เทศน์อบรมพระ ณ วัดป่าบ้านตาด
เมื่อวันที่ ๒๖ มีนาคม พุทธศักราช ๒๕๒๓
ปากท้องอย่าให้เหนือธรรม
พระพุทธเจ้ากว่าจะได้นำศาสนามาสั่งสอนคนก็แทบล้มแทบตาย เราพิจารณาดูซิ ท่านผู้ขวนขวายหาธรรมอาหารโอชารสมาโปรดสัตว์ผู้มืดมนอนธการ ท่านแทบล้มแทบตายไม่ว่าพระพุทธเจ้าและสาวกที่เป็นสรณะของโลก เอาชีวิตเข้าแลกเข้าประกัน กว่าจะได้อรรถได้ธรรมมาแนะนำสั่งสอนโลก ทุกข์ยากลำบากขนาดไหน ครูบาอาจารย์แต่ละองค์ ๆ ที่ปรากฏชื่อลือนามก็เดนตายมาทั้งนั้น เรามาฟังเพื่ออะไร การจะได้อรรถได้ธรรมมาแนะนำสั่งสอนประชาชนพระเณรแต่ละองค์ ๆ นี้ท่านเอาชีวิตเข้าแลก เราเพียงแต่มาล้างมือเปิบเอาเฉย ๆ ก็ยังลำบากลำบนแล้วมันก็หมดหนทางละนะ
กิเลสก็บอกแล้วว่ามันไม่ใช่ของดี เอามากีดมาขวางธรรมทำไม กีดขวางธรรมกีดขวางหมู่เพื่อน เหยียบย่ำทำลายศาสนา มันเป็นของดีแล้วหรือ ถ้าสิ่งเหล่านี้ดีก็จะมาอบรมธรรมะหาประโยชน์อะไร ทำไมไม่อยู่บำรุงมันให้เป็นหมูตัวอ้วนอยู่บนเขียงไม่ยอมลงนั้น ไม่ดีกว่าที่จะมากีดมาขวางวัดวาอาวาสหมู่เพื่อนครูบาอาจารย์ทั้งหลายเหรอ นี่ก็ได้พูดมาเต็มเม็ดเต็มหน่วยไม่มีอะไรเหลือแล้วในพุงนี้พูดกับหมู่กับเพื่อน การประพฤติปฏิบัติตลอดถึงเวลาไปอยู่กับครูบาอาจารย์ ได้รับการศึกษาจากท่าน รับแบบไหนก็ได้พูดให้ฟังหมดแล้ว พูดจนไม่มีอะไรเหลือแล้วจะให้เอาอะไรมาพูดอีก
โรงครัวนี้อย่ามาชุมนุมกันนะ ใครจะฉันอะไรก็ฉัน นี่เราแบบอนุโลมนะ ฉันแล้วให้หนีอย่ามายุ่งคุยกันนะ แล้วจะเห็นเรื่องอะไรอีกต่อไปไม่ได้ เกี่ยวกับเรื่องการอยู่การกินนี่ เรื่องลิ้นเรื่องปากมาทำลายศีลทำลายธรรมไม่สมควรอย่างยิ่ง การมาฝึกฝนอบรมตนฝึกฝนอะไร อย่างนั้นเป็นเรื่องฝึกฝนแล้วเหรอ ความเห็นแก่ลิ้นแก่ปากแก่ท้อง เป็นความฝึกฝนอบรมหรืออย่างนั้น นั่นเป็นเรื่องของกิเลสตัณหาไม่มีเมืองพอ ดิ้นรนกระวนกระวายกวัดแกว่งอยู่ด้วยความอยากความทะเยอทะยาน ไม่มองดูหัวใจซึ่งเป็นที่สถิตหรือที่เกิดขึ้นแห่งธรรม
ทำไมจึงไปมองดูสิ่งภายนอกอันเป็นสิ่งที่จะเสริมกิเลสไม่มองดูหัวใจ มองดูอะไรทุกวันนี้มาประพฤติปฏิบัติ นี่สอนแล้วสอนเล่าสอนย้ำไม่หยุดไม่ถอยถึงเรื่องความระมัดระวังจิต เพราะจิตมันมีตัวพิษตัวภัยอยู่ภายในนั้นได้บอกอยู่เสมอ ไม่ระมัดระวังตรงนั้นจะระมัดระวังตรงไหน ไม่ฝึกไม่ทรมานดัดสันดานตัวนั้นจะดัดสันดานตัวไหน
มาอยู่ในวงหมู่คณะใครมองกันในแง่ร้าย นักธรรมะต้องมองกันในแง่เหตุผลหนึ่ง ในแง่เมตตาหนึ่ง ผิดถูกประการใดต้องพูดกันได้นักธรรมะ ถ้าเป็นคลังกิเลสแล้วก็แตะไม่ได้ ใครจะมาสั่งสมสร้างคลังกิเลสขึ้นที่นี่ให้หนีทันทีอย่ามาอยู่ให้หนักหมู่หนักคณะ หนักครูบาอาจารย์ ไม่ใช่ของดี
ให้มองกันในแง่เหตุผล มองกันในแง่อรรถแง่ธรรม ต่างคนต่างมีเจตนาเป็นธรรมแล้วจะไม่มีอะไรกระทบกระเทือน จะไม่มีอะไรระแคะระคายซึ่งกันและกัน ไม่มีอะไรที่จะตำหนิกัน ผิดตรงไหนก็บอกกันได้ นี่หลักธรรม นักธรรมะเป็นอย่างนี้ เป็นอย่างอื่นไปไม่ได้ไม่เรียกนักธรรมะ ไม่ใช่ผู้แสวงหาอรรถหาธรรมเพื่อความดีงามแก่ตนและประดับหมู่เพื่อนให้มีความสง่างาม ตลอดถึงประชาชนให้เกิดความเชื่อความเลื่อมใส อันเป็นผลพลอยได้จากความดีของตนเอง เรื่องมีเท่านี้
