พระอรหันต์เดินจงกรมสองประเภท
วันที่ 25 มกราคม 2546 เวลา 8:30 น. ความยาว 35.41 นาที
สถานที่ : วัดป่าบ้านตาด
| |
ดาวน์โหลดเพื่อเก็บไว้ในเครื่อง
ให้คลิกขวาแล้วเลือก Save target as .. จาก link ต่อไปนี้ :
ข้อมูลเสียงแบบ(Win)

ค้นหา :

เทศน์อบรมฆราวาส ณ วัดป่าบ้านตาด

เมื่อวันที่ ๒๕ มกราคม พุทธศักราช ๒๕๔๖

พระอรหันต์เดินจงกรมสองประเภท

 

         ไม่หนาวเท่าไร ลงแค่ ๒๐ เท่านั้น ตี ๕ มันลง ๒๐ พอถึงสว่างจริง ๆ ลง ๑๙ ตอนเช้ามันหนาวกว่าตอนกลางคืนนะ ท่านไพโรจน์ไปทางแม่ฮ่องสอน ได้คำพูดนี้มาพูดแล้ว โอ๊ย ที่หลวงตาว่าตอนเช้าตี ๔ ตี ๕ นี้น้ำค้างเหมือนห่าฝนอยู่ทางสกลนครนะ ทีนี้ไปเจอแล้วที่แม่ฮ่องสอน อู๊ย เหมือนกันเลย อย่างนั้นแล้ว พอไปเจอแบบเดียวกันมันก็หมดปัญหาใช่ไหมล่ะ ว่า อู๊ย เหมือนกันเลย หลวงตาว่าไปเที่ยวกรรมฐานอยู่ทางสกลนคร พอ ๓ ทุ่มเท่านั้นน้ำค้างเริ่มตกห่าง ๆ คือมันมาเกาะอยู่ใบไม้ แล้วมันหยดตกลงมาปุบปับหลังจาก ๓ ทุ่มผ่านไปแล้ว พอ ๔ ทุ่มเริ่มชัดขึ้น ๆ ดึกเท่าไรยิ่งละที่นี่นะ พอตี ๔ ตี ๕ มันเหมือนห่าฝน ทีนี้ท่านไพโรจน์ไปทางแม่ฮ่องสอนก็เหมือนกันว่างั้น นี่ละตอนเราไปกรุงเทพนี่ ท่านไพโรจน์ไปทางแม่ฮ่องสอน ท่านว่าโอ๊ย เหมือนกันเลยที่หลวงตาว่า พอระยะนั้น น้ำค้างตกอย่างนั้น ๆ จนกระทั่งตี ๔ ตี ๕ เหมือนห่าฝน นั่นละมันหนาวขนาดนั้นแหละ น้ำค้างก็เป็นอย่างที่ว่า โอ๊ เห็นแล้วที่นี่ ไปเจอเอาที่แม่ฮ่องสอนว่างั้น

เดี๋ยวนี้มันไม่มีน้ำค้างอย่างที่ว่า เช่นอยู่ในวัดนั้นมันก็เป็นดง ถ้าหากว่าจะมีน้ำค้างมันก็มีได้เช่นเดียวกัน ทีนี้มันไม่มี ทางนู้นมันมีจริง ๆ เสือมันเดินมันจะเข้าป่าลึก เราเดินทางจะเข้าไปบิณฑบาตในหมู่บ้าน เสือมันมาทางหมู่บ้าน เสือโคร่งใหญ่ เรียกว่ามันเหยียบรอยฝนตกใหม่ ๆ นั่นแหละ แสดงว่าเสือออกมาตอนเช้าเลย ตอนกำลังจะสว่างเสือผ่านเรามา คือมันเหยียบน้ำค้างที่มันตกลงไปบนใบไม้เหมือนห่าฝน ทีนี้เสือมามันเหยียบใหม่ ๆ เวลาเราเดินสวนทางไป เหมือนมันเหยียบรอยฝนตกใหม่ ๆ สว่างผ่านไปข้างที่พักของเรา ป่าใหญ่ลึกเข้าไปอีก เรียกว่าน้ำค้างมันเป็นอย่างนั้นแหละ มันเหมือนห่าฝน เวลาเสือมาเหยียบมันเหมือนรอยฝนตกใหม่ มันก็ผ่านไปข้าง ๆ ที่พัก เขาไปตามเรื่องของเขาเราก็รู้ เรียกว่าต่างคนต่างอยู่ต่างคนต่างไปไม่สนใจกัน

