เทศน์อบรมพระ ณ วัดป่าบ้านตาด
เมื่อวันที่ ๘ ธันวาคม พุทธศักราช ๒๕๓๒
ให้ยึดพระพุทธเจ้าเป็นตัวอย่าง
นักบวชและเป็นนักปฏิบัติที่โลกให้นามว่าพระธุดงคกรรมฐาน และตัวเองก็ถึงพร้อมด้วยเจตนาในการบำเพ็ญคุณงามความดีตั้งแต่พื้นๆ จนกระทั่งถึงความหลุดพ้นจากทุกข์โดยประการทั้งปวง ท่านเหล่านี้แลเป็นผู้เข้าถูกช่องถูกทาง ตามแถวทางเดินของพระพุทธเจ้าที่ทรงบำเพ็ญและได้ตรัสรู้มา ตลอดถึงนำธรรมะมาประกาศธรรมสอนโลก ก็ทรงประกาศสอนในแนวทางที่ว่านี้ คือการบำเพ็ญคุณงามความดี ก็คุณงามความดีนั้นจะอยู่ที่ไหน อะไรจะเป็นเครื่องสัมผัสรับทราบรู้เห็นกับคุณงามความดีนั้นๆ นอกจากใจนี้เท่านั้น ไม่มีสิ่งใดจะรับทราบได้ในบรรดาสิ่งสมมุติทั้งหลายในโลกนี้ มีใจนี้เท่านั้นเป็นผู้จะรับทราบและบำเพ็ญตนทั้งการละและการบำเพ็ญ
นี่พวกเราทั้งหลายได้มาบวชในพระพุทธศาสนา ซึ่งเป็นศาสนาที่ยอดเยี่ยมและได้มาประพฤติปฏิบัติตนตามแนวทางที่พระองค์ทรงสั่งสอนไว้นี้ นับว่าเป็นโอกาสและเป็นหน้าที่การงานที่เหมาะสมอย่างยิ่งกับความเป็นนักบวชของเรา ถ้าไม่ลืมตัวไปเสีย โดยอาศัยผ้าเหลืองที่โลกทั้งหลายเคารพกราบไหว้บูชานี้ มาเป็นประหนึ่งว่าดินเหนียวติดหัวแล้วก็ว่าตนมีหงอนเสีย โดยที่ว่าตัวได้บวชเพียงเท่านี้แล้ว ทุกสิ่งทุกอย่างก็นึกว่าสมบูรณ์เต็มที่แล้วในความเป็นพระของตน ถ้าอย่างนี้ก็ไม่มีทางที่จะก้าวเดินเพื่อความเจริญรุ่งเรืองสมเจตนาที่มุ่งไว้แล้วนั้นเลย
ผู้ตั้งใจเพื่อความหลุดพ้นจริงๆ ก็พึงคำนึงถึงทางดำเนินของพระพุทธเจ้าผู้ทรงเป็นคติตัวอย่างอันดีเยี่ยมมาแล้ว ทั้งๆ ที่พระองค์เป็นกษัตริย์ คำว่าเป็นกษัตริย์โลกทั้งหลายก็ทราบทั่วถึงกันแล้วว่าเป็นบุคคลประเภทใด ถ้าพูดถึงความมีคุณค่ามีราคา ความที่น่าเยินยอสรรเสริญ ก็อยู่ในความเป็นพระมหากษัตริย์ แต่เวลาพระองค์เสด็จออกทรงผนวชนั้น มิได้เสด็จไปตามที่โลกคิดโลกเข้าใจกัน ว่าเสด็จออกทรงผนวชอย่างมีหน้ามีตา มีคนเคารพเลื่อมใส หรือว่าได้รับการแห่แหนออกไป
แต่พระองค์เสด็จไปแบบหาคุณค่าไม่ได้ สลัดพระองค์จากความเป็นกษัตริย์และความมีคุณค่าทุกแง่ทุกมุมออกไป ประหนึ่งว่าเป็นผ้าขี้ริ้วเป็นคนอนาถา สลัดความสำคัญที่ว่ามีคุณค่ามีราคามีความเป็นพระมหากษัตริย์ เป็นต้น ออกจากพระทัยและกิริยาแห่งความเคลื่อนไหวทุกแง่ทุกมุมเสียทั้งหมด เหลือเพียงว่าเป็นบุคคลคนหนึ่งเท่านั้น คำว่าสิทธัตถราชกุมารอันนั้นก็เป็นพระนามของวงศ์กษัตริย์ พระองค์ไม่ได้นำมาเกี่ยวข้องเลย เสด็จออกเพื่อบำเพ็ญพระองค์ไห้ได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า ซึ่งมีคุณค่าเหนือโลกสงสาร มีพระทัยมุ่งหมายต่อธรรมดวงเลิศนั้นโดยถ่ายเดียว เพราะฉะนั้นจึงทรงสละได้ทุกสิ่งทุกอย่างในบรรดาที่โลกรักและสงวนกัน
การเสด็จออกทรงผนวช เราก็ไม่เคยได้ยินว่าพระองค์ได้ประทับอยู่ในหอปราสาทราชมณเทียรที่ไหนเหมือนกับกรุงกบิลพัสดุ์ ก็ไปอยู่ตามประเภทแห่งคนอนาถา เพื่อบำเพ็ญคุณงามความดี สละทิฐิมานะทุกแง่ทุกมุมเพื่ออรรถเพื่อธรรมนี่เท่านั้น เพราะฉะนั้นการประทับอยู่ของพระองค์จึงสะดวกสบายหายกังวล อาหารการบิณฑบาตที่เรียกว่าเครื่องเสวย ซึ่งเคยเสวยในนามหรือในความเป็นพระราชาก็สละเสียสิ้น เหลือแต่คนอนาถาขอทานเขามาเสวยเท่านั้นพระองค์ก็สบาย
นี่เพราะการละสิ่งที่เข้าใจว่ามีคุณค่าแต่มาเป็นอุปสรรคต่อหัวใจนี้ออกเสีย เหลือแต่ธรรมอันเลิศที่พระองค์ทรงมุ่งหวัง ซึ่งไม่ขัดกับสิ่งใดๆ ไม่เป็นอุปสรรคต่ออะไรในโลก มีเหลือนี้เท่านั้นแล้วทรงบำเพ็ญ วิธีใดซึ่งทรงคิดว่าจะเป็นไปเพื่อความตรัสรู้ตามพระประสงค์ก็ทรงบำเพ็ญ ขนาดที่สละเป็นสละตายถ้าเป็นภาษาของเรา ไม่เห็นแก่ความยากความลำบากเหนือสิ่งที่พระองค์ทรงมุ่งหวัง คือพระอนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณนั้นเลย ทรงบำเพ็ญเต็มเม็ดเต็มหน่วย จนกระทั่งเห็นว่าไม่ใช่ทางแล้วจึงทรงลดละปล่อยวางวิธีนั้น
สรุปความลงก็ทรงย้อนหลังมาพิจารณาถึงเรื่องอานาปานสติ ซึ่งเคยได้แสดงให้ฟังหลายครั้งหลายหนแล้ว จึงทรงบำเพ็ญธรรมด้วยอานาปานสติ ทรงระลึกกำหนดลมหายใจเข้าออก แล้วทรงสละพระองค์ในสถานที่นั่นด้วย ทั้งความเป็นพระพุทธเจ้าก็จะให้เป็นในสถานที่นั่น หากไม่ได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าขึ้นมา ป่าช้าก็คือสถานที่แห่งเดียวกันนั้น ไม่ทรงคิดจะโยกย้ายไปที่ไหนเปลี่ยนแปลงไปอย่างไรอีก นี้เป็นวาระสุดท้ายที่พระองค์ทรงปลงพระทัยลงไปเพื่อความตรัสรู้ แล้วก็ได้ตรัสรู้อย่างสมพระทัยในคืนวันเดือน ๖ เพ็ญ
ธรรมที่พระองค์ทรงรู้ทรงเห็น และวิธีการดำเนินของพระองค์อันเป็นแนวทางหรือเป็นต้นเหตุให้ตรัสรู้นั้น ไม่ปรากฏว่ามีผู้หนึ่งผู้ใดได้เคยบำเพ็ญมาก่อนและเป็นครูอาจารย์สอนมาก่อนเลย ไม่ว่าจะสอนผู้หนึ่งผู้ใดมาก่อนหรือสอนพระองค์เองก็ไม่เคยปรากฏ เป็นเรื่องของสยัมภูทรงขวนขวายโดยลำพังพระองค์เอง เวลารู้ก็รู้ขึ้นมาโดยลำพังพระองค์เองเท่านั้น
ธรรมที่รู้ขึ้นมาในคืนวันตรัสรู้นั้นเป็นธรรมที่ประเสริฐเลิศโลก เหนือโลกเหนือสงสาร เป็นโลกุตรธรรมอันสุดยอดแห่งธรรมทั้งหลาย ได้แก่วิมุตติพุทโธขึ้นมา เมื่อได้ปรากฏในพระทัยแล้ว อุบายวิธีการต่างๆ ที่จะทรงแนะนำสั่งสอนโลกเพราะความเมตตาสงสารนั้น ก็ปรากฏขึ้นกับธรรมที่ทรงรู้ทรงเห็น การทรงรู้ทรงเห็นนั้น เห็นทั้งโทษเห็นทั้งคุณ เห็นทั้งหัวใจสัตว์โลก กรรมของสัตว์โลก เห็นทั้งพระทัยของพระองค์และกรรมของพระองค์ที่เคยเป็นมาอย่างใดอย่างถึงพระทัย
