เทศน์อบรมฆราวาส ณ วัดป่าบ้านตาด
เมื่อวันที่ ๑๗ มีนาคม พุทธศักราช ๒๕๒๙
การแก้เจ้าของ
a
มนุษย์เราและศาสนาทั้งสองอย่างนี้สำคัญด้วยกัน เมื่อประกบกันเข้าแล้วก็ยิ่งเป็นความสำคัญมาก ถ้าขาดอย่างใดอย่างหนึ่งเสีย เป็นต้นว่ามีแต่คนเฉย ๆ ไม่มีเครื่องประดับให้เป็นความสำคัญของคน คนก็หาความสำคัญไม่ได้ คนเราจึงไม่ใช่จะสำคัญเพราะเกิดขึ้นมาเป็นคนแล้วเท่านั้น ยังต้องมีเครื่องประกอบอีกมากมาย เฉพาะอย่างยิ่งก็คือศีลธรรมเป็นเครื่องประกอบ เป็นเครื่องประดับ ส่งเสริมให้มนุษย์เรามีคุณค่า และมีความสำคัญขึ้นมากโดยลำดับลำดา มรรยาท จริยะความประพฤติและปฏิบัติเป็นผู้มีกฎมีระเบียบมีข้อบังคับตนเอง นี่ล้วนแล้วแต่เป็นเครื่องเสริมคุณค่าของเราให้เด่น แม้คนอื่นเขาจะไม่เห็นเด่น แต่เราก็รู้สึกเด่นในเรา หาที่ตำหนิตนไม่ได้
ท่านว่า นตฺถิ โลเก รโห นาม ที่ลับไม่มีในโลกนั้นก็ได้แก่เรานี่ เราทำตัวของเราให้ดีเถอะ จะปิดไว้เท่าไรก็ไม่อยู่ ต้องทราบด้วยกันทั้งนั้น และทำชั่วอีกเหมือนกันก็กระจายได้เช่นเดียวกัน คุณค่าจึงอยู่ที่การประพฤติของเรา ไม่ว่าที่แจ้งที่ลับ นี่เป็นเครื่องเสริม เช่นอย่างพระนี้ก็เหมือนกัน บวชออกจากโบสถ์มาว่าจะศักดิ์สิทธิ์วิเศษทีเดียวก็ไม่ใช่ เพศนี้เป็นเครื่องประกาศตนให้ตัวของตัวทราบด้วยว่า เวลานี้เราเป็นนักบวชแล้ว นักบวชจะต้องเว้นอะไร ๆ ประกอบอะไร ให้รู้หน้าที่ของตนเอง จากนั้นไปก็ปฏิบัติหรือทำหน้าที่ตามเพศของตน นั่นละจะมีความศักดิ์สิทธิ์ขึ้นมาโดยลำดับ
ถ้ามาทำลายตัวเอง ด้วยการทำลายกฏข้อบังคับหลักธรรมหลักวินัยนี้ก็เหลวแหลกใช้ไม่ได้ หาคุณค่าไม่ได้พระองค์นั้น เขาไม่เลื่อมใส ไม่ว่าแต่เจ้าของตำหนิเจ้าของได้เลย แม้คนอื่นเขายังไม่เลื่อมใสด้วย กราบไม่ลง เลื่อมใสไม่ลง เชื่อไม่ได้ เพราะตัวเองก็เชื่อตัวเองไม่ได้ จะให้คนอื่นมาเชื่อได้ยังไง เจ้าของไม่มีความเคารพเลื่อมใสเจ้าของได้ คนอื่นเขาก็ไม่เคารพเลื่อมใส เจ้าของมีทางตำหนิเจ้าของได้มากน้อยเพียงไร คนอื่นเขาก็มีทางตำหนิเจ้าของได้มากน้อยเพียงนั้นแหละ เรื่องเป็นอย่างนั้น
เพราะฉะนั้นการประพฤติจึงเป็นของสำคัญมาก การประพฤตินี้ถ้าเราไม่มีเครื่องมือ ไม่มีหลักวิชาได้ศึกษาเล่าเรียนมา เราก็ไม่เข้าใจว่าจะปฏิบัติตัวอย่างไร เพราะฉะนั้นศาสนาจึงเป็นหลักวิชาที่สำคัญมาก เป็นแนวทางที่ดีมากควรนำมาประพฤติปฏิบัติ
ผู้ชายเราก็อย่าไปเที่ยวเกะกะระรานผู้หญิงคนนั้น แม่อีหนูคนนี้ ไม่ใช่แม่อีหนูเราแล้วนั่นต้องระวังให้ดี ผู้ชายเรามักมาเสียอำนาจตรงนี้แหละ เพราะฉะนั้นจึงต้องเสริมอำนาจของเราให้ดีตรงนี้นะ อย่าไปเกี่ยวเกะกะ อย่าไปเที่ยวเลอะๆ เทอะ ๆ ซอกแซกซิกแซ็กตามซอกตามมุมตามโรงลิเกละครระบำรำโป๊ หรือระบำรำบ้า หรืออะไรก็ไม่รู้แหละ ให้ระวังตรงนี้ให้ดี นี่ละผู้ชายเราเสียศักดิ์ศรีตรงนี้
ผู้หญิงก็เหมือนกัน ถ้าประพฤติตัวอย่างนั้นแล้วก็เสียศักดิ์ศรี กุลสตรีหายหมดไม่มีเหลือเลย ที่เหลือก็เหลือแต่ทางภาคอีสานเขาเรียก ภาษา....เดือน ๙ คือมันหอนอึกทึกครึกโครม เวลานั้นมันคึกคะนอง ตัวไหนก็ตามไม่มีบ้านมีเรือนเลย วิ่งหากันประสานกันวุ่นไปหมด ตัวผู้วิ่งหาตัวเมีย ตัวเมียวิ่งหาตัวผู้ ไม่ทราบว่าบ้านใครต่อบ้านใครวิ่งประสานกันได้หมด คนคึกคนคะนองยิ่งร้ายกว่านั้น เพราะฉะนั้นจึงต้องระวังให้มาก สิ่งนี้เป็นสิ่งที่บั่นทอนทั้งหญิงทั้งชายทำให้เสียไป ถ้าต่างคนต่างประพฤติปฏิบัติตัวให้ดีตามหลักธรรมที่ท่านสอนไว้แล้ว จะเป็นผู้มีศักดิ์ศรีดีงาม แม้ในครอบครัวก็ร่มเย็น ไม่มีอะไรจะร่มเย็นยิ่งกว่าครอบครัวของเราที่มีศีลมีธรรม
วัดนี่ก็เหมือนกัน มีแต่วัดเฉย ๆ พระปฏิบัติตัวเหลว ๆ แหลก ๆ ใช้ไม่ได้อีกเช่นกัน ต้องปฏิบัติตัวให้สมศักดิ์ศรีของพระ หลักธรรมหลักวินัยมีอย่างไรนั้นแลคือศักดิ์ศรีของพระ นั้นแลคืออำนาจของพระ นั้นแลคือเครื่องประดับของพระ จะต้องประพฤติตัวให้เรียบร้อยไปตามหลักนั้น จะเป็นความสวยงามสง่าราศีองอาจกล้าหาญ ไม่ว่าในที่ชุมนุมชน ไม่ว่าอยู่คนเดียว ไม่ว่าอยู่ที่ไหน แม้ในป่าในเขาจะน่ากลัวขนาดไหนก็ตาม คนที่มีธรรมมีศีลบริสุทธิ์แล้วจะไม่กลัว ตายก็ไม่กลัว เพราะฉะนั้น นักปฏิบัติกรรมฐานท่านถึงชอบอยู่ในป่า ลึกเท่าไรท่านก็ไม่กลัว เพราะท่านเชื่อในธรรมที่มีภายในใจของท่าน ธรรมจึงเป็นของสำคัญมาก ทำคนให้มีความสง่าผ่าเผยองอาจกล้าหาญทั้งปัจจุบันและอนาคตด้วย ตายก็ไม่ไปตกนรกแหละคนมีธรรม มันแน่ใจขนาดนั้น
