เทศน์อบรมