เทศน์อบรมฆราวาส ณ กุฏิหลวงตา สวนแสงธรรม
เมื่อวันที่ ๒๔ ธันวาคม พุทธศักราช ๒๕๔๕ [ค่ำ]
กิเลสไม่มีจะเอาอะไรมาเป็นพิษ
วันนี้เหนื่อยมากเป็นยังไงไม่รู้นะ ไปเทศน์นู้นก็เทศน์ลำบากมาก ทนเอาเทศน์ก็ไม่ได้มากมายอะไรนัก สอนอบรมให้ทำจิตให้สงบเย็นใจหน่อย แหม มันอดคิดไม่ได้ อดพูดไม่ได้ เรื่องจิตใจของโลกว้าวุ่นขุ่นมัวนี้มากทั่วดินแดนเลย และต่างคนก็ดิ้นอยู่อย่างงั้น ไม่เคยมีใครเห็นโทษเห็นภัยของความดีดดิ้นของตัวเองเลย เพราะฉะนั้นความทุกข์จึงพันกันไป โลกว่าเจริญขนาดไหน มันว่าแต่ลมปาก มันอะไรเจริญ จิตใจถูกไฟเผาด้วยความดีดดิ้นตลอดเวลา ดีแล้วอย่างงั้นเหรอ มันเจริญที่ตรงไหน คำว่าเจริญต้องเป็นความผาสุกร่มเย็น อันนี้หาความสุขร่มเย็นไม่ได้ มองไปแล้วโอ๊ยดูไม่ได้เลยนะ จึงต้องได้พยายามอบรมให้มีที่ปลงที่วางความทุกข์ทั้งหลาย อย่างน้อยเบาลง
ถ้าลงได้ทำจิตตภาวนาให้สงบเย็นแล้วมันจะเห็นจุดที่ปลงที่วาง ถ้าไม่มีจิตตภาวนาเลย ไม่มีทางปลงวาง เป็นอย่างนี้ตลอดไปเลย เหมือนอย่างเป็นมาแล้ว ถ้ามีจิตตภาวนาตามทางของศาสดาแล้วแน่ แน่เลย นี่จุดที่ปลงวางพอซุกหัวนอนได้บ้าง ถ้าไม่มีการทำความสงบใจพอพักเครื่องแห่งความหมุนของใจแล้ว มันจะหมุนของมันตลอดไปเลย เพราะจิตนี้กิเลสมันหมุน อย่างที่เราเคยพูดเสมอว่า กิเลสทำงานโดยอัตโนมัติ คือมันหมุนของมันตลอด ตั้งแต่ตื่นนอนปั๊บหมุน เวลาหลับนั้นน่ะเป็นเวลาพักเครื่องของกิเลส หากว่าไม่มีการหลับนอนบ้างเลยนี้ตายง่ายที่สุดมนุษย์ แต่นี้มีการหลับนอนเป็นการพักเครื่องของกิเลสที่มันพาจิตใจหมุนตลอดเวลาทั่วโลกดินแดน
เวลาหลับนอนเป็นเวลาดับเครื่อง ไม่มีภาวนา ถ้าเอาภาวนาเป็นการดับเครื่องเรียกว่าหนึ่งเลย มันจะเห็นที่ปลงที่วาง เวลายุ่งยากขึ้นมามาก ๆ นี้มันจะทวนเข้ามา ทวนกระแสกลับเข้ามาหาใจเข้าสู่ความสงบ บังคับจิตให้สงบ พอจิตสงบนี้ แหม มันเย็นจริงๆ นะ อ่อนนิ่มไปหมดเลย งานการทั้งหลายที่มันเคยยุ่งกับจิตนี้ ความสงบทับหัวมันหายไปหมด จนกว่าว่าจิตถอนขึ้นมาแล้ว ความคิดอย่างนั้นมันก็ไม่รุนแรง ถึงมันจะเกิดจะมีขึ้นก็ตาม แต่ก็ไม่รุนแรง เพราะมีน้ำดับไฟ มันเห็นชัด ๆ อยู่ในหัวใจว่าไง
มาพูดนี้ไม่ได้มาพูดหลอกโลกหลอกสงสาร พูดจากการปฏิบัติจริง ๆ ตามธรรมที่ถูกต้องแม่นยำ และการปฏิบัติตามธรรมที่ถูกต้องแล้ว มันก็ได้ผลขึ้นมาให้เห็นเป็นลำดับลำดา ตั้งแต่ความสงบเย็นใจมาเรื่อย ๆ จนกระทั่งถึงที่สุดของจิตต้องอาศัยความสงบของจิตเป็นที่พักกลางทาง เวลาทำงานหนัก ๆ มากๆ มันทุกข์มาก แม้จะมีผลรายได้ก็ตาม แต่ความเหนื่อยความลำบากลำบนที่เกี่ยวกับงานนั้นมันมีหนักเข้า ๆ ต้องพักงานนั้นเข้าสู่ความสงบใจ ที่ท่านสอนให้พักเครื่อง คือเครื่องของปัญญามันเดิน นี่ละที่แปลกประหลาดอัศจรรย์มาก จะไม่มีใครรู้นะ ธรรมะขั้นนี้ออกก้าวเดินไม่มีใครรู้ นอกจากภาคปฏิบัติเท่านั้น ที่จะไปเห็นในตำราก็มีตั้งแต่ว่า ภาวนามยปัญญา เราเองก็งงสงสัย มืดตื้อเลยแหละ
ท่านแสดงไว้เรื่องภาวนามยปัญญา ปัญญาเกิดขึ้นจากการภาวนาล้วน ๆ คือผู้ภาวนาแล้วปัญญาเกิด เกิดขึ้นจากการภาวนาล้วน ๆ มันมืดมิดปิดตา มันเกิดได้ยังไง คนเราไม่เคยภาวนาประเภทนั้น พอปัญญาจะเกิดแบบที่ท่านแสดงไว้ นี่ท่านเป็นมาแล้วพระพุทธเจ้า ท่านถึงสอนอย่างนั้น ท่านบอกว่าปัญญาเกิดขึ้นได้ ๓ ทาง สุตมยปัญญา ปัญญาเกิดขึ้นจากการได้ยินได้ฟังของคนทั่ว ๆ ไป เมื่อได้ยินได้ฟังแล้วเกิดสติปัญญาขึ้นมาได้ แล้วจินตามยปัญญาเกิดขึ้นจากการคิดอ่านไตร่ตรองก็เกิดได้ ๆ อันนี้ใครก็พอคาดพอคิดกันได้ แต่ภาวนามยปัญญานี่ซีคิดไม่ได้เลย เราเองก็คิดไม่ได้
พออ่านไปเจอบทนี้แล้วว่าปัญญาขั้นที่สาม ภาวนามยปัญญา ปัญญาเกิดขึ้นจากการภาวนาล้วน ๆ เกิดขึ้นยังไงน้า ก็เรายังไม่ถึงขั้นปัญญาที่เกิดขึ้นจากการภาวนาของตน ก็มีแต่ภาวนาไปหลับไปอย่างงั้นละมั้ง มันจึงมีตั้งแต่เสื่อแต่หมอนเต็มตัว ไม่มีปัญญาติดตัวเลย เราก็งงสงสัย แต่เวลาปฏิบัติไปมันก็ไม่เอามาเป็นกังวล ปฏิบัติไป ๆ พอเข้าช่องนี้ปั๊บ ถึงขั้นนี้ปั๊บทีนี้ขึ้นเป็นแล้ว อ๋อ นั่นเห็นไหมล่ะภาวนามยปัญญา ปัญญาเกิดขึ้นจากการภาวนาล้วน ๆ เลย ปัญญาขั้นนี้มันก้าวเป็นอัตโนมัติไปเลย ไม่หยุด ไม่ยับยั้ง ไม่ถอย หมุนติ้ว ๆ ๆ