เพราะฉะนั้น การแนะนำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า จึงทุ่มเทลงด้วยพระเมตตาอยากจะให้สัตว์ทั้งหลายได้หลุดพ้นจากความทุกข์ความทรมาน หรือมหันตทุกข์เหล่านั้นจริงๆ ให้ถึงซึ่งความสุขนับแต่ความสุขขั้นพื้นๆ ขึ้นไป ซึ่งดีกว่าที่ไปจมอยู่ในนรกเป็นไหนๆ ตลอดความสุขสุดยอดได้แก่ความหลุดพ้นไปเสียโดยถ่ายเดียว เมื่อทรงแนะนำสั่งสอนจึงทรงสั่งสอนด้วยความถึงพระทัย เพราะอำนาจแห่งความเมตตาที่มีกำลังมาก เนื่องจากเห็นเหตุ ๒ ประการนั้น เป็นเครื่องกระตุ้นหรือเป็นเครื่องประจักษ์พระทัย คือแดนแห่งสัตว์โลกที่ได้รับความทุกข์ความทรมานนั้นมีรอบในสามแดนโลกธาตุ ไม่มีจุดใดแดนใดสถานที่ใดที่สัตว์โลกทั้งหลายจะไม่ได้รับความทุกข์ความทรมาน มากน้อยไปตามอำนาจแห่งกรรมของตน ส่วนความสุขก็มีเจือปนกันไป แต่ความทุกข์นั้นเป็นสิ่งที่เด่นเอามากสำหรับสัตว์โลกซึ่งต้องจมอยู่เป็นจำนวนมาก ยิ่งกว่าผู้ที่ได้รับความสุขความสบายเพราะอำนาจแห่งกรรมดีของตน
เมื่อพระองค์ทรงเห็นความทุกข์ความทรมานในเหตุการณ์เหล่านี้ และทรงรู้ทรงเห็นประจักษ์ในพระทัยที่เลิศเลอหรือว่าถึงบรมสุขแล้ว ลบล้างบรรดาความทุกข์ทั้งหลายที่เป็นมาเหล่านั้นโดยสิ้นเชิง จึงทรงแนะนำสั่งสอนเต็มพระทัย เพราะอำนาจแห่งความเมตตา
ธรรมที่นำมาสั่งสอนโลกนี้ไม่ใช่ธรรมธรรมดา เป็นธรรมของท่านผู้บริสุทธิ์ด้วย ธรรมของท่านผู้มีเมตตาอย่างแรงกล้าไม่มีใครเสมอเหมือนด้วย สอนสัตว์โลกตามขั้นตามภูมิแห่งอุปนิสัยของตน ผู้ที่ควรจะหลุดพ้นไปได้อย่างรวดเร็ว ก็รีบฉุดรีบลากกระชากดึงให้หลุดให้พ้นไปเสียในขณะนี้ๆ ผู้ที่ควรขยับขยายหรือเลื่อนชั้นขึ้นมา ด้วยพระกำลังแห่งความสามารถที่ทรงแสดงอุบายต่างๆ ให้รู้ให้เห็นให้ก้าวเดินขึ้นมา พระองค์ก็ทรงแนะนำสั่งสอนฉุดลากเรื่อยมาตั้งแต่วันตรัสรู้ ไม่เคยลดหย่อนผ่อนความเมตตานั้นลงเลยแม้แต่น้อย จนกระทั่งวันปรินิพพาน
ธรรมเหล่านี้เป็นธรรมที่กระเทือนโลกมานาน เฉพาะพระพุทธเจ้าของเราก็ได้ ๒๕๐๐ กว่าปีนี้แล้ว เป็นธรรมที่ปลุกสัตว์โลกให้ตื่นจากความทุกข์ความทรมาน อันมีโมหธรรมเป็นสำคัญที่ทำให้ลุ่มหลงล่มจมไม่รู้สึกเนื้อสึกตัว ให้ได้รู้สึกเนื้อสึกตัวแล้วประพฤติปฏิบัติตนให้หลุดพ้นจากวงแห่งวัฏจักร ซึ่งก็คือวงแห่งวัฏทุกข์ของสัตว์โลกนั่นแล
เพราะจิตแต่ละดวงๆ ถูกร้อยไว้แล้วด้วยกิเลสอาสวะมีอวิชชาเป็นสำคัญ แล้วกิ่งก้านสาขาดอกใบก็แตกกระจายไปเป็นความทุกข์ความลำบาก ไม่ว่าจะเกิดในภพใดแดนใด เพราะอำนาจแห่งกิเลสนี้มีความรุนแรง ที่จะต้องฉุดลากให้สัตว์โลกได้ทำบาปทำกรรมมากยิ่งกว่าจะทำบุญนี้เป็นไหนๆ เมื่อเป็นเช่นนั้นสัตว์โลก ไม่ว่าจะอยู่ในทิศใดแดนใด เพียงแต่มนุษย์เรานี้เราก็เห็นประจักษ์กับตาแล้ว ถ้ายังไม่เห็นก็ให้ดูหัวใจของเราเอง ว่าวันหนึ่งๆ มีความสุขความสบายแค่ไหน และมีความทุกข์มากน้อยเพียงไร มีสิ่งยุแหย่ก่อกวนให้เกิดความกระเพื่อมขุ่นมัวมากน้อยเพียงไร ในหัวใจของเราแต่ละรายๆ ตลอดถึงร่างกายที่หมุนติ้วอยู่กับหน้าที่การงานนั้น มีมากมีน้อยเพียงไร ไม่ว่าร่างใดไม่ว่าจิตดวงใดย่อมเป็นเช่นนี้เหมือนกันหมด
เพียงมนุษย์เท่านั้นเราก็พอทราบได้ แล้วกระจายออกไปหาสัตว์ทั้งหลายทั่วโลกดินแดนนี้ ก็เป็นจิตที่ถูกร้อยไว้แล้วด้วยอำนาจของกิเลสอาสวะประเภทต่างๆ มีอวิชชาเป็นต้น ที่ร้อยรัดให้แน่นหนามั่นคงที่สุดในหัวใจของคนมีกิเลสทุกดวง เมื่อร้อยไว้แล้วเช่นนั้นความทุกข์ก็ต้องป้อนเข้าไป แทรกเข้าไปแซงเข้าไปมากน้อย แทรกแซงกันอยู่อย่างนั้น เสริมกันอยู่อย่างนั้น เหยียบย่ำทำลายกันอยู่อย่างนั้น แล้วจะหาความสุขความเจริญหรือความสะดวกสบายมาจากที่ไหนในโลกอันนี้ เพราะเป็นโลกแห่งฟืนแห่งไฟที่เรียกว่า ราคคฺคินา โทสคฺคินา โมหคฺคินา สุมอยู่ภายในจิตใจ จะหาความร่มเย็นเป็นสุข มาจากที่ไหน ย่อมหาไม่ได้
การที่ทรงเห็นเรื่องราวของสัตว์ทั้งหลาย กระจายทั่วโลกดินแดนแห่งวิญญาณแต่ละดวงๆ มีมากน้อยเพียงไร นี้แลเป็นเหตุให้พระองค์ทรงพระเมตตาสงสารเอาอย่างมากมาย เรานักปฏิบัติก็กรุณาย้อนเข้ามาสู่จิตใจของเราว่าเป็นเช่นเดียวกับโลกทั่วๆ ไป หากไม่มีธรรมเป็นเครื่องยับยั้ง ไม่มีธรรมเป็นเบรกห้ามล้อ ไม่มีธรรมเป็นเครื่องตัดทอนภพชาติที่เคยหมุนมาแล้วจำนวนมากมายหรือนานแสนนานขนาดใด ให้ย่นเข้ามาจากอนาคต อย่าให้มีมากมายเหมือนดังที่เป็นมาแล้วนี้เลย ด้วยการประพฤติปฏิบัติกำจัดมันเสียตั้งแต่บัดนี้ ในวงนักบวชและปฏิบัติของเราไม่ควรจะนอนใจ
ธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้านั้นเป็นธรรมสุดยอดในการฉุดการลาก ถ้าเป็นยาก็เป็นโอสถอันเยี่ยมที่เรียกว่า พุทธโอสถ ธรรมโอสถ สังฆโอสถ เยี่ยมทุกประเภทแห่งยาเหล่านี้ ที่จะฉุดจะลากเราให้หลุดพ้นจากทุกข์ไปโดยลำดับ เฉพาะการปฏิบัติจิตตภาวนานี้เป็นทางสายลัดสายตรง แน่วแน่ต่อทางพ้นทุกข์โดยถ่ายเดียว ถ้าได้รับการอบรมสั่งสอนหรือได้ยินได้ฟังจากครูจากอาจารย์เป็นที่ถูกต้องแน่นอนแล้ว ตัวเองนำมาประพฤติปฏิบัติ ก็ให้ดำเนินตามแนวแถวที่ได้ยินได้ฟังมาแล้ว ด้วยเจตนาที่มุ่งหวังต่อแดนแห่งความพ้นทุกข์ ซึ่งจะเป็นการส่งเสริมกำลังให้มากขึ้นทุกทีๆ ความหลุดพ้นจากทุกข์นั้นจะหดย่นเข้ามาๆ จนถึงหัวใจของเรา เป็นใจที่หลุดพ้นจากทุกข์ได้ เช่นเดียวกับพระพุทธเจ้าและสาวกทั้งหลายโดยไม่ต้องสงสัย เพราะอำนาจแห่งธรรมเหล่านี้ เป็นเครื่องดำเนินเพื่อความแคล้วคลาดปลอดภัยไปโดยลำดับอยู่แล้ว จนกระทั่งถึงวิมุตติหลุดพ้น ไม่นอกเหนือจากธรรมของพระพุทธเจ้านี้เลย
