เทศน์อบรมพระ ณ วัดป่าบ้านตาด
เมื่อวันที่ ๕ กุมภาพันธ์ พุทธศักราช ๒๕๒๓
งานของผู้ต้องการความพ้นทุกข์
จิตเป็นสิ่งที่ละเอียดมากเกินสิ่งทั้งหลายในโลก ไม่มีสิ่งใดที่จะมีความละเอียดยิ่งกว่าจิต แม้จะอยู่ในอำนาจของสมมุติก็ยังมีความละเอียดอยู่ตามหลักธรรมชาติของตน ยิ่งพ้นจากสมมุติโดยประการทั้งปวงแล้ว เพียงแต่รู้เท่านั้น จะพูดออกมาในแง่ใด มันเป็นเรื่องสมมุติเสียทั้งมวล พูดไม่ได้ นักปราชญ์ท่านจึงแยกออกมา เพราะโลกอยู่ในสมมุติมีสมมุติ ธรรมไม่แยกออกมาเป็นสมมุติก็เข้ากันไม่ได้ ด้วยเหตุนี้ท่านจึงแยกออกมา เช่นว่านิพพานเป็นต้น ให้ชื่อธรรมชาติอันนั้นแหละ สอุปาทิเสสนิพพาน ได้นิพพานทั้ง ๆ ที่ยังทรงธาตุทรงขันธ์อยู่ อนุปาทิเสสนิพพาน ผ่านจากธาตุขันธ์ไปเรียบร้อยแล้ว หมดความรับผิดชอบซึ่งเกี่ยวกับสมมุติโดยประการทั้งปวง ท่านเรียกว่าอนุปาทิเสสนิพพาน สุดท้ายก็ว่าท่านไปนิพพาน แต่ธรรมชาติที่ถูกให้ชื่อให้นามนั้นไม่ได้เข้ากันกับคำเหล่านี้ได้เลย
คำว่าเช่นนี้ผู้ฟังอาจเข้าใจผิดได้ ผู้ที่รู้ในความเป็นนิพพานของตนเท่านั้นเข้าใจแนบสนิทกับความจริงนี้ มีกี่ร้อยกี่พันองค์จะไม่มีใครแย้งกันเลย ที่แยกออกมาเช่นนั้นก็เพราะโลกมีสมมุติดังที่กล่าวแล้ว เพียงอยู่ในธาตุในขันธ์ ขณะที่ไม่ใช้ธาตุขันธ์ คือขันธ์ ๕ นี้ ระงับเสียให้หมด เช่นท่านเข้าสมาธิสมาบัติ คำว่าสมาบัติก็ยังเป็นสมมุติ สมาธิก็เป็นสมมุติ แต่ธรรมชาติที่เป็นวิมุตตินั้นอาศัยอันนี้อยู่ เข้าสู่อันนี้แล้วระงับสมมุติทั่ว ๆ ไป หากเหลือก็เหลือแต่ชื่อว่าสมาบัติ เพราะระงับขันธ์ นั่นจะเห็นได้ชัดเจนว่าโลกธาตุนี้ไม่มีเลยในขณะนั้น เพราะอาการของจิตไม่แสดงออกสู่สิ่งใดให้เป็นอารมณ์แม้น้อย
เมื่อเหลือแต่ความรู้ที่บริสุทธิ์ล้วน ๆ แล้วจึงพูดไม่ได้เลยว่าเหมือนอะไร ผู้ที่สิ้นแล้วเท่านั้นเป็นผู้ที่จะทราบได้อย่างชัดเจน แต่จะนำออกมาสู่สมมุตินั้น แล้วแต่อุบายวิธีของท่านผู้ใดจะนำออกมาได้ด้วยวิธีใด ตามความสามารถฉลาดแหลมคมของแต่ละองค์ ๆ ที่จะนำออกสู่สมมุติ แต่ไม่ได้หมายถึงว่าความฉลาดในความบริสุทธิ์นั้นต่างกัน เพราะเป็นสิ่งที่คงที่ตายตัวแล้ว พูดว่าฉลาดพูดว่าโง่ไม่ได้ ไม่ใช่วิสัยจะไปพูดกับธรรมชาตินั้น การพูดว่าฉลาดแหลมคมเป็นต้นของปราชญ์ชั้นนี้นั้น เราพูดตามภูมินิสัยวาสนาของท่าน ที่จะนำธรรมออกไปประกาศสอนโลกได้กว้างแคบมากน้อยต่างกันอย่างไร นี่เป็นภูมินิสัยวาสนาที่นำธรรมออกสู่สมมุติ ส่วนธรรมวิมุตติซึ่งเป็นสมบัติของท่านนั้นเป็นประเภทหนึ่งต่างหาก เราพูดไม่ได้ว่าท่านโง่หรือท่านฉลาด เพราะเป็นธรรมชาติที่บริสุทธิ์ตายตัวเสมอกันหมดแล้ว
ด้วยเหตุนี้เองบรรดาพระขีณาสพท่านนับแต่พระพุทธเจ้าลงมา จึงต้องอาศัยสมาธิสมาบัติเพื่อระงับระหว่างขันธ์กับจิต ให้อยู่สะดวกสบายเป็นครั้งคราวไป จนกระทั่งถึงวันนิพพาน เพราะเหตุนี้สมถะกับวิปัสสนาจะเป็นของพระขีณาสพ หรือเป็นของผู้กำลังดำเนินเพื่อความเป็นพระขีณาสพก็ตาม ย่อมมีความจำเป็นเช่นเดียวกัน เป็นแต่จำเป็นไปคนละแง่เท่านั้นเอง ผู้ที่กำลังดำเนินเพื่อความพ้นทุกข์ เป็นผู้มีเจตนาหวังอาศัยสมถวิปัสสนานี้เป็นแนวทางจริง ๆ แต่ท่านผู้สิ้นกิเลสอาสวะแล้ว ท่านไม่หวังอาศัยเพื่อความสิ้นกิเลสประเภทใด ๆ ทั้งสิ้น เพราะท่านสิ้นเรียบร้อยแล้ว เป็นแต่เพียงเป็นวิหารธรรมเครื่องอยู่สบายระหว่างขันธ์กับจิต ให้เหมาะสมกันจนถึงอายุขัย เป็นไปด้วยความราบรื่นระหว่างขันธ์กับจิตที่ครองกันอยู่เท่านั้น พอผ่านจากนั้นแล้ว สิ่งเหล่านี้ซึ่งเป็นสมมุติก็เป็นอันว่าผ่านไปหมดไม่มีเหลือ
ธรรมนี้เราเคยได้เห็นแต่ในตำรับตำรา ที่พระพุทธเจ้าและพระสาวกทั้งหลายท่านดำเนินและรู้กันมาโดยลำดับ มาประกาศสอนโลก เราจึงได้ยินแต่ชื่อแต่นามแห่งสมาธิสมาบัติ ตลอดวิธีการกำจัดกิเลสถึงความบริสุทธิ์วิมุตติพระนิพพาน แต่ธรรมเหล่านี้เรายังไม่สามารถอาจเอื้อม ที่จะเข้าถึงได้ให้เป็นสมบัติของตน เต็มเม็ดเต็มหน่วยหรือเต็มขั้นภูมิ จึงต้องอาศัยความพยายามตามหลักศาสดาที่ทรงสั่งสอนไว้นี้ อย่าได้ปลีกแวะจากทางดำเนินของพระองค์และสาวกที่ท่านดำเนินมา
งานของพระผู้ต้องการความพ้นทุกข์นั้น เป็นงานที่หนักแน่น หรือจะว่าเป็นงานที่หนัก เป็นงานที่ต้องใช้ความพากเพียรความอุตส่าห์พยายาม ใช้สติปัญญาศรัทธาความเพียรอย่างมาก ผิดกับงานทั้งหลายที่โลกทั้งหลายทำกันเป็นไหน ๆ ด้วยเหตุนี้จึงไม่ควรลืมและควรสำนึกตัวอยู่เสมอ ว่าเวลานี้ความพากเพียรของเราเป็นอย่างไรบ้าง พอที่จะเข้าร่องรอยแห่งเส้นทางที่พระศาสดาและสาวกท่านดำเนินไปแล้วได้บ้างเพียงไร หรือได้เป็นที่ภูมิใจเพียงไร จึงควรสำนึกเสมออย่าลืมตัว