ถ้าหากว่าเขาสนใจรอยเขาจะวกวน เช่นเราอยู่นี้ เขามาเขาจะวกจะวน แสดงว่าเขาสนใจ ถ้าพอทำ ๆ ความหมายว่างั้นนะ ไอ้เดินผ่านไปเฉย ๆ ฉากไปเฉย ๆ มันต่างคนต่างไปต่างคนต่างอยู่ ไม่สนใจกัน น้ำค้างเอาจริง ๆ มันเปลี่ยนแปลงอะไรก็ไม่รู้นะเดี๋ยวนี้ไม่เห็นมี หนาวก็หนาวแต่น้ำค้างอย่างนั้นไม่เห็นมี ก็มาเล่าให้ฟังทางแม่ฮ่องสอน แม่ฮ่องสอนไม่ใช่หรือที่เราไปดูวัดไม่มีทางจงกรม (แม่ฮ่องสอนครับ) วัดป่านั่นน่ะ ไปเทศน์ที่แม่ฮ่องสอน ไปพักที่วัดเป็นวัดป่า หาทางจงกรมก็ไม่มีทั้งวัด พระก็ไม่มีมากนักวัดป่า ประมาณสักกี่องค์นะ แต่พื้นเพเดิมก็ไม่เห็นมีทางจงกรม ไปเราก็ว่าจริง ๆ นะเรา มันอยู่กันยังไงพระเหล่านี้ ว่างั้นเลย มาอยู่มากินมานอนเฉย ๆ สถานที่เป็นสถานที่เหมาะสมกับการภาวนา ทำไมทางจงกรมทางเดียวไม่เห็นมี ว่างี้เลย ใช้ไม่ได้นะอย่างนี้ เอาเลยจริง ๆ ดุจริง ๆ นี่ไม่ใช่ธรรมดา พวกท่านมาอยู่ยังไงกัน หือ มากินมานอนอยู่นี้เหรอพวกบวชเป็นพระเที่ยวกรรมฐานหรือตั้งวัดตั้งวา ตั้งอยู่กินอยู่นอนกันเฉย ๆ เหรอ ไม่ได้ตั้งอยู่เพื่ออรรถเพื่อธรรมเหรอ เราดุ

ใครมาเล่าให้ฟังว่า พอเรากลับมาแล้ว โอ๋ย ทางจงกรมเรียบหมดในวัดนั้น ใครมาเล่าให้ฟัง วัดนั้นแหละว่างั้น พอหลวงตาไปพักที่นั่น หลวงตาดุแล้ว กลับมานี้ โอ๋ย มีทางจงกรมประจำทุกกุฏิเลย เราก็ไม่แน่เรื่องอย่างนี้ อาจทำโก้ ๆ ไปอย่างนั้นแหละ มันไม่เดินมันขี้เกียจ ทนอยู่ไม่ได้มันก็ทำอย่างนั้นแหละ เราก็ว่าไปอย่างนั้นอีก เป็นความเสาะแสวงหาจริง ๆ มีไม่มีมันเสาะหาเดินจนได้แล้วทำจนได้ อย่างที่เราไปว่าในวัดนี้แหละ เราไปพักไม่มีทางจงกรม เราไปหาเดินนู้นจนได้ทำเลนอกวัดไปไกล ๆ ไปเดินจงกรมอยู่นู้น มีทางเรียบ ๆ ไกล ๆ อยู่กับตีนเขาพอเดินได้สบาย เราก็เดินอยู่โน้นเลย เพราะในวัดแทนที่จะมีทางจงกรมกลับไม่มี มันยังไงกันนี่ อย่างนี้ละมันทำให้คิดไม่ได้นะ

อย่างการขบการฉันก็เหมือนกัน พระฉันเพื่อภาวนาเพื่ออรรถเพื่อธรรมเพื่อหลุดเพื่อพ้นนี้ ท่านจะไปฉันอะไรมากมาย บางทีพอฉันนี้แล้ว อันนั้นคาวมา อันนี้หวานมา มันเป็นนะในจิตนี่แต่ไม่พูด วันนี้พูดเสียบ้าง มันเลยกลายเป็นเรื่องรำคาญ กวนจิต แน่ะ ฉันก็ฉันเพื่อธรรม มันกวนมันกวนเรื่องของกิเลสกวน อันนั้นจิ้มนี้ อันนั้นจิ้มนั้น อันนั้นหวาน อันนี้คาว มันกินอะไรกันนักหนา เรื่องจะกินเพื่อความเป็นอยู่ธรรมดา ๆ และกินเพื่อจิตตภาวนาเพื่อความหลุดพ้นจากทุกข์ เหล่านี้จะไม่เป็นภาระอะไรเลย ได้มาอะไรหยิบปุ๊บปั๊บ ๆ ใส่บาตรฉันแล้วปุ๊บ ๆ ไปเลย ไม่สนใจกับว่าหวานว่าคาว มีอะไรม้วนกันลงในนั้นหมด ฉันอิ่มแล้วล้างบาตรแล้วไป หนีเลยเข้าป่าเงียบ จ้อกันอยู่กับนั้น

นี้เราทำมาอย่างนั้นนะที่มาสอนหมู่เพื่อน เพราะฉะนั้นเวลามาเห็นพระเห็นอะไรอย่างนี้ แม้จะว่าดี ๆ ก็ตาม มันทนดูเอาเฉย ๆ นี่ มันดีอย่างนั้น ทั้งหวานทั้งคาวอะไรต่ออะไร อันนั้นหวานอันนี้คาว อันนั้นจิ้มนั้น อันนี้จิ้มนี้ ยิ่งฟังไม่ได้นะนี่นะ มันเป็นยังไงไม่รู้ อยากพูดให้มันเต็มยศเลยว่า มันจิ้มหาพ่อหาแม่มันอะไรอีก ว่างั้นเข้าใจไหม ให้ถึงที่มันซีไม่งั้นมันไม่รู้ตัว ต้องเอาน้ำหนักใส่ลงไป ก็นี่ได้ทำมาแล้ว พ่อแม่ครูจารย์นี้ยกนิ้วเลย ไม่มีอะไรยุ่งแหละท่าน เพราะฉะนั้นท่านจึงไปหาพักอยู่ในป่า ๆ บ้านสามสี่หลังคาเรือนพอแล้ว ๆ คือท่านฉันพอยังชีวิตให้เป็นไป ส่วนจิตใจของท่านจ้าอยู่ด้วยความพอ ด้วยความเที่ยง ด้วยความอะไรพูดไม่ถูกว่างั้นเถอะน่ะ เลิศเลอหรืออะไรพร้อมอยู่ในนี้หมด เหล่านั้นพอเยียวยา ถ้ามากกว่านั้นเป็นการรบกวน เข้าใจไหมล่ะ นั่นเป็นอย่างนั้นนะ

เพราะท่านฉันนี้พอยังอัตภาพ คือพอเพื่อธาตุขันธ์ครองตัวอยู่ไปวันหนึ่ง ๆ เท่านั้น ส่วนทางในของท่านพอหมดไม่มีอะไรบกพร่องเลยตลอดเวลา นั่นละท่านเป็นสุข นตฺถิ สนฺติปรํ สุขํ สุขอื่นใดจะเสมอด้วยความสงบไม่มี อันนี้พอตลอดเลา การขบการฉันการอยู่หลับนอนอะไรคือพอเพียงเยียวยาขันธ์ ๆ ที่มันกวน อันนี้มันเป็นสมมุติมันกวนตลอด เยียวยาพอประทัง พอยังชีวิตอยู่วันหนึ่ง ๆ เท่านั้นพอ ๆ มากกว่านั้นมันเป็นเรื่องกวน ท่านจึงไม่เอา ท่านจึงไม่ยุ่งยากกับสิ่งเหล่านี้

นี่มันอดไม่ได้นะ มันดู ๆ อยู่ตลอดเวลา มันเป็นในจิตเอง ธรรมชาตินี้กับธรรมชาตินี้เป็นยังไง ไม่เทียบมันก็รู้ของมันอยู่อย่างนั้น อันหนึ่งไม่มีอะไรเลย อันหนึ่งกวนตลอด มันเป็นอย่างนั้นนะ แม้แต่จะเอามากินนี้ กินก็เพื่อเยียวยาธาตุขันธ์เพราะขันธ์นี้มันกวน อันนั้นก็กวนเข้ามาอีก อันนี้กวนเข้ามาอีกอยู่อย่างนั้น อันนั้นไม่มีอะไรกวน แน่ะมันต่างกันอย่างนั้นนะ นี่ละธรรมพระพุทธเจ้าเลิศขนาดไหน เพราะฉะนั้นท่านถึงท้อพระทัยละซิมาสอนโลก คือมันผิดกันขนาดนั้นละฟังเอา แม้แต่การขบการฉัน ถ้าจะพูดภาษาโลก ๆ เรียกว่ารำคาญด้วยซ้ำไป มันเลยเถิด คือถ้าเลยความจำเป็นสำหรับขันธ์นี้เรียกว่ากวน กวนไปเลย อย่างที่ว่าอันนั้นหวาน อันนี้คาว มันก็พุงอันเดียวนี้ พุงหวานพุงคาวที่ไหน ก็เข้าไปบำบัดธาตุขันธ์พออยู่ได้เท่านั้น จะเป็นหวานเป็นคาว จิ้มนั้นจิ้มนี้หาอะไร เหล่านี้พวกบ้า ว่างี้แหละเรา

ใครจะว่าเราบ้าก็ตามมันเป็นอยู่เต็มหัวใจจะไม่ให้พูดได้ยังไง ก็ไม่เคยพูด วันนี้ออกเสียบ้าง มันทนมานานขนาดไหนดูตลอดเวลา ตั้งแต่สิ่งรบกวนล้วน ๆ เพราะฉะนั้นถึงเตือนเห็นไหมหรูหราฟู่ฟ่า มีแต่กิเลสกวน เหยียบเข้ามา ๆ ธรรมท่านอยู่ยังไงท่านอยู่ เห็นไหมกระต๊อบ พออยู่ได้เท่านั้นพอ เพื่อบรรเทาธาตุขันธ์ แล้วหลักใหญ่ก็เพื่อ หลักใหญ่คือการภาวนาเท่านั้นเอง ท่านจึงไม่หาอะไรหรูหราผู้มุ่งธรรม อันนั้นเลิศขนาดไหน พอไปเจอเข้าจริง ๆ แล้วมันก็เป็นอย่างนั้น เจอเข้าจริง ๆ อันนั้นมันเลยเป็นมูตรเป็นคูถเป็นส้วมเป็นถานไปหมดเลย โอ๊ย สมมุตินี่มันยังไงกัน พูดให้มันเต็มยศตามหลักความจริงที่มันเป็นว่า ธรรมชาตินี้กับส้วมกับถานมันเข้ากันไม่ได้เลย พระองค์จะไม่ท้อพระทัยยังไง จะสอนส้วมสอนถานให้เป็นทองทั้งแท่ง สอนได้ยังไง นั่นซี แต่พวกธรรมแทรกอยู่ในส้วมในถานก็มี นั่นแหละได้พยายามสอน อุตส่าห์สอน ดึงนั้นดึงนี้ ที่เป็นสาระมันมีอยู่ในนั้น ในส้วมในถานในถังขยะนั่น

ถ้ามองดูทั้งหมดนี่ โอ๊ย หงายเลย ก็พระพุทธเจ้าทรงญาณขนาดไหน รู้ไปหมดนี่ พูดจริง ๆ นะใครจะว่าบ้าก็ตามเถอะ ยิ่งจวนตายเท่าไรก็ยิ่งพูดให้ฟัง มันเจอเข้าหัวใจใครมันรู้เองไม่ต้องบอกแหละน่ะเรื่องอย่างนี้ แบบอันเดียวกันไม่ต้องไปทูลถามพระพุทธเจ้า อ๋อ เท่านั้นพอ ทีนี้เรื่องอะไร ๆ เกี่ยวข้องมันจะวิ่งประสานกันหมดเหมือนกัน นี่เขาจะมาลาดซีเมนต์อะไรตามนี้ ท่านปัญญามาพูดเมื่อวาน มาขออะไร ๆ เราคิด ไม่เอาอะไร ได้น้ำใจมันได้บุญกุศลส่วนนี้ก็เอา แต่ไม่ถึงกับวัดเราต้องเสียไป บอกว่าเอาทำได้ ทำให้พอดีเท่านั้นนะอย่าเลยนั้นนะ สั่งไว้อย่างนั้น เราอนุโลมให้ทำ เทอะไรแถวนี้ เทมันอะไรถ้าธรรมดานะ อยู่ไหนก็อยู่ได้ ตั้งแต่สัตว์มันไปหาเทอะไร พิจารณาซิ มันขันอยู่ทั่ววัดทั่ววา มันจะโดดขึ้นบนหัวคน ขันอยู่บนหัวคน ไก่มันเต็มอยู่นี้ มันไปหาลาดอันนั้นอันนี้ที่ไหน เราอยากว่าอย่างนั้น สิ่งยุ่งกวน เอาให้เรียบไปหมด มันมองดูตั้งแต่ส้วมแต่ถาน เรียบเท่าไรนั่นคือส้วมคือถานล้วน ๆ กิเลสมันก็ดันของมันเต็มเหนี่ยว มันบอกว่าให้สะอาดสะอ้านสวยงามสุดยอด ในสายตาของธรรมท่านว่า นี่สกปรกสุดยอด เห็นไหม ต่างกันไหม

มันจะแข่งขนาดไหนแข่งเถอะน่ะ กองขี้แข่งธรรม แข่งทองคำทั้งแท่ง เอ้า เทียบดูซิ มูตรคูถไปแข่งทองคำทั้งแท่ง แข่งวันยังค่ำก็มูตรคูถอยู่วันยังค่ำ ทองคำเป็นทองคำจะแข่งกันได้ยังไง นี่กิเลสมันก็เป็นแถวกิเลสของมัน แต่เราไม่รู้นะ เพราะกิเลสไสเข้ามา ๆ เราเป็นตุ๊กตา มันไสไปไหนก็ไป แต่ธรรมจับนี้จับเห็นไปหมดนั่นซิ เรื่องของกิเลสอุบายวิธีการยังไง มันผลักดันออกไป อารมณ์ของกิเลสมันอยู่ในใจของเรา เกิดออกไปก็เป็นอารมณ์ของกิเลสผลักดันจิตใจให้ดีดให้ดิ้นด้วยกิริยามารยาทการพูดการจา การประพฤติตัวนั่น มันไปทางต่ำทั้งนั้น ๆ เรื่องกิเลสต้องไปกิเลสล้วน ๆ ไปธรรมไม่มี เพราะฉะนั้น จึงต้องมีธรรมเข้าแทรก ๆ แล้วจะมีการยับยั้ง ๆ แล้วพอมีชิ้นดีชิ้นได้พอเป็นประโยชน์ขึ้นมา ๆ ถ้าปล่อยให้กิเลสล้วน ๆ ไปหมด จำให้ดี นี่พิจารณามาแล้วมันจวนจะตายแล้วนี่นะ

จวนจะตายแล้วจึงได้เปิดออก ๆ เรื่องใคร ๆ จะมาว่าโอ้ว่าอวดก็ส้วมก็ถานเข้าใจไหม มันจะว่าเท่าไรมันก็ส้วมก็ถานอยู่ตามเดิมของมัน มันจะไปว่าใครโจมตีใครทำอะไรใครก็ตามมันก็คือส้วมคือถาน จะเป็นอะไรอื่นไปไม่ได้ ธรรมชาติ ๆ หรือทองทั้งแท่ง ก็ทองทั้งแท่งอยู่อย่างนั้นจะไปทำให้เป็นอะไรอีก นั่น มันก็ต่างอันต่างจริงของใครของเราอยู่อย่างนั้น อู๊ย.ทุเรศจริง ๆ นะ ถ้าจะเปิดออกมาจริง ๆ แล้ว เหมือนกับเรานี้เป็นบ้าคนเดียว ให้มันเห็นอันนั้นดูซีมันก็แบบเดียวกันหมดนั่นแหละ อย่างที่พูดนี่ พอพูดคนเดียวนี้ เอ้า คุณเอาอันนั้นเห็นอย่างนั้น คนที่ ๒ มาก็พูดแบบเดียวกันเพราะรู้แบบเดียวกัน เห็นหมดนี้ก็ทิ้งไปหมดเลย นั่น มันเลวขนาดไหน กอดมันมาเท่าไรพวกมูตรพวกคูถ มันก็เป็นของมันเองในจิต ไม่งั้นจะว่าธรรมเลิศเลอ ๆ ได้เหรอ มันเป็นอย่างนั้นท่านถึงพูดได้

แม้แต่ฉันจังหันก็ยังว่าโอ๊ย.กวนจริง ๆ นั่น เห็นไหมล่ะมันเลยพอดี ที่จะเอามาเยียวยาธาตุขันธ์อะไร ๆ มีอะไรฉันปุ๊บปั๊บ ๆ แล้วพอเท่านั้นนะ พอเยียวยาธาตุขันธ์ ความมุ่งอันใหญ่หลวงคือมุ่งต่อความดีงาม ต่อผลประโยชน์ ฆราวาสก็มุ่งต่อผลประโยชน์ ทีนี้การรบกวนการดีดการดิ้น ความทุกข์ทั้งหลายที่จะติดตามมานี้ก็ลดลงได้มากนะ ถ้าต่างคนต่างดีดนี้ไปหาทั่วแดนโลกธาตุใครจะมีความสุข มีแต่ไฟแบบเดียวกันหมด นี่คือเรื่องของกิเลสต้องเป็นแบบเดียวกันหมด ถ้ามีธรรมเข้ายับยั้ง ๆ แล้วต่างคนต่างจะลดความดีดความดิ้นลง แล้วความทุกข์ก็จะค่อยลดลง ความสุขจะค่อยปรากฏขึ้นโลกพออยู่ได้ มีมากมีน้อยพออยู่กันได้ ถ้าปล่อยให้กิเลสดิ้นอย่างนี้แล้ว โอ๊ย.ตายหมดนั่นแหละ ใครจะว่าเจริญที่ไหน โอ๊ย.พูดเราไม่อยากฟังนะ บ้านนั้นเจริญบ้านนี้เจริญ เจริญพ่อเจริญแม่มึงมาจากไหน กูก็อยู่ในโลกมาแล้วมึงมาโกหกกูยังไง อยากว่าอย่างนั้นเข้าใจไหม ถ้ากูอยู่ในโลกอื่นมึงมาโกหกอย่างนี้กูก็อาจจะเชื่อได้ นี้ก็อยู่ด้วยกันก็ว่าอย่างนั้นเข้าใจไหม เราอยากพูดตีย้อนกลับ ไม่ให้มันต่อเงื่อนมามาก ไอ้มูตรไอ้คูถไอ้ฟืนไอ้ไฟ ไม่อยากฟัง มันเลวขนาดนั้นจะว่ายังไง

นี่ก็ว่าจะเทปูนเทอะไรนี้ เราก็พิจารณาทบทวนดู เอ้า ให้เขาเป็นบุญส่วนกุศลของเขาเป็น เรายกให้ นี่ละจึงให้เขา ส่วนของเราไม่ถึงกับฟุ่มเฟือยและกระทบกระเทือนเสียหาายทางด้านธรรมะเกินไป เพราะฉะนั้นจึงบอกว่าให้ทำแต่พอดีเท่านั้นนะ กำชับเอาไว้ เอ้า อนุญาต อย่าให้ฟู่ฟ่านะ เท่านั้นละ ให้พอดีเท่านั้น คืออนุโลมทางฝ่ายจิตใจเขา ที่เขาสร้างเขาเป็นบุญกุศลน้อยเมื่อไหร่ ทีนี้ธรรมอันใหญ่หลวงของเรานี้จะเสียเพราะอันนี้มากน้อยเพียงไรเราต้องคำนวณ ทางนี้ก็ไม่ให้เสียมาก หย่อนกันลงนิดหน่อย ทางนั้นก็ให้เขาได้ขึ้นมา เพราะฉะนั้นจึงอนุโลม เอ้า ทำก็ทำเสีย ท่านปัญญามาปรึกษา เขาก็เอานามบัตรนามอะไรมา เขาอยากทำ มีคนอยากทำมากขนาดไหนแต่เราไม่เคยอนุญาตนะ ไม่ใช่ไม่มีใครทำนะ เราไม่อนุญาตเฉย ๆ นี่ ถ้าอนุญาตหมด ป่าเหล่านี้ไม่มี เป็นลานส้วมลานถานไปหมด ลานวัดไม่มีนะ ลานวัดก็ไปดูซิในป่าในเขา นั่นละลานวัด ท่านภาวนาของท่านอย่างนั้นเรียกว่าลานวัด

อันนี้ลานกิเลส ลานส้วมลานถาน เตียนโล่งที่ไหนสะอาดสะอ้าน มีแต่ลานส้วมลานถานทั้งนั้น เอ้า ฟังเสียใครไม่ได้ฟัง ใครจะว่าเป็นบ้ายกสามโลกธาตุนี่มาว่าให้หลวงตาบัว อยากฟังเราก็ฟังไม่อยากฟังเราก็เฉยธรรมดาเรา ก็เอาความจริงออกมาพูดนี่วะ มาโกหกโลกหาอะไร เสาะแสวงหาแทบเป็นแทบตาย มันมีแต่ส้วมแต่ถานถ้าพูดตามหลักความจริงของพระพุทธเจ้าและสาวกทั้งหลายท่านพาดำเนินมา สถานที่อยู่ในวัดวาอาวาสต่าง ๆ ทุกวันนี้ไม่เห็นก็ตาม ในตำราก็มี มันเหมือนส้วมเหมือนถาน ตัวสถานที่จะเป็นส้วมเป็นถานได้เพราะอะไร เพราะผู้ที่อยู่ที่นั่นไปทำให้มันเป็นละซิ ตัวนี้เป็นตัวส้วมตัวถาน กระจายออกไปก็เป็นส้วมเป็นถาน เช่นเป็นสถานที่อยู่ลานวัดลานวา จนกระทั่งถึงกุฏิกุฏังเครื่องใช้ไม้สอย มันเป็นเรื่องของกิเลสไปทั้งหมดเลย เพราะไม่มีธรรม มันก็เลยเป็นส้วมเป็นถานติดกันไปหมดเลย เป็นอย่างนั้นนะ อะไร ๆ ดูไปก็เป็นเรื่องของกิเลสทั้งหมด ไม่มีเรื่องธรรมแฝงอยู่นั้นเลย ถ้าเรื่องธรรมแฝงผู้ปฏิบัติธรรมท่านก็พอดีของท่านเอง ท่านไม่ยุ่งกับอะไร

ให้เขาเอาข้าวมานี้ไปดูตอนค่ำเมื่อวานนี้ ข้าวเบาบางมาก โรงพยาบาลมาประจำทุกวัน ๆ โห ของน้อยเมื่อไรฟาดเป็นโกดัง ๆ ๆ เต็มเอี๊ยด ๆ ไปดูตอนค่ำเมื่อวานเห็นข้าวมีน้อย รีบ สั่งแล้วยังนี่

ลูกศิษย์ สั่งแล้ว เขาจะเอามา

หลวงตา เขาจะเอามาตอนไหนไล่เข้า ถ้าเขามาพรุ่งนี้เช้ามันพอไหม ข้าวเหล่านี้เหลือเท่าไร นั่น คือโรงไหนมาก็ไม่ให้ขาดในสิ่งที่เราเคยจัดไว้ให้ เมื่อมันมีอยู่ในตลาดตเลควรจะเอามาให้ทัน เขาบอกมีเท่าไร ๓๐ กว่าถุง ถ้าเผื่อเขามาหลายคันกว่านั้นจะทันไหมตอนเช้านี้ เขาจะมาตอนเช้าพรุ่งนี้ นี่มาแล้ว จึงได้กำชับกำชา อย่างนี้ละสงเคราะห์โลกทุกแบบนะ โอ๊ย.ทุกข์ลำบากเหมือนกันถ้าจะพูดเรื่องทุกข์ แต่เพราะอำนาจแห่งความเมตตาสงสารมันพาบึกพาบึน อย่างช่วยพี่น้องชาวไทยเรานี้เหมือนกันเราช่วยสุดเหวี่ยงของเรานะ อุตส่าห์พยายามบึกบึนด้วยความเมตตาสงสาร ลำพังเราแล้วเราอยู่ไหนเราอยู่ได้สบาย ไม่ยุ่งว่างั้นเลย บิณฑบาตได้มาปั้นหนึ่ง ทัพพี ๒ ทัพพีพอกินเท่านั้นพอไม่ยุ่ง สิ่งที่พอมันมีอยู่ในหัวใจพูดให้มันชัด ๆ อย่างนี้ มันไม่ต้องการอะไรแล้ว อันนี้เป็นเครื่องรบกวนก็เยียวยามันเสีย พออยู่ได้อันนั้นไม่กวน นั่น ให้มันเห็นชัด ๆ อย่างนั้นซิ ธรรมชาตินี้ไม่กวน ท่านว่าบรมสุข ๆ ว่าไง มันจ้าอยู่ในหัวใจ บกพร่องอะไรไม่มี นั่น อันนี้มันบกพร่องตลอด ต้องหามาเยียวยารักษาตลอด ก็ให้มันเสียเท่าที่จำเป็นอย่าให้เลยเถิด ก็ไม่ยุ่งกับมันมากนัก

พ่อแม่ครูอาจารย์ไปอยู่ที่ไหน โอ้ มันวิ่งย้อนหลังไปหาท่านหมดนะ ท่านไปอยู่ที่ไหน หาอยู่ ๔-๕ หลังคาเรือน บิณฑบาตเขาได้อะไรใส่มาให้ท่านเท่านั้นละนะ ก็คนอยู่ในป่าในเขาก็จะได้ของดิบของดีอะไรมาให้ฉัน ไปบิณฑบาตมาแล้วก็ได้นิด ๆ ท่านไม่สนใจเลยนะไม่พูดถึงเลย เรื่องอาหารนี้ไม่มีเลยนะ เงียบเลย เพราะท่านอยู่แต่ในป่าในเขาไม่มีอะไรกวนท่านพอที่จะพูดออกมา ท่านอยู่กับความพอดี อยู่กับความขาด ๆ เขิน ๆ เขียม ๆ พอได้เยียวยาธาตุขันธ์เท่านั้นท่านก็พอแล้ว เพราะส่วนใหญ่ของท่าน จิตของท่านเป็นบรมสุข นั่นละนิพพานเที่ยง เที่ยงอยู่ในหัวใจตลอดเวลา จะเอาอะไรมาบกพร่อง แล้วจะเอาอะไรมากวนมันไม่มีอะไรกวน สิ่งที่กวนก็คือธาตุขันธ์ แล้วท่านก็ให้เฉพาะพอดีเท่านั้น ทำเป็นกระต๊อบกระแต๊บให้อยู่เสีย อย่างนั้นนะ ทางจงกรมของท่านเดินเพื่อเปลี่ยนอิริยาบถให้เสมอ อันนี้ก็เสมอกับธาตุกับขันธ์อีกเหมือนกัน ให้ธาตุขันธ์ได้ดัดเส้นดัดเอ็น ยืดเส้นยืดสาย อันหนึ่งเดินไปเพื่อพิจารณาอรรถธรรมสงเคราะห์โลก

นั่นละเห็นไหมมี ๒ ประเภท พระอรหันต์เดินจงกรมเพื่อเปลี่ยนอิริยาบถธาตุขันธ์ให้พอเหมาะพอดีนี้อันหนึ่ง มันเกี่ยวกับธาตุขันธ์ อันหลักใหญ่คือพิจารณาธรรมทั้งหลายเพื่อประโยชน์แก่โลก ท่านเดินจงกรมอยู่รำพึงพิจารณาอยู่นั้น นั่งภาวนาก็เหมือนกันแบบเดียว นั่น จะให้ท่านละกิเลสท่านไม่มี กิเลสตัวไหนที่จะมาละอีกตั้งแต่วัน วุสิตํ พฺรหมฺจริยํ ประกาศก้องขึ้นมา สนฺทิฏฺฐิโก สุดท้ายเท่านั้นแหละ ไม่มีอะไรกวนเลยหมดโดยสิ้นเชิง อันนั้นเมื่อหมดแล้วทุกข์ก็หมดโดยสิ้นเชิง เพราะกิเลสเป็นผู้สร้างทุกข์ ทุกข์ก็หมดโดยสิ้นเชิงไม่มีอะไรเหลือเลย ท่านมีแต่ความสุข

นี่อำนาจแห่งการอุตส่าห์พยายาม การบึกบึนนะ การอดการทนการต่อสู้กับสิ่งเลวร้ายทั้งหลายซึ่งไม่มีสิ้นสุด ถ้าปล่อยให้เป็นไปมันจะลากเราไปหาความทุกข์ไม่มีสิ้นสุด แต่การต้านทานกันไว้เพื่อเอาความดีขึ้นมา ตัดย่นเข้ามาทางวัฏฏะคือความเกิด แก่ เจ็บ ตาย และความทุกข์ทั้งหลายให้ย่นเข้ามา ๆ ด้วยความดี ด้วยการฝ่าฝืน ฝ่าฝืนคือฝ่าฝืนกิเลสมันไม่อยากให้ทำความดี เราทำ นี่ละเรียกว่าฝ่าฝืน รบกัน ให้มีอย่างนั้นๆ ซิ ไม่งั้นไม่มีอะไรติดเนื้อติดตัวนะ ลมหายใจมันมีได้ทุกคนนั่นแหละ เวลายังไม่ตายมันมีด้วยกันทุกคน เวลาตายหมดค่าด้วยกันทั้งนั้นแหละ จะทำอะไรก็ให้รีบทำเสียตั้งแต่บัดนี้นะ แหม มันพิลึกจริง ๆ นะ แล้วโลกเวลานี้ยิ่งนับวันหนาเข้า ๆ จนท้อใจจริง ๆ เราพูดจริง ๆ มองไปไหนมันไม่ได้มองเห็นตัวคน มีแต่กิเลสหุ้มห่อหมดเนื้อหมดตัว แย็บ ๆ ออกมานี้เป็นกิริยาของธรรมไม่ค่อยมีและไม่มี นู่น พวกที่ไม่เกี่ยวกับศาสนาเลยเรียกว่าไม่มีตลอด ผู้ที่มีศาสนามีอรรถมีธรรมภายในใจยังมีแย็บ ๆ ๆ อยู่บ้างเป็นกาลเวลานะ

แล้วย่นเข้ามาหาพวกปฏิบัติศีลธรรมนี้มี ๆ นี่ละทางก้าวเดินเพื่อจะตัดวัฏวน ความเกิด แก่ เจ็บ ตาย ที่แบกหามไปด้วยกองทุกข์นี้ให้สั้นเข้ามา ๆ ทุกข์น้อยเข้ามา ๆ แล้วอันนี้มีมาก ๆ ตัดขาดสะบั้นผึงเลย สุข บรมสุข นั่น มีที่หวัง ทุกข์ก็ทุกข์เพื่อบรมสุข ไม่เสียหายอะไร ทุกข์เพื่อมหันตทุกข์ เพราะวิ่งตามกิเลสนี้ไม่มีความหมายนะ ทุกข์เท่าไรก็ทุกข์ไปอย่างนั้นตลอด ไม่มีต้นปลาย เบื้องต้นไม่มีเบื้องปลายไม่มีหมุนตลอดเวลา ผู้มีคุณงามความดีแล้วมีต้นมีปลาย ต้นจำมันไม่ได้ เอ้า ปลายมันจะมีวันหนึ่ง นั่น เพราะสร้างความดีตัดเข้ามาย่นเข้ามาๆ วันนี้พูดถึงเรื่องรำคาญมันเป็นอยู่ตลอด หากไม่พูด วันนี้เปิดออกเสียบ้าง หยิบนั้นหยิบนี้อันนั้นอันนี้ยุ่ง มันเลยกลายเป็นเรื่องลืมเนื้อลืมตัวฟุ้งเฟ้อเห่อเหิม เลยเป็นการเป็นงานอันหนึ่ง เกี่ยวกับเรื่องการอยู่การกิน เป็นงานของกิเลสอันหนึ่งขึ้นมา ไม่ใช่เป็นงานเพื่อธาตุเพื่อขันธ์โดยเฉพาะ มันเลยกลายเป็นงานของกิเลสขึ้นมา ที่มาเกี่ยวกับการอยู่การกินของเราโดยเฉพาะเราไม่รู้ตัว ถ้ารู้ตัวก็ต้องเป็นอย่างนี้ เลยพอดีแล้วมันเป็นกิเลสขึ้นมา แน่ะ ถ้าไม่เลยพอดีเยียวยาพอเป็นไปเท่านั้น ๆ เป็นธรรม ๆ

นี่ละผู้ปฏิบัติเพื่ออรรถเพื่อธรรมล้วน ๆ จึงทุกอย่างเป็นธรรมหมด ไม่ฟุ้งเฟ้อเห่อเหิมไม่ดีดไม่ดิ้น พออยู่พอเป็นพอไปอะไร ใช้ไป ๆ เท่านั้นพอ ส่วนใหญ่ของท่านมุ่งต่อธรรมอันเลิศเลอ ๆ ๆ ตลอด จนกระทั่งถึงขั้นนั้นแล้วปล่อยหมดเลย นั่น เป็นอย่างนั้นนะ

