่อถึงความจริงแล้วปล่อยทั้งนั้น อยู่ไม่ได้ นี่ขั้นรูป
ขั้นเวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ก็เหมือนกันอย่างนี้แล ลงปัญญาได้หยั่งเข้าถึงไหน ความจริงต้องปรากฏขึ้นมาๆ เมื่อปรากฏขึ้นมาอย่างเต็มหัวใจแล้วจะทนยึดมั่นถือมั่นได้อย่างไร เมื่อถึงขั้นที่จะสลัดเต็มที่แล้วไม่ปล่อยไม่ได้ ต้องผึงเดียวเท่านั้น จิตดีดผึงออกมามันจะเหลืออะไรที่นี่ นั่นฟังซิ
แต่ก่อนเราก็เคยพูดเสมอ เมื่อถอนจากอันนี้เข้าไปแล้วก็ไปรวมตัวอยู่ที่จิตดวงเดียวคืออวิชชา พอตัดกิ่งตัดก้านตัดแขนงไปหมด ทางเดินของอวิชชาตัดเข้าไปด้วยปัญญา ถูกปัญญาตัดเข้าไป รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ นี้เป็นเครื่องใช้เป็นทางเดินของอวิชชา ตัดเข้าไปๆ ด้วยปัญญา พิจารณาแล้วปล่อยวางเข้าไปๆ เท่ากับว่าตัดให้ขาดกันเข้าไป ความยึดมั่นถือมั่นในสิ่งเหล่านี้หมดไปๆ จนกระทั่งเข้าถึงจิต
เมื่อเข้าถึงจิตแล้วเป็นยังไง อวิชชานี้ยิ่งเป็นของละเอียดมากทีเดียว เราจึงเห็นได้ว่าไม่มีอะไรเกินกษัตริย์วัฏจิตคืออวิชชา อันนั้นสำคัญมาก ในธรรมบทท่านก็กล่าวไว้ ปภสฺสรมิทํ ภิกฺขเว จิตฺตํ ตญฺจโข อาคนฺตุเกหิ อุปกิเลเสหิ อุปกิลิฏฺฐํ ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย จิตเดิมผ่องใสแต่อาศัยกิเลสที่จรมาคลุกเคล้ากัน จึงกลายเป็นจิตที่เศร้าหมองไป ท่านไม่ได้บอกว่าจิตผ่องใสคืออะไร เพราะฉะนั้นผู้เรียนเข้าไปตรงนี้ จะต้องได้ถกกันอย่างเต็มที่ ถกแล้วก็ไม่ได้อะไร น้ำลายก็หมดไปเปล่าๆ ไม่เห็นได้ความเข้าใจอะไรเลยเพราะไม่ได้ปฏิบัติ
พอได้ปฏิบัติเข้าไปเท่านั้น ไล่เข้าไปอย่างที่ว่านี้ ไล่เข้าไปตามหลักความจริง เจอเข้าไปรู้เข้าไปๆ ปล่อยวางเข้าไป จนกระทั่งถึงตัวจิตจริงๆ แล้ว ก็ไม่พ้นคำว่าตัวผ่องใสนั้นคืออะไร นั่นละไปติดอยู่ตรงนั้น เพราะอันนี้ละเอียดมาก นี่ละกษัตริย์ของกิเลสทั้งหลาย ฟังแต่ว่าจอมกษัตริย์วัฏจักร อันนี้ละเอียดมากที่สุด แม้มหาสติมหาปัญญายังต้องงง ยังต้องติดจนได้