งานนี้เป็นงานสำคัญมากสำหรับผู้ต้องการความพ้นทุกข์ จึงไม่ควรถืองานใดมาเป็นอารมณ์เครื่องกีดขวางจิตใจหรือมาเป็นใหญ่กว่างานนี้ซึ่งจะทำให้งานนี้ล้มเหลวไปได้ งานของพระในครั้งพุทธกาล ท่านถืองานบำเพ็ญสมณธรรมเพื่อความสงบเยือกเย็นภายในจิตใจ และวิปัสสนาธรรมเพื่อความรู้แจ้งแทงตลอดในสภาวธรรมทั้งหลาย นับแต่ภายในหรือนับแต่ภายนอกเข้ามาสู่ภายใน นับแต่ภายในออกไปสู่ภายนอก ให้ทะลุปรุโปร่งตลอดทั่วถึงไปหมด แล้วปล่อยวางไว้ตามเป็นจริง ของทุกสิ่งทุกอย่างที่เป็นสมมุติอันมีอยู่ในโลกสมมุตินี้ จิตได้ผ่านพ้นไปด้วยความเฉลียวฉลาดแหลมคมของตน
คำว่าศีล สมาธิ ปัญญา เป็นธรรมที่ครอบวิธีการดำเนินไว้หมดทุกแง่ทุกมุมแล้ว ศีลนั้นเป็นธรรมประเภทหยาบ ท่านเรียกว่าศีล ความจริงก็คือธรรม เบื้องต้นอาศัยการบังคับบัญชาให้อยู่ในสิกขาบทคือข้อห้ามนั้น ๆ ไว้ก่อน ข้อห้ามนั้น ๆ ก็นับตั้งแต่ศีล ๕ ขึ้นไปโดยลำดับ มีแต่ข้อห้ามทั้งนั้น ไม่มีข้ออนุญาต เราพยายามปฏิบัติหรือบังคับจิตใจกายวาจาของเราให้เป็นไปตามข้อห้ามนั้น ๆ โดยลำดับ ในขั้นนี้ต้องได้บังคับตัวเองให้เข้าสู่ธรรมข้อห้ามประเภทนี้ ที่ท่านเรียกว่าศีล
สมาธิก็ให้บำเพ็ญ ที่เรียกว่าสมถะ เพื่อความสงบใจ ด้วยการเดินจงกรมมีสติกำกับกับงานของตนที่ทำ ผู้ใดมีงานอะไรเป็นอารมณ์ของตน เช่นคำบริกรรม หรือกำหนดธรรมแง่ใดเป็นอารมณ์ในขณะที่ต้องการความสงบ ให้จิตมีความสงบเยือกเย็นและเป็นฐานแห่งความมั่นคงขึ้นมาภายในตน พึงทำอย่างเอาจริงเอาจัง ศรัทธา วิริยะ นั่นฟังซิ สติมีความเข้มแข็งอยู่ภายในนั้น ถ้ายังไม่ใช้ปัญญาในขณะนั้น ก็ ศรัทธา วิริยะ สติเป็นสำคัญ ให้กำกับงานของตนด้วยดี อย่าปล่อยให้เผลอแล้วถูกกิเลสฉุดลากจิตส่งไปในอารมณ์ต่าง ๆ ไปกอบโกยเอาความทุกข์เข้ามาสู่ตน ซึ่งผิดกับความมุ่งหมายของผู้ต้องการความสงบ เพื่อจะตะล่อมกิเลสให้เข้าสู่จุดรวม แล้วสังหารด้วยปัญญาไปเสีย
จงถือเป็นข้อหนักแน่นอย่าได้อ่อนแอในความพากเพียรเพื่อความสงบใจ คำว่าศีลก็เป็นสมบัติของเราผู้บวชแล้ว ด้วยการไม่ทำลายศีล ไม่ฝ่าฝืนศีลของตน สมาธิเมื่อบำเพ็ญอยู่โดยสม่ำเสมอด้วยความตั้งอกตั้งใจ มีสติ มีวิริยะความพากเพียร อุตสาหะพยายาม ประคับประคองจิตใจของตน ซึ่งถูกรุมล้อมไปด้วยกิเลสตัณหาอาสวะประเภทต่าง ๆ ที่เป็นกองไฟทั้งกองนั้นให้เข้าสู่ความสงบ และปลอดภัยไร้กังวลทั้งหลาย
คำว่าสงบนั้นมีหลายประเภท ๙๕% มีความสงบเย็นลงไปธรรมดา ๆ ค่อยตะล่อมกระแสจิตเข้ามา ๆ สู่ความรู้สึกตัวอยู่โดยเฉพาะภายในจิตใจ จากนั้นก็เป็นความรู้ที่เด่นอยู่ในตัวเอง ความคิดเล็ก ๆ น้อย ๆ ชนิดแผ่วเบา ยังเป็นไปได้อยู่ในจิตที่มีความสงบนั้น แต่ไม่ได้คิดกระจายออกไปสู่อารมณ์ พอที่จะสั่งสมเรื่องราวขึ้นมาเท่านั้น นี่ ๙๕% มักเป็นเช่นนี้ แต่ ๕% นั้นว่ารวม รวมจริง ๆ เหมือนคนตกเหวตกบ่อลงอย่างผาดโผนอย่างรวดเร็ว เวลาถอนขึ้นมามักจะออกรู้สิ่งนั้นสิ่งนี้ จึงมักเป็นจิตประเภท ๕% นี้ออกรู้ ถ้าสติปัญญาตามไม่ทันก็มีทางเสียได้ เพราะไปรู้สิ่งต่าง ๆ ซึ่งตนไม่เคยรู้ ซึ่งส่วนมากเราเคยเชื่อกิเลสสิ่งพาให้งมงายมานานอยู่แล้ว อาการต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นนั้นมักจะเป็นเรื่องของกิเลสหลอกลวง เรียกว่าวิปัสสนูในสมาธิก็ไม่ผิด เราอย่าว่าวิปัสสนูของอุปกิเลส ๑๖ นั้นเลย
ความสว่างไม่ได้สว่างอยู่ภายในจิต แต่มันสว่างไปข้างนอก ไปเห็นนั้นเห็นนี้ เห็นสิ่งต่าง ๆ บางทีก็เหมือนเดือนเหมือนดาว เหมือนตะวันตกลงมาอยู่ตรงหน้า เกิดความสว่างเป็นดวงเท่าผลมะพร้าวเป็นต้น เหล่านี้ล้วนแล้วตั้งแต่เป็นอาการของจิตที่ออกจากจิตนี้ไปแสดงตัวขึ้นมา ให้จิตซึ่งไม่สันทัดจัดเจนกับสิ่งเหล่านี้ได้ลุ่มหลง และตะครุบเงาของตนก็เป็นไปได้ ซึ่งเป็นเหตุให้เกิดความเสียหายได้โดยไม่อาจสงสัย ใน ๕% นี้ไม่ค่อยมีมากจึงไม่น่าวิตกมากนักสำหรับนักปฏิบัติทั้งหลาย สำคัญที่ ๙๕% ก็คือพวกเรา ๆ ท่าน ๆ ทั้งหลาย