ถ้าเราไม่ประมาทเห็นแดนนรกคือความเกิดแก่เจ็บตาย ซึ่งเต็มไปด้วยความทุกข์ทรมานนี้ ว่าเป็นสิ่งที่เลิศเลอเสียอย่างเดียวเท่านั้น จะมีทางหลุดพ้นไปได้ไม่สงสัย เพราะจิตดวงนี้เป็นเครื่องยืนยันแล้วว่าคือตัวพาให้เกิดให้ตาย คือจิตแท้ๆ นั้นไม่ตาย ไม่มีตาย แต่อำนาจของกิเลสที่แทรกอยู่ในจิตนั่นซิ มันพาให้เข้าร่างนั้นร่างนี้ ที่เรียกว่าเกิดว่าตาย เกิดตายๆ เข้าร่างไหนถ้าเป็นร่างอยู่เฉยๆ ค่อยยังชั่ว แต่มันไม่ใช่ตุ๊กตา เมื่อจิตเข้าไปแทรกอยู่นั้น จิตเต็มไปด้วยกรรมด้วยวิบากแห่งกรรม จะไม่แสดงตัวออกในทางดีทางชั่วทางสุขทางทุกข์ได้อย่างไร ต้องแสดงอย่างเต็มกำลังที่มีกรรมอยู่ในหัวใจมากน้อยนั่นแล
ไม่ว่ารูปใดร่างใดก็ตาม ถ้ามีกรรมชั่วอยู่มากขนาดไหน จะต้องแสดงให้เต็มที่ถึงขั้นมหันตทุกข์นั่นแล จนกว่ากรรมนี้จะอ่อนตัวลงไปตามกฎของอนิจจังและหมดสิ้นไปโน้นแล จึงจะหมดความทุกข์ความทรมาน หรือมหันตทุกข์ในกรรมนั้นในภพนั้น แล้วเปลี่ยนภพใหม่ขึ้นมา ก็เป็นภพที่เต็มไปด้วยกรรม เต็มไปด้วยวิบากแห่งกรรมอีกเช่นเดียวกัน เวลาไหนสัตว์ว่างจากการเสวยกรรมไม่มี เพราะกิเลสซึ่งเป็นเชื้ออยู่ภายในมันฝังจมอยู่นั้น ทำให้ทำบาปทำกรรม ให้ได้รับเสวยความทุกข์ความทรมานอยู่ตลอดมา และยังจะตลอดไปไม่มีที่สิ้นสุดยุติได้เลย ถ้าไม่มีธรรมเป็นเครื่องตัดทอน หรือเป็นเครื่องตัดฟันขาดลงเสียเท่านั้น
ให้พากันเข้าใจไว้ว่า ทุกข์ทั้งหลายที่ติดแนบไปกับความเกิดความตายของสัตว์ ไม่ว่าของท่านของเราของใครก็ตาม มันเป็นเหมือนกันนี้หมด อย่างสดๆ ร้อนๆ ไม่มีคำว่าชราคร่ำคร่า ไม่มีคำว่าจะสิ้นสุดยุติแห่งการเกิดการตายต่อไปอีก เพราะหมดกำลังแห่งวัฏจักรที่ทำงานสิ้นสุดยุติลงไปอย่างนี้ไม่มี นอกจากจะสิ้นสุดยุติด้วยอำนาจแห่งความดีทั้งหลายเข้าฟาดฟันหั่นแหลก หรือตัดทอนกันลงไปเท่านั้น อย่างอื่นที่จะให้วัฏจิตวัฏจักรของกิเลสที่ฝังอยู่ภายในจิตนี้พาให้ก้าวเดินไปสู่ภพนั้นภพนี้ แล้วมีกำลังน้อยถอยลงไป จนกระทั่งหมดกำลังแล้วตายเช่นเดียวกับสัตว์ทั้งหลายนี้ไม่มี คำว่ากิเลสตายอย่างนี้ไม่มี นอกจากจะสั่งสมตัวเองไปดังที่เคยเป็นมา และจะเป็นไปตลอดกาลไหนๆ ไม่มีคำที่ว่าสิ้นสุดยุติเลย
นี่ซิพระพุทธเจ้าจึงเป็นเรื่องจำเป็นอย่างมากที่มาตรัสรู้ นี้เราก็อยู่ในท่ามกลางแห่งความตรัสรู้แห่งศาสนาธรรมของพระพุทธเจ้า ท่านสอนใคร ก็สอนพวกเราให้ประพฤติปฏิบัติตัวตามแนวทางนี้นั่นเอง ประหนึ่งว่าพระพุทธเจ้าทรงฉุดทรงลากอยู่ด้วยพระหัตถ์ของพระองค์เอง จากธรรมทั้งหลายที่ประทานไว้แล้วไม่เป็นอื่น จึงเรียกว่าสวากขาตธรรมที่ตรัสไว้ชอบแล้ว ถ้าเราทั้งหลายไม่ตั้งใจประพฤติปฏิบัติในเวลานี้จะไม่มีหวัง อย่าเข้าใจว่ากาลเวลานั้นจะเป็นเครื่องรับประกันเราในชีวิตจิตใจสกลกาย และภพชาติของเราในกาลต่อไป จะต้องเป็นอย่างนี้อยู่ตลอดไป นอกจากเราจะรีบเร่งขวนขวายเสียแต่บัดนี้ๆ ด้วยความไม่ประมาทเท่านั้น จึงจะมีทางผ่านพ้นไปได้
การบำเพ็ญภาวนาก็เคยได้แนะนำสั่งสอนมาแล้วไม่รู้กี่ครั้งกี่หน ที่เกี่ยวข้องกับสังคมพระเรา นับตั้งแต่วันพ่อแม่ครูอาจารย์มั่นมรณภาพไปแล้วก็เป็น ๔๐ ปีนี้พอดี สำหรับหมู่เพื่อนมาเกี่ยวข้องกับผม ผมก็ได้แนะนำสั่งสอนเต็มสติกำลังความสามารถไม่มีอะไรปิดบังลี้ลับ หรือยังเหลืออยู่เลยภายในใจนี้แม้แต่น้อย ได้ทุ่มลงเต็มสติกำลังความสามารถทุกด้านทุกทาง ท่านผู้ใดจะนำไปประพฤติปฏิบัติก็ขอให้นำไปปฏิบัติให้ถึงใจแล้วจะถึงธรรม
ธรรมนี้สดๆ ร้อนๆ เช่นเดียวกับกิเลสที่สดๆ ร้อนๆ อยู่ภายในจิตใจของเรา คิดไปทางกิเลส กิเลสก็เกิดขึ้นทันทีภายในใจ คิดไปในทางด้านธรรม ธรรมก็เกิดขึ้นทันทีภายในใจ ที่เรียกว่าสดๆ ร้อนๆ เหมือนกัน ทั้งธรรมทั้งกิเลสอยู่ภายในใจของเรานี้แลไม่อยู่ที่ไหน อย่าไปคิดให้เสียเวล่ำเวลา ให้กิเลสมันกล่อมไปเรื่อยๆ จนกระทั่งตายใจแล้วล่มจมไปตามมัน ว่ามรรคผลนิพพานหมดเขตหมดสมัยแล้ว พระพุทธเจ้านิพพานนานแล้ว มรรคผลนิพพานไม่มี นี่เป็นเรื่องของกิเลส ถ้าเป็นคนมาพูดก็เป็นคนคลังกิเลสมาพูด ตัวเองไม่เคยได้บำเพ็ญคุณงามความดี มีการภาวนาเป็นต้นมาแม้แต่น้อยเลย แต่แล้วก็มาพูดด้วยลมปากที่สกปรกโสมม โดนเข้าหูใดหัวใจดวงใด ก็กลายเป็นหัวใจสกปรกโสมมไปตามๆ กัน เชื่อตามกัน จมไปตามๆ กัน ไม่มีชิ้นดีแต่อย่างใดเลย
หลักธรรมใครจะเกินพระพุทธเจ้าที่ทรงสั่งสอนไว้แล้ว ด้วยความบริสุทธิ์ความฉลาดแหลมคม ทั้งปัจจุบันทั้งอดีตอนาคตใครจะครบเครื่องเหมือนพระพุทธเจ้าที่ทรงรู้ทรงเห็นและทรงสั่งสอนสัตว์โลก ทรงสั่งสอนด้วยความรู้ความเห็นความเป็นจริงๆ และธรรมนี้เคยรื้อขนสัตว์ทั้งหลายให้หลุดพ้นจากทุกข์มามากต่อมากแล้ว นานแสนนานแล้ว ผู้นำมาประพฤติปฏิบัติให้ถูกต้องตามแนวทาง เหตุใดกิเลสจะไม่หลุดลอยออกไปจากหัวใจ ต้องหลุดลอยไม่มีสิ่งใดเหลือภายในใจ เข่นเดียวกับพระพุทธเจ้ายังทรงพระชนม์อยู่นั้นแล ขอให้ปฏิบัติให้ถูกต้องตามแนวทางนั้นเถิดจะไม่เป็นอื่น นี้เป็นหลักสำคัญของศาสนธรรมและการปฏิบัติ จงพากันตั้งอกตั้งใจปฏิบัติอย่างเอาจริงเอาจัง สมกับศาสดาเป็นผู้จริงจังและธรรมเป็นของจริงจังทั้งเหตุแลผล