นี่ละปัญญาขั้นนี้เมื่อก้าวเดินแล้วได้ผล การฆ่ากิเลสเห็นประจักษ์ในหัวใจ กิเลสประเภทใดที่อ่อนตัวลงรู้ ๆ ตัวไหนที่ขาดไปแล้วก็รู้ ๆ การทำงานของสติปัญญาขั้นนี้ มันก็เหมือนเราทำงานนั้นแหละ คือผลก็ได้จากการพิจารณานี้ แต่การพิจารณานี้ก็เป็นการทำงานของปัญญา มันก็เหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้า เจ้าของไม่มีผู้แนะผู้เตือน มันก็หมุนของมันไปเรื่อย คือสติปัญญาขั้นนี้จะไม่ถอย หมุนเรื่อย จึงต้องได้หักห้าม เวลามันเหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้า พูดตรง ๆ ภายในหัวอก เพราะมันหมุนอยู่ภายใน เหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้า กิเลสมันก็มีของมัน ทางนี้มันก็ฟัดกันไปเรื่อย
เวลามันจะตายจริง ๆ มันก็ย้อนจิตที่กำลังหมุนติ้ว ๆ กับกิเลสนั้นเข้ามาสู่สมาธิ คือสมาธิเป็นพื้นฐาน ได้แก่ความสงบ นี่เรียกว่าพักเครื่อง พักจากการพินิจพิจารณาด้วยปัญญา พักเข้ามาสู่สมาธิ พักเข้ามาแบบไหนมันจะสงบได้ ไม่ทำงานด้วยการคิดการปรุง พักเข้ามา บังคับเข้ามา จนถึงกับขั้นเอาคำบริกรรมเข้ามากำกับ เราเป็นแล้วนะ คือจิตมันมีกำลังรุนแรง มันจะหมุนอย่างเดียว หมุนเพื่อฆ่ากิเลส ไม่รู้จักประมาณในการทำงานของตน จึงต้องรั้งจิตเข้ามาสู่ความสงบ รั้งเข้ามามันผึง ๆ มันจะออกต่อสู้กิเลส ปัญญาขั้นนี้ไม่มีคำว่าถอย ทางนี้มันก็เหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้า มันจะเป็นจะตายจริง ๆ มันจะออกไม่ให้ออก เอา ผลักเข้ามา เพราะได้พามันออกพามันพิจารณาแล้ว จนเหน็ดเหนื่อยขนาดนี้ จะบืนไปไหนอีก นั่นความหมาย
หักเข้ามาสู่สมาธิให้พักเครื่องคือความสงบ ไม่ต้องคิดต้องปรุง จิตเข้าสู่สมาธิไม่ทำงาน ปรุงนี้เป็นเรื่องของปัญญา บังคับต้องได้ใช้สติปัญญากำลังวังชาเอาจริงจังนะ ไม่อย่างงั้นมันไม่อยู่ มันพุ่ง ๆ กับคู่ต่อสู้คือกิเลส ทางนั้นเหมือนกับว่ายืนจังก้าคอยท่าอยู่ ทางนี้มันก็ซัดกันล่ะซิ เอายืนก็ยืน หักจิตเข้ามาสู่ความสงบคือสมาธิ มันออกไป เอาบังคับให้อยู่กับพุทโธ เอาพุทโธติดกับจิตไว้เลยไม่ให้ออก พุทโธ ๆ ๆ สติจับกับพุทโธ จิตก็ไม่ให้มันออกไปคิด ให้มันคิดอยู่กับพุทโธๆ หมุนติ้ว ๆ
สักเดี๋ยวจิตก็สงบแน่ว ทั้ง ๆ ที่จิตของเราเป็นสมาธิมาแน่นหนามั่นคงขนาดไหน เวลานั้นไม่เห็นมีคุณค่าอะไรเลย สู้ทางปัญญาไม่ได้เพราะปัญญามันรุนแรง เห็นคุณค่าของปัญญามากจนเหยียบสมาธิ ตำหนิสมาธิไม่รู้ตัว เวลาจะมาพักสมาธิมันก็ไม่อยากพัก มันถือว่าไม่ได้ผลได้ประโยชน์ แต่ต้องหักเข้ามา นี่ละมาพัก เหมือนเราทำการทำงานหนักเบามากน้อย ทำไป ๆ ผลของงานนั้นได้ แต่เราเหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้าทำยังไง ต้องมีการพักผ่อนนอนหลับและรับประทานอาหารเป็นพัก ๆ ไป เวลาจะเสียไปก็ตาม ค่าอาหงอาหารจะสิ้นเปลืองไปมากน้อยเพียงไร ก็สิ้นเปลืองไปเพื่อจะหนุนกำลังให้เป็นกำลัง หลังจากการรับประทานอิ่มแล้วกำลังก็มี เอากำลังนี้ไปทำงานต่อไป
อันนี้ก็เข้าสู่สมาธิ บังคับเข้าในพุทโธเลย ถี่ยิบ เอากันจริงจังทุกอย่าง เมื่อบังคับเข้าพุทโธ ๆ ถี่ยิบเข้าไป ไม่ยอมให้ออก ถ้าว่าเผลอ เผลอไม่ได้นะ ผึงออกแล้ว แต่จิตขั้นนี้มันไม่เผลอล่ะซี พูดได้แต่ว่าพอรามือหรืออ่อนนิดหน่อยมันจะออกเลย สติอ่อนนิดหน่อยเรียกว่ารามือ จะให้ว่าสติเผลอนี้พูดไม่ได้ ขั้นนี้แล้วไม่มีเผลอ อยู่เวลาไหนมันก็เป็นธรรมชาติของมัน หักเข้า ๆ ด้วยพุทโธ ๆ ถี่ยิบเลย เอาติดกับพุทโธ ไม่ยอมให้คิด ไม่ยอมให้ออก ถ้าทางนี้เบามือนิดหนึ่งจะผึงแล้วใส่งานที่ต่อสู้กับกิเลสด้วยปัญญา แต่ปัญญานี้ ถ้ามีดก็ไม่ได้ลับหิน คมมันปื้นหมดแล้ว ต้องมาลับหิน มาเอากำลังจากสมาธิเสียก่อน ให้จิตอยู่ในสมาธิ บังคับไว้นานเข้าจิตมันก็แน่วลงนะ
เมื่อถูกบังคับตลอดติดต่อด้วยพุทโธ ๆ ๆ สติติดแนบแน่นแล้วก็แน่วปึ๋งลงไปเลย จิตสงบ สงบแน่ว เหมือนถอดเสี้ยนถอดหนามนะความทุกข์ทั้งหลาย เพราะการทำงานด้วยปัญญานั้น หยุดกึ๊กเลย มีตั้งแต่ความสงบเย็นใจ เบาหวิว ๆ ๆ รู้สึกว่ากระปรี้กระเปร่าภายในใจ มีกำลังวังชาขึ้นในขณะที่จิตเข้าสู่สมาธิพักสงบนั้นแล แต่ถอยไม่ได้นะ ถ้าพูดภาษาโลกของเราว่าเผลอไม่ได้ หรือว่าอ่อนมือไม่ได้ ต้องบังคับ ถึงมันจะรวมสงบแน่วขนาดไหน กำลังของทางปัญญามันยังหนักกว่า พอเบาทางนี้ปั๊บมันจะพุ่งใส่นั้นเลย ทางด้านปัญญาฟัดกับกิเลสอีกเลยละ ต้องพัก เป็นยังไงก็ช่าง เอาให้สงบแน่วลง
