เทศน์อบรมพระ ณ วัดป่าบ้านตาด
เมื่อวันที่ ๒๕ มีนาคม พุทธศักราช ๒๕๒๔
ความเห็นแก่ตัว
ไม่มีเพศใดยิ่งไปกว่าเพศของนักบวชนี้ ในการพิจารณาไตร่ตรองเพื่อหาทางออกจากทุกข์ เมื่อเพศนี้ไม่คิดเพศไหนจะคิด เพศนี้ไม่พิจารณาเพศไหนจะมีแก่ใจพิจารณา เพื่อปลดเปลื้องทุกข์ออกจากตนโดยชอบธรรมเล่า นี่เคยคิดมาแล้ว ถ้าไม่คิดก็ไม่กล้านำสิ่งเหล่านี้ออกมาพูดต่อผู้เกี่ยวข้อง เช่น พระเณรและประชาชนผู้ใกล้ชิด เป็นต้น เราเคยคิดและแน่ใจว่าไม่ผิด เมื่อพิจารณาตามเหตุตามผลด้วยดีแล้ว ถ้าเป็นสิ่งที่จะทำให้คนอื่นค้านได้ เราต้องค้านเราได้ เพราะไม่ได้พิจารณาเพื่อความเห็นแก่ตัวหรือเพื่อเข้าข้างตัว ความผิดถูกชั่วดีทั้งหลายจะนอกเหนือเหตุผลไปไหนได้ มันต้องเป็นไปตามเหตุผลนั่นแล ว่าถูกก็ต้องถูก ว่าผิดก็ต้องผิด เพราะเหตุผลเป็นเครื่องบังคับอยู่แล้ว
อันความเห็นแก่ตัวนั้นเป็นเรื่องของกิเลสพาให้เป็นไปทั้งสิ้น อย่าคิดว่าเป็นของวิเศษมาจากโลกทิพย์ที่ไหนเลย ที่ส่วนมากทะนงตัวว่าเจ้าของถูกเจ้าของดี กิริยาอาการทุกสิ่งทุกอย่างที่แสดงออก เจ้าของต้องคิดว่าถูกว่าดีทั้งสิ้น นั้นเป็นการทะนงเพราะอำนาจของกิเลสตัวสกปรกทั้งมวล หาศักดิ์ศรีดีงามอะไรไม่ได้เลย นี่แลถ้าเป็นเรื่องของกิเลสพาเดิน เดินอย่างนี้ เพราะเคยเป็นมาอย่างนี้ตั้งแต่กัปไหนกัลป์ใดแล้ว ไม่มีอะไรมาคัดค้านมันได้เลย นอกจากธรรมอย่างเดียวที่เป็นข้าศึกกับมันถ้านำมาใช้ เพื่อเปลื้องตนออกจากทุกข์ กิเลสจึงกลัวธรรมอย่างเดียว นอกนั้นมันไม่กลัวอะไรทั้งสิ้น
กิเลสตัวใดจะไม่เห็นแก่ตัวมีเหรอ ความเห็นแก่ตัวก็คือเรื่องของกิเลส คือตัวกิเลสที่พาให้ใจของสัตว์โลกสกปรกและทำสกปรกไม่หยุดหย่อนนั่นแล เมื่อมีอยู่ในจิตใจของสัตว์ของบุคคล ทำไมสัตว์บุคคลจะไม่เห็นแก่ตัว ความเห็นแก่ตัวทำไมจะไม่ปิดใจให้มืดมิด เพราะกิเลสมันปิดและพาแสดงออกเป็นความเห็นแก่ตัว มองเห็นแต่ผลประโยชน์ของตัวทั้งสิ้น เหมือนคนและสัตว์ในโลกนี้ไม่มีหัวใจ ไม่มีคุณค่าสาระใดๆ คนด้วยกันเห็นเขาเป็นเศษเดนมนุษย์ หรือเห็นเป็นคนประเภทหนึ่งจากเราไปได้ เห็นเราเป็นคนพิเศษไปทั้งที่จิตใจและการแสดงออกเลวกว่าสัตว์ ถ้าเป็นพระก็เป็นพระพิเศษไปกว่าพระของศาสดาองค์ผู้ประเสริฐ ชอบยกตนข่มท่านเป็นสันดาน
งานของพระประเภทนี้คือการยกตนอวดตัวโดยวิธีปฏิบัติแบบแผลงๆ ขลังๆ เพราะกิเลสตัวร้อยเล่ห์ร้อยเหลี่ยมร้อยสันพันกลนี้เองถลุงใจให้เป็นความเห็นแก่ตัว คนเห็นแก่ตัว พระเห็นแก่ตัว จนเข้ากับใครไม่ได้เป็นต้น การแสดงออกก็คือความเห็นแก่ตัวในที่ทุกสถานตลอดกาลทั่วไป จึงมองหาความผิดของเจ้าของไม่เจอ เพราะไม่มอง ถูกสิ่งนี้มันผลักดันออกไปให้มองแต่ข้างนอก ไม่ให้มองย้อนเข้ามาหาตัว แล้วจะให้รู้ผิดถูกได้ยังไง ทั้งๆ ที่มีอยู่เต็มหัวใจก็ไม่รู้ เพราะไม่ดู ถ้าเป็นเรื่องของธรรมแล้ว ต้องดูและพิจารณารอบไปหมด ไม่ได้ยกตนขึ้นว่าเป็นผู้พิเศษยิ่งกว่าผู้หนึ่งผู้ใดและสิ่งหนึ่งสิ่งใด ต้องมองดูและพิจารณาตามทางเหตุผลล้วนๆ
เอ๊า ฟาดลงไปซิ ให้ถึงขั้นจิตบริสุทธิ์ ถ้าจิตลงได้บริสุทธิ์แล้วจะมีอะไรแบบป่าๆ เถื่อนๆ ดังกล่าวมาอยู่ที่นั่นไหม เฉพาะอย่างยิ่งจะมีความเห็นแก่ตัวอยู่ที่นั่นอีกไหม ยืนยันได้อย่างอาจหาญและพูดได้อย่างเต็มปากไม่กระดากอายเลยว่าไม่มี นอกจากธรรมเสมอภาคล้วนๆ อันเป็นธรรมอัศจรรย์สง่างามครองใจดวงนั้นเท่านั้น จึงเห็นได้ชัดว่ากิเลสเท่านั้น ที่ส่อแสดงออกมาทุกอากัปกิริยาให้เป็นการกระทบกระเทือนทั้งแก่ตนเองและแก่ผู้เกี่ยวข้องมากน้อย หน้าที่การงานที่เกี่ยวข้องกว้างแคบกระเทือนไปหมด เพราะความเห็นแก่ตัว มันเป็นเรื่องเล็กน้อยเหรอเรื่องกิเลสน่ะ จงพากันพิจารณาให้รู้เห็นแง่หนักเบาดีกับชั่ว ระหว่างกิเลสกับธรรมว่าต่างกันอย่างไร ประจักษ์ใจหายสงสัย
ถ้าจิตยังไม่เหนือ สติปัญญายังไม่เหนือ ธรรมยังไม่เหนือมันก็ยังไม่รู้เห็นมัน ที่สลับซับซ้อนและละเอียดสุขุมมากยิ่งกว่าสิ่งใดในโลกนี้ ก็คือกิเลสนี่เอง มันถึงได้ครองโลก ความรู้ความเห็นความคิดต่างๆ ที่กิเลสผลิตขึ้นมาถือว่าถูกหมดดีหมด ใครจะเป็นเทวดามาจากไหนก็ไม่ดี สู้เจ้าของไม่ได้ แม้แต่ครูบาอาจารย์ที่น่าเคารพนับถือและเชื่อฟัง กิเลสมันยังมีแง่ต่อสู้ของมันอยู่อย่างลึกลับภายในใจ บางทียังกล้าหาญแสดงออกมาภายนอกได้ ดูซิ มันเคยลงกับธรรมเมื่อไร พระพุทธเจ้ามันยังคัดค้านต้านทานจะว่าไง กิเลสมันเป็นข้าศึกกับทุกสิ่งทุกอย่างไป ขึ้นชื่อว่าธรรมคือความถูกต้องดีงามแล้ว มันถือเป็นข้าศึกทั้งนั้น นี่ละจึงลำบากสำหรับผู้ปฏิบัติธรรมเพื่อสังหารทำลายมัน
ฉะนั้น จงยกศาสดาขึ้นมาเป็นหลักดำเนินทุกด้านอย่างฝังใจ พระองค์ทรงห้ามและทรงอนุญาตสิ่งใด มีเหตุผลพร้อมแล้ว ทรงบวกลบคูณหารโดยสมบูรณ์ด้วยพระปรีชาญาณแล้ว ส่วนได้มากได้น้อย เสียมากเสียน้อย ทรงเทียบเคียงทุกสัดทุกส่วนแล้ว ควรจะออกช่องไหนที่มีส่วนได้มากกว่ากัน ก็ทรงสอนให้ออกช่องนั้น สมมุติว่าหลีกไม่ได้ ก็เลือกเอาที่มีผลได้มากกว่าแล้วดำเนินไปทางนั้น ให้ไปเฉพาะทางได้ แต่ทางเสียไม่ยอมให้ไป ไม่ทรงอนุญาตถ้าเป็นทางเสีย นี่ละศาสดาทรงดำเนินตามเหตุผลอรรถธรรมล้วนๆ มีเรามีเขาที่ไหนพอจะสอนให้คนเห็นแก่ตัว เห็นแก่พวกพ้องของตัวและเหยียดคนอื่น เพราะมีแต่ธรรมล้วนๆ ในพระทัย
เราไม่เคยเห็น เราไม่เคยรู้จิตประเภทนั้นเป็นยังไง เราเคยประสบเคยพบเคยเห็นเคยคลุกเคล้าแต่กับสิ่งสกปรกโสมม อันเป็นมูตรเป็นคูถเต็มหัวใจเท่านั้น คำว่ามูตรคูถถ้าไม่ใช่กิเลสจะได้แก่อะไร แล้วเราจะไปเห็นอะไรที่แปลกประหลาดและอัศจรรย์ยิ่งกว่านี้ ก็เห็นแต่อันนี้ ไม่มีอะไรดีกว่านี้ จึงต้องคลุกเคล้ากับอันนี้เรื่อยมาไม่มีวันเบื่อหน่ายอิ่มพอบ้างเลยนั่นแล เพราะความพออกพอใจกับมันทุกท่า แสดงออกมาท่าไหนพอใจทั้งนั้น เพราะการแสดงออกนั้นเป็นทางเดินของกิเลสอยู่แล้ว เราอยู่ใต้อำนาจของมันจะไม่พอใจมันยังไงได้ เพราะเราไม่ฉลาดเหนือกิเลสนี่ ถ้ามีความฉลาดเหนือกิเลสก็ทราบกันทันทีๆ
จึงได้กล่าวเสมอว่า จงทำจิตของตนให้บริสุทธิ์ เพราะการปราบกิเลสซึ่งเป็นตัวร้อยเล่ห์ร้อยเหลี่ยมร้อยสันพันคมออกให้หมดจากจิตใจซิ มันอยู่ในจิตใจของบุคคลแม้แต่อยู่กับสัตว์ก็รู้ ปิดไม่อยู่ ว่ากิริยาที่แสดงออกมานั้นคือกิเลสประเภทนั้นๆ ซึ่งเคยครอบหัวใจเรา เหยียบย่ำหัวใจเรามาพอแล้ว แต่ถูกขับออกไปจนไม่มีอะไรเหลือ แล้วทำไมจะไม่รู้เมื่อมันยังอยู่กับหัวใจของใคร เพราะมันเหมือนๆ กันนี่ การแสดงออกมาจะไม่รู้ได้ยังไง ต้องรู้ได้อย่างชัดๆ ซิเมื่อเหนือมันแล้วต้องรู้ ถ้าไม่เหนือก็ไม่รู้ จะอยู่ด้วยกันกี่กัปกี่กัลป์ก็ไม่มีทางรู้ได้ ต้องถูกหลอกถูกต้มจากมันเรื่อยไปดังที่เป็นมานี่เอง
พระพุทธเจ้าทรงอนุโลมผ่อนผันสงเคราะห์โลกสงสารไปตามขั้นภูมิอุปนิสัย ก็เพราะทรงเห็นว่าโลกคือ คนมีหัวใจ สัตว์มีหัวใจ ที่จะทรงสงเคราะห์ได้ขนาดใดก็สงเคราะห์ไป เฉพาะอย่างยิ่งภิกษุบริษัทของพระองค์ จึงต้องทรงกลั่นกรองด้วยหลักธรรมหลักวินัยให้มีขอบมีเขตเป็นเครื่องปกครองบังคับบัญชา คำว่าบังคับบัญชาก็คือบังคับบัญชาความชั่วที่จะออกทางทวารช่องต่างๆ นั้นแหละ ที่กิเลสจะออกหากินหารายได้ของมันมาเก็บสั่งสมไว้ภายในใจ เมื่อกิเลสหารายได้เพิ่มเข้ามาแล้วก็มาเหยียบหัวใจเรานั่นแล เพราะฉะนั้น จึงต้องใช้หลักธรรมหลักวินัยอันเป็นเครื่องปราบปรามบังคับไว้ เพื่อไม่ให้กิเลสประเภทต่างๆ ออกเที่ยวหากิน หรือออกกว้านยาพิษมาเผาใจเรา เมื่อสิ่งเหล่านี้อยู่กับเรามันต้องบังคับเรา ไม่บังคับเราจะบังคับอะไร มันต้องบังคับเราอยู่ตลอดเวลานั่นแล ผู้จะฆ่ากิเลสจึงเป็นผู้หนักแน่นในธรรมในวินัย ที่ประทานให้โดยสมบูรณ์แล้ว จงฟังให้ถึงใจ ปฏิบัติให้ถึงกิเลส แล้วจะถึงธรรมไปเอง
ผู้ปฏิบัติจึงต้องใช้ความละเอียดลออให้มาก อย่าสักแต่ว่าอยู่ อยู่เฉยๆ ไม่คิดไม่อ่าน นี่สอนหมู่เพื่อนมาอย่างเต็มเม็ดเต็มหน่วยเต็มสติกำลังความสามารถ ไม่ใช่มาสอนแบบปาวๆ สอนไปแบบเฉยๆ เมยๆ รับหมู่เพื่อนไว้รายใดก็รับไว้เพื่ออบรมสั่งสอนจริงๆ ด้วยความเห็นใจซึ่งกันและกัน ด้วยความเมตตาสงสาร ด้วยความเห็นใจท่านใจเรา เพราะเจตนาที่เสาะแสวงหาครูหาอาจารย์ หาอรรถหาธรรมเป็นประเภทเดียวกัน หรือเป็นชนิดเดียวกัน เป็นเจตนาอันเดียวกันกับเราที่เคยเป็นมาแล้ว คว้าเอาหัวใจเรานั้นแหละออกเทียบกับหัวใจหมู่เพื่อน จึงพยายามถูไถกันไป หนักบ้างเบาบ้าง แบกหามกันไปอย่างนั้นตามความจำเป็น
การสั่งสอนทุกแง่ทุกมุมจะดุด่าว่ากล่าวหนักเบาขนาดไหน ก็คือการตีการฆ่ากิเลสของพระทั้งนั้น ไม่ใช่ตีพระฆ่าพระนี่ ถ้ามาหาความดีงามมาหาธรรมอย่างใจจริงแล้ว ก็ทราบเองว่าครูอาจารย์ท่านตีท่านฆ่าอะไร ก็ตีกิเลส ฆ่ากิเลสที่มันทำลายพระน่ะซิ บกพร่องตรงไหนกิเลสต่อยเอาๆ ครูอาจารย์ท่านมองเห็นอยู่ได้ยินอยู่นี่ กิริยาที่แสดงออกทางหูทางตา คำพูดจา กิริยาอาการที่เคลื่อนไหวออกมา ออกมาจากอะไร ออกมาจากความผิด ความผิดนั้นมันเป็นอะไร มันดีละหรือ ถ้าไม่เป็นกิเลสมันจะเป็นอะไร เพราะมันฝังลึกภายในใจในกายจนเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันมานานแล้ว มันจึงเป็นนิสัยสันดานและแสดงออกมาจากอันนั้น จึงตีเข้าไปตรงนั้นให้ถูกกิเลสตรงนั้น ผู้ตั้งใจหาอรรถหาธรรมก็รู้ผิดถูกของตัวเอง และรู้ช่องทางที่จะแก้กันไปโดยลำดับน่ะซิ