เรื่องเหล่านี้เป็นเรื่องหยาบ ๆ อย่าให้ได้เห็นอย่าให้ได้พบนะ การระแคะระคายซึ่งกันและกันอย่างนี้ไม่ใช่ของดีเลย เป็นเรื่องของกิเลสล้วน ๆ ออกหน้าออกตาอย่างหยาบโลนที่สุดสำหรับนักปฏิบัติ โลกเขามันจวนเป็นหลังหมีอยู่แล้ว ไม่มีอะไรดำ ๆ ด่าง ๆ ขาว ๆ ไม่มีปัญหาที่จะมาเกี่ยวข้องในที่นี่ ซึ่งเป็นสถานที่ปฏิบัติของผู้มุ่งสนใจธรรมอย่างยิ่ง ผิดตรงไหนต้องบอกกันใครไม่ยอมรับเมื่อพูดเป็นอรรถเป็นธรรมแล้ว องค์ไหนฝืนไม่ยอมรับให้บอกมา ดีกว่าที่จะมาซุบ ๆ ซิบ ๆ ลับหลังกัน ซึ่งเป็นการขายตัวเองอีกทีหนึ่ง ว่าแง่มองคนในแง่ร้าย แล้วหาอุบายทำลายหมู่เพื่อนโดยที่เห็นว่าสมควรจะทำลายได้ในแง่ใด เป็นอุบายวิธีของกิเลสประเภทหนึ่งต่างหาก ไม่ใช่เป็นอุบายวิธีของผู้หวังดีต่อหมู่ต่อเพื่อน
ถ้าหวังดีต่อกันต่างคนต่างพูดกันได้ ไม่มีเรื่องใดที่จะต้องระวังระเวียงกัน เพราะเป็นนักธรรมะด้วยกัน หวังความจริงด้วยกันอยู่แล้ว ทำไมพูดกันไม่ยอมรับความจริง เอาความจริงพูดผู้ฟังไม่ยอมรับความจริงเป็นนักธรรมะได้ยังไง อยู่กับหมู่เพื่อนได้อย่างไร อยู่ไม่ได้ต้องหนี มันกีดมันขวางมันทำลาย ทำให้ส่วนใหญ่เสียหาย ผู้เจตนาหวังดีมีมาก อย่ามาทำกีดทำขวางมาเหยียบย่ำทำลายให้วงคณะซึ่งเป็นส่วนใหญ่เสียไปไม่สมควรอย่างยิ่ง
สงฺฆมฺภนฺเต ปวาเรมิ ทิฏฺเฐน วา สุเตน วา ฯ ว่ากันทำไม ว่าอย่างไรต้องปฏิบัติอย่างนั้น พระพุทธเจ้าสอนให้ปฏิบัติทั้งแง่ละทั้งแง่บำเพ็ญ ไม่ได้สอนให้เข้าหูแล้วทะลุไปเฉย ๆ โดยเจ้าของไม่สนใจ ใครผิดตรงไหนรีบแก้ตัวเองซิ หมักดองไว้ทำไมของไม่ดี แล้วการประจบสอพลออะไรอย่างนี้อย่านำมาใช้สำหรับเรา เราไม่ได้ฟังเงื่อนเดียว เราฟังหลายเงื่อน มีดมีทั้งสันทั้งคมทั้งข้างทั้งปลายทั้งด้าม นำมาใช้ได้ทุกแง่ทุกมุม หลักธรรมะของพระพุทธเจ้าก็เป็นอย่างนั้น ที่จะต้องพลิกแพลงเปลี่ยนแปลงใช้ได้หลายแง่หลายมุม พิจารณาได้หลายแง่หลายมุม เราไม่ใช่เถรตรงเราไม่อวด เราตรงไปตรงมาแต่ไม่ใช่เถรตรง ตรงไปตามหลักตามธรรม จะมีแง่งอนที่จะพิจารณาหนักเบามากน้อยเพียงไรนั้นปิดไม่อยู่ จะต้องพิจารณาให้เต็มหัวใจ
การปกครองหมู่เป็นของง่ายเมื่อไร ภูเขาทั้งลูกหนักขนาดไหนไม่เคยได้มาทับหัวใจ ไม่ได้มาทับหัวเรา แต่ผู้ที่อยู่ด้วยกันมีจำนวนมากน้อยนี้แหละมันเกี่ยวเนื่องกันอยู่ มันเหยียบมันทับหัวกันได้ที่อยู่ด้วยกันนี้ ตัวคนไม่ได้ใหญ่เท่าภูเขาแหละ แต่เวลามันทับหัวใจกันแล้วมันหนักยิ่งกว่าภูเขา เพราะภูเขาไม่ได้มาทับ มองดูหัวใจเจ้าของมันก็รู้เอง ต่างคนต่างมองดูหัวใจเจ้าของมากยิ่งกว่าที่จะมองผู้อื่น แม้การมองผู้อื่นซึ่งเป็นกรณีที่ควรจะมองที่จะพิจารณา ก็ให้มองในแง่เหตุผลในแง่อรรถแง่ธรรม จากนั้นก็ในแง่เมตตาเจตนาหวังดี พูดกันได้ทุกแง่ทุกมุม ไม่ให้มีอะไรลี้ ๆ ลับ ๆ เรื่องซุบ ๆ ซิบ ๆ มีไม่ได้ ไม่ใช่นักธรรมะ พูดให้ตรงไปตรงมา
นี่ก็หลั่งไหลมา ๆ ไม่ทราบว่ามากว่าน้อย มาแล้วก็มาทับกัน อย่างพวกที่มาใหม่ได้ไล่ออกไปเมื่อเร็ว ๆ นี้ เห็นไหมนั่น แล้วเราไม่ได้ตำหนิพวกใหม่โดยถ่ายเดียว เพราะผู้อยู่ที่นี่ก็เป็นพระมีกิเลสเหมือนกัน ควรตำหนิเราก็ต้องตำหนิเหมือนกัน ไม่ได้เป็นแง่เดียว ว่าผู้นั้นผิดผู้นั้นถูกโดยถ่ายเดียว คนมีกิเลสด้วยกันมันต้องมีการเข้าตัวอยู่เสมอ แล้วมองผู้อื่นในแง่ร้ายได้ เพราะกิเลสมันแหลมคมยิ่งกว่าสติปัญญาของเราที่มีอยู่เวลานี้ นอกจากเราจะผลิตให้สติปัญญาทันกับความเคลื่อนไหวของจิตเสียจริง ๆ จนกระทั่งมันแย็บออกเวลาไหนไม่มีการเผลอตัวเลยเท่านั้น