จะอย่างไรก็ตามเราอย่าไปคำนึงถึงความสงบของท่านผู้นั้นเป็นอย่างนั้น ความสงบของท่านผู้นี้เป็นอย่างนี้ อย่าเอาอย่างท่าน หรืออย่าเอาอย่างเขามาทำ เราเป็นคนหนึ่ง งานของเราเป็นงานหนึ่ง เราเป็นผู้ทำงานของเราเอง ผลอย่างไรจะปรากฏขึ้นมาให้เราได้รู้ได้เห็นโดยลำพังเราเอง ไม่ใช่เราจะนำผลของคนอื่นมาเป็นผลของเรา ไม่ใช่เราจะเอาความรู้ความเห็นของคนอื่นมาเป็นความรู้ของเรา มันขัดแย้งกัน จึงไม่ควรไปสนใจกับเรื่องความรู้ความเห็นของผู้ใด ยิ่งกว่าความรู้ความเห็นของตน ที่จะเกิดขึ้นมาจากการบำเพ็ญของตนด้วยความถูกต้อง คือความมีสติประคับประคองไว้ด้วยดี นี่เป็นหลักสำคัญ
สงบแบบไหนก็รู้อยู่ภายในใจอย่าไปวิตกวิจารณ์ ท่านว่าสงบแน่วลงไปเลยนี่ก็จะไปคาดไปหมายเอาว่าแน่วลงไปเลย นี่ก็เป็นตัวสัญญาหลอกเจ้าของไม่ใช่ความจริง สงบเข้ามาในอาการใดด้วยความมีสติอยู่ในหลักปัจจุบัน นั้นแลชื่อว่าเป็นสมบัติของตนแท้ เป็นสิ่งที่ตนรู้แท้เห็นแท้ ปรากฏในจิตใจของตนด้วยการภาวนาของตนแท้ นี้เป็นความถูกต้องสำหรับผู้ปฏิบัติ อย่าไปกังวลกับเรื่องเหตุเรื่องผลของผู้อื่นใด แล้วนำเข้ามาเทียบเคียงกับของตน และเอาอย่างผู้นั้น ๆ โดยความคาดหมาย จะเป็นความผิดและไม่เกิดประโยชน์อะไร นอกจากสร้างความกังวลให้แก่ตนแล้วก็เกิดความทุกข์ขึ้นมา ไม่เป็นประโยชน์เลย
ขอให้จิตใจมีความสงบด้วยการภาวนา ผู้กำหนดอานาปานสติก็ไม่ต้องไปมุ่งเอาอันใด มุ่งให้รู้อยู่เฉพาะลมหายใจเข้าออก ๆ ตั้งลมที่ตรงไหนซึ่งเห็นว่าลมสัมผัสมาก เช่นดั้งจมูกเป็นต้น ก็ให้ทำความรู้ตั้งสติไว้ตรงนั้น ไม่ต้องคาดหมายสูงต่ำใกล้ไกลภายในภายนอก นอกจากกำหนดรู้อยู่จำเพาะลมที่สัมผัสเข้าสัมผัสออก ด้วยความมีสตินี่เท่านั้น นี้เป็นความถูกต้อง แล้วการตั้งลม มีกลมายาอันหนึ่งที่จะหลอกลวงผู้ปฏิบัติให้ตั้งแล้วล้มเล่า ๆ มี เช่นกำหนดลมอยู่เพลิน ๆ เพราะไม่เผลอสติ ตั้งท่าตั้งทางดูลมอยู่อย่างนั้น ลมเข้าลมออก ทีนี้ความปรากฏในจิตนั้นเมื่อตั้งไปนาน ๆ จะเป็นลักษณะเหมือนกับว่า ฐานที่เราตั้งลมนี้ แต่ก่อนเราตั้งไว้ที่ดั้งจมูก บัดนี้ปรากฏว่าสูงขึ้นกว่าดั้งจมูกบ้าง หรือดั้งจมูกพาให้สูงขึ้นไปบ้าง และต่ำกว่าดั้งจมูกบ้าง หรือดั้งจมูกพาให้ต่ำบ้างอย่างนี้ แล้วก็มาตั้งใหม่
พอดำเนินไป ๆ ถึงจุดที่มันเคยเป็น มันก็หลอกอีก ก็มาตั้งลมอีก ตั้งไปตั้งมาเหมือนกับปลูกต้นไม้ พอจะขึ้นแล้วก็ย้าย ย้ายปลูกใหม่ ๆ สุดท้ายต้นไม้ก็ไปไม่รอดต้องตาย นี่การตั้งลมประเภทนี้เป็นความผิด เพราะฉะนั้นเพื่อความแน่ใจ เพื่อความถูกต้องไม่สงสัย เราถือเอาการตั้งลมเบื้องต้นคือตั้งที่ดั้งจมูก ลมผ่านเข้าก็รู้ ลมผ่านออกก็รู้ แต่ไม่จำเป็นต้องตามลมเข้าไป ตามลมออกไป ทำเหมือนบุคคลที่ยืนเฝ้าประตู คอยดูคนที่เข้าออกประตูเท่านั้น ไม่ตามเข้าไปข้างในเวลาคนผ่านเข้าไป คนผ่านออกไปก็ไม่ตามเขาไป แต่ยืนอยู่ที่ประตู คนเข้าก็รู้คนออกก็รู้อยู่อย่างนั้นเป็นประจำ
นี่การตั้งลมก็เหมือนกันเช่นนั้น ด้วยความมีสติรู้อยู่กับลมหายใจเข้าลมหายใจออก ทีนี้มันจะมีความสูงต่ำขนาดไหนไม่สำคัญ สำคัญที่ไม่ให้เผลอ ความสัมผัสของลมเข้าลมออกนั้นนี่เป็นของสำคัญ ให้รู้อยู่ตรงนี้ ตรงนี้จะสูงก็ตามจะต่ำก็ตาม เมื่อไม่เผลอแล้วเป็นอันใช้ได้ ไม่ต้องไปกังวลกับความสูงความต่ำ เพราะเราไม่ได้ภาวนาเพื่อเอาความสูงความต่ำ แม้ที่สุดการภาวนาด้วยลมหายใจนี้เราก็ไม่ได้เอาลม อันนี้เป็นเครื่องยึดเป็นอารมณ์ของใจในเมื่อยังตั้งตนไม่ได้ต่างหาก เราจึงต้องอาศัยลม
เมื่อกำหนดลมพอจิตสงบเข้าไป ๆ ลมนี้จะละเอียดเข้าไป ละเอียดเพียงไรก็ให้รู้ อย่าไปคาดไปหมาย ให้รู้ในหลักปัจจุบัน สุดท้ายก็จะไปถึงที่ลมหมดนะ ละเอียดลงไป ๆ แล้วลมนั้นเลยหายเงียบไปเลยไม่ปรากฏ จะว่าเราเผลอเราไม่ได้เผลอ เห็นความละเอียดของลมไปโดยลำดับ ๆ จนกระทั่งลมหายไปเลย นี่อันหนึ่งก็จะเป็นเหตุสร้างอุปสรรคให้แก่ตนเอง ถ้าเรารู้ไม่ทันเหตุการณ์ของมัน
เมื่อลมหายไปนั้นจะมีวิตกอันหนึ่งกระตุกขึ้นมาหลอกตัวเองว่า นี่เมื่อลมหายไปแล้วจะไม่ตายเหรอ นั่น อันนี้สร้างอุปสรรคให้ตนเองแล้ว ลมก็กลับมีมาเพราะจิตถอยตัวออกมาแล้วเผลอแล้ว เพื่อตัดปัญหาข้อนี้ให้ขาดลงไป ได้ดำเนินเพื่อความสะดวกตามวิธีการของเราในหลักปัจจุบัน พึงทำความเข้าใจกับตนหรือกับลมว่า แม้ลมจะหายไปก็ตามเถอะ เมื่อความรู้ยังครองร่างอยู่นี้แล้วจะไม่ตาย เพียงเท่านี้ก็ตัดปัญหาได้ แล้วละเอียดจนกระทั่งลมหายเงียบ สิ่งที่ไม่หายคืออะไร คือความรู้ที่เด่นดวงอยู่ภายในจิต นั่นเอาตรงนั้น
ทีนี้ลมไม่ลมไม่สำคัญเพราะจิตทรงตัวได้แล้ว เข้าถึงตัวจริงคือจิตแล้วลมอันเป็นเงาเพื่อตามจิตเข้าไปนั้นมันก็หมดปัญหาไป เช่นเดียวกับเราตามรอยโค เมื่อถึงตัวโคแล้ว รอยก็ปล่อยไปไม่สำคัญ เพราะเราตามรอยโคก็เพื่อจะจับเอาโคตัวนั้นต่างหาก เราไม่ได้ตามโคไปเพื่อจะเอารอยโค นี่ก็เหมือนกันเช่นนั้น นี่วิธีการทำความสงบ
จะทำภาวนาบทใดก็ให้มีความรู้อยู่กับบทนั้นเท่านั้น แล้วการภาวนานี่จะเหมือน ๆ กัน เมื่อจิตยังไม่สงบลงท้ายแล้วจะเหมือน ๆ กัน เช่นคำบริกรรมนี่ก็เหมือนกัน มีความจำเป็นอยู่ในขณะที่จิตยังตั้งตัวไม่ได้ จิตยังไม่สงบตัว คำบริกรรมนั้นกับความรู้นั้นกลมกลืนเป็นอันเดียวกันแล้ว คำบริกรรมก็หมดปัญหาไปเช่นเดียวกับลมหมดปัญหาไปกับใจนั่นเอง นี่ให้ทำความเข้าใจเอาไว้ นี่คือความจริงเป็นเช่นนี้ในวิธีการภาวนา เพื่อสมถะคือความสงบใจ
เราอย่าเอนนู้นเอนนี้ เอาผลของคนนั้นมาเทียบ เอาผลของท่านมาเทียบของเรา เอาเหตุของท่านมาเทียบกับเรา เหตุของเราก็คือเราทำอยู่เวลานี้แล้ว เหตุจะให้สมบูรณ์ก็คือมีสติ หลักของสมถะอธิบายเพียงหัวข้อให้ตีความหมายเอาตามความรู้สึกหรืออุบายวิธีของตน เมื่อเราได้ทำเช่นนี้ ความสงบที่เราเคยได้ยินมาตั้งแต่ครั้งพุทธกาล เป็นเวลากี่พันปีมาแล้วก็ตาม จะไม่มีอะไรสำคัญยิ่งกว่าความปรากฏประจักษ์ในผล ที่เราบำเพ็ญให้ปรากฏขึ้นมาอยู่เวลานี้เลย หลักสำคัญอยู่ที่ตรงนี้ นี่ท่านว่าจิตสงบ
ในขณะที่มีความสงบก็ผ่อนจิตให้มีความสงบอยู่กับนั้น เวลาจิตพอตัวอยากจะขยายตัวออกมาสู่ความคิดอ่านต่าง ๆ ก็ให้คิดไปทางด้านปัญญา พิจารณาคลี่คลายในสกลกายนี้ก็ได้ หรือพิจารณาสกลกายภายนอก เกี่ยวกับเรื่องอสุภะอสุภังเป็นสำคัญ สำหรับนักบวชเราที่จิตยังหาความสงบไม่ได้ หรือยังไม่เข้าใจแจ้งชัดในสิ่งเหล่านี้ การพิจารณาด้วยอสุภะเป็นของสำคัญมาก เพื่อระงับราคะตัณหาลงได้ นอกจากระงับแล้วยังต้องทำลายได้ด้วยวิปัสสนา แปลว่าความเห็นแจ้ง เห็นแจ้งตามความเป็นจริงของธาตุของขันธ์ ธาตุก็คือธาตุ ๔ ดิน น้ำ ลม ไฟ ซึ่งเต็มอยู่ในร่างกายของเรา ขันธ์ก็คือขันธ์ ๕ ได้แก่รูปขันธ์ เวทนาขันธ์ สัญญาขันธ์ สังขารขันธ์ วิญญาณขันธ์ ซึ่งเต็มอยู่ในร่างกายอันนี้อีกเช่นเดียวกัน ให้เห็นแจ้งตามความจริงของขันธ์นั้น ๆ
ความเห็นธรรมดาของเราที่เห็นนี้มันเห็นไม่แจ้ง เห็นด้วยอำนาจของอวิชชาปิดหูปิดตาให้เห็น เห็นด้วยความปิดหูปิดตากับเห็นด้วยความเปิดตานั้นต่างกัน อวิชชาพาเห็นพาให้รู้ดังที่สามัญชนทั้งหลายได้รู้ได้เห็นได้ยินได้ฟังทั่ว ๆ ไปนั้น ล้วนแล้วตั้งแต่เป็นเรื่องของอวิชชาพาให้รู้ให้เห็น แต่สติธรรมปัญญาธรรมพาให้รู้ให้เห็นนี้ ให้เห็นแจ้งลงถึงหลักความจริงจริง ๆ เช่น เห็นเป็นอสุภะก็เป็นอสุภะจริง ๆ ประจักษ์กับใจ พิจารณาจนรู้จนเห็น เพราะสิ่งเหล่านี้ในร่างกายนี้เป็นอย่างนั้นจริง ๆ
ทำไมจิตเป็นตัวรู้ตัวฉลาด เป็นผู้สามารถที่จะรู้เห็นจึงไม่เห็น เป็นเพราะเหตุไร ถ้าจะให้รู้ว่าเป็นธาตุ ก็ในธาตุ ๔ ก็มีอยู่แล้ว ตั้งแต่วันเกิดมาธาตุ ๔ นี้มีประจำทำไมจึงไม่เห็น พระพุทธเจ้าท่านทำไมเห็น สาวกทั้งหลายท่านทำไมเห็น ท่านเห็นด้วยวิธีการใด ท่านเห็นด้วยอำนาจของสติปัญญาพิจารณาใคร่ครวญ หรือสอดส่องคลี่คลายอยู่เสมอ ย่อมสามารถรู้ได้เห็นได้จนผ่านพ้นไปได้ เราก็เป็นผู้หนึ่งซึ่งเป็นลูกศิษย์ตถาคต ต้องดำเนินตามหลักที่ท่านทรงสั่งสอนหรือท่านดำเนินไปนี้ ทำไมจะไม่รู้สิ่งมีอยู่กับตัวแท้ ๆ จะต้องรู้ต้องเห็น
แยกกระจายออกไปตั้งแต่หนังแต่เนื้อ ถลกหนังออกไปดูให้เห็นชัดเจน ความจริงเป็นอย่างนั้น ผิวภายนอกเป็นอย่างหนึ่ง เป็นเครื่องหลอกตาบุรุษตาฟางได้อย่างประจักษ์ ทีนี้ภายในของหนังนั้นเป็นอีกอย่างหนึ่ง เราต้องได้ดูด้วยปัญญา ภายนอกถ้าดูด้วยปัญญาแล้วมันก็ไม่มีอะไรที่จะมาหลอกเราได้ เพราะสิ่งสกปรกโสมมมันก็เต็มไปตามผิวหนังนี้แล้ว ขี้ไคล ฟังซิขี้มันเป็นของดีเมื่อไร ขี้สนิมเต็มตัว ต้องชะต้องล้างต้องอาบเช็ดถูอยู่ตลอดเวลา ไม่มีอะไรที่จะเป็นสิ่งกังวลในการปฏิบัติรักษาชำระล้างยิ่งกว่าร่างกายที่มีอยู่ในตัว
สิ่งอะไรก็ตามแม้จะสะอาดสวยงามเพียงไร เมื่อเข้ามาคละเคล้ากับร่างกายซึ่งเป็นของปฏิกูลนี่แล้ว ก็ต้องกลายเป็นของปฏิกูลด้วยกัน เช่น สถานที่อยู่ ผ้านุ่งห่มสบงจีวร ต้องได้ซักได้ฟอก ต้องเช็ดต้องถูไม่อย่างนั้นจะอยู่ไม่ได้ เหม็นคลุ้งไปหมด เพราะตัวนี้เป็นตัวการหุ้มห่อซากผีดิบนี่ไว้ เมื่อระบายหรือซึมซาบออกมาสู่ภายนอก ออกมาตามเหงื่อตามไคล เพราะของสกปรกอยู่ภายใน เหงื่อซึมซาบออกมาก็ต้องกลายเป็นของปฏิกูล ติดสิ่งที่มาเกี่ยวข้องเครื่องนุ่งห่มใช้สอยทั้งหลาย ให้เป็นของปฏิกูลน่าเกลียดน่ากลัวตาม ๆ กันไปหมด จึงต้องได้ชำระสะสางซักฟอกเช็ดถูกันอยู่ตลอดเวลา เทียบเคียงให้เห็นเป็นสัดเป็นส่วนอย่างนี้