วันคืนเดือนปีล่วงไปๆ เรื่องโลกเรื่องสงสารก็อย่างที่เราเห็นนี่แล เห็นไหม ได้ยินไหมเดี๋ยวนี้เวลานี้ มันมีความสงบงบเงียบเมื่อไร นั่นละกิเลสพาให้เป็น แล้ววันไหนมันจะชราคร่ำคร่าพอให้เราได้สะดวกสบายบำเพ็ญคุณงามความดี ทางตาก็โดน ทางหูก็โดน ทางจมูก ลิ้น กาย โดนแต่สิ่งเหล่านี้ เพราะมันมีอยู่กับตัวของสัตว์ของบุคคล และสัตว์บุคคลนี้เท่านั้นเป็นผู้ชอบในสิ่งเหล่านี้ เป็นผู้ขวนขวาย เป็นผู้หามา เป็นผู้เสกสรรปั้นแต่งขึ้นมา แล้วก็มาเผาตัวเองๆ ดังที่เห็นๆ กันอยู่นี้ แล้วธรรมพระพุทธเจ้าก็หาทางเดินไม่ได้ เพราะมีแต่สิ่งเหล่านี้สกัดลัดกั้นไว้หมด ทางตาก็ปิดเข้ามา หู จมูก ลิ้น กาย ปิดเข้ามา ปัญญามีก็เป็นปัญญาของกิเลส จะพาเบิกทางเข้าสู่นรกอเวจีล่มจมไปเสียหมด ไม่มีสติปัญญาที่จะเบิกทางเพื่อเข้าสู่มรรคผลนิพพาน หรือความหลุดพ้นนั้นเลย เมื่อกิเลสมีมากๆ แล้วเป็นอย่างนี้แล ตามีให้ดู หูมีให้ฟัง ปัญญามีให้คิดเพื่อหาทางออก
เป็นอย่างไรในหัวใจของเราเวลานี้ กิเลสประเภทที่อยากรู้อยากเห็นอยากดูอยากชมเหมือนโลกๆ นั้นมีไหมในหัวใจเรานี้ ถ้ามีก็แสดงว่าเราไม่ผิดอะไรกับโลกเขา ถ้าผิดก็ผิดแต่ผ้าเหลือง ผ้าเหลืองที่ไหนก็มีหาได้ทั้งนั้น ไม่สำคัญยิ่งกว่าธรรมภายในจิตใจเรา ที่บำเพ็ญให้ได้ให้ถึงภายในตัวเองและเป็นสมบัติของตัว ให้ตั้งหน้าตั้งตาประพฤติปฏิบัติ
นี่อ่อนลงทุกวันๆ การแนะนำสั่งสอนหมู่เพื่อนรู้สึกว่าหดเข้ามาย่นเข้ามา แต่ก่อนผมก็ไม่เคยพูด เวลานี้มันรู้อยู่ภายในจิตใจ ไม่มีใครรู้ยิ่งกว่าเรารู้เรา เพราะความรับผิดชอบกับธาตุขันธ์นี้อยู่ตลอดเวลา เป็นอย่างไรก็เล่าให้หมู่เพื่อนฟัง การเล่านี้ไม่ได้เล่าเพื่ออะไร เล่าเพื่อไม่ให้ประมาท เหมือนกับว่าเตือนอยู่เสมอ อย่านอนใจอย่าประมาท ครูบาอาจารย์เป็นสิ่งที่พลัดพรากจากไปได้ แม้แต่พระพุทธเจ้ายังปรินิพพาน พระสาวกอรหันต์ของพระพุทธเจ้าแต่ละพระองค์ๆ มีจำนวนมากขนาดไหน แล้วเป็นยังไง ท่านก็นิพพานร่วงโรยไปหมด เพราะร่างกายนี้เป็นสมมุติ ทำไมจะไม่มีกฎ อนิจฺจํ ทุกฺขํ อนตฺตา เป็นเครื่องเหยียบย่ำทำลายเล่า แล้วตัวของเราเองก็อยู่ในกฎอันเดียวกัน จะมีอะไรที่วิเศษยิ่งกว่าท่าน นี่แลเป็นของสำคัญที่ควรระลึกอยู่เสมอ ขอให้พากันตั้งอกตั้งใจประพฤติปฏิบัติ
ให้เห็นในจิตของเรา ให้ใจของเราได้เป็นหลักเป็นเกณฑ์ เราจะเอาสิ่งใดมาเป็นหลักเป็นเกณฑ์ ในโลกอันนี้ดังที่กล่าวมาแล้วนั้นเอง ไม่มี มีแต่สิ่งที่จะพัง มีแต่สิ่งที่จะจม ทุกสิ่งทุกอย่างอยู่ในกฎอนิจจังพึ่งไม่ได้ มีแต่จะแตกจะสลายจะทำลาย แม้ใจนี้ไม่ตายก็ไปเกาะสิ่งนั้นก็พาพังสิ่งนี้พาพัง นั่นละที่ว่าเกิดว่าตาย เพราะสิ่งเหล่านั้นพาให้พัง ตัวจิตเองไม่พังไม่ฉิบหาย แต่สิ่งที่จิตเข้าไปเกาะเกี่ยวนั้นมันพังมันเป็นไปได้ มันจึงเปลี่ยนแปลงไปอยู่เสมอ จึงไม่ให้นอนใจ ให้ตั้งใจประพฤติปฏิบัติธรรมทั้งหลาย ซึ่งเป็นสิ่งที่จีรังถาวรต่อไป จนกระทั่งถึงความเที่ยงแท้แน่นอน คือ จิตที่บริสุทธิ์ ธรรมที่บริสุทธิ์ เป็นอันหนึ่งอันเดียวกับหัวใจแล้วนั้น อนิจฺจํ ทุกฺขํ อนตฺตา เข้าไปเกี่ยวข้องไม่ได้ นี่ละพระพุทธเจ้าและสาวกท่าน ท่านบำเพ็ญถึงธรรมขั้นนี้ จึงเรียกว่าโลกุตรธรรม คือธรรมเหนือโลก
สภาวธรรมทั้งหลายมีกฎ อนิจฺจํ ทุกฺขํ อนตฺตา บีบบังคับไว้หมด อยู่ในกรอบแห่ง อนิจฺจํ ทุกฺขํ อนตฺตา แต่โลกุตรธรรม ขั้นวิสุทธิธรรมนี้นอกเหนือไปจากกรอบอันนี้แล้ว จึงไม่มีอะไรเข้าไปเกี่ยวข้องเลย นั่นท่านว่านิพพานเที่ยง เที่ยงตรงนั้น คือจิตที่บริสุทธิ์นั้นเองเที่ยงจะเป็นอะไรไป เราผู้เคยแปรปรวนนั้นแลกลับกลายเป็นความเที่ยงขึ้นมา มีแต่จิตบริสุทธิ์ล้วนๆ ธรรมล้วนๆ นั่นแลคือความเที่ยง
ให้ท่านทั้งหลายได้ตั้งใจประพฤติปฏิบัติ อยู่ที่ไหนอย่าเผลอสติ อย่าลืมเนื้อลืมตัวกับสิ่งใดในโลก สิ่งที่เคยสัมผัสสัมพันธ์นี้เคยสัมผัสสัมพันธ์มาสักเท่าไร ปัจจุบันก็สัมผัสสัมพันธ์กันอยู่จะตื่นหาอะไร รูป เสียง กลิ่น รส เครื่องสัมผัส ไม่ใช่เป็นของใหม่ ของเก่าทั้งนั้น ของเคยสัมผัสสัมพันธ์และเคยให้ทุกข์มาแล้วด้วยความลุ่มหลงของเรา ตื่นหาอะไร ธรรมเป็นเครื่องปลุกให้ตื่น ตื่นซิ ตื่นด้วยสติ ตื่นด้วยปัญญา
หาอุบายฝึกทรมานตนหลายวิธีหลายด้านหลายทาง เราอย่าทำแต่แง่เดียวมุมเดียว กิเลสมีร้อยสันพันคมไม่ทันมัน ต้องได้ใช้อุบายหลายวิธีการ เพื่อให้จิตอย่างน้อยสงบก็ยังสบายคนเรา จิตสงบ สงบมากน้อยเป็นความสบาย ตื่นเต้นภายในเจ้าของ อยู่ที่ไหนก็สบายๆ นี่เห็นประจักษ์ เพียงจิตสงบเท่านั้นก็เห็นประจักษ์แล้วความสบายเป็นอย่างไรบ้าง แล้วจิตก็ได้ที่ยึดได้ที่เกาะ คือเกาะในสมาธิธรรม จิตสงบสบายอยู่ในนั้น เพียงเท่านี้ก็ได้ที่เกาะแล้ว ที่เกาะนี้เย็น
แล้วกระจายจิตของตนออกไปดังที่ท่านสอนไว้ทางด้านปัญญา พินิจพิจารณากฎ อนิจฺจํ ทุกฺขํ อนตฺตา เต็มอยู่ในร่างกายของเรานี้แหละ เราไปเยี่ยมป่าช้าภายนอก ไปเห็นป่าช้าภายนอกขยะแขยงน่ากลัวตื่นเต้นตกใจ ป่าช้าภายในคือร่างกายของเราที่ครอบหัวใจของเราอยู่เวลานี้ ทำไมไม่ดู ทำไมไม่ตื่น ป่าช้านี้แลเป็นสำคัญมาก ไปตื่นอะไรป่าช้าภายนอก จิตของเราอยู่ภายในร่างกายนี้ก็อยู่ในป่าช้าผีดิบนั่นเอง พิจารณาให้เห็นชัดเจนเช่นเดียวกับป่าช้าภายนอก ใจจะได้ปล่อยได้วางภาระความกังวลวุ่นวาย ความยึดความถือซึ่งเป็นเรื่องกองทุกข์ทั้งนั้นออกไปโดยลำดับลำดา ให้ใจของเราสว่างจ้าออกมา ถ้าใจได้ปล่อยสิ่งเหล่านี้พิจารณาสิ่งเหล่านี้ชัดเจนแล้ว ใจจะเริ่มสว่างจ้าออกมาเรื่อยๆ เลย นี่ปัญญา ท่านว่าปัญญาเป็นอย่างนี้เอง