การแย็บออกแต่ละขณะ ๆ ของจิตนี้เป็นการปลุกสติปัญญาไปในตัว เอ้อ นั่นยกให้..ทัน ออกแง่ไหนทัน ทำไมจึงว่าทัน เคยปฏิบัติมาแล้วนี่ไม่ใช่คุย ถ้าถึงขั้นนี้แล้วทัน ออกแง่ไหนรู้กันทันที ๆ เพราะมันแคบเข้าไปแล้วไม่มีที่อื่น ตรงไหนที่กิเลสมันเที่ยวหลบเที่ยวซ่อนก่อกรรมก่อเวรแก่เจ้าของ และจะทำให้ผู้อื่นได้รับความลำบากด้วย ก็ตามรู้ตามเห็นมันตามฆ่ามันแหลกไปหมดจนไม่มีที่อยู่ มันก็เหลือตั้งแต่ใจดวงเดียว ถ้าลงได้แย็บรู้ ๆ แล้วมันก็มีเท่านั้นไม่มีที่อื่นให้เกิดเรื่องลุกลาม
ทีนี้ก็ต้องเห็นได้ชัดในเวลานั้น อ๋อ กิเลสทั้งมวลนี่มันมาอยู่ที่หัวใจนี่ เป็นที่ซุ่มซ่อนของมัน ที่สร้างภพสร้างชาติ สร้างความทุกข์เกิดแก่เจ็บตายให้แก่สัตว์โลก ไม่ใช่กิเลสตัวใด กิเลสที่เต็มอยู่ในนี้เองมันแผ่กระจายกิ่งก้านแขนงออกไป เราไม่ทราบตามตะครุบตั้งแต่เงาของมัน ตัวจริง ๆ มันไม่ได้ตะครุบมันเลย เพราะกิเลสมันฉลาดยิ่งกว่าเรา เราโง่กว่ามันจึงต้องตะครุบเงามันโดยไม่ถูกตัวมันเลย
เวลาตามเข้าไป ๆ จากก้านเข้าไป ตามเงาเข้าไปก็ไปถึงตัว เพราะเงามาจากตัว กิเลสมันแผ่สาขาไปไหน มันก็พ้นสติปัญญาที่ฝึกฝนอบรมอยู่ตลอดเวลาไม่ได้ มันตามรู้ตามเห็นตามฟาดฟันหั่นแหลกกันเข้าไปโดยลำดับ ๆ จนกระทั่งเหลือตั้งแต่หัวใจริก ๆ มันปรุงออกเรื่องไหนรู้กันหมดทุกเวลาที่ปรุง ไม่มีคำว่าเผลอ ถ้าลงได้ถึงขั้นไม่เผลอแล้วเป็นไม่เผลอ ตั้งแต่ขณะตื่นนอนจนกระทั่งถึงหลับ เผลอเมื่อไรคิดหาเวลาเผลอไม่มี นี่เราจึงยอมรับท่านว่ามหาสติมหาปัญญาเป็นสติปัญญาอัตโนมัติออโตเมติก เป็นโดยหลักธรรมชาติของตัวเอง เมื่อเป็นเช่นนั้นแล้วไม่ต้องบังคับก็รู้ เมื่อถึงขั้นรู้มันรู้อย่างนั้น เวลาโง่มันก็โง่เต็มเปาของมัน เวลามันฉลาดแล้วก็เหมือนกับว่าไม่เคยโง่
สติปัญญาเป็นสิ่งที่ผลิตได้ฝึกได้ แล้วเราจะพยายามรักษาความเคลื่อนไหวของกายวาจาใจของเราซึ่งมีอยู่กับเรานี้ ด้วยความพยายามของเราสมกับนักปฏิบัติ ทำไมเราจะทราบไม่ได้ในเรื่องความเคลื่อนไหว เฉพาะอย่างยิ่งการเกี่ยวกับหมู่กับคณะเป็นเรื่องหยาบ ทำไมจะไม่ทันมันคิดในแง่ใดก็ดี มันต้องทันถ้าผู้ตั้งใจมาศึกษาอบรม ถ้าไม่มานอนเป็นหมูขึ้นเขียงอยู่เฉย ๆ
เราหวังเอาอะไรเวลานี้ เรามุ่งอรรถมุ่งธรรมที่มานี่ ผมก็นำหมู่เพื่อนปฏิบัติอันใดที่จะเป็นแง่เป็นทางแห่งความเสียหายของหมู่ของคณะ ผมได้พยายามเต็มสติกำลังความสามารถ ซึ่งได้เคยพูดให้ฟังแล้วหลายครั้งหลายหน จนเบื่อผู้พูดก็ดีไม่ว่าจะเบื่อตั้งแต่ผู้ฟังเลย เราพยายามเต็มความสามารถในฐานะที่หมู่เพื่อนมายกย่อง มาอาศัยว่าเราเป็นครูเป็นอาจารย์ เราก็ทำหน้าที่ของเราเต็มสติกำลังความสามารถ