เมื่อมันลงเต็มที่แล้วเงียบหมดเลย เหมือนถอดเสี้ยนถอดหนามนะ จิตใจนี้เย็นสบาย เบาหวิว ๆ ๆ โล่งไปหมดเลย นี่พักงานแห่งความคิดความปรุงของปัญญา ให้อยู่ในนี้ บังคับไม่ให้ออก ถ้าเรารามือสักหน่อยออก ถึงขนาดนั้นว่าดิบว่าดี ว่าสงบร่มเย็น อย่างนั้น มันยังสู้กำลังทางด้านปัญญาไม่ได้ ถึงขั้นปัญญามีอำนาจแล้วเป็นอย่างงั้น ต้องบังคับไว้ จนกระทั่งมันได้กำลังวังชา แน่ใจเจ้าของ จิตสงบแน่วอยู่เป็นเวลานานพอสมควร แน่ใจเจ้าของ มีกำลังวังชา มีความสุขความสบายเห็นประจักษ์ ประหนึ่งว่าเรานอนหลับ ตื่นขึ้นมาก็มีกำลัง เราพักรับประทานอาหาร อิ่มแล้วก็มีกำลัง อันนี้จิตเข้าพักตัวแล้วก็มีกำลัง ควรแก่การต่อสู้กับกิเลสโดยทางปัญญาเหมือนที่เคยปฏิบัติมา
พอได้กำลังสมควรแล้ว พอถอยไม่อยากนะ ดีดผึงเลย มันไม่ได้ถอยแบบอืดอาดนะ เพราะทางด้านปัญญามันดึงให้อย่างคล่องตัวไปเลย พอถอยนี้มันก็ผึงเลยๆ ทีนี้มันก็เป็นเหมือนกับมีดเราลับหินเรียบร้อยแล้ว กำลังวังชาของเราก็มีแล้ว กิเลสตัวนั้นแลซึ่งเทียบกับไม้ท่อนนั้นแล แต่ก่อนฟันไม่ทราบเอาสันเอาคมลง มันไม่ขาดได้อย่างง่ายดาย คราวนี้ซัด ๆ ขาดสะบั้น นี่ละจิตที่ได้รับการพักผ่อนตัวเอง ออกทำงานคราวนี้มีกำลัง สติปัญญาแกล้วกล้า ๆ พิจารณาอะไรขาดสะบั้น ๆ ไปเลย นี่จึงเรียกว่าสติปัญญามาลับหินเสียก่อน พักตัวได้กำลัง ออก
ทีนี้ก็หมุนติ้วเลย จนกระทั่งมันจะตายจริง ๆ เอาอีก ถ้าธรรมดาให้มันมาพักจิตด้วยสมาธิมันจะไม่มา มีแต่หมุนเลย กิเลสไม่พังเมื่อไรเป็นไม่ถอย ๆ ๆ มันดูดมันดื่มขนาดนั้น ไม่มีวันมีคืน ลงได้ลงทางจมกรมแล้วทั้งวันมันก็อยู่ตลอด ไม่มีคำว่าหิวว่าโหย จะอยากอะไรจะฉันอะไร แม้ที่สุดน้ำก็ระลึกถึงกันไม่ได้ ความระลึกอะไรมันอยู่กับข้าศึกศัตรู เหมือนเขาต่อยมวย มันจะไประลึกหาน้ำหาท่าอะไร มันก็ฟัดกัน นี่ภาคปฏิบัติเป็นอย่างนั้น
ทีนี้มันก็ก้าวเรื่อย ๆ พอรู้สึกว่าเหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้าก็ทำอย่างนี้อีก บังคับให้เข้าพักสมาธิอีก พักไปพอสมควรได้กำลังแล้วออกทำงาน นี่สม่ำเสมอ พอดิบพอดี ราบรื่นดีงาม ถ้าจะปล่อยให้เป็นอย่างงั้นไม่ได้ มันเลยเถิด เรื่องของปัญญาขั้นนี้ นี่แหละขั้นที่เลิกที่ถอนกิเลสออกจากวัฏจิต คือสติปัญญาขั้นนี้ ทำงานตลอดเวลา เช่นเดียวกับกิเลสที่มันทำงานตลอดเวลาโดยอัตโนมัติของมันบนหัวใจของสัตว์ มันจะทำของมันอย่างงั้น พอกระดิกปั๊บกิเลสทำงานแล้ว ๆ เรื่อยจนกระทั่งหลับ นั่นละพักเครื่อง ตื่นขึ้นมามันเป็นของมันแล้ว มันติดเครื่องของมันแล้ว แต่ดับไม่ลง ต้องอาศัยการหลับเท่านั้นดับเครื่องความคิดปรุงของกิเลสสมุทัย
นี่ท่านเรียกว่ากิเลสหมุนในหัวใจของสัตว์โลกเพื่อผลประโยชน์ของมันนั้น สร้างความทุกข์ให้แก่โลกได้มากมาย มันทำอัตโนมัติเหมือนกันหมดในโลกนี้ ไม่มีใครจะระลึกรู้ได้ว่ากิเลสทำงานโดยอัตโนมัติในหัวใจของตน ไม่มีใครรู้ นี่เห็นไหมธรรมอัศจรรย์ขนาดไหน ธรรมตามแก้ได้เลย มันทำงานเป็นอัตโนมัติของมัน แต่ก่อนเราก็ไม่เคยคิด ทั้ง ๆ ที่มันทำงานเป็นอัตโนมัติตลอดเวลา แต่เราไม่ได้คิดว่ากิเลสทำงานบนหัวใจเราโดยอัตโนมัตินะ
พอถึงขั้นปัญญาที่เป็นอัตโนมัติหมุนตามแก้ตามไขกิเลสนี้ มันเป็นเองของมัน เหมือนกิเลสที่เคยหมุนหัวใจเราในทางผูกมัดจิตใจเรา ทางสติปัญญาแก้ก็แก้กิเลส แก้แบบเดียวกัน จะยืน จะเดิน จะนั่ง จะนอน แม้ที่สุดฉันจังหันอยู่นี้จิตมันไม่ได้อยู่ในอาหารนะ มันจะทำงานของมันอยู่ลึกลับ ๆ หมุนติ้วๆ เป็นอัตโนมัติ จะยืน เดิน เคลื่อนไหวไปไหน ๆ เป็นความเพียรตลอดเลย เป็นอัตโนมัติ ยิ่งเข้าทางจงกรมด้วยแล้วก็ยิ่งปล่อยละที่นี่ ขึ้นสนามแล้วก็มีแต่ฟัดตลอดเลย เพราะฉะนั้นถึงเดินจงกรมไม่รู้เวล่ำเวลา นั่งภาวนาก็เหมือนกัน บางคืนตลอดรุ่งเลย ไม่หลับ
นี่ละความหมุนของสติปัญญาอัตโนมัติที่จะฆ่ากิเลสไม่ให้มีเหลืออยู่ภายในจิตใจ มีกำลังมาก มันหมุนของมันอย่างนี้เอง หมุนเรื่อย ๆ นี่จะรู้ได้ด้วยนักภาวนา ผู้ไม่ภาวนาตายทิ้งเปล่า ๆ เรียนเท่าไรก็เรียนเถอะไม่รู้ เราก็เรียนมาแล้วมันก็ไม่รู้ นอกจากไปสงสัยที่ท่านว่าภาวนามยปัญญา ปัญญาเกิดขึ้นจากการภาวนาล้วน ๆ อยู่เพียงเท่านั้น สงสัยเท่านั้น แต่ก็ไม่รู้ทางไป จนกว่าดำเนินงานทางภาคปฏิบัติ พอเข้าถึงขั้นนั้นแล้ว ทีนี้มันเข้าทางนี้แล้วมันก็หมุนของมัน อ๋อ อย่างนี้เอง นั่นเข้ากันได้แล้วนะ ท่านว่าภาวนามยปัญญาเป็นปัญญาล้วน ๆ ไม่ต้องอาศัยได้ยินสิ่งนั้น ได้เห็นสิ่งนี้ จึงจะเกิดปัญญาขึ้นมา ได้ยินไม่ได้ยินมันก็เกิด เห็นก็เป็นปัญญาขึ้นประเภทหนึ่งที่จากความเห็นเอามาพิจารณา ได้ยินก็เป็นปัญญาประเภทหนึ่ง เกิดขึ้นจากการได้เห็นได้ยินนะ ไม่เห็นไม่ได้ยิน กิเลสมันก็อยู่ภายใน มันก็หมุนของมันอยู่ภายในนี้ ฆ่ากิเลสเรื่อยไป