พิจารณาคลี่คลายในสิ่งที่อยู่กับตัวของเรานี้แหละ ร่างกายนี้อยู่กับตัวของเรา พิจารณาขยายออกไป เป็นยังไง กฎอนิจจังแปรมาตั้งแต่วันเกิดถึงขณะนี้เป็นยังไง แล้วความทุกข์มีมาตั้งแต่วันเกิดเช่นเดียวกันกับวันนี้จนกระทั่งถึงวันตาย ความทุกข์ในขันธ์กับจิตนี้จะต้องสัมพันธ์กันไปเรื่อยๆ เกี่ยวพันกันไปเรื่อยๆ อนตฺตา ไม่ใช่ของใครทั้งนั้นตั้งแต่วันเกิดมา ตายไปแล้วก็ไม่ใช่ของใคร แล้วถือหาอะไร พิจารณาลงไปซินี่ละปัญญา พิจารณาแยกแยะกัน
เมื่อจิตเห็นตามเป็นจริงไปทีละเล็กละน้อย ย่อมปล่อยวางความยึดมั่นถือมั่น ก็เท่ากับปล่อยวางภาระอันหนัก ซึ่งเป็นกองทุกข์ออกได้โดยลำดับลำดานั้นเอง นี่เรียกว่าปัญญาพิจารณาอย่างนี้ เมื่อพิจารณาอย่างนี้ก็ขอสรุปความเอาเลย เมื่อพิจารณาไม่หยุดไม่ถอย ความสว่างความเห็นแจ้งชัดเจนในสิ่งทั้งหลายนี้จะค่อยละเอียดเข้าไปๆ จิตละเอียดเข้าไป เพราะสิ่งแวดล้อมอยู่ภายในจิตใจนั้นเป็นสมมุติ เมื่อพิจารณาสิ่งเหล่านี้ซึ่งเป็นการขัดหัวใจแล้ว ใจย่อมมีความสว่างกระจ่างแจ้งไปโดยลำดับลำดา จนกระทั่งหมดไม่มีอะไรเหลืออยู่ภายในจิตใจแล้วเป็นอย่างไรที่นี่ จิตดวงนั้นเหมือนอะไรไหม อยู่ในโลกนี้แหละเหมือนโลกใดบ้าง เหมือนสิ่งใดบ้างในโลกนี้ นี่ละพระพุทธเจ้าทรงรู้ในสิ่งที่โลกไม่รู้ เห็นในสิ่งที่โลกไม่เห็น แล้วคำว่าบรมสุขก็สุขในสิ่งที่โลกไม่สุข พระพุทธเจ้าและสาวกท่านสุข ท่านประเสริฐในโลกที่ไม่ประเสริฐ อยู่ในท่ามกลางโลกนั่นแหละ แต่ไม่เหมือนโลก คือหัวใจที่บริสุทธิ์พุทโธแล้วล้วนๆ นั้นแล นี่คือผลแห่งการประพฤติปฏิบัติ เวลานี้สดๆ ร้อนๆ
ให้ท่านทั้งหลายได้ตั้งใจประพฤติปฏิบัติ เอาให้ประจักษ์ในหัวใจเจ้าของซิ อยู่ไหนประจักษ์ ถ้าลงใจกับธรรมได้สัมผัสสัมพันธ์กันมากน้อย จนกระทั่งถึงเต็มหัวใจแล้ว อยู่ไหนก็อยู่เถอะ กล้าหาญเต็มที่ต่อความจริงทั้งหลาย จะเป็นจะตายไม่มีอะไรสะทกสะท้าน เพราะเรื่องความเป็นความตายเป็นเรื่องของสมมุติ จิตอันนี้ไม่ใช่สมมุติ นอกเหนืออยู่แล้วตลอดเวลา ตั้งแต่วันบรรลุหรือตรัสรู้ธรรมขึ้นมาภายในใจ กลายเป็นจิตที่บริสุทธิ์ล้วนๆ ขึ้นมาแล้ว นั้นแลเป็นจิตที่คงเส้นคงวาหนาแน่น ไม่มีคำว่า อนิจฺจํ ทุกฺขํ อนตฺตา เข้าไปเกาะไปเกี่ยวเลยแม้แต่น้อย นั้นละท่านว่าเป็นบรมสุข
บรมสุข สุขอันนี้ไม่ใช่สุขเวทนา เป็นสุขในหลักธรรมชาติของจิตที่บริสุทธิ์ล้วนๆ แล้ว จึงไม่มีกฎ อนิจฺจํ ทุกฺขํ อนตฺตา เข้าไปเกี่ยวข้องเลย ว่าบรมสุขนี้จะแปรไป ไม่มีคำว่าแปร ถ้าสุขเหมือนโลกเหมือนสมมุติทั้งหลายหรือสุขอันเป็นสมมุตินั้น ไม่ว่าจะสุขทางกายทุกข์ทางกาย ไม่ว่าจะสุขทางจิตทุกข์ทางจิต แปรสภาพได้ด้วยกันทั้งนั้น ไม่มีอะไรจีรังถาวรยั่งยืน แปรได้ทั้งนั้น แต่ถ้าเป็นบรมสุขซึ่งอยู่ในความบริสุทธิ์ล้วนๆ ของจิตแล้ว ไม่มีคำว่า อนิจฺจํ ทุกฺขํ อนตฺตา เข้าไปเกี่ยวข้องเลย นั่นหายกังวลตลอดกาล ไม่มีคำว่ากาลนั้นสมัยนี้ หรือความยืดยาวขนาดไหนก็จะต้องสิ้นต้องสุดลงไปได้ แต่นี้ไม่มี เป็นความเที่ยงตรง ท่านจึงเรียกว่านิพพานเที่ยง ก็เมื่อไม่มีกฎ อนิจฺจํ ทุกฺขํ อนตฺตา เข้าไปแทรกก็เที่ยงเท่านั้นเอง ทำใจของเราให้เห็นชัดๆ ภายในจิตใจนี้ซิ ยืนเดินนั่งนอนก็สักแต่ว่าเปลี่ยนอาการของธาตุของขันธ์ไปเท่านั้น ธรรมชาตินั้นไม่ได้เปลี่ยนตัวเอง ประจักษ์ ถ้าว่าอัศจรรย์ก็เหนือโลกอยู่ตลอดเวลา อัศจรรย์ของท่านไม่ได้ตื่นเต้นเหมือนโลกอัศจรรย์ เหมือนโลกตื่นเต้นกัน จึงว่าไม่มีอะไรเหมือนสิ่งนั้น นั่นแลจึงเป็นธรรมสำคัญมากทีเดียว
การปฏิบัติธรรมถ้าไม่เอาจริงเอาจังจะไม่ได้เรื่องนะ เพราะเรื่องของกิเลสนี้คล่องตัวเต็มที่ในหัวใจของแต่ละดวงๆ คือผู้ปฏิบัติของเรา ถ้าสติ ปัญญา ศรัทธา ความเพียรไม่แก่กล้าสามารถ ไม่เอาจริงเอาจังแล้วจะไม่ได้เรื่องอะไร วันหนึ่งๆ ปีหนึ่งๆ จะล่วงไปๆ แต่มืดกับแจ้งเท่านั้น แต่กิเลสกับจิตจะไม่แยกจากกันไปเลย ถ้าสติปัญญาของเราไม่ทันกับมันแล้ว อย่างไรก็ต้องพันกันไปนั้นละ แล้วก็ไปจมอยู่ในกองทุกข์อีก เช่นเดียวกับที่เป็นมาแล้วไม่มีอะไรผิดแปลกจากกัน เพราะกิเลสไม่เคยเปลี่ยนตัวเป็นอย่างอื่น มีมากทุกข์มาก มีน้อยทุกข์น้อย จนกระทั่งไม่มีเสียนั่นแลจึงไม่มีทุกข์ในหัวใจดวงนั้น
ทำยังไงก็ไม่มีถ้าลงกิเลสได้สิ้นสุดลงไปเสียอย่างเดียวเท่านั้น ถึงทุกข์ในร่างกายก็ทราบว่ามันเป็นทุกข์ แต่ไม่สามารถจะซึมซาบเข้าสู่จิตใจได้ มันต่างกันอย่างนี้ เพราะฉะนั้น เวลาพระอรหันต์ท่านตายท่านจึงไม่มีปัญหา จะทำยังไงให้ท่านเผลอ จะทำยังไงให้ท่านเสียท่าเสียที ให้ลดตัวลงจากความบริสุทธิ์นั้นไม่มีทาง จึงเรียกว่าอฐานะ เป็นไปไม่ได้แล้ว สมมุติเป็นสมมุติ วิมุตติเป็นวิมุตติ ต่างอันต่างจริงอยู่แล้ว เข้าไปคละเคล้ากันได้ยังไง นี่การปฏิบัติธรรมให้ปฏิบัติอย่างนี้ วิธีการหรืออุบายต่างๆ ก็ได้แนะนำสั่งสอนหมู่เพื่อนมามากมายตลอดถึงวิธีปฏิบัติ ควรจะเด็ดให้เด็ด พลิกแพลงเปลี่ยนแปลง แง่ใดควรจะเป็นประโยชน์ ให้หาอุบายพลิกแพลงเปลี่ยนแปลงตัวเองหลายวิธี จึงเรียกว่าปัญญาที่จะแก้กิเลส ซึ่งเป็นจอมที่ฉลาดแหลมคมมากที่สุด ไม่งั้นไม่ทัน
วันนี้เทศน์เพียงแค่นี้พอ
พูดท้ายเทศน์