อันใดที่จะเป็นเรื่องความเสื่อมเสียลงไปทีละเล็กละน้อย เกี่ยวกับประชาชนญาติโยม เราก็พยายามตัดออก เช่นการรับนิมนต์ที่นั่นที่นี่ เรามีเหตุมีผลของเรา การรับนิมนต์ไปแต่ละครั้งละหนต้องไปเกี่ยวกับประชาชนญาติโยมมีทั้งหญิงทั้งชาย นี่ประการหนึ่ง ประการที่สอง อติเรกลาภที่เกิดขึ้นมามากน้อยเขาก็ต้องให้ ให้เรา ได้มาแล้วก็จะเป็นอะไร ทีแรกก็ไม่อยากไป พอได้มาแล้วกิเลสมันโผล่หัวขึ้นมามันสูงจรดฟ้าโน่น จะมีอะไรก็มีตั้งแต่นับเงินนับสมบัติเงินทองมานั้นเต็มอยู่นั้น วันนี้ก็นับวันหน้าก็นับ ความสนใจในอรรถในธรรมที่เคยปฏิบัติมาซึ่งเป็นพื้นฐานเดิมในเจตนาของตน มันก็ค่อยหมดไป ๆ จนกระทั่งมีเหลือตั้งแต่โลกเต็มหัวใจ กลายเป็นเรื่องมาสั่งสมกิเลสอาสวะด้วยความโลภเป็นหลักสำคัญเป็นตัวใหญ่เป็นตัวสำคัญ ทำลายจิตใจให้พินาศฉิบหายจากอรรถจากธรรมไปเสียหมด เหล่านี้เราก็ได้พยายาม
คิดดูเราไม่เกรงใจใครเลยไม่ว่าชั้นไหนจะมานิมนต์มาขอพระจากเรา เราพูดได้อย่างเต็มปาก พูดตามหลักของเหตุของผลทุกแง่ทุกมุมให้เขาเป็นที่เข้าใจ โดยไม่มีทิฐิมานะอะไรไปแฝงกับการไม่รับนิมนต์เขาเลย เพราะเราไม่รับนิมนต์ก็ด้วยเหตุด้วยผลของเราซึ่งเป็นหลักธรรมอันหนึ่ง เป็นเครื่องรักษาพระซึ่งอยู่ในความปกครองอยู่ในความดูแลของเรา เราก็พยายามเต็มที่ หากไม่จำเป็นจริง ๆ เราไม่ยอมให้จริง ๆ ดังที่เห็นอยู่นี้ หากจำเป็นจริง ๆ ก็มี โลกกับธรรมอยู่ด้วยกัน เราก็ปล่อยให้เสียเป็นกาลเป็นเวลาที่เห็นว่าจำเป็น แล้วทำความเข้าใจไว้เฉพาะวาระนั้นเท่านั้น ไม่ให้พร่ำเพรื่อซ้ำ ๆ ซาก ๆ จนเป็นโรคเรื้อรังในการฉันในบ้านในเรือน พระกับประชาชนเกี่ยวข้องวุ่นวายกันอยู่ตลอดเวลาไม่ใช่ของดี เป็นสิ่งที่จะทำจิตใจของเราให้ด้อยลงไปโดยลำดับ
จตุปัจจัยไทยทานได้มามากน้อยก็ไม่ถือว่าเป็นของใครต่อของใคร เพราะมันจะเป็นกิเลสตัวหนึ่งขึ้นมา ทำลายผู้นั้นแหละไม่ทำลายใคร พอที่จะคิดได้อ่านได้เราก็ช่วยคิดช่วยอ่าน การช่วยคิดช่วยอ่านอย่างนี้เราเปิดทางไว้แล้ว เราเปิดไว้ทุกแง่ทุกมุม เราไม่ตายพระเณรเราไม่ตาย เราเลี้ยงดูพระเณรเต็มสติกำลังความสามารถทุกชิ้นทุกอย่างวัตถุไทยทานเขานำมาถวาย เราไม่เคยคิดเราไม่เคยสงวนว่านี้เป็นเรานี้เป็นของเรา ไม่เป็นของใคร เราเป็นผู้ได้มาเขามาถวายเรา นี้เป็นของเราไม่เคยคิด คิดดูซิ รับเพื่อพระเพื่อเณรทั้งหมด
เราไม่อดพระเณรไม่อด เราปฏิบัติมาอย่างนั้นด้วยน้ำใจจริง ๆ ซึ่งมีต่อหมู่ต่อเพื่อนเมตตาสงสาร เพื่อให้ธรรมเจริญไม่ให้โลกเข้ามาแฝงได้เลย ให้มีแต่ทางด้านธรรมะโดยถ่ายเดียวที่จะเจริญรุ่งเรืองขึ้นโดยลำดับ อันไหนที่เป็นช่องทางแห่งกิเลสเข้ามา และจะเพิ่มมากมูนขึ้นโดยลำดับ เราพยายามตัดช่องนั้นไว้เสมอ นอกจากเป็นความจำเป็นก็สุดวิสัย เราคิดไว้หมดทุกแง่ทุกมุม
การอบรมสั่งสอนหมู่เพื่อนก็เหมือนกัน ไม่ลดไม่ละ ได้พยายามอบรมสั่งสอนเรื่อย ๆ มา ผิดตรงไหนเราบอกเราจี้ให้รู้เรื่องรู้ราว สมกับเราเป็นอาจารย์ หมู่เพื่อนมาศึกษาอบรมกับเรา อาจริโย เม ภนฺเต โหหิ โอปายิกํ ปฏิรูปํ นี่เรารับแล้ว เมื่อรับแล้วต้องทำหน้าที่ให้เต็มอรรถเต็มธรรมเต็มภูมิความสามารถของตน เราก็ได้ทำอย่างนั้นตลอดมา แล้วมีอะไรขัดข้องยุ่งเหยิงพอจะเกิดความวุ่นวาย
การขบการฉันน้ำร้อนน้ำชาแต่ก่อนก็ไม่มี อยู่กับพ่อแม่ครูอาจารย์ก็ไม่มี เราไปอยู่โดยลำพังเราที่ไหน ๆ ก็ไม่มี แม้แต่ไปจำพรรษาที่จันทบุรีนู้นก็ไม่มี เขาจะเอาน้ำตาลมาถวายเป็นหม้อ ๆ ไม่เอาไม่ยุ่งอย่าเอามาเราบอกอย่างนี้ ก็ไม่ได้ฉัน มาอยู่วัดนี้ทีแรกก็ไม่ฉัน ครั้นต่อมาคนนั้นเอานั้นมาถวายคนนี้เอานี้มาถวายมากเข้า ๆ ๖ วัน ๗ วันมีการมีงานก็ฉันเสียทีหนึ่ง ถึงมีมากก็ทิ้งไว้อย่างงั้นแหละไม่สนใจ พระเณรก็ได้สะดวกสบายในการประกอบความพากเพียร ครั้นต่อมาก็เลยได้อนุโลมเรื่อยมา เลยฉันมาเรื่อย ๆ ทีนี้มันก็เลยลามปามลุกไปใหญ่ มันเป็นของดีแล้วหรืออย่างนี้