วันนี้เป็นวันพระ ปกติวัดนี้มีคนมากเสมอ วันพระก็มาก วันเสาร์ก็มาก วันอาทิตย์ก็มาก ถ้าพูดถึงเรื่องมาก มากขึ้นโดยลำดับ แต่กำลังของเราลดลง ๆ ไม่สมดุลกัน รู้สึกว่าเหนื่อยทุกวันนี้ ทั้งผู้ที่ฉุดลากออกไปนอกวัดก็มี เข้ามาหาไม่พบก็มี อย่างนี้ละยุ่งอยู่ตลอด เพราะฉะนั้นเราจึงให้ชื่อมันโดยหลักธรรมชาติ ตั้งแต่หนุ่มฟ้ออยู่นั้นเขาเรียกมหาบัว อู๊ย เขาเรียกมหาบัวนี้ภูมิใจนะ ผึ่งผายเหมือนบ้า มหาบัวเป็นบ้ายังไม่รู้ตัวตอนนั้น แต่ตอนแก่มานี้ก็เป็นบ้าอีกแบบหนึ่ง มันคนละบ้านะตัวมหาบัวองค์เดียวนั่นละ พอหลังจากนั้นมาก็เลื่อนยศมาเป็นหลวงตาบัว เขาก็มายุ่งกับหลวงตาบัว หรือหลวงตาบัวไปยุ่งกับเขาก็ไม่รู้แหละนะ เพราะต่างคนต่างยุ่งกัน เลยกลายเป็นหลวงตายุ่งขึ้นมา พอออกจากหลวงตายุ่งแล้วก็กลายเป็นหลวงตาลากขึ้นมา เขาก็ลากไปโน้นลากไปนี้เรื่อยไป จนกระทั่งทุกวันนี้ยังอยู่ในตำแหน่งหลวงตาลากนะ ใครจะเรียกหลวงตาลากก็ได้เราก็ไม่โกรธเขา
นั่นละการวินิจฉัยใคร่ครวญ การรบข้าศึก เราจะไปรบในริมฝีปากคนไม่ได้ เราต้องรบในความรู้สึกของเรา อย่างครั้งพุทธกาลพระพุทธเจ้ากับพระอานนท์ไปบิณฑบาต เขาไม่พอใจเขาจ้างคนดุด่าพระพุทธเจ้า ว่าไอ้อูฐ ไอ้หัวโล้นโกนคิ้ว ไอ้ขอทาน นี่เราก็เห็นแล้วในตำรา พระอานนท์เดือดร้อนวุ่นวาย จะอาราธนาพระพุทธเจ้าให้เสด็จไปเมืองอื่น เมืองที่เขาไม่ว่า เมืองที่เขาไม่ตำหนิติเตียน พระพุทธเจ้าก็รับสั่งถามว่า ถ้าไปเมืองนั้นแล้วเขาว่าให้อีกจะทำอย่างไรอานนท์ เราก็หลีกออกจากเมืองนั้น ถ้าเมืองนั้นเขาว่าอย่างนั้นอีกล่ะจะไปไหน ไปไหนก็ถูกเขาว่าอย่างนั้น ๆ แล้วจะไปไหน ที่สุดหาโลกอยู่ไม่ได้
เพราะฉะนั้นจึงไม่ถูกต้องที่จะหลบหลีกปลีกตัวออกไปจากข้าศึก โดยวิธีการหนีไปเมืองนี้เมืองนั้นอย่างนั้น นอกจากจะรู้กันอยู่ภายในจิตใจ หลบหลีกอยู่ภายในจิตใจในตัวเองนี้ ถ้าภายในตัวเองนี้มีความเฉลียวฉลาดแหลมคมที่จะปฏิบัติหรือต่อสู้กับมารภายในจิตใจของตนเป็นสำคัญได้แล้ว ภายนอกไม่สำคัญอะไรนัก อยู่ที่ไหนก็อยู่ได้ ไปไหนไปได้ทั้งนั้น