งานรื้อถอนวัฏฏะ
วันที่ 2 มกราคม 2533 เวลา 19:00 น. ความยาว 87.57 นาที
สถานที่ : วัดป่าบ้านตาด
| |
ดาวน์โหลดเพื่อเก็บไว้ในเครื่อง
ให้คลิกขวาแล้วเลือก Save target as .. จาก link ต่อไปนี้ :
ข้อมูลเสียงแบบ(Win)

ค้นหา :

เทศน์อบรมพระ ณ วัดป่าบ้านตาด

เมื่อวันที่ ๒ มกราคม พุทธศักราช ๒๕๓๓

งานรื้อถอนวัฏฏะ

 

            พระที่บวชใหม่ก็มีที่เข้ามาอยู่สถานที่นี่ เพื่อการอบรมจิตใจได้เต็มเม็ดเต็มหน่วย เพราะเป็นนักบวชเป็นผู้เสียสละ ทุกสิ่งทุกอย่างหน้าที่การงาน แม้ที่สุดใจยังต้องพยายามเสียสละเช่นเดียวกันกับร่างกายที่เกี่ยวกับหน้าที่การงาน แต่กิเลสมันเหนียวแน่นไม่ยอมให้สละ การดำเนินตามการงานที่พระพุทธเจ้าทรงมอบภาระให้ ตลอดสถานที่อยู่อาศัยปัจจัยต่างๆ ที่ประทานไว้แล้ว มันยังเถลไถลไม่อยากจะรับ ไม่อยากจะทำงานซึ่งเป็นหน้าที่ของตน

            ดังพระบวชใหม่ท่านก็มอบงานให้ตั้งแต่ขณะบวช เริ่มบวชก็เริ่มมอบงานให้ งานนี้เป็นงานเพื่อรื้อวัฏสงสารออกจากจิตใจ จึงต้องมีงานอันสำคัญให้ทำ ขึ้นต้นท่านก็บอกเลยว่า เกสา โลมา นขา ทันตา ตโจ ได้แก่ ผม ขน เล็บ ฟัน หนัง นี้คือ ภูเขาภูเราที่หนาแน่นแก่นมืดมิดที่สุด คือ ภูเขาภูเราอันนี้แล มันปิดบังจิตใจของสัตว์โลก ไม่ว่าผู้บวชผู้ไม่บวช คำว่าสัตว์โลกก็กินความไปหมดแล้ว ที่ภูเขาภูเราอันนี้ไม่ปิดไม่กั้นให้มืดมิดปิดตาไม่มี ที่หลงงมงายกันอยู่ทั่วโลกดินแดนนั้นจะมีอะไรมาปิดกั้น ต้องอันนี้เป็นสำคัญ พระพุทธเจ้าจึงทรงมอบงานหรือศาสตราอาวุธไว้ สำหรับบุกเบิกหรือทำลายภูเขาภูเรานี้ ให้แตกกระจัดกระจายลงไปสู่สภาพราบเรียบตามธาตุเดิมของมัน

            งานหรือศาสตราอาวุธนั้นคืออะไร ก็ดังที่อธิบายแล้วที่บอกแล้วตะกี้นี้ว่า เกสา โลมา นขา ทันตา ตโจ ได้แก่ ผม ขน เล็บ ฟัน หนัง นี่คืองานสำหรับนักบวชของเราไม่ว่าผู้บวชใหม่ไม่ว่าผู้บวชเก่า งานประจำชีวิตจิตใจของเราก็คืองานอันนี้ เรียกว่างานของพระโดยตรง ของพระที่จะทรงมรรคทรงผล ดังพระพุทธเจ้าและสาวกท่านทรงมาแล้วจนกระเทือนโลกธาตุ ก็เพราะทำงานอันนี้สำเร็จนั่นแล

สถานที่ที่จะทำงานนี้ด้วยความสะดวกสบายหายกังวลกับสิ่งภายนอก ท่านก็ประกาศสอนไว้หลังจากอุปสมบทเรียบร้อยแล้วว่า รุกฺขมูลเสนาสนํ นิสฺสาย ปพฺพชฺชา ตตฺถ เต ยาวชีวํ อุสฺสาโห กรณีโย ในข้อต้นบอกอย่างนั้น ซึ่งแปลว่า เมื่ออุปสมบทแล้ว จงเสาะแสวงหาอยู่ตามรุกขมูลร่มไม้ ในป่า ในเขา ในถ้ำ เงื้อมผา และพึงทำความอุตส่าห์พยายามอย่างนั้นตลอดชีวิตเถิด นี่คือสถานที่อยู่ที่บำเพ็ญ สถานที่ทำงานของพระ ผู้ได้งานหรือได้ศาสตราอาวุธเพื่อห้ำหั่นกับข้าศึกแล้ว จะต้องไปอยู่ไปทำในสถานที่เช่นนั้น ได้แก่ รุกขมูลร่มไม้ ในป่า ในเขา ในถ้ำ เงื้อมผาที่สงัดวิเวก ป่าช้า ป่ารกชัฏ นี่คือสถานที่ปราศจากความกังวล เป็นสถานที่ไม่มีราค่ำราคาตามความนิยมของโลกคือกิเลส แต่เป็นที่เพาะอรรถเพาะธรรมให้เกิดขึ้นเจริญขึ้นภายในใจโดยลำดับ จนกระทั่งเจริญเต็มที่ ได้แก่สถานที่เช่นนี้แล พระพุทธเจ้าจึงประทานไว้ ตั้งแต่เริ่มแรกจนกระทั่งปัจจุบันนี้ และยังจะต้องเป็นอย่างนี้เรื่อยไป คือจะต้องได้ศึกษาได้ปฏิบัติตามธรรมที่กล่าวเหล่านี้อยู่ตลอดไป สำหรับนักบวชผู้มุ่งอรรถมุ่งธรรมมุ่งมรรคผลนิพพาน

คำว่าภูเขาภูเรานั้นก็คือสกลกายของเรานี้แล นั่นของเขานี่ของเราจะเป็นอะไรไป ก็ติดเราติดเขาอยู่นี้ จิตดวงใดก็ตามจะไม่ติดที่ตรงนี้ จะไม่ถูกสิ่งเหล่านี้ปิดบังหุ้มห่อจนมิดชิดปิดตายย่อมไม่มี โลกทั้งโลกติดกันอยู่ในภูเขาภูเรานี้ทั้งนั้น เพราะฉะนั้นสิ่งที่จะบุกเบิกจึงเหมาะสมกัน ตามที่พระพุทธเจ้าประทานให้โดยลำดับมา ได้แก่ เกสา โลมา นขา ทันตา ตโจ นี่เพียงย่นย่อให้พอเหมาะกับเวล่ำเวลาที่มีน้อย ในขณะที่บวชกุลบุตรสุดท้ายภายหลังเรื่อยมา ต่อจากนั้นก็ให้ขยับขยายงานนี้ให้กว้างขวางออกไป ตามโอกาสของตนที่บวชแล้วมีหน้าที่ทำการงานแต่อย่างเดียว ไปถึงอาการ ๓๒ ผม ขน เล็บ ฟัน หนัง เนื้อ เอ็น กระดูก เยื่อในกระดูก ม้าม หัวใจ ตับ พังผืด ไต ปอด ไส้ใหญ่ ไส้น้อย อาหารใหม่ อาหารเก่า ล้วนแล้วแต่อยู่ในภูเขาภูเรานี้ทั้งนั้น ไม่ได้นอกเหนือไปจากนี้