อนุโลมอย่างนี้ก็เหมือนกับว่าเปิดทางให้กิเลสมันหลั่งไหลเข้ามาเหยียบหัวพระเณร หัวใจพระหัวใจเณรจนแหลกเหลวไปหมด ลิ้นก็เลยยาวขึ้นไป ท้องพุงใหญ่ขึ้นไปโดยลำดับ ยิ่งกว่าภูเขายิ่งกว่าท้องฟ้ามหาสมุทร ท้องของกิเลสมันเป็นอย่างนั้น ลิ้นของกิเลสมันเป็นอย่างนั้นมันไม่ได้สั้น ท้องของกิเลสมันก็ใหญ่โต เราจนลืมตัวนี่ซิ ยุ่งไปหมดจะว่าไง
อะไร ๆ เราไม่สบายใจจำต้องอนุโลมก็มี มันก็แสดงขึ้นมาตามที่ตรงไหนที่เราไม่สนิทใจนั่นแหละ พูดให้หมู่ให้เพื่อนฟังอยู่ทุกระยะ ๆ บางอย่างก็เพียงแย็บ ๆ ออกให้ไปเป็นข้อคิด มันก็ไม่คิดไม่พิจารณา นี่ซิที่ทำให้เราอิดหนาระอาใจ แล้วธรรมจะเจริญได้ยังไง สมาธิปัญญาเจริญได้ยังไงเมื่อการทำการคิด การขวนขวายเหล่านั้นไม่ใช่เป็นทางของสมาธิของปัญญาแล้วปัญญาจะเกิดได้อย่างไร นอกจากเป็นทางของกิเลสให้กิเลสเกิดขึ้นวันยังค่ำคืนยังรุ่งตลอดเวลาเท่านั้น แล้วมันสมเจตนาของเราที่มุ่งหวังมาอบรมกับครูบาอาจารย์แล้วเหรอ นี่ให้คิดนักปฏิบัติ
เราอยากให้ได้รับความสะดวกทุกสิ่งทุกอย่างสำหรับพระเณรที่อยู่ในวัดนี้ การขบฉันก็อยากให้ขบให้ฉันด้วยความเมตตาจริง ๆ ไม่ใช่เสกสรรปั้นยอ เป็นภายในจิตใจของเราจริง ๆ แต่ถ้าอันใดมันจะเป็นข้าศึกต่อธรรมมันก็ทำให้เราชะงักเหมือนกัน ทั้ง ๆ ที่อยากให้ขบให้ฉัน สิ่งนี้มันเป็นพิษเป็นภัยต่อจิตตภาวนาเมื่อทราบอย่างนั้นมันก็ชะงักซิ แต่ไม่อาจพูดเพราะได้เคยเผดียงให้หมู่เพื่อนทราบแล้วว่า อาหารประเภทใดก็ตามถ้าฉันเข้าไปมีกำลังต่อร่างกาย แต่เป็นการทำลายต่อจิตใจหรือเป็นภัยต่อจิตใจ ผู้นั้นก็ต้องระวังเจ้าของเองเคยเตือนไปแล้วทุกแง่ทุกมุม
การปฏิบัติมาสำหรับผมเองก็ดี ครูบาอาจารย์ทั้งหลายอย่างพ่อแม่ครูจารย์มั่น ท่านเคยเล่าให้ฟังเราก็จับเอานั้นแหละมาพิจารณา แล้วการปฏิบัติมันก็เป็นอย่างนั้นจริง ๆ วันนี้ฉันอาหารประเภทนั้นธาตุขันธ์เป็นอย่างนี้ขึ้นมา แล้วก็มาทับถมจิตใจให้ภาวนาไม่สะดวก เอาละมันรู้ทันที วันหลังงดหรือหากว่าฉันก็เพียงเล็กน้อยเท่านั้น มันต้องระวัง ๆ นี่คือการรักษาธรรมไม่ใช่เป็นการรักษาลิ้นรักษาท้อง เรารักษาธรรมเรามุ่งต่อธรรม มาปฏิบัติเพื่ออรรถเพื่อธรรมจึงต้องถือธรรมเป็นหลักใหญ่เสมอ ก่อนที่อะไรจะเข้ามาเกี่ยวข้อง อย่างน้อยก็อย่าให้มายุ่งกับธรรมให้หวั่นให้ไหวภายในจิตใจ มากกว่านั้นอย่าให้ธรรมนี้เสียไป ต้องคิดไว้เสมอ นี่คือนักปฏิบัติเพื่อรักษาตัวต้องสังเกต
ท่านก็กล่าวไว้แล้วเคยพูดมาหลายครั้งหลายหน อาหารสัปปายะ อาหารประเภทใดคำว่าอาหารสัปปายะ อาหารเป็นที่สบาย สบายอย่างไร ไม่ใช่สบายแบบกินแล้วนอนอยู่เหมือนหมู อาหารสบายคือไม่เป็นพิษเป็นภัยต่อจิตใจ เป็นคุณต่อร่างกายแต่ไม่เป็นภัยต่อจิตใจ เป็นที่สะดวกสบายในการภาวนาซึ่งเป็นหลักใหญ่ นี้เรียกว่าอาหารสัปปายะ ไม่ผิดกับโรคกับภัยด้วย และธาตุขันธ์ก็ไม่มีกำลังวังชามากจนเป็นเครื่องมือของกิเลส เหยียบย่ำทำลายธรรมได้เป็นอย่างดีด้วย เวลาภาวนาก็สะดวกสบายด้วย นี่เรียกอาหารสัปปายะ