เวลามันจะตายจริง ๆ พักสักทีหนึ่ง นี่ละการปฏิบัติต้องมีผู้แนะมีผู้บอก ไม่แนะไม่บอกไม่ได้ อย่างเรานี้ก็หลวงปู่มั่นขนาบเอา จิตที่มันกำลังผาดโผน ท่านบอกว่ามันหลงสังขาร ท่านว่า ทางนี้ก็เถียงเลย ถ้าไม่พิจารณามันก็ไม่รู้ นั่นละบ้าหลงสังขาร เห็นไหมล่ะ ท่านเหนือกว่าเรา คือสังขารที่ปรุงเป็นปัญญานี้แล แต่เมื่อใช้ไม่รู้จักประมาณ สมุทัยแทรกเข้าไปแล้ว เป็นสังขารของสมุทัย กิเลสแทรกเข้ามาเราไม่รู้ เพราะฉะนั้นจึงต้องมีการพักสมาธิ ถึงเรียกว่าพอดิบพอดี เป็นการก้าวเดินทางปัญญาโดยชอบ ๆ ธรรม
เพราะฉะนั้นจึงมีการพักผ่อนจิตใจ เวลาเข้าอยู่ในสมาธิให้อยู่ จนกระทั่งมีกำลังวังชาแล้วค่อยถอยออกมา มันก็ดีดของมันทางด้านปัญญาไปเรื่อย ๆ พอกำลังวังชาทางด้านจิตใจอ่อนลง ๆ เหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้าถอยกลับมาพักในสมาธิ หรือพักนอน นอนก็เป็นการพักจิตพักธาตุพักขันธ์ประเภทหนึ่ง พักในสมาธิเป็นการพักจิตประเภทหนึ่ง ต้องพัก ๆ พอถอยออกไปแล้วเอาเลยก้าวเดินๆ
นี่ละปัญญาฆ่ากิเลส ธรรมเมื่อมีอำนาจแล้วฆ่ากิเลสได้เช่นเดียวกับกิเลสหมุนตัวภายในจิตใจของเรานั่นแหละ ทรมานทุกข์มากขนาดไหนก็คือเรื่องกิเลสทำงาน มันคิดมันปรุง มันบีบมันบี้ด้วยวิธีการต่างๆ ล้วนแล้วแต่ความคิดของกิเลสสร้างตัวของมัน เอาผลประโยชน์ของมัน ความทุกข์โยนให้เรา ๆ เราก็ไม่เคยคิดฆ่ากิเลสว่าจะฆ่าแบบไหนๆ บทเวลามันมาเป็นขึ้นที่ใจนี้ ซึ่งเราเรียนแล้วในทางปริยัติว่า ภาวนามยปัญญา ปัญญาเกิดขึ้นจากการภาวนาล้วน ๆ มันเกิดขึ้นเอง ๆ
การภาวนาล้วน ๆ ไม่ต้องอาศัยอะไร ๆ มันเกิดของมันเอง ได้เห็นอะไรไม่ได้เห็นอะไร อะไรมาสัมผัสไม่สัมผัส ไม่สำคัญ มันเกิดของมันอยู่อย่างงั้น สัมผัสก็เอาเรื่องนั้นมาเป็นธรรมเข้าอีก มันเกิดได้ทั้งสองทาง ทั้งสัมผัสสิ่งภายนอก ทั้งไม่สัมผัส กิเลสมันอยู่ในใจ หมุนติ้ว ๆ ไม่ได้นอนบางทีสองคืน สามคืน มันจะตายจริง ๆ อ่อนไปหมดร่างกาย คือมันไม่ยอมนอน มันหมุนตลอดกับกิเลส คือมันไม่ลดราวาศอกให้กันนะ ทางปัญญานี้เมื่อมันมีกำลังแล้วไม่มีคำว่าถอยให้กิเลส มีแต่จะหมุนเรื่อย เป็นกับตายไม่ได้สนใจนะ มีแต่จะฟัดกิเลสให้พัง ๆ แต่กำลังวังชาของเราไม่พอ และอุบายวิธีการดำเนินของเราไม่พอ มันจะเสียเปรียบให้กิเลสได้
เพราะฉะนั้นจึงต้องเข้ามาพักสมาธิเพื่อเหมาะสม นี่ตามทางที่ครูบาอาจารย์ท่านสอนไว้ ในตำราก็มีนะ เราก็เรียนมาแล้วในตำรา ถึงคราวพักสมาธิให้พักแล้วออกดำเนิน แต่เวลามันหมุนจี๋เข้าไปแล้ว มันไม่ได้สนใจปริยัตินะไม่สนใจตำรา จนกระทั่งมันผ่านไปแล้วมาพิจารณาถึงได้ถ้อยได้ความ โอ๊ยท่านสอนไว้หมดแล้ว แต่เรามันเลยเถิดต่างหาก เข้าถึงขั้นนี้เอาจริงเอาจัง อยู่กับใครไม่ได้ พูดให้มันเต็มยศ อยู่กับใครไม่ได้ เข้ากับใครไม่ได้เลย อยู่คนเดียวทั้งนั้น ทั้งวันทั้งคืน เข้ากับใครไม่ได้เลยมันเสียเวลา นี่ความหมาย เสียเวลาฟัดกับกิเลส เหมือนกับนักมวยต่อยกัน แม้แต่กรรมการไปยุ่งได้เมื่อไร ปล่อยให้เขาซัดกัน ว่างั้นเลย
อันนี้ระหว่างกิเลสกับธรรมที่มันหมุนกันแบบนี้แล้ว อะไรเข้ามายุ่งไม่ได้ ไปที่ไหนก็เหมือนกัน มันเป็นภาวนาไปตลอดสายทาง จากนี้ไปนั้น จากนั้นไปนั้น เป็นปัญญาของมันทำงานอัตโนมัติตลอดไปเลย อันนี้จึงไม่เกี่ยวข้องกับใครได้นะ เราจึงไปแต่องค์เดียว ๆ ถึงขั้นนี้ยิ่งเด็ด ใครไปด้วยไม่ได้เลย บิณฑบาตเขาได้อะไรใส่บาตรให้ มันไม่ได้สนใจนะ มีอะไรๆ ใส่บาตร ก็มีแต่เปิดฝาบาตรให้เขาใส่ ทางจิตมันทำงานของมัน มันไม่ได้ไปอยู่นั้นนะ ไม่อยู่กับสัตว์กับบุคคลอะไร แย็บเท่านั้นมันเข้าอยู่ในนี้ เป็นกระแสที่รู้ข้างนอกนิดหน่อย ๆ ส่วนใหญ่มันอยู่ในนี้ ๆ เช่น รับบาตรรับอะไรเขา เอาอะไรใส่บาตร มันก็เป็นกระแสของจิตที่แย็บออกไปรับทราบนิดหน่อย ๆ ส่วนใหญ่มันฟัดกันอยู่ข้างใน นี่ฟังให้ชัดนะ