เราที่ติด เขาที่ติด โลกที่ติด ติดสิ่งเหล่านี้ เป็นของวิเศษวิโสอะไรจิตเราจึงไปติด พิจารณาซิ ท่านให้คลี่คลายออกดูว่าทำไมมันถึงรักมันถึงชอบมันถึงติดเอานักเอาหนา ก่อเหตุก่อภัยมากน้อยหรือรุนแรงก็อันนี้เป็นสำคัญ อันนี้ปิดไว้ไม่ให้มองเห็นเหตุเห็นผลเห็นดีเห็นชั่ว จึงไม่มีการยับยั้งชั่งตัว แล้วทำลายกันได้ โลกพินาศฉิบหายได้เพราะความยึดมั่นถือมั่นภูเขาภูเรานี้เป็นสำคัญ แล้วก็กระจายออกไปข้างนอกให้เป็นความกระทบกระเทือน เพราะต่างคนต่างยึด ต่างคนต่างถือ ต่างคนต่างแบก ต่างคนต่างหาม ต่างคนต่างหึงต่างหวง ต่างคนต่างว่าเราว่าของเราว่าของเขา สุดท้ายเรากับเขาก็มากระทบกันจนได้ ตั้งแต่เรื่องเล็กน้อยจนกระเทือนเป็นโลกวินาศ ก็ขึ้นกับคำว่าภูเขาภูเรานี้ทั้งนั้น ถ้าจิตได้หลุดพ้นจากธรรมชาตินี้แล้ว จะเอาอะไรมายึดมาถือ จะเอาอะไรมาห่วงมาหวง จะเอาอะไรมาเสียดาย จะเอาอะไรมาเป็นคู่แข่งแย่งดีแย่งเด่นกันที่ตรงไหนไม่มี นี่จึงเป็นสิ่งสำคัญ

ท่านผู้เป็นนักบวชทั้งหลาย ขอให้พิจารณาธรรมอันลึกซึ้งของพระพุทธเจ้าที่ประทานให้แล้วในขณะบวชว่าเป็นธรรมประเภทใด ลงถึงขั้นศาสดาสอนโลกทำไมจะเอาธรรมะเลื่อนๆ ลอยๆ มาสอนโลกมีอย่างเหรอ คำว่าศาสดารู้มาได้ยังไงถึงเป็นขั้นศาสดา พระพุทธเจ้าองค์เอกก็ทรงบำเพ็ญกับสิ่งเหล่านี้ หรือได้ทำงานกับสภาพภูเขาภูเราเหล่านี้ ถือนี้เป็นที่ทำงานหรือเป็นที่ฟาดฟันหั่นแหลกกับกิเลสก็ไม่ผิด มีสถานที่นี้เป็นสำคัญ จึงต้องให้คลี่คลายให้ขยายสิ่งเหล่านี้ออกดู ว่ามันติดเพราะเหตุผลกลไกอะไร

ดูด้วยตาแล้วก็ไม่น่าจะติดอะไร ถ้าไม่มีสิ่งมาจากจิตใจของเราออกมากล่อมให้ว่าเป็นของสวยของงาม เป็นสาระแก่นสาร ผมก็ดูซีผมเป็นยังไง ทั้งๆ ที่เราว่ามันสวยมันงาม พอมันตกลงไปในอาหารเครื่องรับประทานเท่านั้น กลายเป็นสิ่งที่น่าเกลียดน่ากลัวตามๆ กันไปหมด ทำไมใจถึงกลับกลอกหลอกหลอนเราอย่างนั้น พิจารณาซิ ขน เล็บ ฟันก็เหมือนกัน แต่ละชิ้นแต่ละอันเป็นยังไง เป็นสิ่งที่เลิศเลอมาจากโลกไหนมาจากแดนใด โลกทั้งหลายจึงได้ติดได้ยึดได้ถือกันเอานักเอาหนา มันเป็นของวิเศษวิโสอะไร ดูในตัวของเรานี้ เราอยู่กับสิ่งเหล่านี้มาตั้งแต่วันเกิด ตกคลอดออกมาก็มาด้วยสิ่งเหล่านี้ จนกระทั่งถึงวันสลายวายชนม์ก็ไปกับสิ่งเหล่านี้ แล้วมันมีความวิเศษวิโสที่ตรงไหน

นี่ละท่านจึงให้ดูภูเขาภูเรา เฉพาะอย่างยิ่งดูภูเราเป็นสำคัญ สิ่งเหล่านี้มีอยู่กับตัวของเรา ล้อมรอบหัวใจคือความรู้นี้อยู่ตลอดเวลา ใจก็เป็นธรรมชาติที่รู้ รู้อยู่ตลอดเวลาทั้งหลับทั้งตื่นโดยหลักธรรมชาติของตน แต่เหตุใดมันจึงไม่รู้ตามเหตุตามผลตามสิ่งที่ควรจะเป็นอรรถเป็นธรรม มันถึงรู้แบบปลอมๆ ไปอย่างนั้น ทุกสัดทุกส่วนเป็นหลักธรรมชาติแห่งความจริงของเขา แต่ทำไมจิตใจเราจึงปลิ้นปล้อนหลอกลวงเราตลอดเวลา ทั้งๆ ที่ใจรู้ๆ อยู่ในท่ามกลางแห่งสิ่งสกปรกโสมม คือร่างกายของเรานี้แท้ๆ เป็นเพราะเหตุไรใจจึงไม่รู้สิ่งเหล่านี้ที่มีอยู่รอบตัวหรือรอบใจ

นี่ซิพระพุทธเจ้าท่านถึงให้เอามาคลี่คลายขยายดูให้ชัดเจน มันอยู่กับผู้รู้แท้ๆ ผู้รู้คือใจอยู่ในท่ามกลางแห่งสภาพเหล่านี้ ทำไมมันถึงหลงได้ตลอดเวลา และยังจะหลงไปอีกหากำหนดกฎเกณฑ์ไม่ได้ ถ้าไม่ได้อาศัยธรรมของพระพุทธเจ้ามาคลี่คลายออกดูให้เห็นตามความเป็นจริงของมัน สิ่งที่ว่าสะอาดสิ่งที่ว่าสวยงาม ก็จับเข้าไปว่ามันสวยงามที่ตรงไหน เลอะๆ เทอะๆ เปื้อนเปรอะอะไรก็เต็มอยู่ในร่างกาย สกปรกโสมมก็เต็มอยู่นี้ ถ้าว่ากลิ่นส่งออกมาก็เป็นที่ไม่พึงปรารถนา แต่ทำไมมันถึงติดถึงพันเอานักหนา ดูซิเรื่องของกิเลสเป็นอย่างนี้ ถ้าเรื่องของกิเลสเสกสรรออกมาในแง่ใดมุมใด สัตว์โลกเป็นต้องติดต้องเคลิบเคลิ้มหลงใหลไปกับมันเสียทุกแง่ทุกมุม

อย่างนี้แลที่พระพุทธเจ้ามาตรัสรู้ ก็เพื่อเปิดโลกเปิดสงสารให้เห็นตามหลักความจริง ในฐานะของสัตว์โลกผู้ที่จะควรเห็นได้ เฉพาะอย่างยิ่งนักบวชของเราที่ควรจะทำหน้าที่การงานอันนี้ ให้แจ่มแจ้งชัดเจนและสมบูรณ์เต็มที่ได้ ด้วยการบำเพ็ญตามหลักธรรมที่พระพุทธเจ้าทรงสั่งสอน หรือตามงานที่ประทานหรือที่มอบให้นี้ ดูอยู่เป็นประจำ นี่เรียกว่าทำงานเป็นประจำ ดูข้างนอกดูข้างใน ผม ขน เล็บ ฟัน หนัง เนื้อ เอ็น กระดูก ดูเข้าไปภายใน ดูสิ่งจอมปลอมหรือฉุดลากสิ่งจอมปลอมนั้น ให้กลับกลายเข้ามาสู่หลักความจริงตามเดิมของตนที่หลักธรรมท่านนิยม