ทุกวันนี้ตามวัดต่างๆ วัดกรรมฐานเรา ทางจงกรมจะไม่มีแล้วนะ อันนี้ซิที่น่าวิตกมาก โห เสื่อมไปอย่างนี้เอง อยู่กันไปอย่างนั้นละ ถามกับหัวหน้าวัดทีเดียวละไปวัด
วันนั้น มันเป็นแบบเดียวกันไปเลยเรื่องทางจงกรม จำเป็นก็ต้องสารภาพละซิ ผู้มีก็มี ผู้ไม่มีก็ไม่มี ว่างั้น เท่านั้นมันก็ได้ความแล้ว เฮ้อ ทุเรศนะ สมัยครูบาอาจารย์พาดำเนินท่านถือเป็นการงานของท่านและของพระทั้งหลายจริงๆ ไม่มีงานอะไรเลย ฉันจังหันเสร็จแล้วมีแต่เดินจงกรม นั่งสมาธิภาวนา มีอย่างนั้นเท่านั้น ไม่ให้มีงานอะไรมายุ่งมากวน เป็นเนื้อเป็นหนังจริงๆ เรื่องภายนอกไม่จำเป็นก็ไม่ให้ยุ่งแหละ อย่างพ่อแม่ครูจารย์มั่นเราพาดำเนินนี้ ไม่มีงานอื่นใดเข้ามายุ่งเลย เราพูดได้เต็มปากว่าไม่มีเลย ไม่มีอะไรมายุ่งเลย พวกญาติโยมก็จะยุ่งที่ไหน ท่านอยู่ในป่าอยู่ในภูเขาโน่น ใครไปยุ่งท่านได้ และท่านไม่สนใจด้วย มีแต่สอนพระสอนเณรอยู่ด้วยความสงบสงัดเท่านั้น
ผลของศาสนาไม่เห็นเลย ไม่ปรากฏเลยในหัวใจของชาวพุทธเรานี้ แหมรู้สึกว่าอะไรๆ พูดไม่ถูก ว่างั้นเลยนะ มีแต่ลมปากเฉยๆ เลยถือเป็นลมๆ แล้งๆ ไปไม่มีอะไรปรากฏเลย ทั้งๆ ศาสดาก็เป็นศาสดาองค์เอก สอนธรรมอันเอกแก่สัตว์โลก แต่สัตว์โลกก็เป็นสัตว์โลกอยู่อย่างว่านั่นแหละ มันไม่ใช่สัตว์ธรรมจะว่าไง มันเป็นสัตว์โลก สัตว์ที่เป็นธรรมค่อยยังชั่ว นี่เป็นสัตว์โลก นี่นับวันหนาแน่นเข้ามาๆ มันคละเคล้ากัน เมืองนอกเมืองนาสับปนเข้ามา ได้อะไรๆ เข้ามา เรายิ่งโง่ก็ยิ่งเป็นเหมือนลิง อะไรมาก็คว้ามับๆ เผากันเรื่อยๆ นี่ซิสำคัญนะ สำคัญที่เรื่องวัตถุมันแซงธรรมนั่นซิ ใจก็ดิ้นไปกับเรื่องโลกเรื่องวัตถุไปเสีย แซงธรรมหมด
การปฏิบัติไม่มี วัดทั้งวัดไม่มีการปฏิบัติแล้วทำยังไง มีแต่เอาชื่อเอานามไว้เท่านั้นว่าเราบวช ก็เท่านั้น แม้แต่รักษาศีลก็ไม่บริสุทธิ์จะว่าไง มันทำลายอยู่นั้นละทำลายศีลตัวเอง ก็ภูมิใจว่าเราเป็นพระเป็นเณร ภูมิใจลมๆ แล้งๆ นี่ซิมันน่าคิด ไม่ได้ปฏิบัติ ผู้ปฏิบัติก็มี การพูดอย่างนี้ไม่ได้ปฏิเสธนะว่าไม่มีผู้ปฏิบัติ มีแต่มีอย่างลึกๆ ลับๆ เงียบๆ เช่นดังในวัดบ้านก็มี ไม่ใช่ไม่มีนะ แต่ท่านปฏิบัติอย่างเงียบๆ ของท่าน เหมือนท่านไม่ได้ปฏิบัติว่างั้นเถอะ ไม่ออกตลาดเหมือนกิเลสมันออก กิเลสของพระของเณรออกตลาดนี้มันเกลื่อนไปหมดแล้ว ผู้ปฏิบัติเป็นธรรมจริงๆ ท่านก็เลยไม่อาจจะออกเสีย ท่านเก็บของท่านไว้เสียเงียบๆ
ในวัดในวาอย่างมากก็มีแต่พระอายุพรรษาแก่ๆ ท่านอยู่เงียบๆ ของท่าน ท่านภาวนา ท่านคงแก่เรียนแล้วเป็นรัตตัญญู คือรู้โลกก็รู้มานานแล้ว รู้มากต่อมากแล้ว ทีนี้ก็อยู่เงียบๆ ทำภาวนา อย่างนั้นมีอยู่ไม่ว่าบ้านนอกในเมือง มักมีอยู่เสมอแทรกๆ กันไป เป็นแต่เพียงว่ามีน้อย ส่วนที่เพ่นพ่านๆ กิเลสออกตีตลาดนี่ซิมันน่าทุเรศ
เวลาเรียนหนังสืออยู่ผมก็ทำภาวนาของผมอยู่ มันมีอันหนึ่งอยู่ลึกๆ นั้นละพูดไม่ถูกนะ มันเป็นเหมือนกับสายดิ่งอยู่ในหัวใจ ดิ่งต่ออรรถต่อธรรมต่อภาวนา เป็นอยู่ในหัวใจนี้ เรียนก็เรียน แต่อันนี้มันเป็นเหมือนกับเป็นแกนอยู่ภายในไม่ลดละ จึงได้มาเล่าให้ฟังที่ว่า จิตรวมกึ๊กนี้ขาดไปหมดเลย เราไม่เคยเป็นนี่มันก็ตื่นเต้นซิ ดีใจตื่นเต้น ความตื่นเต้นเลยไปกระตุกมันเสีย ไปกวนมันเสีย จิตเลยถอยออกมา โอ๊ย เสียดาย คราวหลังจะเอาใหม่ แต่ความหมายสัญญาอารมณ์มันไปอยู่กับที่ผ่านมาแล้วนั่นเสีย จิตไม่อยู่กับวงปัจจุบันมันก็ไม่เป็น จนกระทั่งมันจืดจางไปแล้ว จนหายห่วงแล้ว จิตก็ไม่ไปยึดอดีตมันก็เป็นอีก ก็เป็นบ้าอีกอย่างนั้นนะ มันแปลกนะเมื่อมันเป็นแล้วถึงได้รู้
เวลาภาวนา แต่ผมนี้ชอบภาวนาพุทโธมาแต่ไหนแต่ไร วันจิตจะเป็นอย่างนั้นนะ มันเหมือนกับว่าเราดึงจอมแห แหตากไว้นี้ เหมือนว่าดึงจอมแห มันหดเข้ามาพร้อมๆ กัน กระแสของจิตที่รู้สิ่งนั้นสิ่งนี้ มันหดเข้ามาๆ ย่นเข้ามา ความหดเข้ามาของจิตนี่มันก็เป็นกิริยาอันหนึ่ง ให้เกิดความสนใจต่ออาการของมันที่ย่นเข้ามาๆ เลยเป็นจุดแห่งความสนใจขึ้นมาเอง ยิ่งจ่อเข้าไปๆ ย่นเข้ามาๆ กึ๊กเลย ถึงนั่นแล้วขาดปึ๊งหมด โถ ขาดจริงๆ พอรู้อยู่เท่านั้นไม่มีอะไรเข้ามาเกี่ยวข้องเลย ขาดหมดมันก็อัศจรรย์ละซิ อัศจรรย์ ตื่นเต้น เดี๋ยวมันก็ถอนเพราะความตื่นเต้นไปกระตุกไปกวนมัน โห เป็นอย่างนี้ๆ โห เป็นอย่างนี้เองจิต มันไม่เคยเป็นมาเป็นเดี๋ยวก็ตื่นเต้น
จากนั้นมาก็ทำเรื่อยละ ภาวนาเรื่อยแต่มันไม่เป็น เป็นอย่างนั้นผมเป็นได้เพียง ๓ หนเวลาเรียนหนังสืออยู่ เป็นเพียงสงบเล็กๆ น้อยๆ ธรรมดาๆ จิตสงบของมันอยู่ธรรมดา แต่ที่เป็นอย่างนั้นไม่เคยเป็น มันเป็น ๓ หนเท่านั้นแหละ จนกระทั่งหยุดเรียนแล้วออกปฏิบัติ ทีนี้ขนาบใหญ่เลยเชียว จะเอาให้ได้อย่างนั้น คราวนี้ยังไงก็หนีไม่พ้น เพราะปลดเปลื้องภาระการศึกษาเล่าเรียนความกังวลอะไรๆ ออกหมด มีแต่ภาคปฏิบัติล้วนๆ เอากันใหญ่เลย
ผมทำทั้งวันทั้งคืนไม่ถอย มันก็เป็นจนได้ละซิ จากนั้นจิตก็เป็นสมาธิ แน่นหนามั่นคงอยู่ตลอดเวลา จะเข้าสมาธิ จิตจะสงบกิริยาหรือไม่สงบกิริยาของความคิดความปรุงก็ตาม แต่ฐานของจิตนั้นมันแน่นปึ๋งๆ อยู่นั่น จึงเรียกว่าจิตเป็นสมาธิ ให้มันเห็นอย่างนั้นซิ จิตเป็นสมาธิเป็นยังไง ที่สงบเข้าไปก็จะว่าเป็นสมาธิเลยเหรอ ที่เป็นสมาธิมันมีนี่ ให้เห็นทั้งสองอย่างซิ สงบเข้าไปเรียกว่าจิตสงบ พอถอยออกมาแล้วมันก็หมดสมาธิคือความตั้งมั่น มันไม่มั่นให้ซิ มันคลอนแคลนๆ ทีนี้เวลาสงบหลายครั้งหลายหนๆ ความสงบแต่ละครั้งๆ นั้นก็สร้างฐานของมันให้แน่นหนามั่นคงขึ้นๆ สุดท้ายฐานของจิตก็แน่นปึ๋ง จิตจะสงบเข้าไปไม่สงบเข้าไปก็ตาม ที่ไม่สงบคือคิดอ่านไตร่ตรองอะไรได้อยู่ก็ตาม แต่กำหนดดูฐานของจิตนี่มันจะแน่นปึ๋งอยู่ตลอดเวลา นั่นจึงเรียกว่าจิตเป็นสมาธิ ก็พูดได้ละซิเมื่อมันเป็นแล้ว