เอ้า ย่นเข้ามาอีกถึงหนัง หนังหุ้มห่อ ตจปริยนฺโต มีหนังหุ้มอยู่เป็นที่สุดรอบ หรือมีหนังหุ้มอยู่โดยรอบ นี้คือสิ่งที่หลอกสัตว์โลกให้สำคัญมั่นหมายว่าเป็นสัตว์เป็นบุคคล เป็นหญิงเป็นชาย ว่าเป็นของสวยของงามน่ารักใคร่ชอบใจ นี่ละสิ่งหลอกมีบาง ๆ เท่านี้เอง แล้วทีนี้ถลกออกมา เอาด้านภายในของหนังออกมาข้างนอกเสีย ภายนอกเอาเข้าไปข้างในเสีย ทีนี้เราจะเห็นตั้งแต่ความเยิ้มไปด้วยความอสุภะอสุภัง คำว่าสัตว์ว่าบุคคล ว่าหญิงว่าชาย ว่าน่ากำหนัดยินดี หายไปหมด เมื่อสติปัญญาได้หยั่งทราบถึงหลักความจริงนี้แล้วต้องเกิดความสลดสังเวช เกิดขนพองสยองเกล้าขึ้นมา นี่เคยเป็นมาแล้วไม่ใช่มาพูดเฉย ๆ เวลามันเห็นจริง ๆ เห็นอย่างนั้น
เกิดความสลดสังเวช โอ้โห ถึงขนาดนี้เชียวเหรอ พึ่งมาเห็นของปฏิกูล พึ่งมาเห็นร่างกายวันนี้เหรอ บวชมากี่ปีกี่เดือนพิจารณากันมาสักกี่วัน ทำไมจึงพึ่งมาเห็นวันนี้ สิ่งนี้เป็นของที่มีอยู่แล้วตั้งแต่วันเกิดมาจนกระทั่งบัดนี้ ทำไมจึงมาเห็นกันเดี๋ยวนี้ อ๋อ ท่านเห็นกายเรียกว่ากายานุปัสสนา ท่านเห็นอย่างนี้เองเหรอ เชื่อเลยที่นี่ เพราะมันประจักษ์ใจของเราอยู่นี้แล้ว ถ้าจะลบล้างความเป็นของท่านที่สั่งสอนเรามานั้น เราต้องลบล้างความจริงของเราที่รู้ที่เห็นอยู่บัดนี้เสีย ทีนี้เราจะกล้าลบล้างได้ไหมความจริงที่รู้เห็นอยู่เวลานี้ กับท่านที่สั่งสอนมาก่อน รู้มาก่อนเห็นมาก่อนแล้วมาสั่งสอนพวกเรา มันเป็นอันเดียวกัน
เมื่อลบล้างอันนี้ไม่ได้ ยอมรับอันนี้ก็ต้องยอมรับพระพุทธเจ้าที่ทรงสั่งสอน ที่ทรงรู้ทรงเห็น และพระสาวกทั้งหลายได้รู้ได้เห็นอย่างไรสั่งสอนอย่างไร จนกระทั่งถึงขั้นละได้ ยอมรับกันไปหมดโดยลำดับ ๆ ความรู้ของเราปรากฏขึ้นเพียงไร ยอมรับไปโดยลำดับ นี่แยกกันออกอย่างนี้การพิจารณาอสุภะหรือธาตุขันธ์ทางด้านวิปัสสนาคือปัญญา บังคับจิตใจให้รู้ให้สอดส่องไปตาม มีสติควบคุมงาน สติต้องเป็นนายหัวหน้าบังคับให้จิตทำงาน คือปัญญาในขั้นนี้ยังไม่เห็นผลแห่งการพิจารณาของตน จึงมักจะเถลไถลกลายเป็นสัญญาอยู่เสมอ แต่เมื่อจิตได้รับความสงบบ้างแล้วออกมาพิจารณา ก็พอได้ถ้อยได้ความ
จากนั้นก็พิจารณา เอ้า เข้าไป ออกจากหนังแล้วเข้าไปหาเนื้อ เอ้า สมมุติขึ้นมา เพราะเราติดสมมุติ ไม่เอาสมมุติแก้สมมุติจะทำอย่างไร นี่มันสมมุติทั้งนั้น ว่าสวยว่างาม ก็ตั้งเอาเสกสรรเอา ทีนี้เราจะพิจารณาให้เห็นตามความจริงของสิ่งเหล่านี้ จะไปว่าสมมุติ สมมุติตัวเองขึ้นมาหลอกตัวเองได้ยังไง ไม่หลอก เรื่องของปัญญาที่จะพิจารณาความจริงต้องตั้งขึ้นมา ดูเข้าไปถึงเนื้อ เอ้า เวลาคนตายแล้วกี่วันมันจะแสดงความเน่าพองขึ้นมา
เพียงสองวันเท่านั้นก็เห็นได้อย่างชัด ๆ แล้วไม่ต้องพูดมากเลยนะ ๔๘ ชั่วโมงก็เห็นได้ชัดแล้ว เน่าพองขึ้นอืดขึ้นมา จากนั้นก็ระเบิดปึงออกมาแหละ แตกกระจัดกระจาย ล้วนแล้วตั้งแต่ของปฏิกูลโสโครกเต็มไปหมดทั้งร่างนี้เลย นี่สวยตรงไหน งามตรงไหน น่ารักใคร่ชอบใจไหม เอ้า ทีนี้เข้าไปนอนกอดดูซิ กอดได้ไหมนี่ซากผีตรงนี้ ภายในซากผีนี้มีอะไร อาหารใหม่ อาหารเก่า กับเนื้อหนังมังสังทั้งหลายนี้ มันกลายเป็นของปฏิกูลเหมือนกันไปหมดแล้ว ไม่มีเกาะใดดอนใดเป็นสิ่งที่น่าแตะต้องสัมผัสสัมพันธ์เลย เต็มไปด้วยสิ่งเหล่านี้ทั้งนั้น จากนั้นก็เปื่อยลงไป ๆ โดยลำดับลำดา เหลือตั้งแต่ร่างกระดูก อันนั้นก็เปื่อยลงไปเหม็นคลุ้งไปหมด ดูไม่ได้เลย นี่หรือสัตว์นี่หรือบุคคล นี้หรือเรานี้หรือเขา เป็นอย่างนี้หรือ
พิจารณาหยั่งลงไป ๆ เท่าไรจิตยิ่งซึ้ง ๆ ลงไปโดยลำดับ ๆ เกิดความสลดสังเวช โอ๋ย น้ำตามันร่วงลงโดยไม่รู้สึกตัว ไม่กังวล เอ้า ร่วงก็ร่วง ส่วนสติปัญญาที่เดินตามแถวตามแนวที่ตนกำลังพิจารณาเป็นไม่ลดละ จนกระทั่งร่างกายทั้งหลายนี้กระจายออกไปหมด เป็นดิน เป็นน้ำ เป็นลม เป็นไฟ ให้เห็นได้อย่างชัด ๆ ไม่ว่าจะเป็นธาตุใดก็ตามถ้าถนัดในธาตุใดให้พิจารณาธาตุนั้น จะวิ่งทั่วถึงกันหมด อย่าไปพิจารณาว่า นี่ธาตุดินอย่างนี้แล้ว ธาตุน้ำเป็นยังไง แล้วธาตุลมเป็นยังไง ธาตุไฟเป็นยังไง อย่าไปสนใจมากยิ่งกว่าสิ่งที่ถนัดในการพิจารณาเวลานั้น นั้นเป็นสำคัญ