เสนาสนะสัปปายะ ที่อยู่ที่อาศัยเป็นไปเพื่อความสงบงบเงียบ อยู่ด้วยความสะดวกสบาย
ปุคคลสัปปายะ ก็หมายถึงเพื่อนฝูงเป็นกัลยาณมิตร พึ่งเป็นพึ่งตายกันได้ทุกแง่ทุกมุม ไม่มีคำว่าเกรงอกเกรงใจ ไม่มีคำว่าระแคะระคาย ไม่มีคำว่ารังเกียจเดียดฉันท์ซึ่งกันและกัน ไม่มี เป็นเหมือนอวัยวะเดียวกัน พึ่งเป็นพึ่งตายกันได้ เวลามีข้อขัดข้องอะไรขึ้นมาหรือท่านผู้ใดมีความเคลื่อนไหวในทางกายวาจาไม่สะดวกต่ออรรถต่อธรรม ขัดข้องต่ออรรถต่อธรรมก็เตือนกันได้ นั่นเรียกว่าปุคคลสัปปายะ คือเพื่อนฝูงเป็นที่สนิทสนมกันด้วยธรรมจริง ๆ แน่ะจะว่ายังไงอธิบายให้ฟังหมดแล้ว นี่ละคำว่ากัลยาณมิตตตาหรือว่าปุคคลสัปปายะ ก็คือผู้เกี่ยวข้องเฉพาะอย่างยิ่งก็คือพระที่อยู่ด้วยกัน
เราไม่ได้มาสั่งสมความเป็นเสือเป็นยักษ์เป็นผีต่อกันนี่ ต่างคนต่างมาแสวงหาอรรถหาธรรม ต่างคนต่างมุ่งความจริงทำไมพูดกันไม่รู้เรื่อง ทำไมพูดกันไม่ฟังเสียง ทำไมพูดกันจะเกิดกิเลสเป็นยักษ์เป็นผีขึ้นมา แล้วมันขัดกันไหมกับเจตนาของเราที่มามุ่งอรรถมุ่งธรรม
นี่ได้สอนหมู่เพื่อนมาไม่ทราบกี่ปีแล้ว เบื้องต้นเราก็ไม่เคยคิดว่าเราจะมีหมู่มีคณะ เพราะนิสัยไม่มีในความรู้สึกกับใคร ๆ ตั้งแต่เริ่มออกปฏิบัติทีแรกก็ไม่เคยเกี่ยวข้องกับผู้หนึ่งผู้ใด มุ่งเฉพาะพ่อแม่ครูบาอาจารย์มั่นเท่านั้น เวลาออกจากท่านไปแล้วก็โดดเดี่ยวองค์เดียวสะดวกสบาย แม้จะมีหมู่เพื่อนไปบ้างองค์หนึ่ง หรืออยู่สององค์นี้ไปก็จะไปแยกกันข้างหน้า หากเดินทางร่วมกันไปเฉย ๆ ในเบื้องต้น ก็แยกจริง ๆ พอไปแล้วต่างองค์ต่างแยก ต่างองค์ต่างอยู่ต่างองค์ต่างไปของใครสะดวกสบายของใครของเรา ส่วนมากก็ไปเฉพาะองค์เดียวอยู่อย่างนั้น ทั้งวันทั้งคืนมีแต่ประกอบความพากเพียรโดยลำดับลำดา
ประการสำคัญก็คือนิสัยเรามันหยาบ การประพฤติปฏิบัติถ้าให้กินอิ่ม ๆ ได้รับความสะดวกสบาย ภาวนาไม่ได้เรื่องได้ราวอะไร ต้องดัดสันดานกัน ทางธาตุขันธ์มีกำลังมากมันทับจิตใจ ต้องอดอาหารละเป็นนิสัยจนท้องเสีย เพราะอดไม่หยุดไม่ถอย อดอยู่เรื่อย ๆ อดอยู่ตลอด พออายุ ๓๖ ปีท้องเสียมาก มันเสียมาแต่ก่อนนั้นแล้ว ๓๖ ปีอายุ ๑๖ พรรษา พอฉันเข้าไปก็ถ่ายหมด ๆ อดเพียงสามวันสี่วันเท่านั้นมันก็ถ่ายหมดเลย ดูแล้วจึงได้งดตั้งแต่นั้นมาก็ไม่เอา เพราะเราเคยทำมาตั้งแต่ออกปฏิบัติทีแรกนั่นเลย
ตั้งแต่พรรษาแรกมาเลยที่ตะลุมบอนกันหรือชุลมุนวุ่นวายกันอยู่ ก็เป็นเวลา ๙ ปี จนแทบจะพูดได้ว่าไม่ได้มองเห็นเมฆเห็นหมอกที่ไหน มองตั้งแต่กิเลสสู้กันอยู่ตลอดเวลา ได้รับความลำบากลำบน แต่เราก็ทนเอาเพราะนิสัยวาสนาเรามันหยาบอย่างนี้ก็ทนเอา เดินจนโซซัดโซเซมาหมู่บ้านเขาก็จะไม่ถึงบางวัน เพราะเพลียมาก ทางก็ไกล นาน ๆ วันถึงฉันทีหนึ่งแล้วก็เป็นไปอย่างนั้นเรื่อย ๆ นานเข้า ๆ กำลังก็อ่อน ธาตุขันธ์ก็อ่อนแต่จิตใจไม่ได้อ่อนนะ จิตใจดีดผึง ๆ นั่นเราเห็นคุณค่าของการผ่อนอาหารการอดอาหารเป็นอย่างนั้น มันก็จำเป็นต้องบึกต้องบึนกันไป ไม่เกี่ยวข้องกับผู้ใดแหละ กี่วันก็ตามถ้าเราไม่ฉันไม่มีใครไปเกี่ยวข้องเราแหละ เราอยู่คนเดียวลำพังคนเดียว มีตั้งแต่ดูหัวใจอยู่ตลอดเวลาอย่างนั้นเรื่อยไป ทุกข์ลำบากก็ทนเอา เพราะของดีอยู่ตรงนั้นไม่อยู่ตรงไหน อยู่ที่ลำบากนั้น