นี่พระพุทธเจ้าท่านว่าอย่างนั้น ท่านจึงกล่าวเป็นบาลี แต่เราจะแปลเอาเป็นใจความย่อ ๆ ว่า ดูก่อนอานนท์ เรานี่เปรียบเหมือนกับช้างใหญ่ตัวก้าวเข้าสู่สงคราม คือแต่ก่อนเขารบสงครามกันด้วยช้าง ไม่ได้รบด้วยแบบทุกวันนี้นะ ว่าเรานี้เท่ากับช้างตัวใหญ่ที่ก้าวเข้าสู่สงคราม ไม่พรั่นพรึงในลูกศรซึ่งจะมาจากทิศต่าง ๆ มีแต่จะมุ่งหน้าที่จะเข้าสู่แนวรบโดยถ่ายเดียว ปราบปรามข้าศึกให้แหลกเหลวไปด้วยกำลังความสามารถของเราเท่านั้น เราจะไปหาหวั่นไหวทางโน้นหวั่นไหวทางนี้ไม่ได้
อันนี้ก็เหมือนกัน ลูกศิษย์ตถาคตจะไปหลบอยู่โน้นว่าที่นั่นเป็นมาร และหลบจากนี่ว่าโน้นเป็นมาร วันยังค่ำจนกระทั่งถึงวันตาย เราจะได้หลบหลีกอยู่อย่างนั้นตลอดเวลา เมื่อเป็นเช่นนั้นก็เป็นเหมือนหมาขี้เรื้อน คันตรงนี้เกาแล้ววิ่งไปโน้นว่าจะหายคัน วิ่งไปโน้นก็ไปเกาอยู่โน้นอีกหาที่สิ้นสุดไม่ได้ เพราะความคันอยู่ที่เนื้อที่หนังของมัน ถ้าหากว่าหายจากโรคเรื้อนแล้ว มันก็ไม่คันมันก็ไม่เกา อยู่ที่ไหนก็อยู่สะดวกสบาย อันนี้โรคเรื้อนที่ทำให้เราคัน ทำให้เราเกาอยู่ในหัวใจของเรา ให้แก้ที่หัวใจของเราซิ เขาว่าให้เรายังไง เอาคำว่าของเขามาวินิจฉัยให้ได้เหตุได้ผล นี่เราไปสำคัญคำว่าเขาเฉย ๆ สำคัญว่าอย่างไร สมมุติยกตัวอย่างว่า เขาว่าให้หลวงตาบัวหัวโล้น แล้วเราหัวโล้นจริง ๆ ไหม เราต้องวินิจฉัยเรา ถ้าเราหัวโล้นจริง ๆ ก็เอ้าเขาพูดถูกต้องแล้วนี่ ต้องยอมให้เขาซิ ก็เรามาเป็นผู้ยอมรับความถูกต้องนี่นะ เรื่องก็ไม่มี
นี่ละการแก้เจ้าของ ให้แก้ที่หัวใจของเจ้าของ เขาว่าดีก็ตาม จิตของเราจะแย็บออกรับอย่างไรบ้าง เขาว่าเราชั่ว จิตของเราจะแย็บออกไป ปรุงขึ้นมาหลอกเจ้าของว่ายังไงบ้าง เขาว่าผ่านไปแล้วลมปากเขา เขาว่าดีก็ผ่านไปแล้วลมปากเขา เขาว่าเราชั่ว ลมปากนั้นผ่านไปแล้ว แต่ลมของสังขารที่ปรุงอยู่ภายในใจนี้ไม่ผ่าน ความยึดมั่นถือมั่นความสำคัญมันจะยึดไว้อยู่ตรงนี้ แล้วจะเผาเราตรงนี้ด้วยการครุ่นคิดยุ่งเหยิงวุ่นวายอยู่นั้น
สุดท้ายก็ว่าคนนั้นไม่ดีคนนี้ไม่ดี ตัวเองผู้คิดผู้ยุ่งเหยิงวุ่นวาย ผู้ก่อไฟเผาเจ้าของนั้นไม่ได้คิดเลยว่าดีหรือไม่ดี นี่ละคนเราแก้ตรงนี้ไม่ได้ เพราะฉะนั้น จึงไปหาตำหนิตรงโน้นตรงนี้ยุ่งไปหมด ถ้าลงแก้ตรงนี้ตกไปแล้ว อยู่ไหนอยู่ได้หมดนั่นแหละ แต่กิริยาที่จะตอบรับคนหนักเบามากน้อยนั้นเป็นธรรมดา ส่วนภายในจิตของเราจะไม่ติดเราเองหนึ่ง ไม่ติดอารมณ์ที่มาเกี่ยวข้องกับเราหนึ่ง ไม่ติดคนนั้นหนึ่ง ไม่ติดลมปากคนนั้นหนึ่ง ไม่ติดอะไรทั้งนั้น นั่นจึงเรียกว่าผู้ปฏิบัติ ต้องแก้ไขอย่างนี้ซิแก้ไขเจ้าของ
ไปหาแก้ไขอะไรภายนอก แก้ไขคนนั้นแก้ไขคนนี้ ไปหลีกคนนั้นไปหลีกคนนี้ จะหลีกไปไหน หลีกคนนี้ก็โดนคนนั้น หลีกคนนั้นก็โดนคนนี้ หมดไม่มีใครหลีกก็โดนเราอยู่ดี ๆ เพราะเราก็คนคนหนึ่ง ต้องคิดอย่างนั้นซินักปฏิบัติ ให้มันรอบซิ พระพุทธเจ้าไม่ได้สอนคนให้โง่นี่นะ ออกจากเมืองนี้ไปอยู่เมืองนั้น เหมือนอย่างพระอานนท์ทูลพระพุทธเจ้าให้ไปหาอยู่เมืองโน้นเมืองนี้ เขาจะไม่ได้ดุไม่ได้ด่า พระพุทธเจ้าว่าเราไม่ไป ไปที่ไหนเขาก็มีปากเหมือนกัน ว่าได้เหมือนกัน นี่วิธีปฏิบัติตนให้เป็นอย่างนั้น
วันนี้เป็นวันพระนี่เราเคยพูดแล้ว วันโยมมีมากี่วัน วันโยมมีแต่วันยุ่ง ทีนี้ท่านให้มีวันพระเพื่อให้ระลึกว่า วันนี้เป็นวันประพฤติปฏิบัติธรรม อย่างน้อยได้ระลึกถึงพระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์ หรือได้มาใส่บาตรให้ทานก็ยังดี มากกว่านั้นก็ให้ได้รักษาศีล จะเป็นศีล ๕ ก็ตาม ศีล ๘ ก็ตาม หรือได้ภาวนาด้วยก็ยิ่งดี ภาวนาคือการอบรมจิตให้สงบ เพราะตามธรรมดาของจิตจะหมุนตัวอยู่อย่างนี้ตลอดด้วยความคิดปรุง สังขารแปลว่าความปรุง ความคิดมันคิดขึ้นมาจากภายในใจ อันนี้ไม่มีเวล่ำเวลาเลย โรงงานเขาเปิดแล้วเขายังมีวันปิด แต่โรงงานคือใจนี้ไม่ทราบเปิดมาตั้งแต่เมื่อไรไม่เคยมีวันปิดเลย จึงต้องอาศัยหลักธรรมคือสมาธิ การฝึกหัดจิตของตนให้สงบนั้นแหละเรียกว่าปิดโรงงานเสียบ้าง จะได้มีความสงบร่มเย็น เหมือนอย่างเขาพักงานแล้วมาพักผ่อนนอนหลับหรือรับประทานอาหาร ก็มีกำลังควรแก่การงานอีกต่อไป