เพราะธรรมเหล่านี้เป็นสิ่งเกี่ยวโยงกัน ดังที่ท่านว่าทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค อย่าเข้าใจว่าไปทำงานคนละหน้าที่นะ ในภาคปฏิบัติแท้ ๆ ไม่ได้ทำงานคนละหน้าที่ ทำงานในขณะเดียวกัน กลมกลืนกันไปหมด ทั้งสัจจะ ๔ นี้และสติปัฏฐาน ๔ เหมือนกันอย่างนั้น พอแยกแยะลงไปแล้ว กระดูกมันก็มองเห็นได้ชัด ๆ หลังจากนั้นแล้วกระดูกมันก็ค่อยกระจายตัวลงไป กลายเป็นดินในหลักธรรมชาติ ทีนี้ยังเหลืออะไรก็เหลือแต่ความรู้
ทีนี้จิตมันจะสงบตัวละนะ พอมันเป็นอย่างนั้นแล้ว ปล่อยจากนั้นแล้วก็เหลือแต่ความรู้ล้วน ๆ เด่น แต่อย่ามาคาดนะ ห้ามไม่ให้คาด ให้พิจารณาดังที่ว่านี้ก็แล้วกัน เมื่อพิจารณาตามสติกำลังของตนเป็นอย่างไรแล้ว ผลจะรู้เองไม่ให้คาดให้หมายซึ่งเป็นความผิดจากหลักปฏิบัติในหลักปัจจุบัน พิจารณาแล้วพิจารณาเล่า ทีนี้เวลาเราพิจารณาวันหลังอีก อย่าไปคาดไปหมายอีกนะ ให้ตั้งใหม่หาเอาใหม่ สติปัญญาของเรามีหาเอาใหม่ อย่าไปเอาสติปัญญาเก่ามาใช้ ถ้ามันไม่ไปสัมผัสสัมพันธ์กันเอง ถ้ามันเกิดขึ้นเองสัมผัสสัมพันธ์กันเองนั้น เรานำมาใช้ได้ ถ้าเราไปคว้าเอาปัญญาอันเก่าที่เรามาใช้เมื่อวานนี้เราทำอย่างนี้ วันนี้เราจะต้องทำอย่างนี้ให้ไปตามแบบแปลนแผนผังนั้น ๆ นี้ ๆ มันเป็นโครงการของโลกไปแล้วนะ มันไม่ใช่เป็นหลักของการปฏิบัติในปัจจุบันธรรม ซึ่งเป็นการถูกต้องตามหลักปฏิบัติจริง ๆ เราต้องทำอย่างนี้
สติปัญญาผลิตขึ้นมาได้ ผลิตขึ้นมาได้เรื่อย ๆ วันหนึ่งแสดงอาการอย่างหนึ่งขึ้นมา ๆ ซึ่งล้วนแล้วตั้งแต่เป็นเรื่องสัจธรรม ให้เกิดความเบื่อหน่ายคลายกำหนัด คลายความยินดี คลายอุปาทานความยึดมั่นถือมั่นไปโดยลำดับ ๆ นี่เรื่องปัญญาเวลาพิจารณา ๆ อย่างนี้ เอ้า ทีนี้เวลาจะพิจารณาทางสมาธิก็ให้ดำเนินตามที่ว่านี่ เพียงพิจารณาอย่างนี้แล้วจิตก็เป็นสมาธิอันละเอียดขึ้นมาแล้วสงบแน่วเลยที่นี่ ปล่อยกังวลโดยประการทั้งปวง มีความกระหยิ่มองอาจกล้าหาญภายในจิต นี่สมาธิที่เป็นขึ้นด้วยอำนาจของปัญญา ขึ้นเป็นความองอาจกล้าหาญขึ้นมาอีกประเภทหนึ่งแล้ว เห็นประจักษ์กับตัวเอง นี่วิธีการพิจารณา
นี่ละงานของพระ ให้พากันดำเนินงานนี้อย่าหนีจากงานนี้ งานนี้แลคืองานที่จะปลดเปลื้องกิเลสอาสวะอันเป็นความยึดมั่นถือมั่น เพราะความสำคัญผิดหลงงมงายในธาตุในขันธ์อันนี้ว่าเป็นเราเป็นของเรา มาตั้งแต่กัปไหนกัลป์ใด เฉพาะอย่างยิ่งในปัจจุบันขันธ์นี้ ก็ติดกันมาพันกันมาว่าเป็นเราเป็นของเรา ทั่วโลกดินแดนไม่มีใครมีความรู้เหนือใคร มีความรู้ที่จะต้องมาแบกขันธ์ ๕ ด้วยกันว่าเป็นเราเป็นของเราด้วยกันหมด
อุบายวิธีที่กล่าวนี้เป็นอุบายวิธีของศาสดาองค์เอกทรงสั่งสอนไว้ เพราะทรงรู้ทรงเห็นทุกสิ่งทุกอย่างแล้วด้วยวิธีการที่ทรงดำเนินมาด้วยสติปัญญา จึงต้องนำมาสั่งสอนโลก พวกเราก็ลูกศิษย์ตถาคต เอาให้จริงให้จัง อย่าไปเห็นอันใดวิเศษวิโสยิ่งกว่าจิตใจนี้เลย เวลานี้จิตใจกำลังเป็นนักโทษ ถูกคุมขังอยู่ด้วยกิเลสตัณหาอาสวะประเภทต่าง ๆ กระดิกตัวไปทางไหนมีตั้งแต่กิเลสตัณหาเป็นนายคุมออกไป ให้ไปทำงานภายนอก ทำงานใกล้ก็ตามไกลก็ตาม ทำงานในเรือนจำก็ตาม มีตั้งแต่นายคุมบังคับอยู่ตลอดเวลาไม่ได้เป็นอิสระของตนเลย จึงต้องใช้สติปัญญาบุกเบิกออก แหวกแนวออก ให้พ้นจากความกดขี่บังคับของกิเลสตัณหาอาสวะประเภทต่าง ๆ ด้วยการพิจารณาทางด้านสติปัญญา ให้มีความคล่องแคล่วชำนิชำนาญ ด้วยการฝึกการเอาจริงเอาจังกับเจ้าของอยู่เสมอ
อย่าไปคุ้นไปเคยอย่าไปชินกับสิ่งใดในโลกนี้ ไม่เป็นสิ่งที่น่าชินทั้งนั้น มันเป็นสภาพเหมือนกันหมด แม้ตั้งแต่ในเรื่องในธาตุในขันธ์ของตน ก็ยังต้องแยกมันออกด้วยการพิจารณา ให้เห็นตามเป็นจริงแล้วถอนตัวออกมาจากขันธ์นี้ เราอย่าพูดถึงเรื่องโลกทั่ว ๆ ไปเลยมันห่างกันมาก ให้ตั้งลงไปที่ตรงนี้ผู้ปฏิบัติ
มันมีความสัมผัสสัมพันธ์กับอาการใดมากกว่าเพื่อน เอ้า เอาลงไปตรงนั้น เราอย่ากลัวผิด ถ้าลงอยู่ในวงสัจธรรมด้วยกันแล้ว ร่างกายจะเป็นอาการใดก็ตามคือสัจธรรมด้วยกัน แล้วมันจะกระจายกันไปหมดทั่วสรรพางค์ร่างกาย จะเข้ามาเวทนาก็ เอ้า เวทนาก็ต้องวิ่งถึงกายอีก เมื่อร่างกายมันเป็นธาตุเห็นอย่างชัดเจน หรือว่าเป็นอสุภะอสุภังก็เห็นอย่างชัดเจน เป็นธาตุก็เห็นอย่างชัดเจน เวทนามันมาจากไหนมันเป็นได้ยังไง พิจารณา อันนี้มันก็เลยกลายเป็นของจริงเหมือนกันหมด