เวลาพ่อแม่ครูบาอาจารย์มรณภาพจากไปเท่านั้น หมู่เพื่อนก็รุม ไปที่ไหนก็เกาะก็รุม ๆ แทบเป็นแทบตาย ขโมยหนีจากหมู่จากเพื่อนก็ไม่รู้กี่ครั้งกี่หน เพราะนิสัยเราไม่ชอบอย่างนั้น อยู่ลำพังคนเดียวสบาย ๆ พอถึงวันตายก็พอแล้วเท่านั้น อยู่ที่ไหนสะดวกสบายกับคนป่าคนเขา เป็นที่เหมาะสมกับอัธยาศัยของเรามันคิดไปอย่างนั้น ทีนี้หมู่เพื่อนก็มามากเข้า ๆ ก็ต้องมีสำนักมีทำเลพาอยู่ เราก็คิดเห็นถึงจิตใจของเราที่ไปหาครูบาอาจารย์ เหมือนใจจะหลุดจะขาดออกจากตัวกลัวท่านจะไม่เมตตาสงสารรับเอาไว้อบรมสั่งสอน มาคิดถึงหมู่เพื่อน หัวใจของหมู่เพื่อนก็คงจะเป็นแบบเดียวกัน เราถึงได้ลดหย่อนผ่อนผันลงมา รับหมู่รับคณะอบรมสั่งสอน นี่เรื่องมันเป็นอย่างนี้
อยู่นี้ก็อยู่ด้วยความจำเป็นไม่ได้อยู่ด้วยความสมัครใจ เราไม่เคยมีความปลื้มปีติยินดีในการที่หมู่เพื่อนพระเณรทั้งหลายมาจากทางใกล้ทางไกล เข้ามาเกี่ยวข้องกับเรา ตลอดประชาชน แม้ที่สุดเข้ามาเกี่ยวข้อง เราก็ไม่เคยแสดงภายในจิตใจของเราว่าเป็นความยินดี ลืมเนื้อลืมตัวว่าเรานี่ โห เก่งเป็นครูเป็นครูเป็นอาจารย์อย่างเอก คนนั้นมานับถือคนนี้มานับถือ ลูกศิษย์เต็มแผ่นดิน มันไม่เคยไปสนใจ ดีไม่ดีไม่ได้คิดอย่างนั้น มันคิดเป็นคนละโลกเสียอีกนี่ ใครมาหาก็ตาม เขามา ๆ เกี่ยวข้องกับเรา เราต้องเป็นผู้อบรมสั่งสอน เป็นความเหนื่อยยากลำบากก็คือเรา
เพราะเราไม่ได้มุ่งอะไรกับผู้ใดนี่ จะมุ่งอะไรกับอะไร มันพอตัวของมันอยู่โดยลำพังธรรมชาติของตัวเองแล้ว จะไปหาอยากหาหิวอะไร เขานับถือไม่นับถือก็เป็นเรื่องหัวใจเขาต่างหาก เขาจะติฉินนินทาว่าร้ายต่าง ๆ ก็เป็นอยู่ในหัวใจของเขาไม่ใช่อยู่ในหัวใจของเรา เขาสร้างเหตุที่นั่นไม่ดีมันก็เกิดผลไม่ดีขึ้นที่นั่น ถ้าเขาสร้างเหตุดีขึ้นภายในกายวาจาใจของเขา มันก็เป็นผลดีขึ้นไปกับเขาต่างหาก ไม่ได้เป็นผลดีมาหาเรานี่นะ เขาเป็นผู้สร้างเหตุทางนู้น เราก็เป็นเพียงได้ยินได้ฟังจากคำติฉินนินทา จากคำสรรเสริญเยินยอของเขาแล้วก็ผ่านไป ๆ ถ้าเราไม่เป็นบ้าเราก็ไม่ไปยึดเอามาเผาตัวเอง เราไม่เป็นบ้าเราก็ไม่ไปยึดลืมเนื้อลืมตัวไปกับคำสรรเสริญเยินยอเขา มันก็สบายเท่านั้นซิ
เอาอะไรโลกอันนี้มีความแน่นหนามั่นคงที่ไหนเป็นสาระสำคัญที่พอจะยึดได้ไม่เห็นมีอะไร นี่ได้พิจารณาแล้วเต็มหัวใจ นอกจากใจเท่านั้นที่จะเป็นสาระอันสำคัญ สร้างธรรมขึ้นที่ใจ ใจกับธรรมมีความสัมผัสสัมพันธ์เกี่ยวเนื่องกันไปโดยลำดับ ๆ ใจก็มีสาระขึ้นทุกวัน ๆ ไม่เคยสงบงบเงียบมีแต่ความฟุ้งซ่านรำคาญ กวนใจ เผาใจอยู่ตลอดเวลา มันก็สงบลงได้เมื่อความอุตส่าห์พยายามของเรามีอยู่ มันทนไปไม่ได้ เพราะจิตเป็นของฝึกได้ ถ้าฝึกไม่ได้พระพุทธเจ้าเป็นศาสดาเอกขึ้นมาไม่ได้ พระสาวกทั้งหลายประเสริฐขึ้นมาหลุดพ้นจากกิเลสไม่ได้ นี่เพราะท่านฝึกได้
กิเลสเป็นของฆ่าได้ ฉิบหายตายไปได้จากจิตใจ ท่านจึงสอนวิธีการให้ชำระกิเลสให้ฆ่ากิเลส ด้วยความพากเพียรมีสติปัญญาเป็นเครื่องมืออันสำคัญ ท่านสอนอย่างนั้น อุบายเหล่านี้เป็นอุบายที่ท่านได้ผลมาแล้วทั้งนั้นท่านจึงนำมาสอนพวกเรา เราจะปฏิบัติอย่างไรให้ตรงตามหลักของศาสดาของสรณะของพวกเรา หรือเราจะเอาเรา สรณํ คจฺฉามิ อย่างนั้นเหรอ เรา สรณํ คจฺฉามิ ก็มีตั้งแต่กิเลสเต็มหัวใจ สรณํ คจฺฉามิ นั่นแล้ว มันได้ผลประการใดบ้างที่กิเลส สรณํ คจฺฉามิ น่ะ มันมีอะไรเป็นผลเป็นประโยชน์บ้าง ได้ทดสอบกันบ้างไหมสิ่งเหล่านี้