ดูตั้งแต่พื้นเท้าขึ้นมาข้างบน ดูแต่ข้างบนลงไปพื้นเท้า คือดูตั้งแต่บนศีรษะนี้ลงไป มีอะไรเป็นที่สวยงามน่าดูน่าชม น่ารักใคร่ชอบใจ แล้วดูเข้าไปหนังไปเนื้อไปกระดูก ถ้าไม่มีหนังหุ้มห่ออยู่เป็นยังไงภายในนี้ กองกระดูกทั้งนั้นในตัวของเราแต่ละรายๆ จะเป็นอะไร กระดูกเราเดินไปตามถนนหนทางเราเจอเสมอมิใช่หรือ กระดูกสัตว์ทั้งหลายที่เกลื่อนอยู่ตามแผ่นดินหรือตามข้างถนนที่เราเดินไปมาเป็นยังไง วิเศษวิโสอะไร มีคุณค่าอะไร มีความหมายอะไรกับกระดูกเหล่านั้น แต่เวลามันอยู่ในร่างกายของเรานี้ ทำไมถึงสร้างความมืดมนอนธการ สร้างความหมายเป็นของมีราค่ำราคา เลยโลกเลยสงสารเอาเสียจนกระทั่งผู้หลงตามมันไม่มีวันลืมหูลืมตาเลย โลกทั้งหลายหลงติดกันงอมแงมเรื่อยมา แม้ที่สุดนักบวชที่ให้คลี่คลายดูสิ่งเหล่านี้ ก็ไม่พ้นที่จะให้มันกล่อมจนหลับสนิทได้เช่นเดียวกัน

นี่แลท่านให้พิจารณากรรมฐาน เพียงกระดูกเท่านั้นเป็นยังไง ลองกำหนดดูซิว่า เมื่อหนังก็เปื่อย เนื้อก็เปื่อย เอ็นก็เปื่อย ในร่างกายของเราทั้งร่างนี้และกระดูกนี้ จะพังทลายลงไปกองกันอยู่ที่นั่น คลุกเคล้ากันกับสิ่งสกปรกทั้งหลาย ทั้งภายนอกคือ หนัง เนื้อที่หุ้มห่อกระดูกอยู่ ทั้งภายใน คือ อาหารเก่า อาหารใหม่ ตับ ไต ไส้พุงเน่าเฟะเต็มอยู่นั้น คลุกเคล้ากันอยู่นั้น แล้วเป็นยังไงน่าดูไหม เราเอากายของเรานี้ออกพิจารณาคลี่คลายให้เห็นเป็นอย่างนี้ซึ่งเป็นหลักความจริง ใจของเรายังจะพออกพอใจ ยังจะหลับหูหลับตาตื่นเต้นยินดีอยู่เหรอ นี่ละปัญหาสร้างเข้าไปเรียกว่าปัญญา พินิจพิจารณาเรื่องของตัวเองที่มันติด คือติดอันนี้เอง

อันนี้ไม่ได้ติดเรา สิ่งเหล่านี้ไม่ได้ติด แต่ใจไปติดเขา เพราะใจมีสิ่งที่จะให้ติดแนบสนิทอยู่กับตัวของใจเอง แยกออกไปแยะออกไปอาการใด มีแต่เรื่องพาให้ติดให้พันสร้างกองทุกข์ขึ้นมา แม้ที่สุดร่างกายที่อยู่กับตัวเองนี้ ความรู้นั้นก็อยู่ในท่ามกลางแห่งร่างกายนี้ ก็ไม่พ้นที่จะให้สิ่งเหล่านี้ปิดบังหุ้มห่อเสียมิด โดยไม่มองดูความจริงที่มีอยู่ในร่างกายนี้เลย ว่าเป็นอย่างไรที่อยู่ในร่างกายนี้ ข้างนอกข้างใน ข้างบนข้างล่าง จนกระทั่งแตกลงไปกองอยู่ในพื้นแผ่นดิน เต็มไปด้วยอสุภะอสุภัง เนื้อ หนัง เอ็น กระดูก เปลี่ยนสภาพไปหมดเหลือแต่กองกระดูกแล้วเป็นยังไง   ยังจะหลับหูหลับตาพอใจอยู่เหรอ ถามซิ นี่ละธรรมเครื่องคลี่คลายดูความติดความพันของเจ้าของ ติดอันนี้ติดความเสกสรรอันนี้ ตัวเขาเองเขาไม่มีอะไรละ แต่จิตนั่นซีเป็นผู้หลง ผู้ติดเขา จึงให้จิตดูมันเป็นยังไง

ออกจากนั้นแล้วสิ่งที่กระจายลงไปพื้นก็กระจายลงไป ส่วนไหนที่จะกระจายเปื่อยพังลงไปก่อนก็ลงไปตามสภาพของตน น้ำก็ไปเป็นน้ำ ซึมซาบลงไปในดินและเป็นไอขึ้นบนอากาศ แล้วก็เหี่ยวแห้งยุบยอบลงไป กระดูกก็เป็นกองกระดูก สุดท้ายกองกระดูกก็ค่อยกระจายละลายตัวเองลงไปด้วยกฎแห่ง อนิจฺจํ ทุกฺขํ อนตฺตา แล้วก็กลายลงไปเป็นดินตามเดิม แล้วมีอะไรอยู่ในนั้น เราเสกสรรปั้นยอลมๆ แล้งๆ ที่ไหนว่าเป็นสัตว์เป็นบุคคล ว่าเป็นเราเป็นของเราเป็นของเขา ว่าเป็นของสวยของงามเป็นของจีรังถาวร ถ้าเป็นของจีรังถาวรแล้วมันจะแสดงลงไปอย่างนั้นให้เห็นเหรอ นี่ดูเอา

นี่เรียกว่างาน งานของนักบวชเรา ให้พิจารณาค้นคว้าขุดค้นคลี่คลายดูทุกแง่ทุกมุม เพราะมันติดอยู่ทุกแง่ทุกมุมของสิ่งเหล่านี้ ด้วยอำนาจแห่งกิเลสตัวลุ่มหลงอย่างมิดตัวปิดหัวใจของเรา จึงไม่ทำให้ใจรู้อะไรได้เลย รู้ก็รู้เฉยๆ รู้แบบหลับหูหลับหูหลับตารู้ ไม่ใช่รู้แบบลืมตา คือรู้ด้วยสติรู้ด้วยปัญญา ถ้าว่าเป็นสติเป็นปัญญาก็เป็นสติปัญญาที่มันผลิตขึ้นให้เสีย ให้รู้ให้จดให้จ่อให้ใคร่ครวญกับสิ่งเหล่านี้ เพื่อความคิดความพันความรักความชอบใจจะได้มีกำลังมากขึ้น เผาตัวเองเข้าไปอีกเป็นชั้นๆ นั่นสติปัญญาของกิเลสผลิตให้มันผลิตอย่างนี้ เพราะฉะนั้นจึงต้องได้คลี่คลายดูให้เห็นอย่างชัดเจน

นี่ได้อธิบายให้ท่านทั้งหลายฟังพอเป็นปากเป็นทาง ให้ได้คลี่คลายออกดูตามงานที่ทำนี้ นี่ละที่ว่าพระพุทธเจ้ามอบงานให้นักบวชเรา เกสา โลมา นขา ทันตา ตโจ ตีแผ่กระจายลงไปจนกระทั่งภายในดังที่ว่ามานี้ให้เห็นทุกแง่ทุกมุม เห็นแล้วเห็นเล่า ดูแล้วดูเล่า พิจารณาแล้วพิจารณาเล่า แล้วจิตจะค่อยซึมซาบเข้าไปสู่ความจริงๆ สุดท้ายก็พ้นความรู้เท่าทันกับสิ่งทั้งหลายเหล่านี้ไปไม่ได้ และมาเห็นโทษแห่งความหลงของตนในขณะเดียวกัน