สุขก็สักแต่ปรากฏขึ้นมา ทุกข์ก็สักแต่ปรากฏขึ้นมา เฉย ๆ ก็สักแต่ปรากฏขึ้นมาแล้วดับไป ๆ ตามสภาพของเขา เขาไม่มีความหมายในตัวเขาเลย ไม่มีความรู้สึกตัวเขาว่าเป็นเวทนานั้นเวทนานี้ ได้ให้ร้ายต่อผู้ใดเลย นอกจากจิตที่ตัวเข้าใจว่าฉลาดนี้ละมันโง่ มันไปแบกเวทนาทั้งหลายเหล่านั้น ว่าเป็นเราเป็นของเรา เราเลยกลายเป็นเวทนาไปเสีย มันไม่เป็นตัวจริงได้ เวทนาเป็น อนิจฺจํ ทุกฺขํ อนตฺตา จิตนี้ก็เลยกลายเป็นเข้าไปสู่กงจักรให้เวทนานั้นผันหัวเอา ให้เกิดความทุกข์ความเดือดร้อนเพราะทุกขเวทนาแสดงอาการ ท่านบอกไว้ชัดเจน
สัญญา นี่ละเอียดมากนะเราทราบทางวงปฏิบัติ ละเอียดมากยิ่งกว่าสังขาร สังขารเวลาจะปรุงออกมานี้แย็บทำให้กระเพื่อมให้รู้ มันมีความรู้สึก พอสังขารจะปรุงแย็บออกมานี้จะเป็นความกระเพื่อม เหมือนกับว่ามีอะไรผลักดันออกมาให้รู้อยู่นิด ๆ แต่สัญญานี้ โห เหมือนกับกระดาษซึมเชียวนะ เหมือนกับน้ำซับน้ำซึมมันซึมไปเรื่อย ๆ นี่ จนปรากฏเป็นภาพขึ้นมาแล้วโน่นน่ะดูซิ ภาพเราปรุงแพล็บเดียวมันเป็นภาพนั้นเป็นอันหนึ่งนะ ที่สัญญาค่อย ๆ วาดภาพขึ้นมานี้มันละเอียดมาก แต่ยังไงก็ตามให้ทราบว่านี้คือเงาของจิตทั้งนั้น เราอย่าไปหลงกับมัน
ไม่ว่าจะเป็นภาพใดก็ตามมันเป็นเงาของจิตที่เคยมาดั้งเดิม นี่เราจะพิจารณาให้รู้ทั้งเงาให้รู้ทั้งตัวอย่างชัดเจน แล้วปล่อยวางลงตามเป็นจริง เมื่อสติปัญญาได้พิจารณาใช้อยู่อย่างนี้แล้ว ๆ เล่า ๆ ไม่หยุดไม่ถอย เวลาพักก็พัก ถึงเวลาใช้ปัญญาแล้วอย่ากลัวเสียเวล่ำเวลาในการพัก อย่าไปพะวักพะวนในสมาธิ เอาให้จริงให้จัง มีอยู่ในวงปัจจุบันธรรม อย่าให้คิดเรื่องอดีตอนาคต เรื่องความอยากพ้นทุกข์พ้นภัยไปไหนมาไหนอย่าคาดไป นอกเหนือจากตรงที่ทุกข์กำลังบีบคั้นหัวใจอยู่นี้ จะเปลื้องตรงนี้ออก ตัวปัจจุบันนี้ละมันบีบอยู่นี้ เปลื้องตัวนี้ออกมันก็พ้นเท่านั้นละ พ้นทุกข์ พ้นไปโดยลำดับ พ้นที่หัวใจ อย่าเข้าใจว่าไปพ้นกับอดีตอนาคต พ้นอยู่ในกาลในเวล่ำเวลาอย่างนั้น เป็นความเข้าใจผิดทั้งนั้น เอาลงตรงนี้เป็นปัจจุบันธรรม พิจารณาให้จริงให้จังให้มันเห็นแจ้งเห็นจริง
เรามาหาธรรมเราไม่ได้หาอะไร ให้ทำความเข้าใจตนให้เต็มที่ทีเดียว เวลานี้เรามาหาธรรมด้วยกัน มาเสาะแสวงหาธรรม มาหาครูบาอาจารย์ก็เพื่อจะแนะแนวทางให้อุบายต่าง ๆ แก่เรา เพราะเราไม่สามารถที่จะดำเนินด้วยตนเอง โดยวิธีหรือโดยอุบายต่าง ๆ จึงต้องมาอาศัยครูอาจารย์คอยแนะนำตักเตือนสั่งสอน ให้อุบายวิธีการต่าง ๆ ในการที่จะปฏิบัติต่อกิเลส หรือแก้กิเลส หรือดำเนินเพื่อความเป็นอรรถเป็นธรรมให้ราบรื่นดีงามจึงต้องมาอาศัย หลักใหญ่ก็คือเราต้องการธรรม เราแสวงหาธรรม ตั้งแต่ธรรมเบื้องต้นจนกระทั่งถึงธรรมสุดยอด เราต้องการอย่างนั้น นี้เป็นสมบัติอันล้นค่า
ขอให้ธรรมให้ถึงใจเถอะ เมื่อถึงใจแล้วคำว่ากาลสถานที่มันจะหมดปัญหาไปทันที เรื่องภพนั้นภพนี้ ภพน้อยภพใหญ่ เกิดที่นั่นตายที่นี่ ซึ่งเคยเป็นมาแต่ดั้งเดิมนานเท่าไรแสนนาน มันจะมาขาดสะบั้นลงในปัจจุบันแห่งความบริสุทธิ์ของจิตนี้ละเป็นผู้ตัดสินได้เอง ไม่มีผู้ใดจะไปถามพระพุทธเจ้า ไม่ว่าสาวกองค์ใดไม่ใช่สาวกบ้านี่ เพราะเหตุว่าธรรมของพระพุทธเจ้าไม่ใช่ธรรมสอนคนให้เป็นบ้า เมื่อปฏิบัติให้รู้จริงเห็นจริง เมื่อถึงขั้น สนฺทิฏฺฐิโก ๆ เต็มภูมิแล้ว จะไปถามพระพุทธเจ้าทำไม ความจริงมีเหมือนกัน เสมอกัน รู้อย่างเดียวกัน เข้าใจแล้วไม่ต้องถาม
นี่ก็เหมือนกันพระพุทธเจ้าจะปรินิพพานนานเพียงไรก็ตาม นั้นสักแต่ว่ากาลของพระองค์เท่านั้น ที่สำคัญก็คือว่าสวากขาตธรรม ได้ตรัสไว้ชอบทุกแง่ทุกมุมแล้ว ที่เราจะปฏิบัติดำเนินตามนี้ เพื่อเหตุเพื่อผลสำหรับเราเอง ให้เราหนักแน่นอยู่ที่ตรงนี้ อย่าไปคิดคาดคิดหมายไปให้เสียเวล่ำเวลา ซึ่งเป็นเรื่องของกิเลสหลอกทั้งนั้นส่วนมาก เอาให้จริงให้จังลงไปนี้
อสุภะอสุภังเป็นของสำคัญ เอาให้จริงให้จัง พิจารณาภายนอก เอ้า เทียบเคียงนะไม่ใช่จะพิจารณาภายใน เอา ภายนอกมันมีความกำหนัดยินดีในรูปใดเอามาตั้งไว้ ถ้าหากว่าเรายังไม่แน่ใจตั้งห่าง ๆ หาอุบายวิธีทำ เอาไฟมาเผามันดูบ้างอะไรบ้าง กำหนดตายแล้วเป็นยังไงบ้างอย่างที่เราเคยทำของเรา เอาจนมันเห็นได้ชัดเจนเต็มที่แล้ว กำหนดเข้ามาหาตัวเองลงแบบเดียวกันหมด จากนั้นก็โลกนี้เป็นเหมือนกันหมด นี่โลกวิทูรู้แจ้งเห็นจริงอย่างนี้ละมันแจ้งไปหมด คือมันเป็นธรรมอันเดียวกัน เป็นสัจธรรมเหมือนกันหมด เมื่อรู้แจ้งแทงตลอดก็ต้องรอบไปหมด ทั้งเขาทั้งเรามันเป็นเหมือน ๆ กันก็หายสงสัย