ถึงขั้นสติปัญญาอัตโนมัติ ที่จะสังหารกิเลสไม่ให้มีเหลือภายในใจแล้วต้องเป็นอย่างงั้น หมุนติ้ว ๆ เดินจงกรมไม่รู้จักหยุดจักพักเลย ถ้าลงได้ลงแล้ว เดินเร็วมันก็ไม่เร็วนะ แต่ส่วนภายในมันหมุนของมัน ก้าวเดินนี้สักแต่ว่าก้าวไป เดินไปสะเปะสะปะไปอย่างงั้น แต่ภายในมันไม่สะเปะสะปะ หมุน บางทีเดินจงกรมไปนี้มันออกนอกลู่นอกทางเข้าป่าก็มี เข้าเรื่อยเข้าป่า ทางจงกรมอยู่นี้มันไม่ไปนะ คือตามันก็มืดไปหมด ตามีนี้ถ้าจิตไม่ออกเสียอย่างเดียว ตาก็เหมือนตาไม้ไผ่ไม่เห็นอะไรนะ ก็เดินเซ่อ ๆ ซ่าๆ โครมครามเข้าป่า เหอ ป่า ถอยแย็บหนึ่งนะ เหอเข้าป่าถอยมา พอเดินไปอีกซ่วมซ่ามเข้าทางนี้อีก คนมาเห็นเขาจะว่าบ้านะ ถ้าใครมาเห็นเขาต้องว่าพระองค์นี้มันบ้าหรือไง เดินซ่วมซ่าม ๆ แล้วเข้าป่านั้น ออกจากนั้นมาเข้าป่านี้
ความจริงคือจิตมันหมุนของมันตลอด มันไม่ออก ตาก็มัวไปหมด มองอะไรไม่เห็น มีแต่ก้าวเดิน ๆ เวลามันเอาจริงๆ มันรู้เวล่ำเวลาเมื่อไร มันไม่ได้ห่างกัน พันกันอยู่ตลอด โธ้ หนัก ภาวนาอันนี้หนักมากเหมือนกัน แต่มันไม่รู้จักเป็นจักตายนะ ภาวนาขั้นนี้ไม่รู้หนักรู้เบา ไม่รู้เป็นรู้ตาย มีตั้งแต่จะให้กิเลสพังอย่างเดียว ๆ อย่างอื่นไม่มี นั่นล่ะมันลืมตาย เดินจงกรมทั้งกลางคืนนี้โหยมันจะหยุดไม่เป็น ถ้ามานั่งภาวนานี้ก็แบบเดียวกันอีก มันนั่งหมุนอยู่อย่างงั้น ทำอะไรมันก็หมุนของมัน มันไม่ได้สนใจกับร่างกายว่าจะเป็นอะไรต่ออะไร ระหว่างธรรมกับกิเลสซัดกันอยู่บนหัวใจเรานี้ มันหมุนของมันติ้ว ๆ ๆ โห พิลึกจริง ๆ
บางทีมานั่ง ยังไงกันหนาเรานี่น่ะ เราคาดเอาไว้แต่ก่อน ปลอบโยนจิตใจตัวเองก็ถูก เวลาฝึกหัดภาวนาทีแรก มันล้มลุกคลุกคลาน ภาวนาลำบากลำบนเป็นทุกข์ เป็นอะไรต่ออะไรก็ลำบากไปหมด ความขี้เกียจอ่อนแอมันก็มีมาของมัน เพราะทำไปมันลำบาก จิตมันเพ่นพ่านออกไปหาเสือ หาช้าง หาอันตราย หางูจงอาง งูสามเหลี่ยม จิตมันไม่ได้กลัวนะ กลัวจงอาง กลัวสามเหลี่ยมนี่ จิตปุถุชน จงอาง สามเหลี่ยมคืออะไร สิ่งที่เป็นภัยต่อจิต เข้าใจไหม นั่นละมันชอบหมุนชอบพันไปนั้น แล้วดึงมันมาซิ ตอนนี้ก็ต้องบังคับกันแล้วก็ปลอบโยน
โห คือหักห้ามไม่ให้มันออกไป มันก็ต้องทุกข์ยากบ้างเป็นธรรมดา แต่เวลาจิตมีความสงบร่มเย็นไปแล้ว งานนี้จะค่อยเบาไป ๆ แล้วสะดวกละเอียดลออไป ยิ่งเป็นสุขไปเรื่อย ๆ ปลอบจิตนะ ทีนี้เวลาฟัดจิตแบบนี้แล้วขึ้นไปขั้นนั้น มันก็เพลินในขั้นนั้นอีก ทีนี้มันอ่อนไม่ได้ซิที่นี่ พอถึงขั้นนั้นมันก็เพลินขั้นนั้น พอถึงสติปัญญาอัตโนมัตินี้หมุนตลอดเลย โอ้โหมันยังไงคิด มันชั่วขณะนะ มันยังไงจิตเรานี่น่ะ แต่ก่อนเราก็ได้คิดคาดเอาไว้ว่า เวลาล้มลุกคลุกคลานนี้ก็ปลอบตนเอง ต่อไปเมื่อมันได้หลักได้เกณฑ์แล้วมันจะค่อยสงบร่มเย็นไป เบาไป ๆ สุขไป สบายไปเรื่อย ๆ
แต่ครั้นมาดูหลักปัจจุบันที่เป็นอยู่บัดนี้ มันสูงขนาดไหนจิตมันก็รู้แล้วนี่นะ มันก็คอยที่จะพ้นเท่านั้น ทำไมมันยิ่งหมุนติ้ว ๆ มันยังไงกันนี่ว่าเจ้าของนะ คือที่คาดเอาไว้ผิดหมดเลย ว่าไปละเอียดลออเท่าไรยิ่งจะละเอียดลออและยิ่งจะสบายไปๆ มันเดาเอาเฉย ๆ ไม่ได้เข้ากับความจริงได้ เข้าไปหาความจริงแล้วมันเป็นอย่างนี้ มันไม่ได้นอนทั้งวันทั้งคืน กลางวันมันก็ไม่ยอมหลับอีก จะทำยังไงนี่มันจะตายจริง ๆ นี่แหละเรื่องราว
มันหมุนของมันอย่างงั้น แล้วมันจะให้เสียเวลากับใครล่ะ พระไปติดตามมันก็เป็นน้ำไหลบ่า จิตใจมันแย็บ ๆ เป็นภาระอันหนึ่ง มันไม่ได้สนุกทุ่มซิ ถ้าไปแต่คนเดียวนี้เป็นกับตายมันพุ่งเลย เพราะฉะนั้นจึงไปกับใครไม่ได้เลย ไปคนเดียวๆ อยู่คนเดียวตลอด มีแต่หมุนติ้ว ๆ เรื่อยเลย โห จิตเวลามันเพลินกับกิเลส ฟัดกับกิเลส คำว่าถอยนี้ไม่มีเลย สติปัญญาขั้นนี้แล้วไม่มีคำว่าถอยกิเลส มีแต่ขอให้พบ กิเลสตัวไหนออกมาจะขาดสะบั้นไปเลย ไม่ขาดก็พันจนมันขาด มันไม่ตายเราตาย ที่จะให้ถอยไม่มี ถึงขั้นนี้แล้ว สติปัญญาอัตโนมัติ
จากสติปัญญาอัตโนมัตินี้แล้ว ก็เชื่อมเข้าสู่มหาสติมหาปัญญาที่แกล้วกล้าสามารถ อันนั้นซึมไปเลยนะ สติปัญญาอัตโนมัตินี้ถ้าสมมุติเราฟันอะไรนี้ เหมือนเรายำลาบ มันรวดเร็วก็ตาม ก็เห็นความรวดเร็วของมันอยู่ แต่ถึงขั้นมหาสติ มหาปัญญาแล้วมันซึมไปเลยนะ มันไม่มียำ มันซึมไปเลย อะไรรู้ ๆ มันซึมเข้าเลยๆ กับกิเลสประเภทต่าง ๆ นี้มันซึมเข้า กลืนกันเลย ๆ ฆ่ากันเลย ว่างั้นเถอะน่ะ มันไม่ไปสับไปฟันเหมือนขั้นสติปัญญาอัตโนมัติ มันซึมไปเลย เหมือนกับว่ากลืนไปเลยกิเลสนี่ ขาดไปพร้อมๆ ไปเลย