สถานที่จะทำงานอันนี้ได้เต็มเม็ดเต็มหน่วย ทั้งวันทั้งคืนยืนเดินนั่งนอนไม่ขาดวรรคขาดตอน ก็คือ รุกฺขมูลเสนาสนํ  หมายถึงต้นไม้ ร่มไม้เป็นที่อยู่ เสนาสนํ เสนาสนะคือที่อยู่ ถือร่มไม้เป็นที่อยู่ ถือป่าถือเขาลำเนาไพรเป็นที่อยู่ ถือถ้ำเงื้อมผาป่าช้าป่ารกชัฏเป็นที่อยู่ เพื่อทำงานอันนี้ให้สมบูรณ์เต็มที่ภายในจิตใจ เมื่อได้ทำงานอันนี้อยู่โดยสม่ำเสมอไม่ขาดวรรคขาดตอน สิ่งที่เป็นข้าศึกไม่ค่อยมารบกวน เพราะสถานที่ดังกล่าวนี้ ไม่ใช่สถานที่ชุมนุมแห่งข้าศึกที่จะมารบกวนจิตใจของเราให้ธรรมเราเหลวแหลกแหวกแนวไปดังสถานที่ทั่วๆ ไป แต่เป็นสถานที่เหมาะสมกับการบำเพ็ญสมณธรรม

เมื่อได้ทำอยู่ไม่หยุดไม่ถอยเช่นนี้ จิตใจจะค่อยเบิกกว้างออกไปๆ ด้วยความรู้ความเข้าใจในความจริงทั้งหลาย การทำใจให้สงบจากอารมณ์ทั้งหลายด้วยอารมณ์แห่งการภาวนานี้ ย่นเข้าไปสู่คำบริกรรมคำใดคำหนึ่ง เช่น ตโจๆ ก็ดี หรือ อัฐิๆ ก็ดี หรือพุทโธๆ ก็ดี จิตก็รวมตัวเข้าไปสู่จุดเดียวคือความรู้ล้วนๆ ไม่มีอารมณ์ใดเข้าไปแฝงใจเลย นั่นท่านเรียกว่าจิตสงบ สงบจากงานทั้งหลายเหล่านี้

งานทั้งหลายเหล่านี้ เป็นพลังของจิตที่จะให้เข้าสู่ความสงบเย็นใจ เข้าสู่สมาธิและก้าวเดินทางด้านปัญญาได้ โดยไม่อาจสงสัย เพราะฉะนั้นท่านจึงสอนให้บำเพ็ญ นี่แลทางเดินของพระ ทางเดินของศาสนาที่พระพุทธเจ้าประทานไว้ สำหรับพระผู้ตั้งหน้าตั้งตา มีความมุ่งหวังอย่างเต็มใจที่จะหลุดพ้นจากทุกข์โดยประการทั้งปวง ต้องพิจารณาสิ่งที่ทำให้เกิดทุกข์นี้ให้ช่ำชองชำนิชำนาญ สิ่งที่เป็นสาเหตุให้เกิดทุกข์ก็ดังที่ว่ามานี้

งานเหล่านี้จึงเป็นงานที่แก้สาเหตุภูเขาภูเรา ที่ติดแน่นอยู่ภายในจิตใจของสัตว์ทั้งหลายให้กระจายตัวออกไป จิตใจก็เบิกกว้างออกไป สมาธิไม่เคยปรากฏก็ปรากฏขึ้นที่ใจ เพราะงานเหล่านี้เป็นงานที่ซักฟอกหนุนจิตใจให้เข้าสู่ความสงบได้ งานเหล่านี้ไม่ใช่งานเพลิดงานเพลินงานสั่งสมกิเลส แต่เป็นงานของมรรค เป็นงานอย่างน้อยบรรเทาเบากิเลสลงโดยลำดับลำดา มากกว่านั้นก็สามารถสังหารกิเลสได้โดยสิ้นเชิง ดังพระพุทธเจ้าและสาวกท่านเป็นมาแล้ว รู้มาแล้ว เห็นมาแล้ว เพราะท่านบำเพ็ญอย่างนี้มาแล้ว ให้ท่านทั้งหลายยึดไปเป็นหลักเป็นเกณฑ์เป็นข้อวัตรปฏิบัติ

เราอย่าเห็นสิ่งอื่นใดในโลกนี้ว่าเป็นของเลิศเลอ ดังที่กล่าวมาแล้วนี้แล ภูเขาภูเรานี้มันเลิศเลออะไร พิจารณาแยกออกไปมันก็เทียบกันได้ เหมือนว่าเป็นชนิดเดียวกันเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน  เพราะเป็นเหมือนกัน  กฎ อนิจฺจํ ทุกฺขํ อนตฺตา ตีตราไว้หมด ไม่มีสิ่งที่จะเหนือกฎ อนิจฺจํ ทุกฺขํ อนตฺตา อสุภะอสุภังนี้ไปได้เลย จิตมันติดอยู่ในแถวนี้ ติดอยู่อย่างนี้  ไม่ว่าจิตใครก็ตามเป็นอย่างนี้  ถ้าไม่มีธรรมเป็นเครื่องบุกเบิกแก้ไขแล้วจะต้องเป็นอย่างนี้ตลอดไป เป็นอนันตกาล หาช่องว่างหาที่ขาดวรรคขาดตอนไม่ได้เลย จะต้องมีแต่เรื่องการเกิดการตายๆ หมุนเวียนเปลี่ยนแปลง ทั้งสูง ทั้งต่ำลุ่มๆ ดอนๆ เจือปนกันไปอย่างนี้ ดังที่เคยเป็นมาแล้วตั้งแต่กาลไหนๆ แล้วยังจะเป็นไปอีกตลอดกาลไหนๆ เช่นเดียวกัน ถ้าไม่มีธรรมเป็นเครื่องบุกเบิกถอดถอน

ธรรมที่กล่าวนี้เป็นพระโอวาทของพระพุทธเจ้า ที่เคยประหัตประหารตัดวัฏวนที่ยืดยาวแสนยืดยาว ให้ย่นเข้ามาๆ จนกระทั่งขาดสะบั้นภายในจิตใจของสัตว์โลกผู้บำเพ็ญได้เต็มภูมิแล้วในธรรมทั้งหลาย ให้หลุดพ้นไปได้อย่างหายห่วงไม่มีอะไรเหลือเลย นี่เป็นงานที่เหมาะสมอย่างยิ่งกับนักบวชเราทั้งหลาย อย่าได้ปลีกได้แวะจากทางเดินของธรรม

ฟังเถิดว่าศาสดาเอก ไม่ใช่เอกแบบโลก ไม่ใช่เอกแบบคลังกิเลส ไม่ใช่เอกแบบความเสกสรรปั้นยอ ไม่ใช่เอกโดยความสรรเสริญในโลกธรรม ๘ นั้น แต่เป็นเอกนอกจากโลกธรรม ๘ ไปแล้วโดยประการทั้งปวง ว่าเลิศก็เลิศนอกจากโลกธรรม ๘ ไปแล้ว ไม่มีอะไรเสกสรร หากเลิศโดยหลักธรรมชาติของพระองค์เอง