นี่เราพูดถึงขณะที่ติด ไม่ใช่ว่าไม่ติด พอเป็นมหาสติมหาปัญญาขึ้นมาแล้ว สิ่งเหล่านี้ขาดสะบั้นไปเลยไม่ใช่อย่างนั้น ขาดไปในส่วนที่ขาด อันนี้ยังไม่ขาด ยังหลอกมหาสติมหาปัญญาได้อย่างสบาย รักษาเข้มงวดกวดขัน อะไรมาแตะมาต้องไม่ได้ กษัตริย์วัฏจิตนี้ เพราะไม่รู้นี่ นึกว่านั้นเป็นของจริงนั้นเป็นของเลิศของประเสริฐพอแล้ว ก็เฝ้าก็รักษาอยู่นั้นด้วยความพออกพอใจอ้อยอิ่ง ไม่มีอะไรจะเกินนี้ ถ้าพูดถึงเรื่องความสุขความสบายความอัศจรรย์ ก็ประหนึ่งว่าไม่มีอะไรเกิน เมื่อยังไม่ผ่านมันไป ว่านี้เท่านั้นๆ ก็อยู่ตรงนั้น
แต่เพราะเหตุไร คำว่ามหาสติมหาปัญญาถึงจะหลงก็ตาม หลงกลของธรรมชาตินี้ก็ตาม แต่ความสังเกตสอดรู้จะมีอยู่ในขณะเดียวกันๆ ธรรมชาติที่ขึ้นชื่อว่าสมมุติแล้วต้องมีการเปลี่ยนแปลงตามสภาพของตน ซึ่งหยาบหรือละเอียดขนาดไหน ต้องเปลี่ยนแปลงตามนั้นๆ เช่น อวิชชาเป็นของที่ละเอียดมากในจอมวัฏจักรก็คืออวิชชา เพราะฉะนั้นความละเอียดมาก จึงไปรวมอยู่ที่นั่น ความละเอียดของสมมุติของอวิชชาจึงไปรวมอยู่ที่ความผ่องใสอันนั้น
ทีนี้ผ่องใสขนาดไหนก็ผ่องใส ความเปลี่ยนแปลงไม่พ้นจะต้องมีจนได้นั่นแหละ เมื่อมหาสติมหาปัญญาเฝ้าดูอยู่ตลอดเวลา ทั้งรักษาทั้งสังเกตก็ย่อมจะทราบได้ในความเปลี่ยนแปลงของธรรมชาตินั้น เช่นมีความเศร้าหมอง ความเศร้าหมองนี้หมายความว่าความเปลี่ยนแปลง จะนิดหนึ่งก็ตาม เพราะธรรมชาตินั้นละเอียด ความเปลี่ยนแปลงจะละเอียดมาก แต่ก็ไม่พ้นปัญญา หนีปัญญาไปไม่พ้น ก็จะต้องทราบ ความเศร้าหมองความผ่องใส ความสุขความทุกข์มันจะมีมาตามๆ กัน ความเศร้าหมองกับความทุกข์ก็เป็นเงาตามตัว ความสุขกับความผ่องใสก็แยกกันไม่ออก เป็นเงาตามตัวอยู่ในจุดเดียวกันนั้น
เมื่อพิจารณาลงไปถึงขั้นนี้แล้ว เห็นความเปลี่ยนแปลงของธรรมชาตินี้อยู่แล้วนอนใจได้ยังไง นั่นละที่นี่ที่จะได้ทุ่มเข้าไปจุดนี้เต็มสติกำลังความสามารถ ถือจุดนั้นเป็นจุดสนามรบ เช่นเดียวกับสภาวธรรมทั้งหลายที่เคยเป็นสนามรบพังกันมาๆ โดยลำดับแล้วยังเหลืออยู่ธรรมชาตินี้ แล้วก็กลายเป็นสนามรบขึ้นมาอย่างเต็มที่ของมหาสติมหาปัญญา และก็พังกันเลยในจุดนั้น ทีนี้คำว่าผ่องใสไปไหน ถ้าหากว่าเป็นของจริงแล้วต้องทรงตัวอยู่ซิ ดับได้ยังไง นี้ดับเสียจนไม่มีอะไรเหลือ จนใจหายว่ายังไง อวิชชาดับใจหาย ฟ้าดินถล่มเป็นยังไง ความหลงกลับเป็นความรู้ก็เป็นฟ้าดินถล่ม ทีนี้หมดคำว่าเศร้าหมองคำว่าผ่องใส ที่ว่าจุดอันสว่างกระจ่างแจ้งที่ว่าเป็นแดนอัศจรรย์ทั้งหลายในขั้นต้น แต่เมื่อมีธรรมชาติที่เหนือกว่านั้นลบล้างกันแล้ว อันนี้ก็กลายเป็นของปลอมไปอย่างจอมปลอมทีเดียว