ใครมานิมนต์พระวัดนี้ไปไหน เราก็ได้พูดเหตุพูดผลให้เขาฟัง เพราะเรารักเราสงวนพระผู้มุ่งอรรถมุ่งธรรม ซึ่งมาอาศัยและอยู่กับเราเพื่อการศึกษาอบรมความดีทั้งหลาย เราไม่ได้รักสงวนอะไรบรรดาวัตถุยิ่งกว่าพระในวัดเรา จตุปัจจัยไทยทานเป็นเครื่องอาศัยเพียงเล็กน้อยไปวันหนึ่งคืนหนึ่ง พอยังชีวิตให้เป็นไปเพื่อการบำเพ็ญสมณธรรมด้วยความสะดวกเท่านั้น จึงว่าเครื่องอาศัยๆ นิสสัย ๔ ฟังซิ ท่านสอนไว้แล้วตั้งแต่วันบวช สิ่งอาศัยคือปัจจัยเครื่องอุดหนุนเเก่การบำเพ็ญสมณธรรม ความสงบเย็นใจ เครื่องอุดหนุนเครื่องสืบต่อกันไปแห่งชีวิตธาตุขันธ์ในวันหนึ่งๆ เท่านั้น
ธรรมเป็นเรื่องใหญ่เป็นหลักเป็นเกณฑ์ เป็นแกนอันสำคัญที่เราต้องการ ส่วนปัจจัยสี่พอเป็นความสะดวกในการบำเพ็ญธรรมเท่านั้น ถ้าไม่ฉลาดสิ่งเหล่านั้นก็เหยียบย่ำทำลายได้ เพราะตัวเราที่พาให้ได้ให้เสีย พาให้เป็นไป พาให้ขวนขวาย พาให้ยินดี พาให้ติดอันเป็นเรื่องของกิเลสทั้งมวล จึงต้องระวัง ไม่ใช่เรื่องของธรรม ถ้าธรรมแล้วไม่ติด ติดอะไรธรรม ท่านสอนให้แก้ให้ละให้ถอดให้ถอนทั้งนั้น ติดอะไร แต่กิเลสมันเป็นเรื่องให้ติดอยู่แล้วโดยปกติ อยู่โดยปกติมันก็ติด แสดงออกมันก็ติด กิริยาอาการทุกสิ่งทุกอย่างติดทั้งนั้นถ้าเป็นเรื่องของกิเลส จึงต้องใช้ความพินิจพิจารณาอยู่ทุกระยะที่เคลื่อนไหวของใจ กาย วาจา เพื่อสลัดปัดทิ้งออกจากใจ ไหนจะสนใจเกี่ยวข้องพัวพันและเสาะแสวงจตุปัจจัยให้เพิ่มการทำลายตัวเข้าไปอีก นั่นไม่ใช่ทาง จึงไม่ควรสนใจใฝ่หา
ความตามสบายๆ อันใดก็ตามให้พึงทราบว่า นี่แหละหลักใหญ่ของกิเลสที่ฝังจมอยู่ในนิสัยสันดานลึกมากทีเดียว อย่าเข้าใจว่าอยู่ตื้นๆ ผิวเผินดังที่คนประมาทคิดกัน ฉะนั้นจึงต้องได้ฝืน ฝืนทุกระยะ ผู้ปฏิบัติธรรมจะหาความอยู่สบายแบบโลกๆ ไม่ได้ เพราะต้องต่อสู้กับกิเลส ฝืนกับกิเลสอยู่ตลอด กิเลสหยาบฝืนกันอย่างหนัก ต่อสู้กันอย่างหนัก กิเลสละเอียดเข้าไปก็ต่อสู้กันไปโดยลำดับๆ ประมาทนอนใจไม่ได้ แล้วจะหาความสบายมาจากไหนเมื่อความจำเป็นบังคับอยู่เช่นนี้
นักมวยเมื่ออยู่บนเวทีจะหาความสบายมาจากไหน แม้แต่ขณะให้น้ำก็หาความสบายไม่ได้ นี่เราขึ้นเวทีแล้ว เป็นผู้ตั้งใจประพฤติปฏิบัติอรรถธรรม การสละตนออกมาบวชในพุทธศาสนา ก็คือเพศนักรบอย่างเต็มตัวเต็มใจทุกอาการนั่นแล ยังจะหาความสะดวกสบายไปตามกลมายาของกิเลส เราก็ไม่ต้องมาบวชกัน ไม่ต้องมาฝืนกันละซิ ปล่อยให้กิเลสเหยียบย่ำถูไถไปมาจนถลอกปอกเปิก แขนขาขาดกระจุยกระจายไป เหลือเท่าไรค่อยเอา สุดท้ายก็ไม่มีอะไรเหลือ แหลกไปหมดทั้งร่างจะว่าไง กิเลสมันเคยเห็นใจไว้หน้าเมตตาใครที่ไหน พอจะตายใจกับมันได้
การฝืน คือ การฉุดการลากตัวออกให้พ้นภัยจากกิเลสต่างหาก เพราะฉะนั้นจึงต้องฝืนกัน การประกอบความเพียรต้องตั้งสติให้ดี พินิจพิจารณาทางด้านปัญญา เพื่อความเกรียงไกรรอบคอบ ทุกอาการมีแต่ท่าต่อสู้ มีแต่ท่าปลดเปลื้อง กิริยาอาการแห่งการปลดเปลื้อง กิริยาอาการแห่งการต่อสู้ทั้งปวง ก็ยอมรับกันว่าต้องทุกข์ แต่ผลที่ได้จากนี้ก็คือสันติธรรม อันจะพาให้จิตใจสงบสบายไปโดยลำดับ เพียงแต่ขั้นเริ่มการต่อสู้กับความฟุ้งซ่านรำคาญของจิต ที่เป็นมาจากกิเลสเป็นเจ้าเรือนและบงการ ก็ยังต้องลำบากตามลำดับของการต่อสู้ กว่าจะได้รับความสงบเย็นใจแต่ละครั้งละคราวในขั้นเริ่มแรกของการฝึกจิตใจนั้น มันต้องลำบากไม่น้อย
เพราะกิเลสมันอยู่เป็นสุขไม่ได้ มันต้องดิ้นต้องดีดของมัน และมันอยู่ในจิตจะไม่ให้จิตดิ้นไปด้วยยังไง จิตมีอะไรเกี่ยวโยงกันในตัวเราก็คือตา หู จมูก ลิ้น กาย นั่นแล เมื่อแสดงออกข้างนอกก็ไปสัมผัสสัมพันธ์กับรูป เสียง กลิ่น รส เครื่องสัมผัสและพัวพันกันไปเรื่อยๆ มันดิ้นมันดีดมันติดมันพันกันอยู่อย่างนั้น แล้วผลที่ได้มามีอะไร ก็มีแต่ความทุกข์ความร้อนภายในใจโดยถ่ายเดียว นอกนั้นยังระบาดไปถึงกาย ให้ต้องรับเคราะห์กรรมจากจิตไปด้วย
การต่อสู้เพื่อให้ได้ชัยชนะมีความสงบเย็นไปโดยลำดับ ต้องเข้มข้นทางความเพียรโดยสม่ำเสมอไม่ลดละ ธรรมถ้าเข้าสู่ใจมากน้อย ย่อมแสดงผลคือความสงบเย็นให้เห็นประจักษ์ใจ ความสงบ ความเย็นใจ สบายใจ นี้คือธรรม การต่อสู้กับความฟุ้งซ่านวุ่นวายได้มากน้อย ผลก็แสดงความสงบเย็นซึ่งเป็นธรรมอันพึงหวังขึ้นมา ผลแห่งการต่อสู้เป็นอย่างนี้ จากนั้นก็ขยับและขยายงานออกไปด้วยปัญญาเป็นขั้นๆ ไล่ตีต้อนกิเลสให้เข้ามาสู่จุดรวม จิตสงบ กิเลสมันก็สงบตัว แต่ไม่ใช่กิเลสตายนะ มันเพียงก้มหัวหมอบหลบหมัดคือสติ ปัญญา ศรัทธา ความเพียรเท่านั้น ที่กล่าวนี้เพียงขั้นสมาธิสงบตัวเข้ามา กิเลสสงบเพราะถูกตีถูกต้อนเข้ามาด้วยการต่อสู้กัน จากนั้นก็คลี่คลายออกโดยทางปัญญา กิเลสตัวไหนมันเก่งไปทางไหน ทีนี้ปัญญาตามคลี่คลายไล่ต้อนกันไป
เอ้า จิตมันติดอะไรที่เด่นที่สุดภายในจิตนี้ เช่น ราคะตัณหา เป็นต้น มันติดอะไร อันนั้นคืออะไร แยกแยะออกไป ดูที่มันติดเสียก่อน มันติดอะไร มันรักชอบอะไร สิ่งที่มันรักชอบนั้นคืออะไร คลี่คลายออกดูให้เห็นชัดเจนด้วยปัญญาเครื่องกลั่นกรองตัดสินกัน และพิจารณาย้อนเข้ามาดูกายอันนั้น ดูรูปอันนั้น ดูรูปอันนี้โดยทางอสุภะหรือไตรลักษณ์ได้ทั้งสิ้น เพราะตามหลักความจริงมันเหมือนกัน เมื่อรู้ชัดด้วยปัญญาจิตก็ถอยตัวเข้ามา จนสติปัญญาพอตัวแล้วกับกิเลสประเภทนั้นๆ ก็สลัดกันได้โดยลำดับ อย่างนี้เป็นต้นที่เกี่ยวกับปัญญา
ราคะตัณหาส่วนหยาบนี้เกี่ยวกับเรื่องกาย กายนอกกายใน เมื่อพิจารณาแยกแยะให้เห็นความจริงของมัน ทั้งด้านนอกด้านในได้เท่าเทียมกันเสมอกันแล้ว มันจะยึดจะถือจะรักจะชอบข้ามเมฆข้ามหมอกไปไหน มันก็หายสงสัยไปเอง นี่แหละปัญญาพิจารณาไปตรงไหนกิเลสจึงขาดไปเรื่อยๆ ปัญญามีเต็มที่ ตัดฟันกันขาดสะบั้นลงไปไม่มีเหลือ และขาดไปเป็นขั้นๆ เป็นตอนๆ จนขาดไปโดยสิ้นเชิง ไม่นอกเหนือสติปัญญาไปได้ ฉะนั้นจงบำรุงสติปัญญาให้แก่กล้าสามารถไปโดยลำดับ อย่าท้อถอยปล่อยวาง
นี่ก็ไม่ได้ประชุมมานานเพราะสุขภาพไม่ค่อยดี เพียงจะรักษาเจ้าของอยู่โดยลำพังในวันหนึ่งๆ ก็ลำบาก บางวันอยู่เฉยๆ โรคหัวใจมันก็กำเริบ โดยเฉพาะอากาศร้อนๆ มักเป็นเสมอ ต้องได้ระมัดระวัง แต่ก่อนที่สุขภาพยังดีก็ประชุมอยู่เสมอๆ นี่แหละการเปลี่ยนแปลงของธาตุขันธ์ เครื่องใช้มันไม่แน่นอนเสมอไป เมื่อมันชำรุดทรุดโทรมก็ต้องได้อนุโลมไปตาม หมู่เพื่อนมาพึ่งพาอาศัยก็ทราบทำไมจะไม่ทราบ เพราะเคยอยู่กับหมู่กับเพื่อนมาเป็นเวลานานแล้วนี่ ที่ออกมาจากป่าจากเขามาสู่สังคมพระเณรและประชาชนก็เกือบ ๓๐ ปีแล้ว ทำไมจะไม่ทราบ เคยอบรมหมู่เพื่อนมามากเพียงไรก็รู้กันอยู่แล้ว แต่เวลาธาตุขันธ์ชำรุดทรุดโทรม ก็จำต้องพักผ่อนไปตามความจำเป็น ทั้งที่ห่วงใยหมู่เพื่อน แม้แต่งานภายนอกถ้าไม่จำเป็นจริงๆ ก็ไม่อาจรับได้ ทั้งที่เห็นใจผู้มาเกี่ยวข้องมากน้อย
เพราะฉะนั้นหมู่เพื่อนที่มาอบรมศึกษาจงพากันตั้งใจด้วยดี ศึกษาอบรมอย่างจริงจัง อย่าพากันนอนใจ จะไร้คุณค่าที่น่าพึงใจทั้งปัจจุบันและอนาคต อยู่แบบหดตัวเหมือนคนสิ้นท่ามันน่าทุเรศนะ ทั้งนี้เพราะกลมายาของกิเลสทุกอาการแหลมคมมาก ดังที่กล่าวมานั้นแหละ คอยแต่จะถูกหลอกและล่มจมไปกับมันอยู่เรื่อยๆ โดยไม่รู้สึกตัวนะ ทำอะไรพอไม่สะดวกสบายบ้าง เช่น ประกอบความเพียรบังคับจิตใจ ฝืนกันบ้าง ก็เห็นว่าเป็นทุกข์ไม่อยากฝืน สู้นอนจมอยู่กับกิเลสเป็นกัปเป็นกัลป์ไปดีกว่า แล้วแต่มันจะเอาขึ้นเขียงไหน จะสับจะฟันลงไปก็ให้เป็นหน้าที่ของมัน นั้นเห็นว่าสบายดี
แต่นั่นมันเพลงกล่อมของกิเลสที่เคยฟังจมหูจมจิตใจมานานแสนนานแล้ว ถ้าสบายจริงดังที่ถูกหลอก ใครๆ ก็ต้องการความสบายและก็เคยทำตามกิเลสมาแล้วด้วยกันทั้งนั้นโลกอันนี้ แต่ไม่เห็นได้รับความสบายตามใจที่นึกฝันกัน อยู่ที่ใดไปที่ใดเห็นแต่คนและสัตว์ต้องโทษโดนทุกข์ทรมานเพราะกิเลสดัดสันดานทั่วหน้ากัน แต่ไม่รู้จักเข็ดหลาบและแสวงหาทางออกกันบ้าง
พระพุทธเจ้าเสด็จออกทรงผนวชก็เพื่อความสุขอันไพบูลย์ โดยทรงเห็นว่าสิ่งเหล่านี้ให้ความสุขได้เพียงแค่นั้น มีความทุกข์มาก ให้ความสุขเพียงเล็กน้อยพอเป็นเครื่องหลอกผิวเผินเท่านั้น จึงต้องทรงเสาะแสวงหาสิ่งที่จริงจังไม่หลอกลวง ไม่มีพิษภัยเคลือบแฝง สิ่งที่ทรงแสวงหาอย่างเต็มพระสติปัญญา ถึงกับเอาพระชีวาเข้าแลกนั้นคือ โมกขธรรม ได้แก่ธรรมแดนหลุดพ้น จนสมพระทัยหวังและนำธรรมนั้นมาสอนโลกที่ชาวพุทธเราได้กราบไหว้บูชา และปฏิบัติตามอยู่นี่แล ทั้งนี้เพราะท่านยอมรับทุกข์โดยชอบธรรมทางการบำเพ็ญ
ถ้าไม่ใช้สติปัญญาให้มากๆ จะไม่ทันกิเลสนะ แม้แต่เพียงให้จิตสงบก็สงบได้ยากหรือสงบไม่ได้ ถ้าปราศจากความตั้งใจความจดจ่อด้วยสติแล้วต้องเหลวไหลไม่เป็นท่า เพราะกิเลสมันไม่มีเวลาอ่อนข้อย่อหย่อน แข็งปึ๋งอยู่อย่างนั้นตลอดเวลาในตัวเราจะว่าไง ยิ่งเราอ่อนเท่าไรมันยิ่งแข็ง ถ้าเราแข็งมันก็เริ่มอ่อนลง นี่แหละหลักใหญ่อันเป็นความจริงอยู่ตรงนี้ จงพากันพิจารณาให้ดี
ขั้นเริ่มต้น ขั้นถูไถ ล้มลุกคลุกคลานนี่แหละ ส่วนมากผู้ปฏิบัติมักไปไม่ค่อยรอด จอดอยู่กลางมหาสมมุติมหานิยมไปเสีย โลกเขานิยมว่าอะไรดีก็ว่าดีไปตามเสีย ลืมตัวไปเสีย แต่ธรรมที่ปราชญ์ท่านว่าดีไม่ยอมฟัง ความพ้นทุกข์นักปราชญ์ผู้บริสุทธิ์ท่านว่าดีไม่ยอมฟัง ว่าเป็นสุขไม่ยอมฟังไม่ยอมเชื่อ มันหากเป็นอยู่ในหัวใจนั่นแหละ ไม่ใช่เราตั้งใจไม่เชื่อ ไม่ใช่เราตั้งใจคัดค้าน แต่มันมีธรรมชาติที่เป็นตัวข้าศึกต่อธรรมชนิดหนึ่ง ที่กล่อมหัวใจอยู่นั้นพาไม่ให้เชื่อ และให้ฝืนธรรม คัดค้านธรรม ต่อสู้ธรรม ด้วยวิธีต่างๆ แล้วจะเจอความเกษมในธรรมที่ปราชญ์ท่านแสดงไว้ได้ยังไง เพราะท่านทำอย่างนั้นท่านถึงได้รู้อย่างนั้น จึงได้พูดได้สอนอย่างนั้น ท่านไม่ได้ทำแบบเรา รู้แบบเรา ท่านจึงไม่เป็นอย่างเรา
รู้แบบเรากับรู้แบบท่านมันผิดกัน สุขแบบเรากับสุขของท่านมันผิดกัน สุขแบบเรามันอยู่ปลายเบ็ดนั้นน่ะ สุขของเราเป็นความสุขอยู่ปลายเบ็ดว่าไง ปลาตัวโง่พองับเหยื่อที่ปลายเบ็ดเข้าไปก็ติดเบ็ดพร้อมกันเลย งับไปตรงไหนก็ติดเบ็ดตรงนั้น ขึ้นชื่อว่าโลกามิสที่เป็นสิ่งเคลือบแฝงของกิเลสแล้ว มันก็เป็นอย่างเบ็ดที่ติดเหยื่อล่อปลานั่นแล เหยื่อนี้ไม่ใช่อาหารอันแท้จริง แต่เหยื่อนี้เป็นเหยื่อล่อสำหรับหลอกคนโง่โลเลในโลกามิส ผู้ปฏิบัติเพื่อความฉลาดและหลุดพ้นจึงต้องระวังกัน ผู้ปฏิบัติอย่างแท้จริงในธรรมทั้งหลายเท่านั้นจึงจะระวังได้ และละได้ไม่ติดเบ็ดคือโลกามิสซึ่งเปรียบเหมือนเหยื่อล่อปลา ที่พออาศัยไปในวันหนึ่งๆ เท่านั้น ไม่ถือเป็นจริงเป็นจังเหมือนธรรมที่กำลังบำเพ็ญ
กำลังวังชาของเราเคยทุ่มเทในงานอื่นๆ เราทุ่มมามากพอแล้ว ความคิดความปรุงอะไรก็เคยคิดเคยปรุงมาตั้งแต่วันเกิดจนกระทั่งบัดนี้ ก็น่าจะเบื่อหน่ายและนำมาพินิจพิจารณาทบทวนแยกแยะเทียบเคียงกัน ในแง่หนักเบา ดีชั่ว ได้เสีย ซึ่งพอจะหาช่องทางออกในแง่ใดได้บ้างแล้วในการปฏิบัติธรรมเพื่อตัวเอง จะมัวเสียดายอะไรกันอยู่อีกนักหนา เรื่องความเกิดตายนี้มันอยู่บนเขียงของกิเลสมาเป็นประจำซึ่งควรเข็ดหลาบได้แล้ว เพราะเคยโดนกันมาแบบนี้ทุกรายไม่น่าสงสัย แต่ใจเราจะให้นอกจากเขียงนี้มันไม่อยากไป จึงถูกกล่อมอยู่นั้นแล เพราะเพลงลูกทุ่งลูกกรุงมันเพราะพริ้ง เกินกว่าสติธรรม ปัญญาธรรม วิริยธรรมเป็นต้น จะเข้าไปสอดแทรกได้
เจ้าของนั่นแหละเป็นผู้จะฉุดลากเจ้าของ ครูบาอาจารย์เป็นแต่ผู้ให้อุบายแนะนำสั่งสอนเท่านั้น ต้องหาอุบายพลิกแพลงในแง่ต่างๆ เอาเอง ถ้าจิตอ่อนแอต้องพลิกหาอุบายใหม่ๆ มาใช้ให้ทันกับกลมายาของกิเลสตัวปลิ้นปล้อนหลอกลวงเก่งๆ การปฏิบัติตัวเองจะคิดว่าวันนี้ได้ผลอย่างนี้ วันวานได้ผลอย่างนั้น แล้วจะเอาอุบายเก่านั้นมาใช้ทั้งๆ ที่มันจืดชืดไปแล้วนั้นไม่ได้ผลนะ จงพลิกหาอุบายใหม่มาใช้ นั้นมันเป็นอดีตไปแล้วจะไม่ทันกับกลลวงของกิเลสตัวปัจจุบัน อุบายใดที่จะฟิตตัวเองให้ขึงขังตึงตังขึ้นมาควรแก่การฆ่ากิเลสชนิดนั้นๆ ต้องพลิกหาอุบายนั้นมาใช้นะ ไม่งั้นไม่ทันกลมายาของกิเลส ใจก็ไม่สงบ อุบายปัญญาแหละสำคัญ นี่เคยทำมาอย่างนั้น
อย่างน้อยต้องให้มีความสงบถึงจะมีโลกอยู่พูดง่ายๆ ถ้าใจสงบเย็นพออยู่ได้มนุษย์เราพระเรา ถ้าใจไม่สงบเลยนี่ร้อนเป็นฟืนเป็นไฟ ราวกับจะหาโลกอยู่ไม่ได้นั่นแล เห็นอะไรก็เป็นไฟไปด้วยเพราะกิเลสพาเป็นไฟ ใจจึงเป็นไฟ หาที่ปลงจิตปลงใจไม่ได้เลยขณะนั้น แม้ที่สุดครูบาอาจารย์ที่เคารพเลื่อมใสก็หมดความเคารพเลื่อมใส ใจเฉื่อยชาไปหมด นั่นเห็นไหมล่ะ เวลากิเลสมันทรยศน่ะใจมันรู้จักเจ้าของเมื่อไร พอมีความสงบขึ้นภายในจิตซึ่งมีคุณค่ามากน้อยตามขั้นของธรรม ทีนี้พอเป็นที่ยับยั้งตั้งตัวได้ พอเป็นที่อาศัยหายใจเต็มปอดได้บ้างละที่นี่ มองดูข้างนอกก็เป็นลักษณะเย็นตา เย็นใจเช่นเดียวกัน เห็นหมู่เพื่อนเป็นหมู่เพื่อน เห็นครูเห็นอาจารย์ก็เป็นที่เคารพเลื่อมใสขึ้นไปโดยลำดับๆ
จิตละเอียดเข้าเท่าไร ความเคารพเชื่อถือครูบาอาจารย์ยิ่งหนักขึ้นๆ ความหวังพึ่งพิงท่านยิ่งมีกำลังมากขึ้นทุกที หายใจเข้าหายใจออกเป็นครูเป็นอาจารย์ เป็นอรรถเป็นธรรมไปตลอดกาลสถานที่ ไม่จืดจางเหมือนแต่ก่อนที่โรคบ้ากิเลสกำเริบรังควาน แม้ที่สุดพระพุทธเจ้าปรินิพพานไปกี่พระองค์และนานเท่าไร จิตสามารถประมวลเข้ามาสู่จุดเดียวคือใจของตนได้หมด ใจยอมรับความจริงอย่างหมอบราบเลย นั่น ใจถ้าไม่มีอะไรมาฝืนมากั้นไว้ก็ลงสู่ความจริงได้อย่างราบคาบ จึงทราบได้ว่าที่เป็นทั้งนี้มีแต่กิเลสทั้งนั้นฝืนธรรม กีดกันธรรม ไม่มีอะไรมาฝืน
ฉะนั้นจงพยายามทำใจให้สงบให้ได้ ต้องบังคับซิถ้าอยากเป็นคนดีใจวิเศษน่ะ เมื่อมีความสงบได้แล้วก็จงพิจารณาทางด้านปัญญา สงบแค่ใดก็เป็นบาทเป็นฐานของปัญญาขั้นนั้นๆ ได้ พอได้ต้นทุนคือสมาธิแล้วก็เริ่มปัญญา ให้เป็นต้นทุนทางด้านปัญญาต่อไปอีก ทีนี้ผลของจิตจะผิดกันไปโดยลำดับ ความดูดดื่มทางสมาธิเป็นอย่างนี้ ความดูดดื่มทางด้านปัญญาเป็นอย่างนั้น ผิดแปลกกันไปเรื่อยๆ เพราะปัญญานี้ก้าวออกไปเรื่อย กว้างขวางออกไปเรื่อย ชำนิชำนาญไปเรื่อยๆ คล่องตัวไปเรื่อยๆ จิตใจก็ดีดขึ้นๆ รู้เห็นได้อย่างชัดเจนว่ากิเลสตัวใดได้ขาดไปด้วยปัญญาประเภทใด เป็นวรรคเป็นตอน กิเลสขาดไปเป็นลำดับๆ รู้
ทีนี้พอจิตปรากฏได้ผลขึ้นมาว่าเป็นสิ่งที่มีคุณค่าโดยลำดับแล้ว ทำไมจะไม่ขยับขยัน ทำไมจะไม่มีแก่ใจคนเรา ต้องมีแก่ใจโดยไม่ต้องสงสัยเลย ความขยันหมั่นเพียรเป็นมาเอง ความคิดว่าลำบากลำบนแต่ก่อนไม่มีละที่นี่ มีแต่ความหมุนตัวติ้วๆ เรื่อยไป พินิจพิจารณาเพื่อแก้เพื่อถอดถอนกิเลสเรื่อยไป ไม่มีคำว่าท้อถอยอ่อนแอ สิ่งที่ได้แล้วมากน้อยเพียงไรนั้นเป็นเครื่องดูดดื่ม เป็นที่ไว้ใจ เป็นที่อบอุ่นใจ ไม่เหมือนสิ่งที่อยู่ด้วยกันแต่ก่อน ซึ่งเป็นพิษเป็นภัยมากน้อยตามความมีอยู่ของมัน จากนั้นสติปัญญาก็หมุนไปเลย เอาจนกระทั่งได้รั้งเอาไว้
นั่นแหละถึงขั้นธรรมมีอำนาจมากกว่ากิเลสต้องได้รั้งเอาไว้ ไม่งั้นสติปัญญาจะทำงานเลยเถิด เพราะความเพลิดเพลินในความเพียรเกินไป ซึ่งไม่ใช่มัชฌิมาความพอดีเหมาะสม กิเลสที่เคยเพ่นพ่านต้องหมอบเหมือนกับหายหน้าไปหมด ความจริงไม่หมด ใครจะฉลาดยิ่งกว่ากิเลสเล่า มันต้องหมอบหลบฉากละซิ เพราะถูกสติธรรม ปัญญาธรรมฟาดกันลงไปไม่ยับยั้งนี่ นี่เป็นธรรมฝ่ายเหตุ สติปัญญาแก้กันลงไปๆ คุ้ยเขี่ยขุดค้นกิเลสขึ้นมาอยู่ที่ไหน สติปัญญาก็เป็นอัตโนมัติ ความเพียรเป็นอัตโนมัติ ความอุตส่าห์พยายามทุกด้านกลายเป็นอัตโนมัติไปตามกันหมด เหมือนกับเราไม่มีเจตนานำมาใช้นะคำว่าอุตส่าห์พยายาม เพราะเป็นไปเองเมื่อถึงขั้นเป็นเองแล้ว
คำว่าอุตส่าห์ทั่วๆ ไปนี้ได้แก่การฝืน เช่น อุตส่าห์ทำไปเถอะ อุตส่าห์ฝืนไปเถอะ แล้วจะเห็นผล ดังนี้ มีแต่ ฉันทะ วิริยะนี้วิ่งตามกัน ความพอใจในความเพียรนี้ก็ละเอียดเข้าไป มีกำลังมากเข้าไปโดยลำดับ แล้วจะนอนใจอยู่ได้ยังไงเมื่อเป็นอย่างนั้น ถ้าไม่พุ่งให้ทะลุเสียอย่างเดียวแล้วไม่มีที่อยู่ ไม่มีที่ปลงใจ ถอยไม่ได้ ก็ฟืนไฟอันเป็นผลของกิเลสชนิดต่างๆ ได้เคยเผาเรามาแล้วตั้งแต่กัปไหนกัลป์ใด สุมอยู่ที่หัวใจนี่ ทำไมจะไม่เห็นโทษของมันอย่างถึงใจเล่า เวลานี้เราจะออกจากฟืนจากไฟ ดับฟืนดับไฟ กิเลสเป็นตัวไฟ ราคคฺคินา โทสคฺคินา โมหคฺคินา เป็นไฟทั้งนั้น น้ำดับไฟได้แก่สติปัญญา ศรัทธา ความเพียร นี้เป็นน้ำดับไฟ ดับลงไปๆ ใครจะโดดเข้าไปกองไฟอีก นอกจากดับลงให้มันมอดไม่มีเหลือ โล่งไปหมดเท่านั้น แล้วอะไรล่ะที่นี่จะมายุแหย่ก่อกวนยิบๆ แย็บๆ เหมือนแต่ก่อน ไม่มี เพราะไฟหมดหรือดับโดยสิ้นเชิงแล้ว
ทีนี้ก็เห็นได้ชัดว่า มีกิเลสนี้เท่านั้นก่อกวนภายในจิตใจ บีบคั้นจิตใจ พออันนี้หมดไปแล้ว ไม่เห็นมีอะไร วัตถุสิ่งของทั่วโลกธาตุก็ไม่เห็นว่ามาเป็นภัยอะไรกับเรา มีแต่กิเลสที่ทำให้คิดให้ปรุงให้ยึดให้ถือและผูกมัดอยู่ภายในใจ บีบคั้นอยู่ภายในใจนี้เท่านั้นเป็นตัวพิษเป็นตัวภัย พออันนี้หมดไปแล้ว ไม่มีอะไรเป็นตัวพิษ ภัยไม่มี หมด นี่การประกอบความเพียร ต้องทำให้ได้ผลพึงใจดังนี้ซินักปฏิบัติเราน่ะ ทำเหยาะๆ แหยะๆ พอให้กิเลสรำคาญหั่นหอมกระเทียมอยู่ทำไม ฟาดลงไปจนกิเลสแตกวงกินเลี้ยงกันโน่นซิ จะสมใจ สะใจที่เคยถูกมันดัดสันดานมานาน
ธรรมนี้จะเด่นอยู่ที่ใจนะ ไม่เด่นอยู่ที่อื่น กิเลสอยู่ตรงไหนธรรมนี้เหมือนกับจมมิด แต่อยู่ใต้กิเลส นั่นแหละกิเลสครอบอยู่นั้น เพราะฉะนั้นจึงต้องเปิดออก เปิดออกด้วยความเพียร เปิดออกด้วยอุบายวิธีของตน ใจที่เคยเป็นฟุตบอลให้กิเลสมันเตะไปโน้นไปนี้ก็สงบตัวเข้ามาได้ พอสงบได้ก็เย็น พอเย็นแล้ว เอ้า ปัญญาพิจารณาลงไป ข้างนอกก็ตาม ข้างในก็ตาม ติดตรงไหน สัมผัสสัมพันธ์กับอะไร พอใจกับสิ่งใด เอานั้นมาพิจารณาให้เป็นที่แน่ใจ แน่ใจแล้วปล่อยเอง ลงปัญญาได้เข้าถึงแล้วไม่มีอะไรจะทนอยู่ได้ ปล่อยทั้งนั้น ไม่ยึด
คิดดูตั้งแต่ธรรมยังไม่เกิด ใจยึดแน่นแกะไม่ออก พอธรรมเกิดเต็มที่แล้วปล่อยเอง ไม่ยึดอะไรทั้งสิ้น เช่นผู้ท่านบริสุทธิ์แล้วท่านเอาอะไรไปยึด ท่านไม่ยึดอะไรนี่ แม้ความบริสุทธิ์ก็เป็นความบริสุทธิ์ล้วนๆ จริงล้วนๆ ท่านไม่ยึด เรื่องยึดเป็นเรื่องของกิเลสต่างหาก ธรรมไม่ยึด รู้ตามเป็นจริงแล้วต่างอันต่างจริงเท่านั้น จะยกขึ้นว่าเราวิเศษวิโสก็ว่ากันไปอย่างนั้นแหละ โลกมีสมมุติก็ว่ากันไป ว่าไปท่านก็ไม่ติด ไม่ติดคำว่าวิเศษวิโส ไม่ติดคำว่าบริสุทธิ์ ไม่ติดคำว่าพ้นทุกข์ ท่านไม่ติดทั้งนั้น ถ้าจะให้ชื่อว่าพอก็พอ อิ่มตัวแล้วที่นี่
จิตอิ่มตัวเต็มที่แล้ว ดีกับชั่วเข้ามาสัมผัสก็มีน้ำหนักเท่ากัน เพราะนี้เป็นสมมุติดีชั่ว ปุญฺญปาป ปหิน บุญบาป ดีชั่ว สุขทุกข์ ละหมดแล้วไม่มีเหลือ บรรดาสมมุติจะละเอียดแค่ไหนก็ละหมด สบายเต็มอัตราแห่งใจที่บริสุทธิ์และเป็นอิสรเสรีละที่นี่ ความเพียรที่เคยตะเกียกตะกายมาแทบล้มแทบตาย แบบสลบไสลเสือกคลาน มาแสดงคุณค่าให้เห็นอย่างชัดเจนอยู่กับผลแห่งธรรมที่ปรากฏกับใจนั้นแล คุ้มค่า ล้นค่าด้วย ถ้าไม่ทำอย่างนั้น ไม่ตะเกียกตะกายอย่างนั้น ไม่ยอมเสียสละชีวิตจิตใจเพื่อธรรมจริงๆ ก็ไม่ปรากฏธรรมอย่างนี้ เวลาพิจารณาย้อนหลังก็ภูมิใจ
แต่นี่พิจารณาย้อนหน้าย้อนหลังไปไหนใกล้หรือไกลในหรือนอก ก็เห็นแต่กิเลสมัดคอพระน่ะซิ มันน่าโมโห นั่งอยู่มันก็มัด นอนอยู่มันก็มัด ขบฉันอยู่มันก็มัด กิริยาท่าทางไหนเห็นแต่กิเลสมัด กิเลสต่อยพระธุดงคกรรมฐานล้มลุกคลุกคลาน นี่ซิมันทุเรศนะ ยิ่งผู้เป็นหัวหน้าพาปราบกิเลสด้วยแล้วบางทีทำให้หนักใจนะ ทำให้เกิดความระอาใจเหมือนกัน เอ๊ะ นี่มันยังไงกัน คือเวลาสอน สอนจริงๆ กิเลสอยู่จุดไหนสอนเข้าไปตรงนั้น ตีช่วยเข้าไปตรงนั้น ผู้ฟังยังไม่รู้ เอ๊า ต่อยอย่างนั้นซิ ยังไม่ยอมต่อย ให้กิเลสต่อยเอาๆ นั่นซิ มันน่าโมโหน่ะ
มองที่ไหน ไม่ว่าทางหู ทางตา เห็นแต่เรื่องของกิเลสมันเอารัดเอาเปรียบหัวใจพระอยู่ตลอด กิริยาอาการที่แสดงออกมานั้นเป็นกิริยาอาการของกิเลสได้เปรียบเราอยู่เสมอ เราไม่รู้รอบมัน มีแต่มันมัดเราอยู่ท่าเดียว อันนี้ซิทำให้เกิดความท้อใจในบางครั้งเกี่ยวกับการอบรมสั่งสอนน่ะ เพราะเอาสมมุติมารับสมมุตินี่จะทำยังไง เพียงเท่านี้ก็ไม่ได้ความ เท่านี้ก็ไม่เข้าใจ สิ่งละเอียดยิ่งไปกว่านี้มีอยู่มากมายจะเข้าใจได้ยังไง เรื่องความละเอียดของกิเลสแล้วจะเอาอะไรไปรู้มันได้ เพียงหยาบๆ นี่ยังไม่รู้ทันมันอยู่แล้ว
จงพากันตั้งใจเอาจริงเอาจัง อย่าหวังอะไรในโลกนี้ จงหวังธรรมเป็นหลักยึดของใจ ผู้ใดเป็นผู้ครองธรรมอันเลิศเล่า พระพุทธเจ้า พระสาวกอรหันต์ท่านทุกๆ พระองค์เป็นผู้ครองธรรมนี้โดยสมบูรณ์ด้วยการปฏิบัติมาอย่างนั้นๆ เราจงยึดท่านเป็นหลักใจให้เหนียวแน่นมั่นคง ทั้งวิธีการปฏิบัติของท่านเป็นมาอย่างนั้นๆ ยึดทั้งผลที่ท่านได้รับเพื่อเป็นความภาคภูมิใจเรา และเป็นกำลังใจ เพิ่มกำลังใจเราในการบำเพ็ญเพียรอย่างเข้มแข็งแทงทะลุต่อไป
อย่ายึดอะไรมาเป็นแบบเป็นฉบับ คนที่มีกิเลสเต็มหัวใจเหมือนน้ำท่วมปอด จะยึดมาเป็นแบบฉบับได้ยังไง เขาก็จะเอากิเลสมาโปะเอาจนมองไม่เห็นตัวน่ะซิ เมื่อไปยึดก็เท่ากับเอากิเลสมาโปะเอาๆ และจมดิ่งไปเลยนั่นแล ถ้าเอาท่านผู้บริสุทธิ์มาเป็นคติตัวอย่าง มายึดมาฝากเป็นฝากตาย ความยึดความพึ่งพิงทุกสิ่งทุกอย่างกับท่านซึ่งเป็นธรรมอยู่แล้ว ย่อมเป็นธรรมตามท่านไปในตัว จนกลายเป็นธรรมทั้งดวงขึ้นที่ใจเราโดยสมบูรณ์ไม่สงสัย
ถ้าพูดตามความคาดหมายของสมมุติที่ธรรมไม่เคยสัมผัสใจ แม้แต่ความสนใจในธรรมก็ไม่กระดิกนั้น เหมือนอยู่ไกลแสนไกลนะมรรคผลนิพพาน เหมือนสุดเอื้อมหมดหวัง ราวกับอ่านแต่ชื่อของมรรคผลนิพพาน ตัวจริงไม่มี หากคิดว่ามีก็อยู่คนละโลกคนละทวีป ไม่คิดว่าจะมีอยู่กับตัวกับใจของผู้อ่านผู้นับถือศาสนานั่นเลย จิตคาดไปเหมือนสุดเอื้อมจริงๆ เหมือนหมดวาสนาบารมีอะไรทำนองนั้น หมดความสามารถที่จะเอื้อมถึง ทั้งที่มรรคผลนิพพานมีอยู่ที่หัวใจเรานี่แท้ๆ อุบายวิธีก็อยู่กับเราอีก ตามความจริงของหลักธรรมแล้วไกลที่ไหน ก็กิเลสเอาเราเป็นทาสเป็นบ๋อยใช้อยู่ตลอดกาล กดขี่เราอยู่ทุกอิริยาบถ เราไม่เห็นคิดกันบ้างว่ามันไกลมันใกล้ที่ไหนบ้าง ส่วนกิเลสตัวเอารัดเอาเปรียบเราอยู่ตลอดเวลาอกาลิโกนั่น ไม่เห็นคิดคำนึงถึงมันบ้าง ลองเอามาเปรียบเทียบกันบ้างเพื่อหาทางออก จะไม่พอมีช่องทางคิดกันได้บ้างหรือ
เวลานี้กิเลสมันอยู่ที่ไหนถึงแบกเอาจนหลังหักหลังโก่งจนเงยหัวไม่ขึ้น ไม่มีเวลาปลงวางลงบ้าง มันอยู่ที่ไหน มันอยู่ที่หัวใจนี้ จงสลัดอันนี้ออกด้วยการปฏิบัติ มันอยู่กับตัวแท้ๆ สลัดออกไม่ได้หรือด้วยข้อปฏิบัติของเราน่ะ พระนิพพานจะสุดเอื้อมไปไหน พระนิพพานอยู่ที่ไหน เปิดกิเลสตัวมืดตื้อทั้งกลางวันกลางคืนออกจากใจให้หมดดูซิ จะรู้เองเห็นเองพระนิพพานน่ะ จะไม่ต้องถามใครละ เหมือนสถานที่รกรุงรังอยู่ตรงไหน ถากถางมันออก อะไรปกคลุมอยู่มันจึงรกรุงรัง ถากถางสิ่งที่ปกคลุมนั้นออก ถ้าเป็นต้นไม้ใบหญ้าก็ถากถางออก เอาไฟเผาเข้าไป ความเตียนโล่งจะไปหาที่ไหน มันสุดเอื้อมหรือความเตียนโล่งน่ะ มันก็อยู่ใต้ความรกรุงรังนั้นเอง พอเปิดสิ่งปกปิดออกหมดแล้ว ความเตียนโล่งก็อยู่ที่นั้นเองโดยไม่ทราบว่ามีอยู่ตั้งแต่เมื่อไร