ธรรมที่นำมาสั่งสอนสัตว์โลก ก็เป็นธรรมที่เลิศโดยหลักธรรมชาติของจิตที่บริสุทธิ์ ของธรรมที่บริสุทธิ์ กลมกลืนเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน แล้วนำมาสอนโลกด้วยความถูกต้องแม่นยำ ไม่มีสิ่งใดผิดแม้แต่น้อยเลย ผู้มาสั่งสอนสัตว์โลกเป็นคนเล่นๆ เมื่อไร ฟังซิคำว่าศาสดา ศาสดาอย่างนี้เอง สิ่งที่โลกไม่รู้แต่ศาสดารู้ทุกแง่ทุกมุม โลกละไม่ได้ศาสดาละได้ พระพุทธเจ้าละได้เห็นได้ ทุกสิ่งทุกอย่างนำมาสอนโลกสอนเพื่อแก้เพื่อถอน ไม่ใช่สอนเพื่อสั่งสมความทุกข์ความทรมานทั้งหลายให้เพิ่มพูนหรือมากมูนขึ้นแก่สัตว์ทั้งหลาย เพื่อความทุกข์จะได้เผาไหม้กันตลอดเวลาไป แต่ทรงสอนเพื่อเป็นน้ำดับไฟให้แก่สัตว์ทั้งหลายผู้มีความทุกข์มาก เมื่อได้รับโอวาทคำสั่งสอนแล้วทุกข์นั้นก็เบาบาง

เช่นเดียวกันกับโรคที่จะหนาแน่นเพียงไรก็ตาม เมื่อได้รับยาแล้วก็บรรเทาเบาบางลงไปถึงกับหายได้ นี่ก็เหมือนกัน โรคกิเลสโรคตัณหานี้ฝังอยู่ภายในใจโดยเฉพาะ ไม่ฝังในที่ใด โรคชนิดนี้กิเลสชนิดนี้ไม่มีใครรู้ ไม่มีใครเห็น ไม่มีใครสนใจที่จะรู้และถอดถอนมันได้เลย แต่พระพุทธเจ้าทรงสนพระทัยถึงขนาดที่พังทลายกันลงในคืนวันเดือน ๖ เพ็ญ ก็คือพังทลายตัวข้าศึกอันสำคัญที่พาให้เกิดให้ตายไม่หยุดยั้งนี้แล ที่ฝังจมอยู่ภายในพระทัยนั้น ให้มุดมอดไปไม่มีสิ่งใดเหลือเลย จึงเรียกหรือให้นามว่าตรัสรู้ ท่านถอดถอนสิ่งนี้ออกจากพระทัยแล้วก็เป็นพระทัยที่บริสุทธิ์

เมื่อถึงขั้นนี้แล้ว กาลสถานที่เวล่ำเวลา สมมุติใดๆ ในสามแดนโลกธาตุนี้ จึงไม่มีสิ่งใดเข้าไปเกี่ยวข้องให้ยุ่งเหยิงวุ่นวาย เหมือนแต่ก่อนที่กิเลสพาให้เป็นไปนั่นเลย สิ่งเหล่านั้นมีอยู่ก็มีอยู่ตามหลักธรรมชาติของตน ถ้ากิเลสไม่เข้าไปแทรกไปแซง ไม่เอาไปเป็นเครื่องมือประหัตประหารตัวเราเอง ให้ลุ่มให้หลงให้รักให้ชังเสีย ก็ไม่มีอะไรที่จะทำให้รักให้ชังได้ เพราะสิ่งทั้งหลายเขาไม่ได้มีความหมายในตัวของเขาเลย แม้แต่ตา หู จมูก ลิ้น กาย ของเรานี้ก็ไม่มีความหมายในตัวของตัวเอง

แต่สิ่งที่จะเอาความหมายยัดใส่มือ ตีหูตีตาให้มืดให้บอดนั้นก็คือกิเลสนี้แล ซึ่งออกมาจาก อวิชฺชาปจฺจยา สงขารา ถึงตัณหา พอถึงตัณหาแล้วก็ขึ้นถึงภพถึงชาติจากนั้นก็ว่า เอวเมตสฺส เกวลสฺส ทุกฺขกฺขนฺธสฺส, สมุทโย โหติ นี้คือสมุทัยล้วนๆ อวิชชาตัวนี้ไม่มีใครรู้ใครเห็น พระพุทธเจ้าทรงรู้เป็นพระองค์แรก ทรงรู้ทรงเห็นทรงถอดทรงถอนออกจากพระทัย จนพระทัยนั้นสว่างกระจ่างแจ้งครอบแดนโลกธาตุแล้ว จึงได้นำอุบายวิธีการเหล่านี้มาสั่งสอนสัตว์โลกได้รู้ตามเห็นตาม ได้ยึดศาสนาเป็นที่พึ่งเป็นพึ่งตาย ฝากเป็นฝากตายมาจนกระทั่งปัจจุบันนี้ เป็นมาจากพระทัยที่บริสุทธิ์ เพราะทรงขวนขวายด้วยพระองค์เองนั้นแล

นี่เราผู้ตั้งใจประพฤติปฏิบัติ ขออย่าได้ปล่อยได้ละได้วางทางดำเนินที่เป็นไปเพื่อความสิ้นทุกข์ ที่ออกมาจากสวากขาตธรรมที่ตรัสไว้ชอบแล้วทุกแง่ทุกมุม อย่าข้ามอย่าแทรกอย่าแซงอย่าปลีกซ้ายปลีกขวา ให้ตรงไปตามนี้ เรียกว่าเป็นแนวมัชฌิมา คือเป็นแนวทางที่ก้าวเดินเพื่อความหลุดพ้นโดยถ่ายเดียวเท่านั้น หลักใหญ่อยู่ที่ตรงนี้ และขอให้นำงานอันนี้ไปทำให้เต็มเม็ดเต็มหน่วยดังที่กล่าวมาแล้วนี้ สถานที่อยู่ที่ใดเป็นที่สงัดวิเวก ไม่คลุกคลีตีโมงหรือไม่มีสิ่งทั้งหลายที่เคยเป็นข้าศึกเข้ามายั่วยวนหรือเข้ามา-รบกวน สถานที่นั้นแหละเป็นสถานที่เหมาะสมกับการบำเพ็ญ

เรื่องของมรรคผลนิพพานนั้น อกาลิโกของธรรมท่านบอกไว้แล้ว ไม่มีกาลสถานที่เวล่ำเวลา ขอให้ดำเนินเถิด ความจริงเป็นธรรมชาติที่คงเส้นคงวา การปฏิบัติธรรมเพื่อเข้าสู่ความจริงก็ขอให้ดำเนินโดยความสม่ำเสมอ แล้วจะถึงธรรมที่คงเส้นคงวาหนาแน่น ปราศจากเรื่องสมมุติโดยประการทั้งปวง ดังพระพุทธเจ้าและสาวกท่านได้เสวย ที่โลกทั้งหลายให้ชื่อว่าท่านนิพพาน หมดแล้วเรื่องธาตุเรื่องขันธ์อันเป็นความรับผิดชอบ จึงเป็นธรรมชาติที่บรมสุขล้วนๆ ไม่มีเครื่องเกี่ยวเกาะรับผิดชอบใดๆ นั่นท่านว่านิพพาน

นิพพานในครั้งพุทธกาล ความสิ้นกิเลสในครั้งพุทธกาลมีฉันใด มีไปจากอันใด นิพพานในหัวใจของผู้ปฏิบัติที่เป็นไปจากหลักธรรมเครื่องแก้เครื่องถอดถอนนี้ ก็ฉันนั้นเหมือนกัน ไม่เป็นอย่างอื่น ที่ว่าท่านบรรลุมรรคผลนิพพาน เพราะเหตุผลกลไกอะไร เหตุผลกลไกอันนั้นคือปฏิปทาเครื่องดำเนินที่ถูกต้องดีงาม เมื่อเรานำมาดำเนินตามปฏิปทาที่ถูกต้องดีงามเช่นเดียวกันแล้ว ก็ย่อมเข้าถึงจุดหมายปลายทางเช่นเดียวกันกับพระพุทธเจ้าและสาวกท่านได้ถึงแล้ว จึงเรียกว่าอกาลิโก ธรรมไม่มีกาลไม่มีเวล่ำเวลา