ทีนี้จิตก็ให้พักเสียบ้าง งานของจิตคิดปรุงอยู่ทั้งวันทั้งคืน แม้แต่หลับยังละเมอเพ้อฝันไป นั้นก็คือความคิด ถ้าหากคนเราหลับสนิทจริง ๆ แล้วจะไม่ฝัน การฝันนั่นคือความคิดปรุงภายในการหลับของตัวเอง ที่เรียกว่าฝันสดคือคิดอยู่เดี๋ยวนี้ อย่างพวกเราทั้งหลายคิดนี่ มันฝันสด ๆ ร้อน ๆ อันนี้อย่างหนึ่ง นี่มันยุ่ง เพราะฉะนั้นจึงให้ได้รับความสงบบ้างในวันพระเช่นนี้ ให้ได้ระลึกถึงกัน
พระพุทธเจ้าทรงฉลาดมาก มีความเมตตาต่อสัตว์โลกมาก ได้ทรงทำความอุตส่าห์พยายามเต็มพระสติกำลังความสามารถของพระองค์นั่นแล วิธีการใดที่โลกทั้งหลายจะได้รับความร่มเย็นเป็นสุข พระองค์ไม่เห็นว่าเป็นความเหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้า เป็นความลำบากลำบน ทรงอุตส่าห์พยายามด้วยพระเมตตาล้วน ๆ จนกระทั่งถึงวันปรินิพพาน แม้คืนจะปรินิพพานยังแสดงพระเมตตาอย่างเต็มส่วนให้เห็นชัดเจนอีก
ขณะนั้นมีสุภัททปริพาชกจะเข้ามาทูลถามปัญหา เพราะทราบแล้วว่าพระพุทธเจ้าจะมาปรินิพพานในคืนวันนี้ จะไม่มีเวล่ำเวลาเลยในการศึกษาธรรมะกับท่าน ก็ต้องรีบมา พอมาแล้วก็ถูกพระอานนท์กีดกันไม่ให้เข้าเฝ้าด้วยแสดงเหตุผลว่า เวลานี้พระองค์กำลังประชวรหรือว่าลำบากอยู่มากแล้ว พระองค์ทรงทราบจึงเรียกพระอานนท์มารับสั่งถาม พระอานนท์ก็ทูลตามเรื่องว่ามีปริพาชกคนหนึ่งเข้ามาหา อยากมาทูลถามธรรมะ เอ้อ ให้เข้ามา ๆ นั่นฟังซิ เราที่มาปรินิพพานที่นี่ก็เพื่อคน ๆ นี้แหละคนหนึ่ง ให้เข้ามาเดี๋ยวนี้ ๆ
พอเข้ามาก็ถามถึงเรื่องศาสนาต่าง ๆ ศาสนาไหนก็ว่าศาสนาของตนดี ศาสนาอะไรก็ว่าศาสนาตนดี แล้วความจริงเป็นยังไง เอ้อ อย่าถามไปมากเลยเวล่ำเวลาของเราไม่พอ เราจะพูดให้ฟัง ศาสนาใดมีมรรค ๘ คือ สัมมาทิฏฐิ สัมมาสังกัปโป จนกระทั่งถึงสัมมาสมาธิ ศาสนานั้นเป็นศาสนาที่สมบูรณ์ เป็นศาสนาที่ดีแท้ แล้วก็ให้คุณพูดง่าย ๆ ว่าให้คุณเอาอันนี้ไปปฏิบัตินะ สัมมาทิฏฐิ สัมมาสังกัปโปเรื่อยไป และพยายามทำเอาให้เต็มที่ในคืนวันนี้ แล้วก็สอน พอสอนเสร็จแล้วก็รับสั่งให้พระอานนท์บวชให้ เพื่อจะได้เป็นปัจฉิมสาวกองค์สุดท้ายในคืนวันปรินิพพาน พระอานนท์นำไปบวชในเวลานั้น พอบวชแล้วก็บำเพ็ญสมณธรรม ได้บรรลุธรรมเป็นถึงขั้นพระอรหันต์ในคืนวันนั้น ตรงกับวันพระองค์ปรินิพพานพอดี