จิตที่เตียนโล่งก็เหมือนกัน เวลานี้ถูกปกคลุมหุ้มห่อด้วยความรกรุงรังของกิเลสทั้งหลายประเภทต่างๆ ต้องใช้ความพยายาม เหมือนกับการถากถางสิ่งที่รกรุงรังออกจากที่รกรุงรังนั้นแล อุบายวิธีการแห่งความเพียรทุกประเภท เป็นอุบายถากถาง เพื่อจิตจะได้เตียนโล่งขึ้นมา จนกระทั่งจิตเตียนเต็มที่แล้วมันจะสุดเอื้อมที่ไหน มันก็อยู่ที่ตรงนั้นเอง จะมีอยู่ที่ไหนกันอีก
อย่าไปคิดเรื่องกาลโน้นสถานที่นั่นให้เสียเวล่ำเวลาและเหนื่อยใจเปล่าๆ นั่นคือการถูกหลอกถูกต้มจากกิเลสให้มันลากออกจากความจริง ของจริง ของประเสริฐที่มีอยู่ภายในใจของเราต่างหาก ว่ามรรคผลนิพพานมีอยู่ที่โน่นบ้าง มีอยู่ที่นี่บ้าง มรรคผลนิพพานหมดเขตหมดสมัยบ้าง มันหลอกไป มรรคผลนิพพานหมดสำหรับโมฆบุรุษที่ไม่มีความสนใจ ไม่มีความสามารถ มันหมดอยู่ทุกสมัยนั่นแหละ อย่าว่าสมัยโน้นสมัยนี้เลย ปัจจุบันมันก็หมดถ้าเจ้าของไม่สนใจปฏิบัติเพื่อรื้อฟื้นเจ้าของ ใครจะมารื้อฟื้นให้มันทันสมัยได้ กิเลสมันทันสมัยอยู่ตลอดเวลาไม่เห็นมันล้าสมัย ไม่เห็นใครคิดทำลายกิเลสให้มันหมดสมัยเสียบ้าง ใจจะได้หมดข้าศึก มีแต่ให้กิเลสหลอกเพื่อทำลายธรรมที่มีอยู่กับตนตลอดกาล นี่จะว่าเราโง่หรือฉลาดรีบพากันคิดเสียบัดนี้ ธรรมเครื่องสังหารกิเลสให้ม้วนเสื่อกลับบ้านมันก็มี ทำไมจะล้าสมัยไป ถ้าเราไม่เป็นคนล้าสมัยเสียเอง เอาลงตรงนี้ซิ
อุบายวิธีที่จะแก้กิเลส การพลิกแพลงสติปัญญาเพื่อต่อสู้กิเลสนั้น มันต้องใช้ร้อยสันพันคมเหมือนกันนะ ไม่งั้นไม่ทันกัน นี่เคยเป็นมาแล้ว ความเชื่อความเลื่อมใสศาสนา พอได้อ่านอรรถธรรมตามตำราก็เชื่อลงเป็นลำดับๆ สุดท้ายเวลาจะปฏิบัติอย่างเอาจริงเอาจังมันยังต้องสงสัยจนได้ ต้องได้คิดถึงครูถึงอาจารย์องค์ที่ท่านมีความรู้ความสามารถทางด้านปฏิบัติแนะนำ หรือบอกความจริงให้อย่างถึงใจ จะกราบไหว้ ยอมตัวถวายตนเป็นลูกศิษย์ของท่านตลอดวันตายเลย และจะเอาให้เต็มที่
พอไปฟังท่านอาจารย์มั่นอธิบายแล้ว แหม มันถึงใจ จุใจที่เราคิดไว้ทั้งหมด จิตของท่านเป็นเหมือนเรดาร์นี่ จับเอาเรื่องความคิดต่างๆ ของเราไว้หมดเลย แล้วนำเรื่องของเราออกมาแสดงให้เราฟังให้เรารู้ ว่านี่น่ะๆ สงสัยไปไหนมรรคผลนิพพานน่ะ มรรคผลนิพพานอยู่ที่ไหน อยู่ที่นี่ๆ ย้ำลงๆ ก็หมดละซิความสงสัยทั้งหลาย จะฝืนแบกหามไปถึงไหนกันอีกเมื่อถึงเหตุผลที่ควรปลงวางได้แล้ว
นี่การได้ยินได้ฟังจากผู้รู้จริงเห็นจริงมีผลมากมีกำลังใจมากนะ ผิดจากพูดแบบด้นๆ เดาๆ เกาหมัดเป็นไหนๆ เป็นกำลังทางจิตใจมาก และตัดความสงสัยได้อย่างไม่มีปัญหาใดๆ ตกค้างเลย ดังท่านพระอาจารย์มั่นเป็นตัวอย่าง เราจึงกล้าพูดอย่างไม่สะทกสะท้านว่า ท่านพระอาจารย์มั่นเป็นปรมาจารย์ชั้นเยี่ยมทางภาคปฏิบัติจิตตภาวนาในสมัยปัจจุบัน ดังนั้นการแสวงหาครูอาจารย์ที่แม่นยำทั้งภาคปฏิบัติและความรู้ภายในใจ จึงเป็นสิ่งจำเป็นมากสำหรับผู้ปฏิบัติเพื่อมรรคผลนิพพานในปัจจุบันื ไม่เนิ่นช้าหน้าด้าน ทนให้กิเลสทุบตีอยู่ตลอดภพชาติ ไม่สนใจหาทางออกจากมันบ้างเลย
พวกเรามันเป็นพวกหน้าด้าน แม้ถูกกิเลสดัดสันดานเท่าไรก็ไม่ยอมเห็นโทษของมัน ยังซุกหัวอยู่ใต้อำนาจความเลวร้ายของมันเรื่อยมา แล้วยังจะเรื่อยไปไม่มีกำหนดปลดปล่อยเลย เอ๊า ถ้าจะไม่สมัครตัวเป็นพระหน้าด้านสันดานบ๋อยของกิเลส ก็จงตั้งท่าฝ่าฟันกับมันให้เห็นฤทธิ์ของพระลูกศิษย์ตถาคตจนปรากฏเด่น และอัศจรรย์ในดวงใจที่คว้าได้ชัยชนะจากกิเลสมาครองซิ คำว่า พุทโธ ธัมโม สังโฆ ที่เคยเรียกร้องหาท่านเรื่อยมานั้น จะรวมองค์ลงที่ใจบริสุทธิ์ดวงนี้ และหายสงสัยในทันทีทันใด คำว่าศาสนาอยู่ที่ไหน ธรรมอยู่ที่ไหน มรรคผลนิพพานอยู่ที่ไหน พระพุทธเจ้าทั้งหลาย ตลอดพระสาวกทั้งหลายของพระพุทธเจ้าแต่ละพระองค์ปรินิพพานแล้วไปอยู่กันที่ไหน เหล่านี้จะหมดปัญหาโดยสิ้นเชิงลงในใจดวงเป็นคลังแห่งธรรมล้วนๆ แล้วนั้น คำที่กล่าวเหล่านี้จริงหรือเท็จ นิมนต์ทุกท่านนำไปพิสูจน์ด้วยการปฏิบัติจิตตภาวนาอย่างเอาจริงเอาจัง ธรรมทั้งมวลนี้จะโผล่ขึ้นกับใจดวงบริสุทธิ์นั้นโดยไม่ต้องสงสัย เพราะเป็นความจริงเสมอกัน
จึงขอยุติการแสดงเพียงเท่านี้ |