เทศน์อบรมฆราวาส ณ วัดป่าบ้านตาด
เมื่อวันที่ ๗ กุมภาพันธ์ พุทธศักราช ๒๕๔๖
บุญเครื่องหนุนให้พ้นจากทุกข์
หนาว ๆ อย่างนี้ อรรถธรรมทั้งหลายที่ว่า เลิศเลอ ๆ นั้น ไปรวมอยู่ที่หมอนหมดนะ ไม่ได้อยู่ที่ใจ ธรรมที่เลิศ ๆ ไปอยู่ที่หมอน ความหนาวเลยเลิศกว่าธรรมไป ธรรมสู้ไม่ได้ สู้หมอนไม่ได้ เมื่อเช้านี้มันลง ๑๗ เท่านั้น ๑๗ องศา ก็ธรรมดาไม่ค่อยหนาวเท่าไรนัก พอหนาว ๆ นี้ทำให้ระลึกถึงพวกสัตว์ป่านะ พวกหมูเขามาเป็นฝูง เรานอนอยู่แคร่ เวลาหนาว ๆ ดึก ๆ เขามาหากินข้างแคร่ ๆ เรานี้ เขาไม่ได้กลัวคน เขาไม่สนใจ ฟังเสียงฟุดฟิด ๆ มา เป็นฝูง ๆ มาหมูป่า เราก็อยู่แคร่ หนาว อยู่อย่างนั้นก็ออกไปเดินจงกรมไม่ได้ มันหนาวถึงขนาดตัวแข็งไปเลย หนาวมาก ๆ ก้าวไปเดินจงกรมไม่ได้นะ แต่พวกหมูป่าเขามาอย่างสบาย ๆ เขาไม่เห็นมีเสื้อมีผ้ามีหมวกกันหนาว มีรองเท้าอะไรกันหนาว มีเสื้อนวมเสื้อเนิมกันหนาวอะไร เขามาของเขาอย่างสบาย ๆ เครื่องกันหนาวเขาไม่มีเหมือนคน พวกสัตว์เหล่านี้มันดีกว่ามนุษย์นะ
มนุษย์นี้ทุกอย่างอ่อนแอมาก เขามาหากินฟุดฟิด ๆ มาอย่างสบายนะ เขาไม่กลัวพระ หนาวก็รู้สึกว่าเขาจะไม่หนาวละสังเกตดู ฟังเสียงเขาหากิน เขาขุดกินข้าง ๆ ไม่ได้ห่างไกล ดูประมาณสักแค่ต้นเสานี้ เราอยู่ในแคร่เขามาจากริมป่า เขาไม่กลัว เฉยเลย ไม่ใช่ตัวหนึ่งตัวเดียวนะ มาเป็นฝูงเลย หากินฟูดฟาด ๆ กลางคืนหนาว ๆ เราไปอยู่ที่ไหนเป็นอย่างนั้น พวกสัตว์ป่ากับพระนี้ถูกกันดี เหมือนอย่างนกเป็ดน้ำนี่นะ พวกนกเป็ดน้ำกับวัดนี่เขาเข้าใจดีมากทีเดียว เขาบินมานี้ถ้าเห็นจีวรตากที่ไหนเขาจะร่อนลง ๆ ถ้ามีสระมีน้ำเขาจะลง พวกนกเป็ดน้ำกับพระนี้ถูกกันดี คือเขาเคยอาศัยวัดมีสระน้ำมีอะไรอยู่ในวัดในวานี้ เขาเคยอาศัย ปลอดภัย เพราะฉะนั้นเขาเห็นผ้าจีวรพระนี้เขาจะบินร่อนลงดู ๆ ถ้ามีน้ำเขาก็ลง เขาอยู่ที่นั่น
เช่นอย่างวัดนายูง นาคำน้อย เวลานี้มีเป็นพัน ๆ หน้าหนาวเขามาจากไซบีเรียหรือว่าอะไรไม่รู้ มารวม เวลาหน้าหนาวนกเป็ดน้ำมีมากอยู่ที่วัดนาคำน้อย มาอยู่นั้นเป็นประจำ ถ้าหน้าหนาวนี้มาเป็นพัน แล้วสถานที่อยู่ของเขาก็เหมาะด้วย ที่นั้นมีสระใหญ่ สระใหญ่ ๆ จริง ๆ นะสระน้ำ ๓ สระใหญ่ เขามาอยู่ที่นั่นเต็มหมด แล้วถ้าหน้าร้อนเขาอยู่ได้ประมาณสักร้อยหรือสองร้อย ไม่มาก พอหน้าหนาวนี้มาละ เต็มอยู่นั้น นี้เขาอาศัยวัดอาศัยพระ พระไม่มีอะไรกับเขา พวกนี้จึงรู้ได้ดี มีวัดอยู่ที่ไหน ๆ เขาจะร่อนลงดู เขาฉลาดนะ สถานที่ที่พระอยู่ที่ไหน ไม่ว่าสัตว์น้ำสัตว์บกคุ้นเชื่องนะ ปลาก็เหมือนกัน ก็เราเคยให้อาหารมัน เราเดินไปขอบสระไม่ได้ รุมมาเลย แต่นี้มันมีอยู่ทั่วไป คือพวกประชาชนเขาไปเลี้ยงปลาบ้างอะไรบ้าง แต่สำหรับพวกนก พวกสัตว์ป่านั่นซี เขารู้พระจริง ๆ
พวกสัตว์ป่า พวกเก้ง พวกหมู เราไปอยู่ที่ไหนเขาจะมาอยู่รอบ ๆ ใกล้ ๆ นะ ไม่อยู่ไกล แต่เขาก็ไม่มาคุ้นกับเรา เขาหากอยู่ข้าง ๆ กับพระเรา เราเดินจงกรมก็เห็นเขาอยู่ พวกหมูนี่ด้วยแล้วยิ่งเชื่อง เราเดินจงกรมนี้เขาก็มาหากินอยู่ข้างทางจงกรมเราละ ไม่ว่ากลางวันกลางคืนเขาไม่ได้กลัว เชื่องง่ายมากหมูป่า เก้งไม่เชื่องขนาดนี้แต่อยู่รอบ ๆ ใกล้ ๆ แต่หมูป่านี่เชื่องมาก เราไปอยู่จึงได้รู้ อ่านดูนิสัยสัตว์ป่าได้ดี พวกพระกรรมฐานท่านไปอยู่ที่ไหน พวกสัตว์เหล่านี้มาอยู่รอบ ๆ ท่าน ค่อยมานะ พอพวกนี้มาแล้วพวกนั้นมา ตัวนี้มา มากเข้า ๆ ทุกวันๆ ไม่ไปหากินที่อื่น พอออกไปนี้ถูกเขาฆ่าละซิ มันต้องอยู่รอบ ๆ
ทีนี้ประชาชนเขาก็เคารพพระ เคารพศาสนา เขาไม่มายุ่ง ถ้าสัตว์มาอยู่ในวัดเขาก็เป็นคนธรรมดาเป็นคนวัดไป เขาไม่มีอะไรแหละ ไปที่ไหนเห็นอย่างนั้น เราพูดถึงหน้าหนาว สัตว์น่าจะหนาวก็ไม่เห็นหนาว หมูป่ามาหากิน อู๊ย หมูนี่เสียงดังมากนะ พวกสัตว์ป่าหมูป่านี่เสียงดัง มานี้เสียงโครมครามดังมาเลย ไม่ระวังตัว พวกเก้งนี้ไม่ค่อยรู้นะ แต่หมูนี่มามากมาน้อยรู้ ไม่ค่อยสำรวมไม่ค่อยระวังเหมือนสัตว์อื่น ๆ หมูนี่มาเสียงโครมคราม ๆ ตัวใหญ่เท่าไรยิ่งเสียงดัง มาข้าง ๆ แต่พวกเก้งนี้ไม่ได้ยินเสียง บางทีเรายืน เดินจงกรมกลางคืน ปรกติเราก็ไม่ค่อยได้ใช้ไฟด้วย ปรกติเป็นอย่างนั้นไม่เคยจุดไฟเดินจงกรม ไม่ว่าจะเดือนหงายเดือนมืดอะไรเดินได้อย่างสบาย ทีนี้เวลาเรายืนซิ อีเก้งมันก็มาของมัน
มันขบขันดีนะ เวลาเรายืนพิจารณาธรรมละซิ เดินไปบางทีก็ยืนเป็นเวลานาน ๆ ถ้าพิจารณาอะไรมันยังไม่ลงตัวแล้ว ก็ยังยืนพิจารณาอยู่นั้น ทีนี้เขาก็มา ไม่ได้ยินเสียงเขานะ เขามาข้าง ๆ เรา เออ สัตว์นี้ถ้าเราไม่กระดุกกระดิกเขาไม่รู้นะ ถ้าเขาอยู่ทางใต้ลมเรา ได้กลิ่นเรา ถ้าอยู่ทางเหนือลมมาใกล้ ๆ อย่างนี้ก็ไม่รู้นะ พอได้จังหวะเราก็เคลื่อน เขาอยู่ข้าง ๆ พอเราเคลื่อนจะเดิน เสียง โอ๋ย ตื่น ฟังเสียงแก้กวิ่งป่าเลิก มันไม่รู้นะคนยืนอยู่ เวลามันกลัวร้องแก้กวิ่งเลยเทียว
นี่ก็จะเล่าเรื่องกรรมฐานกลัวให้ฟัง ท่านอาจารย์พรหมเรานี่ท่านเล่าให้ฟัง ท่านมาตำหนิท่านทั้งหัวเราะนะ ท่านไปอยู่ทางถ้ำพระเวส ท่านลงมา มากลางคืน แล้วก็บุกป่ามากลางคืน ทางพอหลวมตัวมาได้ เดือนก็เดือนมืดท่านว่า เดินบุกป่ามากลางคืน ท่านเลยคิด จะไปอะไร มืดแล้วก็ยังจะไป ไปหาอะไร พักที่ไหนก็ได้นี่นะ ท่านเลยแวะจากทาง ทางพอเป็นทางคน กางกลดอยู่ที่นั่น มันขบขันดี ท่านเล่าเองนะ ท่านเป็นนิสัย โหย น่าเกรงขามมากนะ นี่อัฐิของท่านก็กลายเป็นพระธาตุแล้ว ก็ลูกศิษย์หลวงปู่มั่นเราไปอยู่เชียงใหม่ ตอนนั้นท่านบอกท่านบวชใหม่ ๆ ลงมาจากภูเขา แล้วก็ปลีกออกไปข้างทางไปปักกลดที่นั่นแล้วภาวนาเงียบ ๆ นี่ละที่ว่าอีเก้งไม่ได้ยินเสียงมันนะ
คิดดูซิ มันมานี้เราก็ไม่ได้ยินเสียงมัน มันยืนอยู่ข้าง ๆ เวลาเรากระดุกกระดิกมันร้องแก้กขึ้น ท่านอาจารย์พรหมก็เหมือนกัน ท่านก็บุกเข้าไปในป่า ท่านกางกลดแล้วท่านก็นอนในนั้นนอนภาวนา เก้งมันก็มาตรงนั้น มุ้งกลดมันเป็นอย่างนี้ใช่ไหมล่ะ ก็อยู่ในป่ายังไม่ได้ถากถางอะไร มากลางคืน ท่านก็นั่งภาวนาอยู่ในนั้น ทีนี้เก้งมันก็ออกมาละซี มันมาเจอเอามุ้งใหญ่ ๆ มุ้งกลด พอโผล่ออกมา ท่านบอกว่าท่านนั่งภาวนาอยู่ เวลามาไม่ได้ยินเสียงมัน พอมาโดนมาเจอเอามุ้งใกล้ ๆ ติดกันนี้ มันก็ร้องแก้กนี้ วิ่งป่าเลิก ทางนี้ก็ร้องโก้กในมุ้ง
ท่านว่า ตื่นมัน อยู่ ๆ มันก็แก้กขึ้น เราก็เอิ๊ก มันก็ยิ่งไปใหญ่ ท่านเลยมาพูด มันกรรมฐานผีบ้าอะไรก็ไม่รู้ ท่านว่า สละชีวิตจิตใจออกไปเที่ยวกรรมฐาน ครั้นเวลาเก้งมันมาร้องแก้กนี่ กลัวตายละซีมันถึงร้องโก้กขึ้นในมุ้ง ท่านบอกว่าท่านร้องในมุ้ง ไม่ได้สตินะท่านว่าอย่างนั้น มันร้องของมันเอง มันยังไงกรรมฐานนี่ ท่านพูดเรื่องเบื้องหลังของท่าน เอ๊ เราก็ไม่ทราบว่ากลัวไม่กลัว พอเก้งมันแก้กขึ้น เราก็เอิ๊กขึ้นข้างใน แล้วอดหัวเราะตัวเองไม่ได้นะ ท่านหัวเราะตัวเอง มันเหมือนบ้า กรรมฐานอะไร ท่านว่าอย่างนั้น ท่านเล่าให้ฟัง
ท่านเป็นพระที่สง่าน่าเกรงขาม อาจหาญชาญชัย ท่านพูดให้ฟังเรื่องสัตว์มันมานี้ ทั้งป่ารก ๆ นั่นนะ มาไม่ได้ยินเสียงมันเลย โผล่มาก็มาโดนกับมุ้งมันก็ตื่นละซี ตื่นมันก็ร้องแก้ก เราก็ร้องโก้กข้างใน เก้งก็วิ่งใหญ่ ร้องแก้ก ทางนี้ก็โก้กขึ้นข้างใน เรามาพิจารณาดูแล้วมันกรรมฐานอะไร ท่านว่าอย่างนั้นนะ สละชีวิตจิตใจเข้าป่าเข้าเขา อีเก้งมันร้องเท่านั้นเป็นบ้าไปเลย ร้องโก้กข้างใน มันกรรมฐานอะไร เราก็ได้เอามาคิดถึงเรื่องกรรมฐาน ท่านว่าเราสละชีวิตจิตใจออกมาทุกด้านทุกทางแล้ว บทเวลาจะมาเป็นก็มาเป็นกับเก้ง อู๊ย ไม่เป็นท่าเลยกรรมฐาน ขบขันดีนะ อยู่ในป่า
เทศน์ก็เทศน์ทุกวัน วันนี้ไม่ใช่เขาเอานั้นมาติดไว้ไมค์แล้วเหรอ ทางสหรัฐ (มีครับ) ทางสหรัฐอยู่ข้างล่างนี้ ต่างคนต่างขี้รดหัวกัน ถ้าเราถามว่าสหรัฐอยู่ไหน อยู่นี้ ขี้รดหัวสหรัฐ ทีนี้เวลาเขาถามสหรัฐว่าเมืองไทยอยู่ที่ไหน อยู่ที่นี่ แล้วขี้รดหัวเมืองไทย พวกนี้พวกขี้รดหัวกัน ทางสหรัฐเวลานี้เขาติดต่อตลอดเลย เราไปเทศน์ในกรุงเทพฯ เขาก็ไปติดทางนั้นเพื่อเขาจะได้ฟังตอนเราเทศน์ อยู่ที่นี่ก็เริ่มแล้วทางนู้นเขาก็ติดไว้แล้ว พอเราเริ่มพูดอย่างนี้ทางสหรัฐก็ได้ยิน มันหลายประเทศนี่นะ พวกลาว เขมร เวียดนาม ที่เป็นชาวพุทธ ธรรมะของเราจึงกระจายอยู่ทางสหรัฐ ดูว่ารัฐเทกซัสที่มากที่สุด เขาฟังตลอด พวกอินเตอร์เน็ตก็ฟังมาตลอด เทศน์สด ๆ นี้ก็ฟัง เวลานี้ก็เริ่มฟังตลอดเหมือนกันนะ
ท่านทั้งหลายได้ทราบไหมว่า วันนี้เราเป็นมหามงคลแก่วัดวาแก่พี่น้องทั้งหลายเรา ทูลกระหม่อม (ฟ้าหญิงจุฬาภรณ์) ท่านเสด็จมา ท่านหนาวหรือไม่หนาว นู่นน่ะเสด็จมาตอนตี ๔ ตี ๕ ซึ่งกำลังหนาวจัด พวกเรายังนอนไม่ตื่นกัน ท่านเสด็จมานี้ นั่นละความพอใจ ไม่ว่าอะไรก็ตามถ้าความพอใจแล้วสิ่งนั้นเป็นฤทธิ์เป็นเดชขึ้นมา กำลังวังชาทุกด้านทุกทางมีมาพร้อมกัน ไม่ว่าทางชั่วทางดี ทางชั่วถ้ามีกำลังใจแล้วพินาศ ทำโลกให้พินาศได้ กำลังใจทางด้านธรรมะถ้ามีสำหรับผู้ปฏิบัติธรรมนี้ เมื่อใจมีกำลังมากเท่าไรกิเลสก็พังได้ สำคัญที่กำลังใจ
ถ้าใจไม่มีกำลังทำอะไรก็ไม่ค่อยเป็นผลเท่าที่ควร เพราะกำลังอยู่ที่ใจ ความอ่อนแออยู่ที่ใจ ความเข้มแข็งอยู่ที่ใจ เพราะฉะนั้นการได้ยินได้ฟังในทางที่ดี เช่น เสียงอรรถเสียงธรรม จึงเป็นกำลังใจอันใหญ่หลวงที่จะทำประโยชน์มหาศาลแก่เราได้โดยไม่ต้องสงสัย คิดดูทูลกระหม่อมท่านอยู่กรุงเทพฯนู่นน่ะ ท่านยังอุตส่าห์เสด็จมาก็ด้วยอรรถด้วยธรรม เพราะกำลังใจเหมือนกัน ท่านสนพระทัยในการภาวนา เรื่องภาวนาท่านเอาจริงเอาจัง ท่านอุตส่าห์เสด็จมาทั้ง ๆ ที่หนาว ๆ ก็เป็นมงคลแก่พี่น้องชาวอุดรของเรา มาสดับธรรมแล้วไปประพฤติปฏิบัติกำจัดสิ่งที่ไม่ดีทั้งหลายอยู่ภายในใจ เพราะสิ่งนี้มันอยู่ได้ทุกหัวใจ ทั้งสัตว์ทั้งบุคคล
สัตว์ก็มีกิเลสประเภทอย่างนี้เหมือนกัน มันก็นำออกไปใช้ตามประเภทของสัตว์ คนก็ใช้ประเภทหนึ่งของคน กิเลสนำออกไปใช้ได้ทุกแบบทุกฉบับ ถ้าเป็นคนก็ไปใช้แบบคน กลายเป็นคนโจรคนมาร คนชั่วช้าลามกไปอย่างงั้น ทางดีก็เป็นคนดิบคนดี บัณฑิตนักปราชญ์ฉลาดแหลมคม ทำตัวเองให้มีความเจริญรุ่งเรือง แล้วก็ทำโลกให้มีความเจริญรุ่งเรือง ชุ่มเย็นเป็นสุขทั่วหน้ากัน นี่เป็นฝ่ายธรรม ธรรมอยู่ที่ใจ กิเลสอยู่ที่ใจ คือเกิดที่ใจทั้งธรรมทั้งกิเลส แล้วอยู่ก็อยู่ที่ใจ ความผลักดันของกิเลส และธรรมออกมาจากใจนั้น จึงต่างกั ตามหน้าที่ของเขา หรือตามเรื่องของกิเลสและธรรม
ถ้าเป็นอารมณ์ของกิเลสออกมานี้จะเป็นความต่ำทรามไปเป็นลำดับ แต่ถือว่าเป็นความพอใจของกิเลส เป็นความสูงส่งของกิเลส เพราะฉะนั้นคนที่มีกิเลสผลักดันออกไปในทางไม่ดี โลกเขาจะถือว่าต่ำทรามขนาดไหนก็ตาม คนที่ทำตามกิเลสที่เป็นของต่ำทรามนั้นก็กลายเป็นถือว่าตนเป็นผู้สูงที่สุดไปแล้ว คนทำความชั่วช้าลามกเขาไม่ได้ถือว่าเขาเป็นความต่ำคนต่ำนะ เขาถือว่าเขาเป็นคนสูง เอารัดเอาเปรียบมนุษย์ได้ทุกแบบทุกฉบับ เขาจึงไม่ได้ถือว่าเขาเป็นคนต่ำ คนชั่วเขาก็ถือว่าเขาเป็นคนสูง เพราะอำนาจของกิเลสชอบยอตนเสมอ กิเลสที่จะมาให้ตำหนิติตนว่าผิดอย่างนั้น ผิดอย่างนี้ไม่มี มีแต่ถูกกันเรื่อย ๆ
นี่อารมณ์ของกิเลสเมื่อเกิดขึ้นภายในใจผลักดันให้เราทำความชั่วช้าลามก โดยไม่คำนึงถึงความผิดถูกชั่วดีอะไรเลย ทำไปตามความอยาก ความพอใจของกิเลสที่มันบังคับภายในหัวใจเรา เราจึงไม่สนใจว่าเราเป็นกิเลส เรามีกิเลส แล้วเราทำชั่วตามกิเลสบงการอย่างนี้จึงไม่มีในความรู้สึก มีแต่กิเลสผลักดันออกมาทางดีทางชั่วเป็นที่พอใจทั้งนั้น ทำได้ทุกอย่าง แต่สำหรับกิเลสแล้วจะบงการให้ทำความดีไม่ค่อยเห็นมี มีแต่ให้ทำความชั่ว นั้นละคือความดีของกิเลส ทำลงไปนี้ไม่รู้จักผิดจักพลาด เป็นความภาคภูมิใจเสมอมา ยิ่งไปฉกไปลักไปปล้นไปจี้เขาได้มาอย่างสมใจแล้วพอใจใหญ่ นี่คือกิเลสพอใจ
มันพอใจในการทำความชั่วช้าลามกต่าง ๆ ไม่ได้พอใจในการทำความดี จึงเป็นเรื่องของกิเลส นี่คืออารมณ์ของกิเลสมันเกิดขึ้นจากใจของโลกนั้นแหละ ของคน ของสัตว์ แต่ที่เด่นชัดประจักษ์กัน พอทราบกันได้ก็คือว่ามันเกิดที่หัวใจคน แล้วพาคนให้ทำความชั่วช้าลามก คิดอ่านไตร่ตรองเป็นไปในทางของกิเลสบงการ ซึ่งเป็นความต่ำทรามไปด้วยกันทั้งนั้น ผลจึงหาความสุขความเจริญเป็นที่พึงหวังไม่ค่อยได้ และไม่ได้ นี่เรียกว่าอารมณ์ของกิเลส มันเกิดอยู่ที่ใจ ผลักดันออกมาจากใจให้ทำในสิ่งต่าง ๆ ควรหรือไม่ควรก็ตาม ถือเอาความชอบใจ ความอยากทำของกิเลสเป็นประมาณ
คนเราถ้ามีกิเลสหนา ๆ แล้วความชั่วก็คิดขึ้นมาก ทำได้มาก ๆ ตลอดเวลา นี่คืออารมณ์ของกิเลส อยู่กับใจดวงเดียวกันก็ไม่เหมือนกันระหว่างกิเลสกับธรรม ธรรมก็เกิดที่ใจ ผลักดันออกมาจากใจเช่นเดียวกัน แต่ธรรมนี้ออกมาเป็นอรรถเป็นธรรม คือเป็นความถูกต้องดีงามเพื่อเป็นความสงบสุขร่มเย็น เช่น คิดอยากทำบุญให้ทาน รักษาศีล มีความเมตตาสงสารเพื่อนบ้านสัตว์ทั้งหลายทั่วหน้ากัน พอสงเคราะห์สงหาได้ชนิดใดก็สงเคราะห์สงหากันไปตามความพอใจที่จะสงเคราะห์ นี่คืออารมณ์ของธรรม เรียกว่าอ่อนนิ่มอารมณ์ของธรรม มองเห็นมีความเมตตาสงสาร พอช่วยเหลือได้ประการใดก็ช่วยเหลือ การทำทานอย่างนี้ นี่คืออารมณ์ของธรรม
การทำทานมากน้อยพอใจเป็นลำดับลำดา นี่เรียกว่าอารมณ์ของธรรม รักษาศีล เจริญเมตตาภาวนา สร้างคุณงามความดีประเภทต่าง ๆ นี้เป็นอารมณ์ของธรรม เมื่ออารมณ์ของธรรมค่อยผลักดันออกมาทางนี้ ก็ทำให้เราทำความดีทั้งความคิดความนึก ทั้งการพูด ทั้งการกระทำ ทั้งสามประเภทนี้เป็นที่สั่งสมมาซึ่งความดีทั้งหลาย ก็มารวมอยู่ที่หัวใจเรา แล้วก็เพิ่มธรรมภายในใจนั้นให้มีกำลังมากขึ้น หนาแน่นขึ้น อยากทำบุญให้ทาน อยากทำคุณงามความดีมากขึ้น ๆ นี่คืออารมณ์ของธรรม
ส่วนอารมณ์ของกิเลสก็ผลักดันไปในทางให้ทำชั่วช้าลามก อันนี้ทำเท่าไรก็ไม่พอเหมือนกัน เรื่องกิเลสนี้ไม่พอ อยากทำไปตลอด นี่เรียกอารมณ์ของกิเลส อารมณ์ของธรรมก็อยากทำในทางคุณงามความดี จนกระทั่งความดีเต็มภูมิของใจที่อยากทำ ทำตามความอยากของใจ จนกระทั่งถึงจุดหมายปลายทาง เช่น พระพุทธเจ้า พระอรหันต์ จิตของท่านเป็นธรรมล้วน ๆ แล้ว เพราะอำนาจแห่งการสั่งสมคุณงามความดี รวมเข้าไปเป็นธรรมในหัวใจดวงเดียวกัน ทีนี้เวลาทำไปมาก ๆ แล้ว มากจนกระทั่งถึงหลุดพ้นจากทุกข์ไปได้ เพราะอำนาจแห่งบุญเป็นเครื่องหนุน พ้นจากทุกข์ไปแล้วทีนี้เป็นธรรมล้วน ๆ เลย จะว่าผลักดันอะไรก็ผลักดันไปเพื่อโลกเพื่อสงสาร ด้วยความเมตตาสงสารล้วน ๆ ไปเลย นี่เรียกว่าอารมณ์ของธรรม ให้พากันเข้าใจอย่างนี้
คำว่ากิเลสเราไม่ทราบกันนะ ว่ามันเป็นยังไงกิเลส ธรรมเป็นยังไงเราไม่ทราบกัน ให้ได้บำเพ็ญธรรมถึงรู้ เพียงเราเรียนเรื่องศีลเรื่องธรรมธรรมดาก็ไม่ค่อยจะเข้าใจถึงความจริงอะไรนัก แต่เวลาภาคปฏิบัตินี้เป็นสิ่งที่จับเอาความจริงออกมาประจักษ์กับหัวใจตนเอง ของผู้บำเพ็ญนั้นแหละให้เข้าใจชัดไปโดยลำดับลำดา เช่นอย่างอารมณ์ของธรรมเริ่มตั้งแต่ที่ว่าเป็นพื้นฐาน คืออยากสร้างคุณงามความดี นี่เรียกว่าอารมณ์ของธรรม จากนั้นเราก็ความดี ทำความดีย่นเข้าไปความดีซึ่งมีหลายขั้นหลายภูมิ ย่นเข้าไปถึงจิตตภาวนา อันนี้เป็นความดี รากเหง้าแห่งความดีทั้งหลาย นั่นแหละที่จะรวมลงในความดีอันนี้แหละ
เหมือนแม่น้ำสายต่าง ๆ เราทำบุญให้ทานมากน้อยเท่าไรไหลเข้ามาสู่จิตตภาวนาของเรา ซึ่งเป็นเหมือนทำนบใหญ่ เมื่อไหลเข้ามานี้มากเข้า ๆ จิตใจก็เต็มตื้นด้วยอรรถด้วยธรรม นำเจ้าของจนกระทั่งหลุดพ้นจากทุกข์ นี่เรียกว่าอารมณ์แห่งความดีทั้งหลาย ให้หลุดพ้นจากทุกข์ ทีนี้จิตที่หลุดพ้นจากทุกข์แล้วเป็นธรรมล้วน ๆ จิตที่เป็นธรรมล้วน ๆ เมื่อยังอยู่ในแดนสมมุติที่จะใช้กิริยาอาการใดนี้ ก็เป็นธรรมชาติที่ผลักดันจิตใจให้มีความเมตตาสงสาร แนะนำสั่งสอนสงเคราะห์สงหาด้วยเมตตาล้วน ๆ ไปเลย จิตที่เป็นธรรมแท้เป็นอย่างงั้น
พอถึงนั้นแล้วไม่ไปไหนละ พอ จิตเมื่อถึงขั้นบริสุทธิ์เต็มที่แล้วเรียกว่าพอ การบำเพ็ญคุณงามความดีเพื่ออะไร มีแต่เป็นไปด้วยความเมตตาเพื่อสัตว์หรือผู้อื่นล้วน ๆ ที่จะเพื่อตัวเองนั้นไม่มี สำหรับท่านผู้บริสุทธิ์แล้วไม่มีคำว่าเพื่อตัวเอง นอกจากกระจายออกไปเพื่อผู้อื่นจากสมบัติของตนที่มีอยู่แล้ว เรียกว่าขนออกไปว่างั้นก็ถูก กระจายออกไปทั่วโลกดินแดน อย่างที่ว่า มหาการุณิโก นาโถ หิตาย สพฺพปาณินํ พระพุทธเจ้าทรงพระเมตตากรุณาธิคุณอันยิ่งใหญ่ ทำประโยชน์ให้สัตว์โลกจนหาประมาณไม่ได้
เวลาบริสุทธิ์แล้วเป็นอย่างนั้น มีแต่พระเมตตามหากรุณาธิคุณทำประโยชน์ให้โลกจนกระทั่งปรินิพพาน แล้วยังประทานพระธรรมนี้ไว้ให้พวกเราทั้งหลาย ซึ่งเป็นจำพวกสัตว์โลกให้ได้ปฏิบัติบำเพ็ญตามพระองค์ แล้วตามรอยพระบาทของพระองค์ หรือตามเสด็จ เราก็ได้คุณความดีสืบภพสืบชาติไปในภูมิที่ เป็นที่พึงปรารถนา ที่น่าพอใจเป็นลำดับลำดาไป ตั้งแต่ขั้นมนุษย์ที่มีภูมิสูงส่ง ขึ้นไปหาเทวบุตรเทวดา อินทร์ พรหม จนกระทั่งก้าวเข้าสู่นิพพาน นี่หมายถึงธรรมผลักดันให้สูงขึ้นไปเรื่อย ๆ
ผิดกับกิเลสผลักดัน กิเลสผลักดัน ผลักดันลงทางต่ำเพื่อทรมานเจ้าของ สำหรับกิเลสมันหาประโยชน์สำหรับมันเอง แต่สร้างความทุกข์ความเดือดร้อนให้แก่สัตว์ทั้งหลายผู้ดิ้นตามมัน โลกทั้งหลายจึงเดือดร้อนมาก เพราะอำนาจของกิเลสบีบบี้สีไฟ ให้ได้ทำตามสิ่งที่มันต้องการ แล้วความทุกข์ความทรมานก็โยนมาให้สัตว์โลกผู้โง่เขลาเบาปัญญานั้นแหละ ให้ได้รับความทุกข์ความลำบากลำบน ในโลกนี้จะหาที่ไหนว่าเป็นความสุข ถ้าหาด้วยอำนาจของกิเลสมันก็คลุกเคล้ากัน เหมือนกับข้าวสุกข้าวสารแกลบรำผสมกันไปนั้นแหละ
มีความสุข อยู่ด้วยความสุขนิด ๆ หน่อย ๆ ความทุกข์นี่ทับถมโจมตีตลอดเวลา ความสุขมีพอเป็นเครื่องล่อนิดหน่อย ๆ ให้สัตว์โลกทั้งหลายลืมตัว เห็นไปตามมัน สร้างความหวังขึ้นที่ใจ สมหวังไม่สมหวังไม่สนใจ แต่สร้างความหวังขึ้นเรื่อย หวังอย่างนั้นหวังอย่างนี้ หวังอยากได้อย่างนี้ ถ้าได้มานิดหนึ่งก็ได้เป็นเหยื่อล่อปลาไปเสีย ให้ปลาติดเบ็ด ถ้ามีตั้งแต่เบ็ดปลาก็ไม่ติด ต้องมีเหยื่อล่อ อันนี้กิเลสมันก็เอาเครื่องล่อให้สัตว์โลกได้ติดพันมันไป ครั้นติดพันไปแล้วก็ไปถูกปลายเบ็ดเกาะเอา มีแต่ความทุกข์ๆ ความลำบากลำบนอยู่อย่างงั้น
ส่วนธรรมไม่เป็น ถึงจะทุกข์ขนาดไหนก็ทุกข์เพื่อจะสังหารสิ่งที่พาให้เป็นทุกข์ คือกิเลสนั้นให้สิ้นซากลงไปโดยลำดับ ทุกข์อันนี้เป็นทุกข์เพื่อความสุข จนกระทั่งถึงบรมสุขได้จากทุกข์ด้วยการบำเพ็ญความดีทั้งหลาย การที่เขาทำความชั่วเขาก็มีความทุกข์ แต่ทุกข์เพื่อมหันตทุกข์ ไม่ได้ทุกข์เพื่อสุขเหมือนเราบำเพ็ญความดี ที่ต้องต่อต้านกันกับกิเลสความไม่อยากทำ ความไม่เอาไหน ความขี้เกียจขี้คร้าน ความท้อแท้อ่อนแอ มากีดมาขวางทุกด้านทุกทาง นี้เป็นเรื่องของกลอุบายของกิเลสทั้งนั้น ทีนี้เราต่อสู้กับสิ่งเหล่านี้ ไม่อยากทำเราก็ทำความดี ถึงจะอ่อนแอก็สร้างตัวให้เข้มแข็งขึ้นมา เอาจนได้ สร้างไปวันหนึ่งต่อสู้กับกิเลสความไม่อยากให้ทำนั้นแหละไปเรื่อย ๆ นี่ความทุกข์อันนี้ เพราะการต่อสู้กับกิเลสนี้เป็นความทุกข์เพื่อความสุขแก่เรา มันต่างกัน
ส่วนกิเลสไม่ได้มีละที่จะให้ความสุขแก่โลก ให้ก็เป็นเพียงเหยื่อล่อปลาเท่านั้นแหละ ให้ติดเบ็ด ๆ ไป ส่วนธรรมไม่เป็นอย่างงั้น มีสุขไปเรื่อย ๆ ไม่ได้มีคำว่าเหยื่อล่อปลา เหมือนกิเลส เพราะธรรมเป็นของจริง กิเลสเป็นของปลอม เป็นคู่เคียง หรือศัตรูคู่เวร หรือคู่ชะล้างกันมาตลอด กิเลสจะให้เป็นของจริงเป็นไม่ได้ เพราะเป็นของปลอม ธรรมจะให้เป็นของปลอมไม่ได้ เพราะเป็นของจริง ต่างอันต่างทรงความเป็นใหญ่ของตนโดยหลักธรรมชาติเอาไว้อย่างนั้น ธรรมชาติของกิเลสก็เป็นกิเลสจอมปลอมตลอดไป ธรรมชาติของธรรมท่านก็เป็นธรรมของจริงตลอดไปอย่างนี้ แล้วแต่สัตว์โลกจะไปยึดเอาในแง่ใด ถ้ายึดไปทางแง่กิเลส เราก็พลอยจมไปเลยละที่นี่ จมไปเรื่อย ๆ เสียหายไปเรื่อย ๆ ถ้าเราบืนมาทางด้านธรรมะเราก็ฟื้นฟูตัวของเราขึ้นไปเรื่อย ๆ เพราะฉะนั้นจึงต้องมีอรรถมีธรรมเป็นเครื่องพร่ำสอนเราทั้งหลาย เพราะกิเลสห้อมล้อมตลอดเวลา
เช่นเวลานี้มาฟังอรรถฟังธรรมจากครูจากอาจารย์ก็ฟังจริงฟังธรรม แต่กิเลสมันกระซิบกระซาบมันแอบอยู่นั้นแหละฟัง พอไปแล้วกิเลสขึ้นธรรมาสน์วันยังค่ำคืนยังรุ่ง ขึ้นจนกระทั่งบนหมอนกิเลสไม่ยอมลงนะ นี่ละเรื่องของกิเลสมันเป็นอาจารย์ตลอดเวลา ฉุดไปลากไปสั่งสอนไป กระซิบกระซาบท่านั้นท่านี้ เราก็เหอใช่ไหม เหอ อย่างนั้นเหรอ ๆ แล้วจมกับมันไปเรื่อย ๆ ถ้ามีลูกบอกลูกนะ ให้มันจูงไปอีกทั้งพ่อทั้งแม่ทั้งลูก จูงไปทั้งหลานทั้งเหลน ฟาดไปทั้งหมู หมา เป็ด ไก่ ให้กิเลสจูงไปหมด ลงนรกด้วยกันหมด เป็นยังไงดีไหมพวกเราให้กิเลสจูง จูงแต่เรายังไม่แล้ว ลูกเราจูงอีกมีหลานมามันจูงอีก มีเหลนมาจูงอีก มีหมู หมา เป็ด ไก่ ในบ้านในเรือน จูงอีก ๆ พวกเรานี้พวกพะรุงพะรัง
ถ้าไปตกนรกแต่เราก็ค่อยยังชั่ว เป็นทุกข์คนเดียวก็ยังพอทำเนา อันนี้ลูกเราก็เป็นทุกข์อีก เพราะถูกพ่อแม่พาไป เพราะถูกกิเลสต้มตุ๋นลากไป ๆ พ่อแม่ก็ลากลูกไปเรื่อย ลูกหลานก็ลากกันไปเรื่อย หมู หมา เป็ด ไก่ เลี้ยงมันไว้มันห่วงเจ้าของมันก็วิ่งตามเจ้าของ ถ้ามันไม่ไปก็จับโยนขึ้นรถ ไป มึงไปด้วยกันกับกูนะ เลยไปด้วยกัน สุดท้ายไปจมด้วยกันทั้งหมู หมา เป็ด ไก่ อู๋ย.มันน่าทุเรศนะ กิเลสจูงสัตว์โลก เวลาอ่านภายในชัดเจนมันเป็นลักษณะนั้นละ ที่ว่าเหล่านี้เป็นยังไงก็เราก็หลง ลูกหลานเกิดมาใครรู้ มันก็มีแต่ความหลงด้วยกันใช่ไหม ทีนี้สัตว์อยู่ในบ้านในเรือนมันก็เป็นสัตว์ประเภทเดียวกัน เพราะฉะนั้นมันถึงไปด้วยกันทีเดียว รถรานี้ติดเครื่องไม่เครื่องมันโดดขึ้นบนหลังคารถนู่น มันอยากไป ถ้าว่าทางกิเลสมันชอบเข้าใจไหม ถ้าว่าไปสวรรค์นิพพานนี้ โอ๋ย.จับขาดึงไปขาขาดเจ้าของยังไม่ยอมไป มันเป็นอย่างนั้นนะ ขาขาดเจ้าของไม่ยอมไปสวรรค์นิพพาน มันเป็นอย่างนั้น
กิเลสนี้มันดึงดูดเก่งนะ นี่หมายถึงเบื้องต้นของการบำเพ็ญ ไม่มีอะไรดึงดูดเก่งกว่ากิเลส เรียกว่าแหลมคมมากทีเดียว ถ้าไม่ได้ขึ้นต่อกรกันบนเวทีเสียก่อนจะไม่รู้ฤทธิ์ของกิเลสและของธรรมว่าปฏิบัติต่อกันอย่างไรบ้าง แล้วผลสุดท้ายอะไรเลิศกว่ากัน ก็มาได้ที่ธรรมเลิศ นี่เบื้องต้นเป็นอย่างนั้น ครั้นทำไปทำมาถูไถสู้กันไปสู้กันมามันก็ค่อยราบรื่นไป ๆ ต่อมานี้ไปทางด้านธรรมะจิตใจราบรื่นไปเลยๆ หลังจากนั้นแล้วจะให้ทำความชั่วมันไม่ยอม พอรู้สึกความชั่วปั๊บปิดปุ๊บ ปัดปุ๊บ ๆ ไปเรื่อย นี่ทางดีโล่งแล้ว ๆ ทีนี้ก้าวเข้าสู่ทางด้านภาวนาก็เหมือนกัน ภาวนาเบื้องต้นนี้จะต้องเตรียมเนื้อเตรียมตัวพวกเราน่ะเข้าใจไหม เพราะมันเป็นภาระอันหนัก มันหนักยังไงมันถึงได้เตรียมเนื้อเตรียมตัว
ก็มันหนักละซิ มันต้องเตรียมเสื่อเตรียมหมอน หมอนลูกนี้หมอนลูกนั้นไปไว้หัวจงกรมนั้น หัวจงกรมนี้ เสื่อก็ปูลาดไปตามทาง เมื่อขัดข้องไม่สะดวกตรงไหนล้มที่นั่นให้ได้รับความสะดวก คือเสื่อคือหมอนกลิ้งไปเลย นี่ละเป็นอย่างนั้นละ เห็นไหมกิเลสมันหลอกไว้เอาเสื่อเอาหมอนหลอก ความขี้เกียจขี้คร้าน ง่วงเหงาหาวนอนมันปูลาดไปตามทาง มันไม่อยากให้ไป นี่ละเบื้องต้นใครก็เหมือนกัน พอจะว่าทำคุณงามความดีนี้เสื่อหมอนของกิเลสนี้ลาดไว้หมดเลย มันให้นอนเสียก่อนตื่นขึ้นแล้วค่อยทำ ๆ ครั้นตื่นแล้วมันไม่ทำ กิเลสตัวมันหลอกเข้าใจไหม นี่ละเอาต้น ๆ เสียก่อน
ทีนี้เวลาเราฟัดเราฝืนมันเรื่อย ๆ ต่อไป ก็ค่อยเก็บเสื่อเก็บหมอนโยนละที่นี่ กิเลสมันเอาเสื่อเอาหมอนมาปูลาดไว้ตามทางจงกรมเรานี่ เราเองนะที่นี่เก็บเสื่อเก็บหมอนทิ้งออกไปก้าวเดิน เวลามันจะตายจริง ๆ แล้วค่อยไปเอามาปูนอนเสียชั่วครู่ชั่วยาม ไม่ได้เอามาปูลาดไว้เหมือนแต่ก่อน ครั้นต่อไปต่อมาเสื่อไม่เสื่อ หมอนไม่หมอนไม่จำเป็น นั่น ถึงนิพพานในเดี๋ยวนี้ยิ่งดี ๆ จิตมันก็ยิ่งพุ่ง ๆ นี่จิต เวลาภาวนาจิตใจราบรื่นเข้าสู่อรรถสู่ธรรม เริ่มตั้งแต่จิตใจสงบเย็น ไม่มีอะไรกวนใจเรา กิเลสนั้นแหละกวนใจ ให้คิดให้ปรุงเรื่องนั้นเรื่องนี้ มายุแหย่ก่อกวนทิ่มแทงหัวใจตลอดเวลา นี้คือเรื่องของกิเลส ทีนี้พอทำความสงบเข้าด้วยจิตตภาวนา จิตสงบก็ไม่มีเสี้ยนมีหนามมาเสียดแทง สงบเย็น
สันติคือความสงบ จากนั้นก็สงบเย็นเข้าเรื่อย ๆ แล้วก็บำเพ็ญ คือให้มีความพอใจในความสงบของตน ดูดดื่มความพากความเพียรหนุนกันไป ๆ หมุนตัวไปเรื่อย ๆ จนกระทั่งจิตใจมีความละเอียดลออเข้าไป ทีนี้ราบรื่นไปเลยทางก้าวเดินเพื่อมรรคเพื่อผล เพื่ออรรถเพื่อธรรมทั้งหลายนี้ราบรื่นไปเลย เสื่อหมอนนี้โยนเข้าป่าหมด ไม่ได้สนใจ แต่ก่อนกอดพันกันอยู่ มัดติดแข้งติดขาติดคอติดหลังมีแต่เสื่อแต่หมอน ทีนี้เวลาธรรมะได้ปรากฏขึ้นนี้ปัดออกพวกเสื่อพวกหมอน นอนเมื่อไรก็ได้นี่เท่านั้นเอง ถ้าว่าจะนอนนอนเมื่อไรก็ได้ไม่เห็นยากอะไร หลังอยู่กับเรานี่นะ นั่น ใส่ลงไปแล้วผึง ๆ เลย จนกระทั่งราบรื่นเต็มสัดเต็มส่วนเป็นอัตโนมัติในการแก้กิเลสทั้งหลาย ข้ามพ้นถึงพระนิพพานปึ๋ง ทุกข์เหล่านี้ทีแรกทุกข์จริง ครั้นต่อมาความทุกข์กับความดูดดื่มที่จะเป็นไปเพื่อความดีมันหากเชื่อมโยง มันหากดึงกันไปเอง จนกระทั่งถึงหลุดพ้นไปได้
นี่อารมณ์แห่งธรรมภายในใจของเรา ให้พากันจำเอาไว้ อารมณ์ของกิเลสนี้ ดึงลงไปเรื่อย ๆ ดึงจนไม่รู้เนื้อรู้ตัว ท่านจึงเรียกว่า ปทปรมะๆ นี้ว่าลื่นลงตลอด ให้ขึ้นไม่ยอม ถ้าไหลนี้ลื่นไปเลย คนปทปรมะ คือคนลื่นในการทำความชั่วช้าลามกทั้งหลาย ความดีไม่สนใจ แต่เรื่องทำความชั่วช้าลามกนี้มันลื่นไปเลยเทียว นั่นเป็นอย่างนั้น หัวใจคนชั่ว หัวใจของประเภทปทปรมะ ไม่สนใจกับบุญกับกุศลอะไรเลย มีแต่ลื่นลงไปเพื่อจม ๆ นี่พวกประเภทนี้ประเภทที่หมดเนื้อหมดตัว ทั้ง ๆ ที่ลมหายใจมีอยู่ แต่คุณค่าของคนไม่มี ให้พากันจำจดเอานะทุกคน
พวกเราให้ไปถามตัวเอง เวลานี้มันราบรื่นไปทางไหนนะให้ว่าอย่างนั้น มันราบรื่นไปทางเสื่อทางหมอนหรือราบรื่นไปทางสวรรค์ นิพพาน สวรรค์นี้ถ้าว่าเสื่อก็เสื่อทิพย์ อะไรเป็นทิพย์ทั้งนั้น ของทิพย์กับของที่เราปูไว้ตามทางจงกรมนี้มันต่างกันยังไงบ้าง เอามาเทียบกันบ้างซิ หมอนของทางจงกรมเรากับหมอนทิพย์อยู่บนสวรรค์ชั้นพรหมเป็นยังไงต่างกันยังไงบ้าง หมอนนั้นเลิศกว่านี้ขนาดไหน นั่น ถ้านอนก็เอาไป พามันไปนอนบนสวรรค์ดีกว่า เอาหมอนสวรรค์มาแข่งอันนี้แล้วไปนอนพรหมโลก เอาหมอนในพรหมโลกมาแข่งกับหมอนของกิเลสตัวขี้เกียจขี้คร้านนี้ลองดู อะไรดี ทีนี้ฟาดถึงพระนิพพาน เสื่อหมอนปัดออกหมด ไม่มีอะไรเลิศยิ่งกว่าความบริสุทธิ์เป็นธรรมทั้งแท่ง นั่น ไม่มีคำว่าเสื่อว่าหมอน เครื่องกังวลทั้งนั้น นั่น ปัดออกหมด เหล่านี้เลยกลายเป็นเรื่องสมมุติ เป็นเครื่องกดถ่วงจิตใจ ปัดออกหมด ไม่มีอะไรติดหัวใจแล้วบริสุทธิ์จ้าเลย นั่นพอ
ไม่มีอะไรเลิศยิ่งกว่าคำว่าพอ นิพพานท่านบอกว่าเที่ยงหรือบอกว่าพอ ถ้าลงว่าพอแล้วพอหมดเลย ให้พากันจดจำเอานะ วันนี้ก็เทศน์เพียงเทศน์นี้แหละ เทศน์มากไปกว่านี้มันก็หมดโวหารแล้วแหละ เพราะเทศน์ทุกวัน ๆ วันนี้ก็งัดออกมาเทศน์ วันนั้นก็งัดออกมาเทศน์ ก็พุงเก่าจะเอามาจากไหน งัดไปงัดมา มันก็มีแต่มูตรแต่คูถ เต็มอยู่ในพุงไม่มีธรรม เข้าใจไหม ถ้ามากกว่านี้มันจะมีแต่มูตรแต่คูถ เอาแค่นี้ละพอเป็นธรรม เข้าใจไหมเอาละพอ
หลวงตา วันนี้จะเสด็จมาค้างหรือจะเสด็จกลับ
เจ้าฟ้าหญิง ไม่ได้ค้างเจ้าค่ะ เดี๋ยวลูกบินกลับเลยเจ้าค่ะ
หลวงตา จะเสด็จกลับตอนไหน
เจ้าฟ้าหญิง ตอนกลางวันเจ้าค่ะ
หลวงตา เป็นยังไงฟังเทศน์ เทศน์ให้พวกนี้ฟัง เหอ
เจ้าฟ้าหญิง สนุกดีเจ้าค่ะ
หลวงตา ไม่ได้เทศน์ให้ทูลกระหม่อมฟังนะ เทศน์ให้พวกนี้ฟังต่างหาก
เจ้าฟ้าหญิง งั้น ลูกลาท่านพ่อเลย
หลวงตา เออไปๆ สวัสดีนะ ให้หายโรคหายภัยทุกอย่าง ให้ระลึกตามที่ถวายแล้วจะไม่มีอะไรละ
อ่านและฟังพระธรรมเทศนาของหลวงตาวันต่อวัน ได้ที่
www.Luangta.or.th or www.Luangta.com |