นี่แสดงถึงพระเมตตาอันสุดส่วนของพระพุทธเจ้า ไม่ทรงเห็นว่า โอ๊ย เราลำบากมากแล้ว เราประกาศพระศาสนามาตั้ง ๔๕ ปีนี้แล้ว ให้เราพักผ่อนบ้างเถอะ เวลานี้เรากำลังจะตาย อย่ามากวนเรานักเลย พระองค์ไม่เห็นว่า ถ้าหากจะว่าก็มีแต่หลวงตาบัวที่ตัวเท่าหนูแต่กิเลสตัวเท่า ๆ ภูเขานั่นแหละ ใครมาก็ดุเอา มาอะไรมาไม่รู้จักเวล่ำเวลา ดุเขาบ้าง นี่เป็นคนละแบบนะ พระพุทธเจ้าเป็นแบบหนึ่ง หลวงตาบัวว่าเป็นลูกศิษย์พระพุทธเจ้าไปอีกแบบหนึ่งนะ ใครจึงร่ำลือว่าหลวงตาบัวนี่ดุมากที่สุดเลย ทำไมจะไม่ดุมากยังไง หลวงตาบัวจะตายก็ดุเอาซี พากันจำเอานะเรื่องอรรถเรื่องธรรมที่สอนนี้ พระองค์ทรงเมตตาขนาดนั้นละกับพวกเราทั้งหลาย เรายกตัวอย่างเพื่อหมายเอานี้ต่างหากนะ
ธรรมที่สอนไว้ ๘๔,๐๐๐ พระธรรมขันธ์นี้ ท่านกล่าวไว้พอประมาณเท่านั้น เหมือนกับยาแก้โรคมี ๘๔,๐๐๐ ขนาน ความจริงถ้าเพียงเท่านี้แล้วจะไม่ทันกับโรค เพราะโรคมีหลายชนิดมีหลายประเภทในหลายบุคคลในหลายสัตว์ ยาจะมีเพียงจำนวนน้อย ๆ ไม่พอ อันนี้กิเลสอยู่ภายในหัวใจของสัตว์โลกมีจำนวนมากมายก่ายกอง หลายแง่หลายสันหลายคมมาก ธรรมะจะมีเพียง ๘๔,๐๐๐ พระธรรมขันธ์นี้ไม่พอกับความต้องการ ไม่พอกับความจำเป็นที่จะปราบปรามกิเลสตัณหา ซึ่งเป็นโรคสำคัญอยู่ภายในจิตใจสัตว์นั้นเลย จึงมีมากกว่านั้น แต่เห็นว่าจะฟั่นเฝือเหลือกำลังที่จะจดจำเอา ได้แก่พวกปุถุชนเราทั้งหลาย ท่านจึงจดจารึกมาเพียง ๘๔,๐๐๐ พระธรรมขันธ์เท่านั้น นี้ล้วนแล้วแต่เป็นยารักษาโรคภายในใจ
โรคกิเลสตัณหา โรคความโลภความโกรธความหลง นี่ละเป็นตัวสำคัญ มันฝังอยู่ภายในจิตใจของเรา แล้วให้ได้เอาธรรมะ เฉพาะอย่างยิ่งจิตตภาวนาไประงับดับจิตของเรา ประเภทที่มันคิดยุ่งเหยิงวุ่นวายตลอดเวลาให้สงบลงบ้าง จะเป็นความดีงามในวันพระหนึ่ง ๆ ที่ผ่านมา ไม่ให้เสียไปเปล่า ๆ ทั้ง ๆ ที่เราเกิดมากับโลกนี้ผ่านมาแล้วกี่วันพระ เดือนหนึ่งมีกี่วันพระ ปีหนึ่งมีกี่วันพระ แล้วคนหนึ่ง ๆ เกิดมาผ่านวันพระมาแล้วกี่ปีกี่เดือน เคยสนใจกับวันพระไหม มีแต่สนใจกับวันโยมวันฆราวาสวันยุ่ง ยุ่งมาตลอด บางคนตั้งแต่วันเกิดมาจนกระทั่งวันตายไม่เคยมีศาสนาเลยก็มี โอ้โห เหลือประมาณ ถ้าว่าหยาบก็หยาบเหลือประมาณ ถ้าว่าเป็นโรคก็โรค ไอ.ซี.ยู หมอดูไม่ได้ ยาเข้าไม่ถึง มันสมควรแล้วเหรอพวกเราถ้าเป็นประเภทนั้น