อย่างที่เคยพูดว่า อันนี้ซึ่งเปรียบเหมือนกับทองคำทั้งแท่งแต่ก่อน ได้กลายเป็นกองขี้ควายทั้งกอง แล้วมาปกปิดกำบังทองทั้งแท่งไว้ให้อยู่ข้างล่าง พออันนี้เปิดตัวไปเท่านั้นเป็นยังไงที่นี่ อันนั้นยิ่งอัศจรรย์มากกว่านี้ เหนือโลกเหนือสงสารไม่มีอะไรเกิน ไม่มีคู่แข่ง ท่านจึงว่าโลกุตรธรรม แปลว่าธรรมเหนือโลก เหนืออย่างนั้นซิ ทำจิตให้เหนือทุกสิ่งทุกอย่าง แล้วอะไรมันก็เหนืออยู่อย่างนั้นจะว่ายังไง นั่นละท่านว่าเป็น อฐานะ ที่จะเป็นไปอย่างไรไม่ได้อีกแล้ว นั่นถึงขั้นเป็น อฐานะ ของจิต
เอ้า กิเลสตัวไหนจะเข้าไปแทรก กิเลสตัวไหนเมื่อมันหมดอวิชชาไปแล้ว ตัวไหนจะมาผลิตเป็นกิเลสขึ้นมาอีก ให้ยุแหย่ก่อกวนเหมือนอย่างแต่ก่อนไม่มี เหลือแต่ความบริสุทธิ์ล้วนๆ นั้นแลพระพุทธเจ้าและพระสาวกทั้งหลายท่านทรง ทรงอย่างนั้นเอง ประเสริฐท่านประเสริฐอย่างนั้น ประเสริฐในหลักธรรมชาติ ไม่ใช่ประเสริฐด้วยความเสกสรรปั้นยอ แล้วก็หายไปๆ ดังที่เป็นมาตั้งกัปตั้งกัลป์อยู่ในโลกสมมุติอันนี้ อันนั้นไม่ใช่โลกสมมุติ เป็นโลกุตรธรรม แปลว่าธรรมเหนือโลก ยากขนาดไหนก็ให้เห็นอันนี้เป็นสำคัญ ธรรมชาติที่ว่าเลิศนี้เหนือความยากความลำบากความทุกข์ทั้งหลาย จึงต้องพยายามเอาให้เต็มเม็ดเต็มหน่วย
นี่ละถ้าพูดถึงเรื่องตลาดมรรคผลนิพพาน เปิดแล้วยัง ตลาดมรรคผลนิพพานตั้งแต่ขั้นสมาธิมาถึงขั้นปัญญาเป็นขั้นๆ ขึ้นไป จนกระทั่งถึงวิมุตติหลุดพ้น นี้คือตลาดแห่งมรรคผลนิพพานอยู่ในพุทธศาสนานี้ทั้งนั้น กิเลสมีฉันใดตลาดแห่งมรรคผลนิพพานก็มีฉันนั้น เมื่อสติปัญญามีก็จับๆ จับเอา สมาธิก็จับได้ปัญญาก็จับได้ เกาะติด วิมุตติหลุดพ้นก็ได้มาเป็นมหาสมบัติของตนโดยไม่ต้องสงสัย ข้ามหัวกิเลสไปซึ่งอยู่ในกองเดียวกัน มันติดกันอยู่นั้นระหว่างกิเลสกับธรรม ให้เห็นอย่างนั้นซิ