มันประจักษ์ในหัวใจจะไปเชื่อใครในโลกอันนี้ ธรรมพระพุทธเจ้าก็ผ่านมาแล้ว รู้มาแล้ว สอนมาแล้ว สอนพวกเรานี่ แล้วก็เดินตามนี้มันเห็นอย่างนั้นแล้วจะค้านพระพุทธเจ้าที่ตรงไหน มันก็ยอมรับ ๆ นี่พูดถึงเรื่องธรรมะเมื่อมีกำลังแล้วจะทำงานฆ่ากิเลสโดยอัตโนมัติ เช่นเดียวกับกิเลสทำลายสัตว์โดยอัตโนมัติของมัน คือกิเลสเป็นอัตโนมัติทำงานบนหัวใจสัตว์ เป็นอัตโนมัติเหมือนกันหมด เป็นหลักธรรมชาติ แต่ไม่มีใครทราบนะ รายเดียวก็ไม่มี ถ้าไม่ได้เข้าภาคปฏิบัติ ไม่มีแม้รายเดียวทราบว่า กิเลสทำงานบนหัวใจสัตว์โดยอัตโนมัติ ไม่มีใครคิดใครอ่านไตร่ตรองอะไรเลย แต่มันก็เป็นอยู่อย่างงั้น มันก็หมุนหัวมันอยู่อย่างงั้น
คนก็ล้มลุกคลุกคลานเพราะกิเลสสับเอา ๆ ด้วยอัตโนมัติของมัน แต่ไม่ได้คิดไม่รู้ พอมาถึงปัญญานี้แล้ว และผ่านไปแล้วมันย้อนรู้หมดเลย โห กิเลสทำงานบนหัวใจสัตว์เป็นอัตโนมัติ ทีนี้พอธรรมะมีกำลังดีแล้วมันก็เป็นอัตโนมัติแบบเดียวกัน ไม่ผิดกันเลยแม้กระเบียดหนึ่ง ถึงขั้นสติปัญญามีกำลังวังชาแล้วมันเป็นอัตโนมัติเหมือนกัน ถ้ากิเลสไม่พังหมดแล้วอยู่ไม่ได้ เหมือนกับว่าไฟ เชื้อมันมีอยู่ที่ไหนไฟจะตามไปเลย ไหม้ไปเลย เชื้อหยาบมันก็ไหม้อย่างหยาบ เชื้อละเอียดไหม้ละเอียด เชื้อมีอยู่มากน้อยเพียงไร ละเอียดขนาดไหนมันจะตามไหม้เข้าไปหมดเลย นี่ละไฟคือตปธรรม
สติปัญญาเผาไปเรื่อยๆ ๆ จนกระทั่งหมดไม่มีอะไรเหลือเลย ขาดสะบั้นลง จิตใจเปิดโล่งเป็นคนละโลกละสงสารไปเลย ระหว่างวัฏจักรกับวิวัฏจักรนี้มันเหมือนกับว่าคนละฝั่งไปเลย บอกกับตัวเอง ประจักษ์ ๆ แล้วไปถามใครที่ตรงไหน ก็เห็นชัดเจน แต่ก่อนมันผูกมันมัดเรามามากน้อยเพียงไร ละเอียดเข้าไปขนาดไหนก็รู้ จนกระทั่งมันขาดม้วนเสื่อลงไปนี้ทำไมจะไม่รู้ นี่อำนาจของการบำเพ็ญธรรมของผู้ที่บำเพ็ญเพื่อมรรค ผล นิพพานจริงๆ ท่านมีความมุ่งมั่นต่ออรรถต่อธรรม ต่อความพากความเพียร ทุกอย่างมีสติสตังติดแนบไปเลย
เพราะจิตนี้เป็นมหาเหตุ ส่วนมากมหาเหตุนี้สร้างตั้งแต่ฟืนแต่ไฟจากกิเลสซึ่งมันเป็นอัตโนมัติของมัน เราจึงต้องพยายามเอาน้ำดับไฟ น้ำดับไฟด้วยวิธีการต่าง ๆ เช่น เราเริ่มฝึกหัดอบรมนี้ เรียกว่าพยายามเอาน้ำดับไฟ ทุกข์ยากลำบากก็พยายาม ๆ จนกระทั่งมีกำลังแล้วมันก็เป็นอย่างว่า ทีนี้เมื่อถึงขั้นมหาสติมหาปัญญาแล้ว ความเพียรนี้มันเลยเสียทุกอย่าง เราจะพูดว่าเพียร เพียรหาอะไร คนกำลังจะตายอยู่นี้ก็เพราะมันบืนไม่ถอย เข้าใจไหมล่ะ มันเป็นอย่างงั้นนะ ถ้าว่าความเพียรกล้า เอ้อ ยอมรับ เพราะความเพียรกล้านี่คือว่าเพื่อพ้นทุกข์ ความเพียรนี้กล้าถูก
ถ้าจะมาว่าความเพียรในเวลาที่เราดำเนินอยู่นี้ ว่าความเพียร เพียรหาอะไร คนกำลังจะตายอยู่นี่ก็เพราะความเพียรไม่ใช่หรือ มันเป็นอย่างงั้น คือรั้งไว้เท่าไรมันก็ไม่ถอย ยังว่าเพียรอยู่เหรอ จนถึงขนาดรั้งเอาไว้ นี่แหละถ้ามันลงรู้ในใจแล้วมันพูดได้หมด อย่างที่ว่ากิเลสความโลภ ความโกรธ ราคะตัณหา สังขารมันปรุงออกจากสมุทัยผลักดันให้คิดเรื่องนั้นเรื่องนี้ นี่ล้วนแล้วตั้งแต่กิเลสทำงานบนหัวใจสัตว์ ผลก็คือความเดือดความร้อนให้มีความเพลิดความเพลินเป็นสุขบ้างนิด ๆ หน่อย ๆ พอเป็นเหยื่อล่อเท่านั้นนะ เอาจริงเอาจังกับมันไม่ได้แหละ เหยื่อล่อให้มีสุขนิดหน่อย ๆ พอให้เราเพลินหลงตาม มันดูกันขนาดนั้นจะว่าไง เป็นเหยื่อล่อ ๆ
เรื่องของกิเลสทั้งหมดให้เป็นสุขก็สุขเพื่อเป็นเหยื่อล่อ ไม่ได้เป็นสาระแก่นสารอะไรเลย เป็นเหยื่อล่อ ๆ พอให้สัตว์หลง ถ้าไม่มีเหยื่อสัตว์ก็ไม่ติด เหมือนเขาเอาเหยื่อเสียบไว้ปลายเบ็ดล่อปลา ถ้ามีแต่เบ็ดปลาก็ไม่กิน พอปลางับเข้าไปปั๊บนี้ โห เบ็ดเสียบปากเลือดสาดตายเลย ถ้าไม่มีเหยื่อปลาก็ไม่กิน นี่ก็ต้องมีเหยื่อล่อ อะไรจะแหลมคมยิ่งกว่ากิเลส นี่ละมันอ่านชัดเจนแล้วอย่างนี้ เพราะฉะนั้นการเทศนาว่าการให้โลกสงสารฟังจึงไม่มีเรื่องที่ว่าสะทกสะท้านหวั่นไหวกับสิ่งใดในสามแดนโลกธาตุ มันข้ามไปหมด พูดให้มันตรงๆ อย่างนี้