เพียงสมาธิเท่านี้ก็อัศจรรย์นะ ถ้าไม่มีธรรมขั้นละเอียดกว่านี้ขึ้นมาแทรกนะมันอยู่ได้ เพลินทั้งวันนี่นะ ก็มันเป็นในหัวใจเจ้าของแล้วทำไมจะพูดไม่ได้ คือมันอิ่มตัวตลอดเวลา อยู่ไหนมันก็อิ่มตัว อยู่สบายไม่มีอะไรกวน พอเข้าสมาธิแล้วแน่ว ผมพูดจริงๆ นะ จิตเป็นสมาธินี้มันเป็นจริงๆ ชำนาญเอามากทีเดียว เพราะไม่ได้สนใจกับปัญญาเลย สุดท้ายก็จะเอาสมาธินี้ละเป็นนิพพาน จนพ่อแม่ครูจารย์ไล่ขนาบออกถึงยอมออก
คือคนอื่นมาไล่มันจะไม่ออกนะ นี่พ่อแม่ครูจารย์ซึ่งเป็นที่เราเคารพนับถือมากสุดหัวใจ เพราะฉะนั้นมันถึงฝืนจากสมาธิออกมา แล้วท่านก็ดัดเอาหนักเหมือนกันนะ ผมไม่ลืม เพราะท่านรู้นิสัยนี้ ถ้าพูดธรรมดามันจะไม่ถึงนิสัยอันนี้ ท่านเอาแต่เด็ดๆ ใส่เลยกับผม เช่นอย่างที่ว่าสุขในสมาธิเหมือนกับเนื้อติดฟัน ท่านรู้ไหมๆ จ้อเข้ามาเลย ท่านไม่ได้บอกว่า ความสุขในสมาธินั้นไม่เหมือนความสุขทางด้านปัญญาซึ่งละเอียดกว่านี้ นี่อันหนึ่งนะ ท่านควรจะพูดอย่างนั้นท่านไม่พูด เวลาผ่านไปแล้วก็เข้าใจเอง อ๋อ ท่านพูดอย่างนั้นเพื่อดัดนิสัยอันนี้ จากนั้นไปแล้วท่านยังว่า ท่านรู้ไหมว่าสมาธิทั้งแท่งเป็นสมุทัยทั้งแท่ง ท่านรู้ไหม ฟังซิ
เราก็เรียนมาติดปากที่ว่าสัมมาสมาธิก็เป็นมรรค ก็เอานั้นมาเถียงท่านซิ ถ้าว่าสมาธิเป็นสมุทัยแล้วสัมมาสมาธิจะให้เดินที่ไหน สัมมาสมาธิของพระพุทธเจ้า ท่านไม่ได้เป็นสมาธินอนตายเหมือนของท่านนี่ว่างี้ นี่มันนอนตายอยู่นี่ ความติดในสมาธินั่นละความหมายนะ ความติดในสมาธินั้นละมันผิด ผิดตรงนั้น แต่ท่านจะว่าอย่างนั้นมันไม่ถึงใจเรา ท่านเลยพูดว่านอนตาย จึงว่างั้น สัมมาสมาธิของพระพุทธเจ้าท่านสอนไว้ ไม่ได้เป็นสมาธิที่นอนตายเหมือนของท่านนี่ มันก็หาที่ค้านไม่ได้ซี ก็นอนตายอยู่อย่างนั้นมันไม่ยอมออก ท่านเอาแต่หนักๆ กับผมนะ แล้วก็ได้เพราะท่านรู้นิสัยว่าเป็นนิสัยรุนแรง นิสัยผาดโผน เอาจริง ถ้าลงก็ลงจริงๆ ไม่ลงๆ เป็นอย่างนั้นนะผม
ทีนี้พอไปถึงขั้นปัญญา ท่านก็เอาอย่างหนักๆ อีกเหมือนกัน ขั้นปัญญาที่ว่าเวลามันออกแล้ว จนกระทั่งกลางคืนไม่หลับไม่นอน นั่นละมันหลงสังขาร คือสังขารน่ะหมายถึงความคิดทางด้านปัญญา ก็เป็นสังขาร เอาสังขารออกใช้ แต่สังขารนี้เป็นฝ่ายมรรค สังขารอันหนึ่งเป็นฝ่ายสมุทัย เวลาแยกออกนะ คือเวลาคิดให้เป็นปัญญาไม่เอาสังขารออกไปใช้จะเอาอะไรออกไปใช้ นั่นละท่านว่ามันหลงสังขาร คือสังขารของมรรคนั่นละ แต่มันเกินไปก็เรียกว่าหลง นั่นละมันหลงสังขาร ก็เมื่อไม่พิจารณามันก็ไม่รู้ นั่นละบ้าหลงสังขาร โอ๋ย เอาหนักเลยนะ บ้าหลงสังขาร
คราวนี้ไม่เถียงนะ คงจะถูกอย่างท่านว่าละ เหมือนอย่างคราวที่สมาธิ เราลงเลยนะสมาธิที่ท่านไล่ออกนั่นน่ะ เวลามาพิจารณามันเป็นอย่างนั้นจริงๆ มันถูกอย่างท่านว่า ก็ยอมละซิ ทีนี้เวลามาถึงขั้นปัญญาท่านว่าหลงสังขาร บ้าหลงสังขาร คงจะถูกอย่างท่านว่านั่นแหละ แต่มันก็ไปเต็มเหนี่ยวนั่นละ มันไม่อยากพักเลย แต่ก็ถูกอย่างท่าน เวลาพิจารณาเมื่อผ่านไปแล้ว ย้อนมามันถูกอย่างท่านว่า ก็ได้แต่เด็ดๆ ละซีที่นี่
ท่านสอนเราท่านสอนอย่างนี้ ท่านรู้นิสัยเราว่าเป็นนิสัยอย่างนี้ ทีนี้ไอ้เรื่องที่ว่าให้พอเหมาะพอดีนั่นนะ เรื่องสมาธินี้ก็ให้ออกพิจารณาทางด้านปัญญาบ้าง อย่าติดแต่สมาธิอย่างเดียว นี่ความหมายอย่างนั้นนะ แต่ท่านจะว่าเพียงแค่นี้มันจะไม่ถึงใจเรานั่นซิ เรามันหยาบนี่ท่านถึงใส่เอาอย่างนั้น ถ้าพูดถึงเรื่องปัญญา ก็การพิจารณาทางด้านปัญญามันเกินเหตุเกินผล มันเลยเถิดก็พักบ้างซีความหมายว่างั้น ให้มีเวลาพักในสมาธิบ้างแล้วออกทางด้านปัญญาบ้างให้สม่ำเสมอกัน จึงเรียกว่าดำเนินไปด้วยความสะดวก ความถูกต้องเป็นอย่างนั้น ทีนี้ท่านทำไมไม่ว่าอย่างนั้น ก็เพราะเห็นว่าเรานี้นิสัยหยาบหนา ถ้าไม่เอาอย่างหนักมันไม่กระเทือน เวลาผ่านไปแล้วก็รู้เอง
หัวใจเขาก็เหมือนหัวใจเรา ที่ไหนน่าเกาะก็อยากเกาะ น่ายึดก็อยากยึด ที่ไหนควรจะพึ่งเขาก็พึ่ง ก็เหมือนเรานั่นเอง ในด้านการมาเกี่ยวข้องของคนจึงหาทางตำหนิเขาก็ไม่ได้ เหมือนอย่างเราไปหาครูบาอาจารย์หาเกาะหายึด อะไรก็สู้ใจที่มีที่เกาะที่ยึดไม่ได้ เกาะยึดครูบาอาจารย์เกาะอรรถเกาะธรรม เวลาก้าวเดินต้องยึด ยึดให้เต็มที่ เมื่อถึงที่แล้วก็ปล่อยเอง เหมือนเราขึ้นบันได ไม่จับบันไดให้แน่นไม่ได้ ตกลงมาตายนั่น เวลาขึ้นต้องเกาะบันไดให้ติดทีเดียว เมื่อถึงที่แล้วก็ปล่อยเอง
เวลานี้เป็นเวลาที่ยึดที่เกาะครูบาอาจารย์ ต้องยึดต้องเกาะ ใครว่าติดครูบาอาจารย์ นั่นมันบ้าพวกนี้ ว่าการยึดครูบาอาจารย์ติดครูบาอาจารย์ผิดไปอีกแหละ ใจคนเราไม่มีอะไรเกาะยึด ก็เป็นว่าวเชือกขาดอยู่บนอากาศ หัวปักลงมาอย่างนั้นเหรอมันถึงดี คนไม่มีที่เกาะไม่มีที่ยึดมันได้เรื่องอะไร นั่นเรียกคนหลักลอย ถึงเวลาเกาะมันต้องเกาะเสียก่อนซิ เวลานี้เป็นเวลาที่เกาะเป็นเวลาที่ยึด ต้องเกาะต้องยึด จะปฏิบัติแบบลอยๆ ไม่ได้