ไปเทศน์วัดอโศการามเราก็อุตส่าห์พยายามเทศน์ สอนพระเริ่มต้นจากฝึกหัดภาวนาถึงจะไม่ละเอียดลออก็ตาม เพราะธาตุขันธ์สำคัญมากเวล่ำเวลาไม่เท่าไร เพราะเวลานั้นเป็นเวลาเทศน์แล้วนี่ จะเทศน์นานเท่าไรก็ได้นี่นะ แต่ธาตุขันธ์มันจะอำนวยให้หรือไม่จึงต้องคำนึงธาตุขันธ์ ด้วยเหตุนี้เองการเทศน์จึงมีตั้งแต่เงื่อน เงื่อนให้จับ ๆ เป็นแถวเป็นแนวเป็นเงื่อน ๆ แต่กิ่งก้านสาขาที่แตกแขนงออกไปจากเงื่อนอันนั้นหรือจากกิ่ง กิ่งนี้กิ่งใหญ่นี้กิ่งเล็กที่จะออกไป เมื่อได้กิ่งใหญ่ ๆ มอบให้แล้ว ๆ สอนอันนี้ให้ถูกต้องกิ่งเล็กจะค่อยแตกไปเอง สำหรับผู้ปฏิบัติจะกระจายไปเอง ความรู้ความแยบคายต่าง ๆ จะอาศัยหลักใหญ่นี้ที่สอนไว้ ๆ เราจึงสอนได้แค่นั้น ละเอียดลออกว่านั้นไม่ได้นะ กำลังไม่พอ ถึงขนาดนั้นก็ปาเข้าไปตั้งชั่วโมง ๒๕ นาที ของเล่นเมื่อไร เทศน์ในกรุงเทพฯนี้มีวัดอโศการามที่มากกว่าเพื่อน แม้ตั้งแต่สนามหลวงก็เพียงชั่วโมง ๒๓ นาที แต่ไปเทศน์ที่วัดอโศการามถึงชั่วโมง ๒๕ นาที ก็มีอำเภอสูงเนิน ที่สูงกว่าเพื่อน อำเภอสูงเนินนั้นจนได้ตั้งจังหวัดให้เขา คือคนมากจริง ๆ ทางโคราชมันหลั่งไหลออกไปฟัง อำเภอต่าง ๆ แถวนั้นมาฟัง มันมากต่อมากเราเลยตั้งให้เป็นจังหวัด เวลาเทศน์ก็ฟาดเข้าไปชั่วโมงกับ ๒๙ นาที นู้นเห็นไหม ก็อย่างนั้นละ

นี่ก็เทศน์ถึงชั่วโมง ๒๕ นาที พระทั่วประเทศที่มาประชุมกันเป็นหมื่นนะ ท่านจะได้ยินได้ฟังแล้วก็ท่านจะอัดเทปแจกกันไปเรื่อยทั่วประเทศ เพราะเทศน์กัณฑ์นี้เราเทศน์วางพื้นฐานเรื่อย ๆ เหมือนเครื่องบินเหินฟ้า ขึ้นเรื่อย ๆ ตั้งแต่เริ่ม ก.ไก่ ก.กา วิธีฝึกหัดภาวนาเบื้องต้นเป็นอย่างนั้น ๆ สอนแล้วขึ้นไป ๆ ถึงสมถธรรม ถึงสมาธิธรรมเรื่อย ๆ จากนั้นก็ไปควานอยู่ตามปัญญาธรรมนี่ละมาก ที่เทศน์วันนั้นไม่มากแต่เป็นภายในจิตใจนี้มาก เพราะเรื่องของปัญญานี้กว้างขวางพิสดารมาก จะอธิบายทุกแง่ทุกมุมเวลาไม่พอ ทั้งธาตุขันธ์ไม่อำนวย จึงเอาแต่สำคัญ ๆ ก้าวขึ้นไปจนกระทั่งถึงสติปัญญาธรรมดา กว้างขวางไปกลายเป็นสติปัญญาอัตโนมัติ ถึงขั้นมหาสติมหาปัญญาพุ่งทะลุเลย พอถึงทะลุนั้นจบ ก็ได้ชั่วโมง ๒๕ นาที ได้เทศน์เรียงลำดับไปเพราะวางพื้นฐานให้ผู้มาไม่เข้าใจมีเยอะ นั่น เราถึงอุตส่าห์พยายามเทศน์ นี่ไม่นานจะได้ไปจังหวัดร้อยเอ็ด วันนี้ก็เทศน์เพียงเท่านั้น ให้พากันตั้งหน้าตั้งตาปฏิบัตินะ เวลานี้คลื่นกิเลสนี้ แหม พิลึกจริง ๆ นะ จนมองไม่ทันมาทุกแบบทุกฉบับมีแต่กิเลสทั้งนั้น ๆ ทีนี้จะให้พรเสียก่อนนะ

 

อ่านและฟังพระธรรมเทศนาของหลวงตาวันต่อวัน ได้ที่

www.Luangta.or.th or www.Luangta.com

 


** ท่านผู้เข้าชมทุกท่านโปรดทราบ
    เนื่องจากกัณฑ์เทศน์บางกัณฑ์มีความยาวค่อนข้างมาก ซึ่งจะส่งผลต่อความเร็วในการเปิดเว็บไซต์ ขอแนะนำให้ทุกท่านได้อ่านเนื้อหากัณฑ์เทศน์บางส่วนจากเว็บไซต์ และให้ทำการดาวน์โหลดไฟล์กัณฑ์เทศน์ที่มีนามสกุล .pdf ไปเก็บไว้ในเครื่องของท่านแทนการอ่านเนื้อหาทั้งหมดจากเว็บไซต์

<< BACK

หน้าแรก