นักปฏิบัติต้องคิดไม่คิดไม่ได้ ที่ไหนผิดที่ไหนถูกโดยเหตุโดยผลแล้วต้องยอมรับ สิ่งที่ควรแก้ต้องรีบแก้ไม่ถอย สิ่งที่ควรบำเพ็ญก็บำเพ็ญให้มีขึ้นโดยลำดับ ๆ อันเป็นความดีเร่งไม่หยุด ไม่นอนใจทั้งนั้น มุ่งต่อเหตุต่อผลต่อความสัตย์ความจริง ใครจะพูดทางด้านไหนก็ตามพิจารณามาเป็นความจริงทั้งนั้น นั่นจึงชื่อว่านักธรรมะ แม้ที่สุดเขาตำหนิเรานี้ก็เอามาพิจารณาหาสาระของมันจนได้ เขาสรรเสริญก็ตามเขานินทาก็ตาม นั่นเป็นแง่ธรรมแง่หนึ่ง ๆ ที่แสดงเข้ามาสัมผัสสัมพันธ์กับเรา เราจะมีความเฉลียวฉลาดพอที่จะจับยึดเอาธรรมแง่นั้น ๆ มาเป็นสาระแก่ตนได้อย่างไรบ้างหรือไม่ นี่จึงเรียกว่านักธรรมะ หรือเขาสรรเสริญเยินยอมาก็เป็นบ้าไปอีกแบบหนึ่ง ลืมเนื้อลืมตัว พอเขาติฉินนินทามาก็เป็นบ้าไปอีกแบบหนึ่ง เหมือนเจ้าของจะฉิบหายวายปวงไป ถูกเขาตำหนิติฉินนินทานั้นเหมือนกับว่าเขาเหยียบย่ำทำลาย เจ้าของก็จะแหลกไปตามนั้น นั่นก็บ้าแบบหนึ่ง ถ้าแบบมีสติปัญญาแบบนักธรรมะแล้วพิจารณาได้ทั้งนั้น ทั้งดีทั้งชั่ว ถ้าผู้มุ่งเป็นธรรมต้องเป็นธรรมทั้งหมด ดีกับชั่วเป็นธรรม โลกธรรมทั้ง ๘ เป็นธรรมทั้งนั้น
โลกธรรมทั้ง ๘ ถ้าอยู่ภายนอกมันห่างไกลมาก มันอยู่ในหัวใจของเราตลอดเวลานี้เราทราบหรือยังโลกธรรม ๘ คืออะไร มีลาภเสื่อมลาภ มียศเสื่อมยศ ความได้ความเสียมันมีที่ไหน มันไม่มีที่จิตใจจะมีที่ไหน พอภาวนาดีบ้างเล็กน้อยแล้วก็ตื่นลืมเนื้อลืมตัวแล้วเสื่อมไปเสีย เสียใจเป็นบ้าไปอีก สรรเสริญเยินยอตน ความถือเนื้อถือตัวถือทิฐิมานะอยู่ภายในตัว หยิ่งจองหองอยู่ภายในตัว มันล้วนแล้วตั้งแต่เรื่องโลกธรรมเผาหัวใจเจ้าของทั้งนั้นแหละ แล้วทีนี้ความทุกข์มันจะเกิดขึ้นที่ไหนถ้าไม่เกิดขึ้นที่จุดนี้ โลกธรรมทั้ง ๘ ย่นเข้ามาแล้วคืออะไร นินทา สรรเสริญ สุข ทุกข์ มีอยู่เท่านั้นรวมมาอยู่ในหัวใจทั้งหมดเป็นผู้รับ เราปฏิบัติอรรถธรรมไม่พิจารณาสิ่งนี้จะพิจารณาอะไร
การทำงานเกี่ยวข้องกับความสามัคคีอย่างนี้ก็เหมือนกัน ถ้าใครขี้เกียจเกี่ยวข้องกับหมู่เพื่อนก็ให้ไปจากวัด อย่าอยู่ให้หนักวัด สถานที่นี่เป็นจุดรวม รวมหมู่รวมคณะเกี่ยวข้องกับประชาชนด้วย มาเองทำไง สถานที่อยู่ที่อาศัยเช่นศาลาเป็นต้น ก็ต้องเช็ดต้องถูต้องทำความสะอาด ไม่ทำอย่างนั้นดูไม่ได้ เราอาศัยสถานที่ใดเราต้องรักษาสถานที่นั้น การรักษาจะทำวิธีไหน ก็ต้องปัดกวาดเช็ดถูเป็นธรรมดา มันไม่ดีตรงไหนก็ต้องซ่อมแซม จึงเรียกว่ารักษา
เราบางทีมันก็ไม่แน่ประชาชนมาเกี่ยวข้องอยู่เรื่อย ๆ เฉพาะอย่างยิ่งตอนเช้า ฉันเสร็จแล้วเขาก็อยากได้ยินได้ฟังเรื่องนั่นเรื่องนี่ หัวใจคนเขามีความพอใจ ใจเราถือเป็นสำคัญก็สงเคราะห์กันบ้าง เมื่อถึงเวลาได้เวลาพอสมควรแล้วก็ไล่เขากลับเขาก็ไม่ว่าอะไร พูดให้ฟังพอสมควร บางทีก็มีแง่หนักเบากันนานบ้างก็มี มันแล้วแต่เหตุผลที่ควรจะเป็นไป นี่ในฐานะที่เป็นอาจารย์ก็เป็นอย่างนี้ หัวใจเขากับหัวใจเรามาเทียบกันแล้วมันก็เหมือนกัน เราก็คิดเห็นอย่างนั้นเอง |