เราอย่าให้เป็นคนประเภทนั้นซิ ให้เป็นประเภทที่เข้าหาหมอก็ให้มีหวังได้หายโรคออกมา อย่าเข้าไปตายทิ้งเปล่า ๆ ไปไหนก็ให้มีหวัง อยู่ในโลกนี้ก็ให้มีความชุ่มเย็นภายในจิตใจ เพราะการสร้างความดี ไปโลกหน้าก็ให้มีความดีติดตัวไป เพราะเราสร้างความดีไว้แล้วแต่กาลหลัง คือตั้งแต่คราวเป็นมนุษย์อยู่นี้ จะไม่เสียที
นั่นละ ท่านประกาศวันพระไว้ให้ท่านทั้งหลายได้ทราบว่า วันพระเป็นวันสำคัญสำหรับประชาชนทั้งหลาย จะได้ระลึกถึงความดีงามทั้งหลายและบำเพ็ญความดีงามเข้าสู่ตน อย่าให้เสียวันเสียเวล่ำเวลาไปเปล่า ๆ ท่านเอาเพียงว่าเดือนหนึ่งมีเพียง ๔ วันเท่านั้น นอกนั้นปล่อยให้ประกอบหน้าที่การงาน วิ่งใต้วิ่งเหนือเพื่อธาตุขันธ์ เพื่อสกลกาย เพื่อความเป็นอยู่ เพื่อเอาชีวิตรอดไป ว่าอย่างนั้นเถอะนะ นอกจากนั้นในวันพระก็ให้บำเพ็ญให้ระลึกถึงคุณงามความดีเพื่ออาหารเข้าสู่ใจ
อาหารของธาตุของขันธ์นั้น คือ ข้าว น้ำ วัตถุต่าง ๆ อาหารของใจ ได้แก่ ทาน ศีล ภาวนา เป็นบุญเป็นกุศลรวมเข้ามาสู่ใจของเรา นี้คืออาหารของใจ ใครมีอาหารของใจนี้ ใจจะเป็นผู้มีความร่มเย็นเป็นสุข ไปเกิดก็เกิดในสถานที่ดีคติที่เหมาะสม สมความมุ่งมาดปรารถนา นอกจากนั้นมีบุญมาก ๆ แล้วก็ผ่านพ้นถึงนิพพาน ไม่ต้องมายุ่งเหยิงวุ่นวายในการเกิดการตายนี้อีกเลย นี่เพราะความดีเพราะอาหารของใจมีมาก ล้วนเป็นอาหารดี ถ้าสิ่งที่ชั่วนั้นไม่จัดว่าเป็นอาหาร แต่เป็นยาพิษเผาจิตใจของเรา นั้นไม่ใช่ของดี ขอให้พากันละเว้นบ้าง อย่างน้อยก็บ้าง ละเว้นได้มากเท่าไรก็ยิ่งดี วันพระวันหนึ่ง ๆ อย่าให้เสียเวล่ำเวลา วันพระได้ผ่านไปเปล่า ๆ วันประเสริฐผ่านไป เราเอาแต่ความโง่ เอาแต่นรกอเวจีเผาหัวใจเราอยู่ทั้งวันทั้งคืนไม่ว่าวันพระวันโยม มันถูกต้องดีงามแล้วเหรอ
เราเป็นมนุษย์ทั้งคน ฉลาดกว่าสัตว์ ทำไมจึงโง่กว่าสัตว์ บทเวลาถึงบทเช่นนี้เข้ามา ให้เราถามเราอย่างนั้น อย่าให้คนอื่นไปถามนะ เดี๋ยวเกิดโมโหโทโส แทนที่จะแก้กิเลสกลับเพิ่มกิเลสขึ้น ถ้าเราถามเราแล้วกิเลสจะหลุดลอยไป เราจะรู้ได้ในตัวของเรา
เอาละ
a |