อันนี้มันคว้าตั้งแต่กองขี้ควายๆ กองกิเลส กองอรรถกองธรรมกองสมาธิปัญญาวิมุตติหลุดพ้นไม่คว้า ๆ เวลาจิตถูกปิดบังก็เป็นอย่างนั้น เวลาเปิดแล้วมันก็รู้เอง กองขี้ควายก็รู้ อันนั้นกองมรรคผลนิพพานก็รู้ จากนี้ไปแล้วไม่คว้ากองกิเลส นี่แลที่พูดเบื้องต้นว่าศาสนธรรมของพระพุทธเจ้า คือตลาดแห่งมรรคผลนิพพาน อยู่ในท่ามกลางอยู่ในจุดเดียวกันอันเดียวกันนั่นละ เป็นคู่แข่งกันอยู่ในตลาดแห่งเดียวกันนั่นแลระหว่างกิเลสกับธรรม
เวลากิเลสมีอำนาจมากมันก็เกลี้ยกล่อมพวกลูกค้าทั้งหลาย ให้ไปซื้อของมันเสียหมด คว้าของมันเสียหมด จะซื้อไม่ซื้อก็ตามขึ้นชื่อว่าของกิเลสแล้วคว้ามับๆ ไปหมด ธรรมไม่เหลียวแล ธรรมไม่เหลือบมอง นั่นเวลามันหนาเป็นอย่างนั้น แต่เวลาเปิดตัวออกมาแล้วปิดได้ยังไง กิเลสมีเท่าไรสลัดออกหมดจนไม่มีอะไรเหลือเลย ถึงจะเคยแบกเคยหามมากี่กัปกี่กัลป์ก็ตาม ไม่ได้เสียดายว่าได้เคยแบกมานานแสนนาน พังลงทันทีเพราะมันเป็นภัย นานสักเท่าไรก็เป็นภัย จะสลัดภัยออกจากหัวใจผิดไปที่ตรงไหน ธรรมที่เลิศกว่านี้มีอยู่มากมาย เห็นประจักษ์อยู่ภายในจิตใจ มันก็พังกันละซิ เอาอย่างนั้นซินักปฏิบัติ
อย่าได้ท้อถอยน้อยใจการปฏิบัติตัวของเรา สดๆ ร้อนๆ ธรรมพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้ายังทรงพระชนม์อยู่ฉันใดอันนี้ก็ฉันนั้น ธรรมะคือสวากขาตธรรม ตรัสไว้ชอบแล้ว เพื่อจะเข้าสู่ธรรมเหล่านี้เองไม่ใช่เข้าสู่ที่ไหน เข้าสู่แดนแห่งมรรคผลนิพพานนี้เอง ธรรมเหล่านั้นไม่ได้ไปไหนที่สอนไว้น่ะ เอาเข้าตรงนี้ๆ นะ ที่ว่าสวากขาตธรรม ตรัสไว้ชอบแล้วๆ คือก้าวตามนี้นะ จะเข้าไปถึงจุดนั้นโดยถ่ายเดียว จะเข้าไปถึงมหาสมบัติโดยไม่ต้องสงสัยว่าอย่างนั้น
ให้ตั้งอกตั้งใจพากันประพฤติปฏิบัติ อย่าเหลาะ ๆ แหละๆ นะ อยู่ด้วยกันมากมันมักเหลวๆ ไหลๆ โลเลโลกเลก เรื่องภายนอกอย่านำมายุ่ง อย่าเอามาเป็นอารมณ์ของใจ อย่าเสียดาย ความเสียดายเหล่านี้เคยทำลายเรามามากต่อมากแล้วไม่มีชิ้นดี พระพุทธเจ้าจึงต้องตำหนิ ธรรมเป็นของเลิศของประเสริฐ เคยให้ความร่มเย็นแก่โลกมาโดยลำดับลำดา จนกระทั่งถึงโลกุตรธรรม เป็นอันว่าหมดแล้วในเรื่องที่จะให้เกิดแก่เจ็บตายเหมือนแต่ก่อน ไม่มี นั่นท่านก็สอนไว้หมดแล้ว อยู่ในธรรมของพระพุทธเจ้าหมดแล้ว ให้พากันตั้งอกตั้งใจประพฤติปฏิบัติ
เอาละการแสดงธรรมก็เห็นว่าสมควร
|