ขั้นนี้ละขั้นลำบาก ตะเกียกตะกาย เรื่องกามกิเลสนี้หนักมากนะ ต้องได้ฝืนกันจริง ๆ สู้กันจริง ๆ เอาเป็นเอาตายไม่ใช่เล่นนะ เอาจริงเอาจัง อย่าไปมีความอาลัยเสียดายกับอารมณ์อะไรเลย ที่เกี่ยวกับว่าเป็นกามกิเลส ให้หักฟันมันเข้าทันที อย่าไปอนุโลมหรือคล้อยตามมันเป็นอันขาด จะแพ้มันอย่างหลุดลุ่ยเลย ต้องฟันกันเข้าไปเลย ฟันเข้าไปเลย นี่ละหลักใหญ่ของการปฏิบัติ เอาจนกระทั่งถึงขั้นมันกล้าหาญโน่น เมื่อพิจารณาเต็มที่ของเราเห็นประจักษ์เต็มกำลังภูมินี้แล้ว มันจะเกิดความกล้าหาญ
ไม่อยากเดินผ่านแหละคนธรรมดานี่ เอ้า ตั้งแต่ตัวสำคัญ ๆ ที่มันรักมันชอบมันกำหนัดยินดี มันเต็มอยู่เป็นร้อย ๆ นั่น บุกเข้าไปตรงกลางนี้เลย มันจะไม่มีความกำหนัดยินดีอะไรเลย โน่นมันอาจหาญนะเวลามันถึงขั้นมันอาจหาญ มันอาจหาญเต็มที่นะ แต่ความอาจหาญให้พึงทราบว่ายังอยู่ในขั้นทดลองไม่ใช่เป็นจริง แต่พอถึงขั้นเต็มตัวของมันแล้ว ความอาจหาญก็คือบ้าอันหนึ่งแหละ มันเป็นอย่างนั้นนะ พอรู้ชัดแล้วมันไม่กล้าไม่หาญไม่กลัว ต่างอันต่างจริง รู้ชัดเจนแล้วปล่อยมันเป็นอย่างนั้นนะ นี่กลางแล้วที่นี่ มันเป็นกลาง อันนั้นมันยังห้าวหาญนี่ แต่ก่อนก็กลัว ทีนี้ออกมาเกิดความห้าวหาญนี่แล้ว พลิกไปศูนย์กลางโน้นแล้วด้วยปัญญาอันชอบ หาย กล้าก็ไม่กล้า กลัวก็ไม่กลัว ทดลอง ๆ อะไร รู้ชัดเจน ขาดสะบั้นภายในจิตใจรู้ได้อย่างชัดเจน ตัดสะพานกันขาดรู้อยู่ในใจ
ไม่มีเงื่อนต่อทีนี้รู้ได้ชัด นั่นเป็นขั้น ๆ ขึ้นมา เมื่อเป็นเช่นนั้นแล้วมันก็หมดปัญหาเรื่องร่างกาย แม้แต่ร่างกายเราเองมันยังไม่สนใจพิจารณา มันจะหมุนลงไปตั้งแต่นามธรรมละที่นี่ พวกเวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ นามธรรมนี้มันก็เป็นเวทนาของจิตโดยมากนะ เวทนาของกายก็จะไม่ค่อยเกี่ยวข้องกันแล้วที่นี่ มันจะเข้าเวทนาจิต มีสุขบ้างมีทุกข์บ้างเล็ก ๆ น้อย ๆ ตามขั้นละเอียดของจิต มันก็จับเงื่อนนั้นมาพิจารณา มันไม่ไปไหนละที่นี่มันแคบเข้ามา ๆ ตัดรากฝอยเข้ามามาก ๆ แล้ว ยังเหลือแต่รากแก้วจะโค่นมัน
ฟันข้างนั้นฟันข้างนี้เข้ามา ตัดข้างนั้นตัดข้างนี้เข้ามา จิตมีงานทำอยู่เพียงเท่านี้ แคบเข้าไป ๆ มันก็ไม่มีอะไร สุดท้ายก็มีแต่จิตดวงเดียว อะไรก็มีแต่จิตดวงเดียว นอกนั้นไม่เห็นมีปัญหาอะไรแล้ว ก็เพราะมันตัดปัญหาหมดแล้วมันจะเอาอะไรมามี ก็ยังเหลืออยู่อันเดียวสัมผัสสัมพันธ์ มีความดูดดื่มอยู่ในจิตดวงเดียวนี้ หมุนกันไปหมุนกันมา พลิกกันไปพลิกกันมาอยู่นั้นไม่ว่าอิริยาบถใด สุดท้ายมันก็ไม่มีอะไรเหลือ ฟาดกันลงในจุดนั้นเสียจนแหลกไปเลยเป็น อนิจฺจํ ทุกฺขํ อนตฺตา เหมือนกันหมด เป็นสภาวธรรมเหมือนกันหมด ลงในความจริงตามหลักธรรมชาติแล้วมันก็ขาดอีก มีเป็นขั้นหนึ่งนะที่ว่าขาดในเรื่องของรูปอันนั้น เรื่องส่วนเกี่ยวกับเรื่องร่างกายอสุภะอสุภังนี้ขาดสะบั้นไปแบบหนึ่ง อันนี้ขาดสะบั้นไปอีกแบบหนึ่ง
ขาดคราวนี้ไม่มีเกาะมีดอน ขาดครั้งนั้นมันยังมีเกาะ คือนี้คือจิต อันนั้นคือกิเลสประเภทต่าง ๆ มีกามกิเลสเป็นต้น เข้าไม่ถึงกัน ขาดกันแล้ว เอ้า คราวนี้ขาดตรงนี้อีกแล้วขาดหมด ไม่มีเกาะมีดอนเลย แล้วเป็นยังไง ถ้าหากเราจะเทียบก็เวิ้งว้างหมด สัตว์บุคคลที่ไหนมี นั่นคือผลของการปฏิบัติด้วยความเอาจริงเอาจัง จึงให้มีความหนักแน่นในความพากเพียรของตน อย่าละอย่าปล่อยอย่าวาง อย่าเห็นสิ่งใดเป็นสำคัญยิ่งกว่าการแก้กิเลสของเราด้วยความมีสติสตังอยู่ทุกอิริยาบถ
ไปไหนเดินบิณฑบาตเห็นคนก็สักแต่ว่าคน หน้าที่ของเราที่ทำงานของเราที่ทำอย่าปล่อย ให้มันจริงมันจังไปตลอดเวลา เหมาะสม เอาให้จริงให้จัง อันนี้ละผลของงาน อันนี้จะเป็นสมบัติของเราแน่นอนไม่สงสัย อย่าให้พ้นมือไปได้ นักบวชเรานี้เป็นผู้เข้าสนามรบแล้วเพื่อชัยชนะ มีหวังแล้วสำหรับนักบวชเรา ผู้ใดจะไม่มีหวังมากยิ่งกว่านักบวช ซึ่งเป็นผู้มีโอกาสมากที่สุด ยืนเดินนั่งนอนชีวิตจิตใจได้ทุ่มลงไปเพื่องานอันนี้หมดแล้ว ทำไมผลที่พึงปรารถนาอันสุดยอดเราจะไม่ได้รับมีอย่างเหรอ
ครูบาอาจารย์ผู้ให้อุบายแนะนำสั่งสอนก็มีอยู่แล้วไม่เป็นที่สงสัย มันน่าจะภูมิใจในการปฏิบัติของเรา เพียงลำพังเราที่ไม่เคยได้ยินจากครูจากอาจารย์มันสงสัยทั้งนั้นแหละ เรียนมาสักเท่าไร จบพระไตรปิฎกก็เถอะ หาบความสงสัย หาบกิเลสตัณหาอาสวะ ว่าตนเรียนมากรู้มาก มันเลยมีแต่เรื่องกิเลสเต็มตัวไม่สามารถจะมาแก้ตนได้ ต้องอาศัยครูบาอาจารย์ที่เคยผ่านทางด้านปฏิบัติมาแล้วอย่างช่ำชองมาแนะนำสั่งสอน มันก็ถูกตามจุด ๆ ไม่ต้องเสียเวลา แนะนำตรงไหนถูกตรงนั้น ไม่มีผิดไม่มีสงสัย สุดท้ายมันก็ไปได้โดยไม่ต้องสงสัยเช่นเดียวกัน
เอาแค่นี้ก่อน |