การผ่านไปของพระพุทธเจ้าและพระสาวกท่านนั้นเป็นกาลเป็นเวลา เป็นเรื่องเกี่ยวกับสมมุติ ซึ่งมีอยู่ในธาตุขันธ์ของท่านของเราด้วยกันทุกคน จะต้องแปรสภาพสลายตัวลงไปเช่นนั้น แต่ศาสนธรรมที่แสดงไว้แล้วอย่างคงเส้นคงวาหนาแน่นนี้ไม่เป็นอื่น สำหรับผู้ปฏิบัติให้ตรงตามนั้นแล้ว มีหวังต่อมรรคผลนิพพานโดยสมบูรณ์ จึงขอให้ทุกท่านตั้งหน้าตั้งตาประพฤติปฏิบัติ กำจัดสิ่งที่เป็นพิษเป็นภัยนี้ออกจากหัวใจ

เมื่อใจนี้ได้หมดสิ้นจากสิ่งที่เป็นพิษเป็นภัย ที่เผาไหม้สัตว์มามากต่อมากนานแสนนาน มีเราเป็นสำคัญ สิ้นไปจากหัวใจแล้วเป็นอย่างไร หัวใจที่สิ้นกิเลสแล้วกับหัวใจของเราที่เป็นคลังกิเลสมาแต่ก่อน เอามาเทียบดูซิในใจดวงเดียวนั้นแลเป็นเหมือนกันไหม คำว่าความสุขๆ ที่เคยผ่านมากับเครื่องสัมผัสสัมพันธ์ใดก็ตาม กับความสุขที่ว่าบรมสุขของผู้สิ้นกิเลสนั้น ต่างกันอย่างไรบ้าง ไม่ต้องเทียบก็รู้เอง

เพราะหัวใจดวงนั้นเป็นผู้เคยทรงไว้แล้วทุกสิ่งทุกอย่าง ในบรรดาสมมุติที่มีอยู่ในแดนโลกธาตุนี้ เมื่อจิตได้ผ่านพ้นจากสมมุตินี้ไปแล้วจะไปถามใครเล่า พระพุทธเจ้าพระอรหันต์ท่านตรัสรู้และบรรลุธรรมมา กี่หมื่นกี่แสนกี่ล้านๆๆ พระองค์ ท่านไปถามใคร มีรายใดที่สงสัยในความหลุดพ้นของตน ไปถามใครว่านิพพานของตนไม่สมบูรณ์ ความบริสุทธิ์ของตนไม่สมบูรณ์ ไม่เคยมีเลย เพราะสมบูรณ์เต็มที่แล้ว นิพพานของพระพุทธเจ้าสมบูรณ์ฉันใด นิพพานของพระสาวกก็สมบูรณ์ฉันนั้น จิตของพระพุทธเจ้าบริสุทธิ์ฉันใด จิตของสาวกก็บริสุทธิ์ฉันนั้น จิตของผู้ปฏิบัติให้ถึงจุดหมายปลายทางดังพระพุทธเจ้าแล้ว พระพุทธเจ้าเป็นฉันใดท่านก็เป็นฉันนั้น นิพพานของพระพุทธเจ้าฉันใด นิพพานของผู้บริสุทธิ์ในปัจจุบันนี้ก็ฉันนั้น จึงขอให้ท่านทั้งหลายได้นำธรรมนี้ไปประพฤติปฏิบัติ

ธรรมะของพระพุทธเจ้าสดๆ ร้อนๆ แท้ๆ นี่ แต่สำคัญสิ่งที่มันกล่อมนี่ซิมันใกล้ชิดติดพันอยู่กับหัวใจเราตลอดเวลา และเป็นสิ่งที่มีรสมีชาติที่โลกติดได้ทุกภพทุกภูมิไป เพราะฉะนั้นโลกจึงชอบทำแต่เหตุที่จะเผาไหม้ตนเองด้วยกัน ทั้งๆ ที่ไม่ต้องการผลนั้นเลยแต่ชอบทำเหตุกันทั่วหน้า เพราะมีธรรมชาติอันหนึ่งที่กล่อมอยู่ภายในใจ ให้ชอบให้ทำให้เสาะให้แสวงหาให้ขวนขวาย ให้คิดให้อ่านให้ไตร่ให้ตรองกับสิ่งเหล่านี้อยู่อย่างสม่ำเสมอๆ แม้แต่หลับเคลิ้มไป มันยังละเมอเพ้อฝันไปกับสิ่งเหล่านี้ด้วยความรักความพอใจ นี่คือต้นเหตุที่เผาไหม้สัตว์ สัตว์ทั้งหลายชอบนักชอบหนา ตาก็ชอบดู หูชอบฟัง จิตใจชอบคิด ร่างกายชอบขวนขวาย ชอบวิ่งเต้นเผ่นกระโดดหามันไม่มีเวลาอิ่มพอ สัตว์เวลามันคึกมันคะนองยังมีกาลมีเวลา แต่มนุษย์เรานี้คึกคะนองอยู่ตลอดเวลา เพราะอำนาจสิ่งนี้แลหนุน ไม่เคยอ่อนตัวเลย มีแต่เสริมกำลังขึ้นเรื่อยๆ ให้สัตว์ทั้งหลายดิ้นรนไปตามไม่มีวันเวลาสงบตัวได้บ้างเลย

เพราะฉะนั้น เรื่องกองทุกข์ เราอย่าว่าแต่สัตว์เป็นทุกข์เลย มนุษย์นี้เป็นทุกข์มากยิ่งกว่าสัตว์ แต่มองข้ามกันเฉยๆ เฉพาะอย่างยิ่งมองดูหัวใจเรา เราอย่ามองเลยโลกเลยสงสารไปนัก เพราะเหล่านั้นเป็นเรื่องทุกข์ของเขา ส่วนทุกข์ที่อยู่กับเรานี้เพราะเหตุผลกลไกอันใดของเรา นี่ให้มาดูต้นเหตุนี่ ที่เราชอบทำเหตุ สัตว์ทั้งหลายชอบกันทั่วหน้า แต่เวลาทุกข์เกิดขึ้นมานั้น มันเกิดขึ้นมาจากเหตุอันนี้แล เผาไหม้กันเดือดร้อนวุ่นวายฉิบหายป่นปี้ไปทั่วแดนโลกธาตุนี้ ไม่ต้องการกันแต่ก็เผาไหม้กันทั้งๆ ที่ไม่ต้องการ เพราะมีความพอใจขวนขวายกับเหตุที่เป็นภัยเรื่อยมา

เพราะฉะนั้น คำว่าไฟมี ราคคฺคินา เป็นสำคัญ โทสคฺคินา มี ราคคฺคินา เป็นเครื่องหนุน จึงเผาไหม้ไปเรื่อยๆ กระจายไปเรื่อยๆ เพราะเชื้อไฟมีมากเท่าไรไฟจะต้องเผาไหม้ไป คำว่าเชื้อไฟคือสิ่งที่จะมาเสริมราคะตัณหา เสริมความโกรธความประทุษร้ายนั้นมีกำลังมากๆ เพราะต่างคนต่างขวนขวาย เมื่อเป็นเช่นนั้นทำไมสิ่งเหล่านี้จะไม่แสดงเปลวขึ้นภายในหัวใจของใครของเราล่ะ

ให้ดูที่ใจของเรามันแสดงอย่างไรบ้าง วันหนึ่งคืนหนึ่งมีแต่สิ่งเหล่านี้ มันพอตัวของมัน มันชอบในตัวของมันเอง เป็นอัตโนมัติหมุนตัวอยู่โดยไม่มีใครบังคับบัญชา ดีไม่ดีต้องรั้งเอาไว้ แต่นี้ใครๆ ก็ไม่มีแก่ใจที่จะรั้งเอาไว้ นอกจากวิ่งตามมันเท่านั้น เพราะฉะนั้น โลกทั้งหลายจึงมีความทุกข์จนหาขอบเขตต้นปลายไม่ได้เลย จะเป็นอย่างนี้เรื่อยไป นี่ท่านว่าโลกทั้งหลายชอบแต่เหตุที่เป็นฟืนเป็นไฟ เพราะมันกล่อมได้ดี เพลงของกิเลสนี้กล่อมได้ดีมาก ให้สัตว์ทั้งหลายได้ติดได้พัน ได้สนใจในต้นเหตุที่เสาะแสวงหาไฟมาเผาตัว ส่วนเรื่องธรรมะนั้นไม่ค่อยชอบและไม่ชอบกัน