อะไรจะว่าอันนั้นสูงอันนี้ต่ำ ก็เหมือนเครื่องบินบินไปบนภูเขา ภูเขาลูกไหนมันก็ข้ามไปหมด เราเทียบเพียงเครื่องบินกับภูเขาเสียก่อน เรื่องโลกุตรธรรมหรือธรรมธาตุมันเหนือไปหมดตลอดแล้ว นี่เราเทียบเฉย ๆ แล้วจะอะไรมาต่ำมาสูง ให้กล้ากับสิ่งนั้น ให้กลัวกับสิ่งนี้ไม่มี มันเลยเสียทุกอย่างแล้ว อันนี้มีกำลังมากอันเลยนี้ เป็นหลักธรรมชาติเหนือกว่าสิ่งทั้งหลายแล้ว มันก็ไปเต็มเม็ดเต็มหน่วย เพราะฉะนั้นการเทศนาว่าการนี้ยังอ่อนอยู่นะ ยังหย่อน ๆ เอาไว้อยู่ ถ้าให้เต็มเม็ดเต็มหน่วยนี้มันพุ่งทันทีเลย นี่ละหลักธรรมชาติของจิตที่เป็นธรรมล้วน ๆ แล้วเป็นพลังของธรรมทั้งหมด จะเด็ดจะเดี่ยวจะเฉียบจะขาดขนาดไหน มีแต่เรื่องของธรรมชำระความชั่วช้าลามกทั้งหมด ไม่มีความเสียหายแต่ประการใดเลย
ถ้ากิเลสอยู่ในนั้น กิริยาแสดงออกมาอะไรนี้เป็นไฟออกมาพร้อมนะ เช่นโกรธโมโหโทโสให้ใครนี้ฆ่าได้นะ โลกพินาศได้ ถ้าลงพลังของกิเลสมันได้แสดงตัวอย่างนั้นแล้วโลกพินาศได้ แต่พลังของธรรมไม่มีพินาศ เป็นน้ำดับไฟไปหมดเลย มันต่างกันอย่างนี้ ถึงจะดุเดือดขนาดไหน เผ็ดร้อนขนาดไหน ก็มีแต่พลังของธรรมออกเพื่อชำระสิ่งไม่ดีทั้งหลายเท่านั้น ไม่มีอะไรเสียหาย เพราะฉะนั้นอย่างครูบาอาจารย์ท่านแสดง ยกตัวอย่างเช่น หลวงปู่มั่น โหย เปรี้ยง ๆ ๆ ทีนี้เวลาฟังไป ๆ ถ้าท่านไม่ดุ โอ๊ย มันฟังธรรมะไม่ถึงใจ ถ้าเปรี้ยงป้างเอาละที่นี่ แน่ะ มันเคยได้ยินอย่างนั้นมันก็ไปล่ะซิ มันติดใจ
จะเอาอะไรมาให้เป็นกิเลส ก็กิเลสมันสิ้นไปแล้ว หมุนออกมาเท่าไรก็มีแต่เรื่องของธรรมเทจ้าก ๆ ๆ เลย กิเลสไม่มีแม้แต่เม็ดหินเม็ดทราย แล้วจะเอาอะไรมาเป็นพิษ เป็นธรรมล้วน ๆ ถ้ามีกิเลสนิดหนึ่งเป็นไฟทันที เหมือนไม้ขีดไฟก้านเดียวก็ตาม ใส่ปั๊บเข้าไปไหม้ได้ ถ้ามันไม่มีแล้วเราไสฟืนเข้าไปในเตา เตานี้ไม่มีไฟแล้ว ไสเข้าไปมันก็เป็นฟืนเฉย ๆ มันไม่เป็นไฟ ถ้าไฟยังมีอยู่ในนั้นไสเข้าไปไม่ได้นะ เข้าใจไหม เดี๋ยวแสดงเปลวขึ้นมาแล้ว จิตถ้ามันมีอะไรฝังอยู่ในนั้นแม้นิดหนึ่งก็ตาม จะแสดงเรื่องของกิเลสขึ้นมา เรียกว่าเตานี้ไฟยังมี ไม่สิ้น ถ้าเตาที่ไม่มีไฟแล้ว เหมือนอย่างจิตพระอรหันต์ เรียกว่าไฟไม่มีในเตา มีแต่ธาตุแต่ขันธ์เท่านั้น ออกมาเท่าไรมันก็ไม่มีไฟ ทำยังไงมันก็ไม่มี ถ้าว่ามีอยู่จะเรียกว่ามันสิ้นได้ยังไง มันไม่มีนั่นเองจึงเรียกว่าสิ้น ทำยังไงมันก็ไม่มี
เมื่อทำลงไปให้ถึงขั้นนี้แล้วมันก็โล่งไปหมดเลย ไม่ได้มากก็ตาม เราอยากจะให้บรรดาลูกศิษย์ลูกหาทั้งหลายนี้ได้อบรมจิต พอเป็นการยับยั้งตัวในเวลามันวุ่นวายมาก ๆ ให้เอาคำภาวนามาทับมันเข้าไป เอามันดีดมันดิ้นมันอยากคิด เราก็เอาให้หนัก บังคับไว้ สักเดี๋ยวสงบแน่ว เย็นฉ่ำไปเลย มันเห็นนะ ที่ไม่มีอะไรมาดับเลย ปล่อยให้อารมณ์มันเกิดขึ้นมาเอง เผาเองจนกระทั่งเป็นเถ้าเป็นถ่านแล้วมันดับเองนี้ มันก็ฉิบหายหมด ไม่มีอะไรติดอยู่เลย อันนี้เมื่อเวลามันลุกลามขึ้นไปทางนู้น เราห้ามเข้ามาทางด้านธรรมะ เอาธรรมะเข้าห้าม เรียกว่าเอาน้ำดับไฟๆ มันแรงเราก็แรง ให้ทันกัน และต่อไปก็เห็นผล จิตใจสงบแน่ว อ๋อ นั่น
ทีนี้เวลาวุ่นวายในงานการทั้งหลายด้วยความคิดความปรุงแล้ว เอาธรรมน้ำดับไฟ คือเข้าสู่ความสงบระงับจิตนี้ มันจะสงบเข้ามา เรื่องราวทั้งหลายหมดไป เพราะกิเลสอยู่ที่จิต ทีนี้น้ำดับไฟก็คือธรรมก็อยู่ที่จิต มันดับกันอยู่ในนั้น มันก็หมดเรื่องไป ความสุขก็มี เข้าใจไหมล่ะ
พูดไปพูดมาเหนื่อยแล้ว ว่าจะไม่เทศน์อะไร ฟาดไปเสียจนนู่นทุ่ม ๒๕ นาที หมดแล้ว ไม่มีอะไรเทศน์แล้ว หมดโวหารแล้ว เทศน์ทางนู้นก็เทศน์ไปอย่างงั้นแหละวันนี้ มันเหนื่อยเทศน์อบรมคนที่เขาไม่เคยอรรถเคยธรรม ว่าไป เหนื่อย
ทองคำวันนี้ไปเทศน์ที่นู่นได้ ๑๐ บาท ๕๗ สตางค์ ส่วนดอลลาร์ได้ ๔๐๖ ดอลล์ ส่วนเงินบาทได้ ๓๗๗,๔๗๑ บาท ที่ไปเทศน์ที่ดอนตูม (สถานปฏิบัติธรรม วัชรธรรมสถาน)
ที่เราพูดเรื่องภาวนาที่ว่านี้นั้น เราหมายถึงผู้ที่เป็นประเภทเนยยะนะ เราไม่ได้หมายถึงพวกอุคฆฏิตัญญู วิปจิตัญญู ผู้ที่รู้อย่างรวดเร็ว เป็นอีกอย่างหนึ่งนะ ต่างกัน การพูดมันต้องแยกแยะ จะให้เป็นแบบเดียวกันหมดไม่ได้ เหมือนอย่างคนฝึกหัดเขียนหนังสือ คนหนึ่งมันชำนาญพอแล้ว เขียนลายมือไม่เหมือนกัน ความเร็วความช้าก็ไม่เหมือนกัน การอ่านก็ไม่เหมือนกัน คล่องตัวไปหมด ผู้ชำนาญแล้ว เช่น อย่างคำว่าท่านเท่านั้น มันมาหมด ทอ สระอา นอ ไม้เอก มาพร้อมกันเลย พรึบหมด แต่ผู้ที่ฝึกหัดแล้วยัง เป็น ทอ อะไร ทอ ทหาร หรือ ทอ ตำรวจ สระอาหรือแอ ไปอย่างงั้นนะ ไปที่ไหนมันเต็มบ้านเต็มเมือง จะว่าอาก็ไม่เชิง ว่าแอก็ไม่ใช่ มันอะไรแต่มันเต็มบ้านเต็มเมืองอยู่อย่างนั้น