เช่นเราเดินทางนี้ เราต้องยึดสายทางเป็นสำคัญ สายทางที่ถูกนี้ต้องยึด แยกไม่ได้ ครูบาอาจารย์ที่แนะนำสั่งสอนโดยถูกทางต้องยึดต้องเกาะให้แน่นทีเดียว ก็ยิ่งเป็นการเพิ่มกำลังของเราขึ้น เป็นที่มั่นใจ เป็นที่อบอุ่น สะดวกก้าวเดิน สนุกก้าวเดิน เมื่อมีครูมีอาจารย์คอยแนะอยู่แล้วมันสนุกก้าวเดิน ไม่ว้าเหว่ นี่ไม่ยึดได้ยังไง ถึงวาระที่ควรยึดต้องยึดไว้ก่อน เมื่อถึงวาระอิ่มก็เหมือนเรารับประทาน อิ่มตัวแล้วก็หยุดการรับประทาน
อย่างพระนันทะที่พระพุทธเจ้าทรงรับรอง การปล่อยความรับรองจากพระพุทธเจ้าก็พระนันทะพูดเอง นั่นเวลาเกาะ-เกาะเต็มที่ พระนันทะเกาะพระพุทธเจ้า บทเวลาพอถึงขั้นวิสุทธิธรรมอรหัตบุคคลแล้ว เป็นอันว่าปล่อยแล้วเรื่องการรับรองจากพระองค์ เวลาพระนันทะยังช่วยตัวเองไม่ได้พระองค์ต้องเป็นตัวประกันไปก่อน พอถึงที่แล้วก็ปล่อย หมดปัญหากันแล้ว นี่เรื่องเป็นอย่างนั้น
เมื่ออยู่ในวาระที่เกาะที่ยึดต้องเกาะต้องยึด ไม่เกาะไม่ได้ไม่ยึดไม่ได้ ผมนี่เคยเป็นเต็มหัวใจมาแล้ว พ่อแม่ครูจารย์มั่นนี่เป็นหัวใจของผมเลย ขนาดนั้นนะ จะว่าเกาะว่ายึดหรือไม่เกาะไม่ยึดก็พิจารณาซิ ชีวิตจิตใจอยู่กับท่านหมดเลย เวลาควรยึดต้องยึด ควรเกาะต้องเกาะ ควรพึ่งต้องพึ่ง ไม่พึ่งไม่ได้ เหมือนกับเราเดินตามสายทาง ปลีกสายทางไม่ได้ พอถึงที่แล้วทางนั้นกับเราก็หมดปัญหากันไปเอง เมื่อถึงที่ตามครูบาอาจารย์ท่านสอนแล้วมันก็รู้เอง
แต่เรื่องบุญเรื่องคุณนั้นไม่ถอนนะ เห็นบุญเห็นคุณท่าน เคารพเลื่อมใสท่านสุดหัวใจ แต่ที่จะให้ยึดแบบแต่ก่อนนั้นมันไม่ยึด แน่ะมันก็รู้นี่ จะให้ยึดแบบแต่ก่อนนั้นไม่ยึด แต่มันเปลี่ยนเป็นอีกแบบหนึ่ง เป็นความเห็นบุญเห็นคุณ ซึ้งไม่มีอะไรเท่าละที่นี่ ความเห็นบุญเห็นคุณของครูบาอาจารย์นั้นซึ้งจริงๆ ผมนี่ถ้าไม่อาศัยพึ่งพิงพ่อแม่ครูจารย์มั่นแล้วมันจมไปถึงไหนแล้วก็ไม่รู้ อย่างนี้ซิมันจะไม่ซึ้งได้ยังไง ท่านสอนว่ายังไงนี้จับปั๊บๆ คว้ามับๆ มันเอาจริงเอาจังนี่ นิสัยนี้เป็นอย่างนั้น เพราะฉะนั้นท่านถึงใส่เอาหนักๆ กับผม
ผมทำอะไรเอาจริงเอาจังทุกสิ่งทุกอย่าง มันเป็นนิสัยจริงจัง แต่เรื่องนี้ก็เคยเป็นมาแต่ฆราวาสนั่นแหละ เราหากไม่รู้ว่าอันนี้เป็นอรรถเป็นธรรมหรือเป็นอะไร นิสัยจริงจัง มีความสัตย์ความจริงนี่ มันไม่ได้คิดแต่ก่อน เวลามาปฏิบัติธรรมจึงระลึกย้อนไปหาความเป็นฆราวาสของเจ้าของ อ๋อ มันเป็นมาแต่โน้น เป็นพื้นเพมาแล้ว ก็มันจริง ถ้าว่าจะทำแล้วทำเลยเอาเลย ถ้าว่าจะไป-ไป ถ้าว่าจะอยู่-อยู่ ไม่ได้มีคำว่าเหลาะแหละนะ ว่าจะไปแล้วไม่ไปอย่างนี้ผมไม่เอา ใครมาเล่นกับผมเหลาะแหละนี้ผมไม่เล่นด้วยนะ เป็นฆราวาสก็เหมือนกัน นิสัยเหลาะแหละนี้ผมไม่เล่นด้วย ถ้าว่าพึ่ง-พึ่งกันจริงๆ พึ่งเป็นพึ่งตายจริงๆ ไม่มีสอง เป็นอย่างนั้นแลนิสัยเรา
ทีนี้เวลาเข้ามาหาครูบาอาจารย์แล้วมันถึงเกาะถึงยึดเอาจริงๆ ถ้าเป็นที่ลงใจแล้ว ครูบาอาจารย์ของเราแน่แล้ว ไม่สงสัยแล้ว เพราะเรียนเราก็เรียนมาแล้ว ท่านปฏิบัติยังไงตำรับตำรามันก็วิ่งเข้าถึงกันปุ๊บๆ ประสานกันแล้วลงใจแล้ว ท่านทำอย่างนั้นถูกกับข้อนั้นๆ สิ่งที่เราพอเอามาเทียบมาเคียงได้มันก็เห็นชัดๆ แม้สิ่งที่เราไม่อาจเทียบเคียงได้ เราไม่สามารถมันจะฝืนไปไหน มันก็ต้องลงใจ เหมือนอย่างที่เราเห็นมาแล้วนี้ เรื่องสมาธิปัญญาของท่านเป็นยังไงๆ
บทเวลาควรยึดต้องยึด ยิ่งยึดยิ่งหนักแน่นเข้าไป คิดดูซิอย่างพ่อแม่ครูจารย์มรณภาพผมน้ำตาร่วง เห็นไหมล่ะ เพราะจิตไม่อยู่กับใครเลย ปัญหาของเราวันหนึ่งๆ เกิดขึ้นเท่าไร ตอนนั้นเรื่องปัญญาของเราเป็นธรรมจักรอยู่แล้วนี่ ไม่มีวันมีคืนเลย ปัญหาก็เกิดขึ้นเรื่อยซี เมื่อมีครูบาอาจารย์อยู่ เราจะไปแก้ไปไขโดยลำพังตนเองให้เสียเวล่ำเวลาทำไม เพราะปัญหาบางข้อมันแก้ยากจริงๆ และหนักเอามาก เหมือนกับแหลมหลาวแทงหัวใจเข้าไป แก้ไม่ได้มันก็ขวางอยู่นั้นนี่ พอวิ่งไปหาท่านเล่าถวายท่าน ท่านใส่เปรี้ยงเดียวตกพลัวะหมดเลย นั่น
คุณค่าของครูบาอาจารย์ที่ผ่านไปแล้ว เห็นแล้วรู้แล้วแก้เราเป็นอย่างนั้น แล้วทีนี้คุณค่าของเราที่จะแก้ตัวเองนี้ ฟัดกันวันยังค่ำยังไม่ได้เรื่องเจ้าของจนจะตาย มันมีคุณค่าอะไร ต่างกันขนาดนั้นนะ ถ้าพูดถึงคุณค่าของครูบาอาจารย์ เรามันไม่มีคุณค่าเลยนี่ แต่เมื่อเวลาไม่มีครูบาอาจารย์แล้วมันก็จำเป็นต้องฟัดต้องเหวี่ยงกันไปนั่นแหละ อย่างพระสงฆ์สาวก ในครั้งพุทธกาลที่ว่าไปเรียนถามปัญหากับพระพุทธเจ้า แล้วได้ตรัสรู้ธรรมต่อพระพักตร์ก็ยังมี ในเมื่อมีผู้ศึกษาไต่ถามได้จะไปแบกให้มันหนักทำไม ก็ต้องเข้าๆ ออกๆ ซี
อย่างพระสงฆ์สาวกในครั้งพุทธกาลเข้าหาพระพุทธเจ้าเรียนถามปัญหา พอพระพุทธเจ้าแก้ปัญหาเท่านั้นก็บรรลุธรรมๆ ทีนี้เมื่อเวลาไม่มีครูบาอาจารย์คอยแก้ไขแนะนำสั่งสอนนั่นซิมันลำบากน่ะ แล้วทำยังไงเพราะหัวใจไม่อยู่กับใครเลย อยู่กับท่านเท่านั้น ท่านมรณภาพแล้วเห็นแล้วนั่งเฝ้าท่านอยู่นี่ รำพึงจนน้ำตาร่วงเลยผมน่ะ ทำยังไง ปัญหาของเรามันเกิดอยู่ตลอดเวลา นี่ท่านล่วงไปแล้วจะทำยังไง เมื่อสุดวิสัยแล้วมันก็ฟัดก็เหวี่ยงโดยลำพังตัวเอง แต่มันนานซิ ปัญหาบางข้อมันไม่ได้ลงง่ายๆ กว่าจะลงเอยกันได้ก็แทบเป็นแทบตายนี่
จึงขอให้ทุกท่านจงเห็นโทษในความปราศจากครูอาจารย์ผู้พร่ำสอนแต่บัดนี้ที่ยังไม่สายเกินไป แล้วรีบเร่งขวนขวายธรรมใส่ตนที่กำลังยังมีครูอาจารย์คอยแนะนำอยู่ จะไม่เสียการณ์และเดือดร้อนในภายหลัง
พอเหนื่อย |