เหตุที่คิดจะทำความสุขให้แก่ตนนั้น ไม่ค่อยชอบและไม่ชอบบำเพ็ญ ขึ้นชื่อว่าความดีแล้วไม่ชอบ ก็เพราะกิเลสมันปิดมันกั้นไว้อีกนั้นเองไม่ให้ชอบ ให้ชอบแต่กิเลสเท่านั้น ชอบคนอื่นไม่ได้ ก็เหมือนอย่างราคะตัณหา มันไม่ชอบให้ใครมายุ่งของมัน ให้มันเป็นเจ้าของครองโลกแต่ผู้เดียวเท่านั้นที่มันชอบที่สุด อันนี้ก็เหมือนกัน อะไรจะมายื้อแย่งแข่งดีกับมันไม่ได้ มันไม่ชอบ มันจึงขัดจึงขวาง

ด้วยเหตุนี้เอง ผู้จะทำดีเพื่อความสุขความเจริญ เพื่อพ้นจากอำนาจของมัน จึงต้องถูกกีดถูกขวางถูกต้านทาน จนกระทั่งก้าวเดินไปไม่ได้ในทางความดีทั้งหลาย แต่เราไม่รู้เฉยๆ ถ้าดูตามหลักธรรมชาติดังพระพุทธเจ้าทรงรู้ทรงเห็น ดังสาวกท่านรู้เห็นแล้วมันจะหนีไปไหนพ้น เพราะสิ่งเหล่านี้มีอยู่กับคน มีอยู่กับหัวใจของทุกคน ทำไมจะไม่รู้ไม่เห็นกัน ถ้าสนใจอยากรู้อยากเห็นจริงน่ะ เพราะมันแสดงอยู่กับหัวใจแท้ๆ ใจเป็นนักรู้ ใจเป็นนักเห็น ทำไมจะไม่รู้ไม่เห็นมัน เมื่อรู้เห็นแล้วธรรมเครื่องแก้มีอยู่ทำไมจะแก้กันไม่ได้ แก้กันไม่ลงล่ะ ต้องแก้ได้ไม่สงสัย

ธรรมของพระพุทธเจ้าเวลานี้ก็เป็นธรรมที่พร้อมแล้วที่จะสังหารกิเลสเหล่านี้ ถ้าเรานำมาสังหาร แต่ส่วนมากก็มอบให้กิเลสเอาเครื่องมือที่มอบให้อย่างที่ว่าตะกี้นี้ ที่สอนตะกี้นี้ไปเป็นของสวยของงาม กลับมาสังหารตัวเองเสีย เป็นของจีรังถาวร อะไรๆ ดีหมดๆ ไม่ว่าภายนอกภายในร่างกายของเขาของเรา ดีหมดๆๆ นี่แลมันเอาไปสังหารอย่างนี้เอง ธรรมท่านบอกไม่ดี ธรรมท่านบอกเป็นของไม่เที่ยงไม่จีรังถาวร เป็นของสกปรกโสมมในร่างกายของเรานี้ กิเลสมันบอกว่าดีทั้งหมดแล้วเชื่อมันทั้งหมดไม่ยอมเชื่อธรรม ก็เพราะกิเลสไม่ให้เชื่อนั่นเอง ขอให้ท่านทั้งหลายจำไว้อย่างถึงใจ

สิ่งเหล่านี้ไม่ต้องถามใครเพราะมีอยู่ในหัวใจของท่านของเรา จึงสอนให้ชำระลงที่นี้ ถ้าไม่มีสอนให้ชำระกันทำไม การกล่าวทั้งนี้เพื่อให้ท่านทั้งหลายได้นำไปเป็นเครื่องระลึกเป็นคติ เพราะเป็นทางเดินอันราบรื่นดีงาม และเป็นงานที่เหมาะสมที่สุดแล้วกับการสังหารกิเลสเพื่อความพ้นทุกข์เป็นบรมสุข ไม่นอกเหนือไปจากงานที่พระองค์มอบให้นี้เลย และสถานที่ที่บำเพ็ญก็ประทานไว้แล้ว มี รุกฺขมูลเสนาสนํ เป็นอันดับหนึ่ง

อาหารการบริโภคก็ไม่เหลือเฟือ พออยู่พอกินพอเป็นพอไปวันหนึ่งๆ พอยังชีวิตให้เป็นไปเท่านั้น นี่คือทางดำเนินของความพ้นทุกข์ ไม่ต้องเหลือเฟือ ไม่ต้องโลภโลเลกับสิ่งใด สถานที่อยู่ อาหารเครื่องบริโภค จีวรบิณฑบาตเหล่านี้ให้พอเหมาะพอดีหรือขาดแคลนบ้าง นั่นแหละดีสำหรับผู้เป็นนักปฏิบัติกำจัดกิเลส

เพราะกิเลสมันชอบเหลือเฟือ เอามาให้ทั้งสามแดนโลกธาตุนี้ ก็ไม่พอกับกิเลสในหัวใจของสัตว์โลก มันชอบมากขนาดไหนธรรมตัดลงๆ เพราะสิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งที่กดถ่วง เป็นสิ่งที่บีบเป็นสิ่งที่บังคับหัวใจไม่ให้ก้าวออก หรือเหยียบย่ำให้แบนไปหมดเลย เพราะความโลภความโกรธความหลงมันบีบบี้สีไฟหัวใจ มันถึงเดือดร้อนวุ่นวายไปทั่วโลกดินแดน ธรรมะท่านเบิกออกๆ ถอนออกๆ ขว้างปาออกไปหมดจากหัวใจ ให้ใจหมดจากสิ่งเหล่านี้แล้วดีดผึงเดียว ไม่ต้องถามหานิพพาน นั่นธรรมะต่างกันอย่างนั้นกับกิเลส

ดังนั้นท่านจึงสอนให้อยู่ในสถานที่เขียมๆ สถานที่อดอยากขาดแคลน ท่านสอนไว้หมดสิ่งเหล่านี้ แต่เรากลับเป็นเครื่องมือของกิเลสให้มันพายื้อแย่งแข่งดี เป็นข้าศึกรบคำสอนของพระพุทธเจ้า ให้กลายเป็นคำสอนของกิเลสในเพศแห่งนักบวชไปเสียเต็มพุงเต็มตัวเลย กิริยาท่าทางที่แสดงออกท่าใดกิริยาใด มีแต่กิริยาของกิเลสท่าทางของกิเลส ที่ต่อสู้กับธรรมสังหารธรรมในเพศแห่งนักบวชของเราไปเสียสิ้น นั่นซิที่น่าทุเรศเอานักหนา

พระเราอย่าไปมองไกลนะ ให้มองดูตัวของเรานี้ มันแสดงอะไรบ้างเวลานี้และเรื่อยมาตั้งแต่วันบวช มันแสดงอย่างไรบ้าง กิเลสเอาเครื่องมือคือธรรมที่ประทานให้แต่วันเริ่มบวชไปถลุงเราอย่างไรบ้างให้เราดู ถ้าเรารู้สิ่งเหล่านี้แล้วเราจะเห็นเรื่องของกิเลส เราจะได้แก้กิเลส ฆ่ากิเลสให้แหลกแตกกระจายไป ตามพระโอวาทที่ทรงสั่งสอนไว้ ดังที่ได้อธิบายให้ฟังเมื่อสักครู่นี้ คือ เกสา โลมา นขา ทันตา ตโจ และ รุกฺขมูลเสนาสนํ นี้เป็นที่เหมาะสมอย่างยิ่ง กิเลสจะต้องพัง

พระพุทธเจ้าและสาวกทั้งหลายกิเลสของท่านพัง เพราะสถานที่เหล่านี้งานเหล่านี้แล จงยึดจงเกาะไว้ให้ติดกับหัวใจของเรา ใจของเราจะได้เย็น ใจของเราจะได้สบาย ดังที่กล่าวแล้วนั้นบรมสุขออกจากงานอันนี้แล เมื่องานนี้สำเร็จแล้วไม่มีงานใดทำอีกแล้ว ใจทรงบรมสุขตลอดอนันตกาล

งานทางธรรมะนี้เป็นงานที่สิ้นเสร็จสำเร็จได้ สิ้นสุดยุติลงได้ ไม่เหมือนงานทางโลกซึ่งทำเท่าไรก็ไม่มีสิ้นสุดยุติ จนกระทั่งเจ้าของตายไปก่อน ยังห่วงงาน-งานยังไม่เสร็จ นี่โลกของผู้มีกิเลสเป็นอย่างนั้น แต่เรื่องธรรมนี้ วุสิตํ พฺรหฺมจริยํ คำเดียวเท่านั้น ประกาศกังวานไปหมดทั่วแดนโลกธาตุ ว่างานของจิตของธรรมสิ้นสุดยุติหมดแล้ว ความเกี่ยวข้องยุ่งเหยิงพัวพันกับการเกิดตายในวัฏสงสารนี้ ไม่มีเชื้อเหลืออีกแล้ว เพราะงานคือการชำระกิเลส สังหารกิเลสได้สิ้นสุดยุติลงไปแล้ว เป็นใจที่บริสุทธิ์แล้วด้วย วุสิตํ พฺรหฺมจริยํ กตํ กรณียํ นี้เป็นกิจที่ชอบธรรมอย่างยิ่ง ได้ทำเสร็จเรียบร้อยแล้ว นี่ละงานของธรรมเป็นงานสำคัญเหนือโลกและมีวันจบสิ้นลงได้ดังนี้แล

ขอให้ดูพระพุทธเจ้าผู้ประเสริฐเลิศเลอ ให้ดูตรงที่ประเสริฐเลิศเลอ ธรรมท่านประเสริฐเลิศเลอ พระสงฆ์สาวกท่านประเสริฐเลิศเลอ ให้ดูจุดนี้ผู้ต้องการความเลิศเลอ ถ้าดูผิดนี้ไปแล้วจะมีแต่ผิดแต่พลาด สุดท้ายก็จม โลกเขาจมฉันใดเราก็จมฉันนั้น การว่ายอยู่ในวัฏวนคือความเกิดตายนี้ โลกไม่มีเขตแดนฉันใด ไม่มีฝั่งมีฝาฉันใด หัวใจของเราตัวของเราเองก็ไม่มีฝั่งมีฝาฉันนั้น เพราะเดินแถวเดียวกันกับโลกจะไปผิดจากโลกอะไร แม้เป็นเพศผ้าเหลืองหัวโล้นๆ ก็ตาม ถ้าลงทำงานให้ผิดแนวทางของพระพุทธเจ้าที่พาดำเนินเพื่อความพ้นทุกข์แล้ว มีแต่จะเข้าหาทุกข์และความล่มจมทั้งนั้นแหละ จงตั้งใจพินิจพิจารณา

วันนี้ผมก็เหนื่อยอุตส่าห์มาตั้งใจมาแนะนำสั่งสอนหมู่เพื่อน เคยพูดให้หมู่เพื่อนฟังเสมอว่า ธาตุขันธ์นี้อ่อนตัวลงมาโดยลำดับแล้ว หดเข้ามาย่นเข้ามา ไม่อยากเล่นกับอะไรๆ กับใครกับอะไรทั้งนั้นแหละเดี๋ยวนี้ อยู่องค์เดียวคนเดียววันหนึ่งๆ ทรงธาตุทรงขันธ์ที่แสนหนักหน่วง คือ ภารา หเว ปญฺจกฺขนฺธา มันเป็นภาระอันหนัก เพียงเท่านี้ก็พอแล้ววันหนึ่งๆ มิหนำยังจะทานมันไม่ไหว มันหนัก วัยแก่ลงมาเท่าไรกำลังวังชาอ่อนลงเท่าไร น้ำหนักยังมีอยู่มากภายในร่างกายไม่ลดลงตามกำลังบ้างเลย จึงทานกันไม่ไหว ก็ทนเอา เทศนาว่าการความจดจำก็หลงลืมไปหมดไม่เหมือนแต่ก่อนแหละ คอยแต่จะหลงจะลืม จะขาดจะตกไปไม่ได้ถ้อยได้ความ

จึงขอให้ท่านทั้งหลายที่มาศึกษาอบรมนี้ ได้ตั้งหน้าตั้งตาประพฤติปฏิบัติกำจัดสิ่งที่เป็นภัยต่อเราซึ่งมีอยู่ภายในจิตใจ แล้วความเจริญรุ่งเรืองเราไม่ต้องไปหาที่ไหน อะไรเจริญก็สู้หัวใจเจริญด้วยธรรมไม่ได้ เราอย่าไปหลงลมปากใครๆ ว่าอันนั้นเจริญอันนี้เจริญ มันอะไรเจริญพิจารณาดูซิ นั่นมันเรื่องของโลก เราอย่าไปขัดไปแย้งเขาซิ

เรื่องของธรรม เจริญยังไงให้ดูตัวเจ้าของนี่ เพราะเราเป็นผู้บำเพ็ญธรรมเพื่อสละละโลกทั้งหลายเข้ามา อย่าเอาโลกมายุ่งเหยิงวุ่นวาย ไม่ดูถูกโลกไม่เหยียดหยามโลก เอาวางไว้ตามสภาพของโลกของธรรม แล้วบำเพ็ญตัวของเราให้หลุดพ้นไปโดยลำดับๆ นี้แลเป็นสิ่งที่เลิศเลอ สงฺฆํ สรณํ คจฺฉามิ จะปรากฏขึ้นที่หัวใจของเราดวงหลุดพ้นแล้วนี้ เรื่องปัญหาการเกิดตายนี้ขาดสะบั้นลงไปในปัจจุบัน ไม่เคยเห็นก็ตาม ไม่เคยรู้ก็ตาม สนฺทิฏฺฐิโก คือศาสดาองค์เอกประทานไว้แทนพระองค์แล้ว จะประกาศกังวานขึ้นที่ใจของเราผู้บริสุทธิ์นี้แลไม่เป็นอื่น จึงขอให้ท่านทั้งหลายตั้งอกตั้งใจบำเพ็ญอย่างจริงจัง ให้สมกับพระเมตตาที่ประทานไว้เต็มสัดเต็มส่วนไม่มีบกพร่องแม้แต่น้อยเลย

การแสดงธรรมก็เห็นว่าสมควร รู้สึกเหนื่อย เอาละพอ

 


** ท่านผู้เข้าชมทุกท่านโปรดทราบ
    เนื่องจากกัณฑ์เทศน์บางกัณฑ์มีความยาวค่อนข้างมาก ซึ่งจะส่งผลต่อความเร็วในการเปิดเว็บไซต์ ขอแนะนำให้ทุกท่านได้อ่านเนื้อหากัณฑ์เทศน์บางส่วนจากเว็บไซต์ และให้ทำการดาวน์โหลดไฟล์กัณฑ์เทศน์ที่มีนามสกุล .pdf ไปเก็บไว้ในเครื่องของท่านแทนการอ่านเนื้อหาทั้งหมดจากเว็บไซต์

<< BACK

หน้าแรก