ความช้า เขียนแล้วดูก่อนว่าตัวอะไร ระลึกถึงตัวนี้ ระลึกถึงตัวนั้น เขียนถึงตัวนั้น มิหนำซ้ำยังทั้งเขียนทั้งลบ มันผิด นี่ผู้ฝึกหัดเขียน กว่าจะอ่านเป็นถ้อยเป็นคำได้ โอ๊ยนานแสนนาน ผู้ที่ชำนาญแล้วปั๊บเดียวมันถึงกันหมด จะว่าผู้ชำนาญเขียนไม่ครบ อ่านไม่ครบงั้นหรือ อ่านครบหมดแต่เร็วกับช้ามันต่างกัน พากันจำเอาไว้
อย่างที่เขาพูดที่ว่า มาพูดมาตัดบทเขาเลย เรื่องศีล สมาธิ ปัญญาอะไรไม่จำเป็น เดินปัญญาเลย ฟังไม่ได้เลยเรา แสดงว่าคนนี้ไม่เคยภาวนา นั่นมันบอกในตัว ถ้าภาวนาต้องรู้จักสั้นจักยาว รู้จักหยาบ ละเอียด อย่างงั้นมันถึงถูก นักภาวนาพูดอะไรท่านเข้าใจหมดเลย
พากันฟังบ้างนะ เอาไปปฏิบัติบ้าง อย่าให้แต่เทศน์ก้อก ๆ ๆ ผู้สนใจปฏิบัติตามไม่มีนี้ไม่เกิดประโยชน์อะไร นี่สอนด้วยความเมตตานะที่สอนนี่ ให้มีที่พักจิตพักใจ พักผ่อนนอนหลับได้บ้าง ด้วยการภาวนาให้ใจสงบ นอกจากสงบแล้วยังแสดงความแปลกประหลาดอัศจรรย์ขึ้นที่ใจนี่ แหล่งแห่งโลกธาตุนี้จะขึ้นที่นี่เลยนะ เมื่อเต็มตัวแล้ว ใจได้รับการอบรมเต็มตัวเต็มนิสัยวาสนาของเจ้าของแล้ว จะแสดงขึ้นที่นี่ทั้งหมดไม่ต้องไปถามใคร ใจนี้เป็นมหาเหตุรับได้ทั้งดีทั้งชั่ว เวลาทำความชั่วก็มีแต่ใจเป็นผู้รับเคราะห์รับกรรม หนักเบาขนาดไหน ตกนรกอเวจีตั้งกัปตั้งกัลป์มันก็ตกได้สบาย ๆ พลิกตัวออกมาทางความดี ทีนี้ไปกระทั่งถึงนิพพานปึ๋งเลย ไม่ต้องกลับมาเกิดมาตายอีก เป็นบรมสุขล้นพ้น ก็ใจดวงนี้เอง เวลาครองขันธ์อยู่นี้ก็ใจดวงนี้ แสดงฤทธาศักดานุภาพครอบโลกธาตุนี่ ของง่ายเมื่อไร เพราะฉะนั้นท่านจึงสอนลงที่นี่
จุดสำคัญอยู่ที่ใจนะ ร่างกายนี้มันก็เหมือนท่อนไม้ท่อนฟืน จิตเข้าไปอาศัยอยู่นั้นก็เป็นสัตว์เป็นบุคคลขึ้นมา รู้นั้นรู้นี้ก็คือความรู้ของใจนี้มันแตกกระจายออกไปตามประสาทส่วนต่าง ๆ อะไรก็รู้ ๆ ตานี้เพื่อดู หูเพื่อฟัง เป็นเครื่องมือสำหรับนั้นนี้เพียงเท่านั้น ออกมาจากความรู้ของใจ กระแสนี่ส่งออกมาให้รู้ พอความรู้นี้ถอนออกไปสิ่งเหล่านี้เป็นท่อนไม้ท่อนฟืนไปหมดไม่เกิดประโยชน์
เราอยากให้พี่น้องทั้งหลายได้สนใจกับจิตตภาวนา ศาสนาพุทธเราเวลานี้แทบจะหมดสาระอันสำคัญ เพราะไม่มีใครสนใจปฏิบัติในจุดที่เป็นสาระสำคัญ คุณมหาคุณอยู่ที่ใจ อยู่ที่จิตตภาวนา มีแต่เรียนกับปฏิบัตินอก ๆ นานา ส่วนหลักใหญ่ที่จะควรได้ไม่ได้ก็เพราะไม่ทำ พระพุทธเจ้า พระสาวกท่านทำ ท่านจึงได้ของอัศจรรย์ขึ้นมา พวกเราได้มาแต่ความขี้เกียจขี้คร้านอะไรก็ไม่รู้ ก็เคยพูดแล้วมรรคผลนิพพานเหมือนน้ำในบึงในบ่อยังบอกแล้ว ไม่ได้บกบางไปไหนเลย เป็นแต่เพียงว่าถูกจอกถูกแหนปกคลุมน้ำไว้จนมองหาน้ำไม่เห็น ทีนี้ก็พากันเหยียบซิว่า น้ำในบึง ๆ ส่วนที่มีก็คือกิเลส กิเลสก็คือความโลภ ความโกรธ ความหลง มันทับหัวใจเราไว้คือน้ำธรรม ทีนี้ก็มีแต่กิเลสออกลวดลาย ไปที่ไหนก็มีแต่ลวดลายของกิเลส เป็นฟืนเป็นไฟเผาไหม้โลกตลอดมา ธรรมมีอยู่ในใจไม่ผลิตขึ้นมาดับกิเลสได้บ้างเลย มันเป็นยังไงพวกเรา
ท่านอาจารย์หลุย พวกเราคงไม่เคยพบเห็นท่านล่ะมั้ง ที่ท่านมาอยู่หัวหินเนี่ย ท่านอาจารย์หลุยเป็นผู้มาทางนี้ก่อน มาเที่ยวกรรมฐานอยู่ทางภาคนี้ก็ไปทางหัวหิน มาอยู่นั้นนานจนกระทั่งถึงมรณภาพนะ องค์หนึ่งที่ท่านปฏิบัติดีปฏิบัติชอบจริง ๆ มักน้อยที่สุดเลย เอาอะไรให้ไม่สนใจเลย ผ้าก็นุ่งห่มแต่ผ้าเก่า ๆ ผ้าใหม่ๆ ไม่เอา นี่นิสัยท่านมักน้อยมาก บรรดาลูกศิษย์ของพ่อแม่ครูอาจารย์มั่นนี้มีองค์นี้ ท่านอาจารย์หลุยเป็นที่หนึ่งในความมักน้อย อะไร ๆ ไม่เอาทั้งนั้นเลย
ท่านไปอย่างสบาย อยากไปไหนก็ไปของท่านเลยนะ ไม่เกี่ยวข้องกับหมู่กับเพื่อนอะไร ท่านไปของท่านอย่างสบาย ๆ แต่เวลาหมู่เพื่อนไปเข้าหาท่านก็ไม่ว่าอะไร ไม่เหมือนเรา อันนี้จะว่าขัดกันหรือไปตามกันอะไรก็แล้วแต่เถอะ อย่างเรานี้ไม่ได้ ว่างั้นเลย ใครไปด้วยไม่ได้เลย สลัดทีเดียวเลย ทางท่านก็ไม่ว่า แต่ท่านก็หลบของท่านไปของท่านสบาย ไอ้เรานี่สลัดทันทีเลย ท่านอาจารย์หลุยสนิทกันมากนะกับเรา สนิทมากมานาน ดูเหมือนคุ้นกันเริ่มเจอกันทีแรกเป็นพรรษา ๘ เราจำได้นะ เราเป็นเปรียญแล้วแหละตอนนั้น เจอกันที่หนองคาย ท่านก็มาหนองคาย เราก็ไปหนองคายจะติดตามหลวงปู่มั่น ตั้งแต่นั้นมาจนกระทั่งท่านมรณภาพ ติดพันกันมาเรื่อย เท่านั้นแหละ ต่อไปนี้จะให้พร
อ่านและฟังพระธรรมเทศนาของหลวงตาวันต่อวัน ได้ที่
www.Luangta.com or www.Luangta.or.th
|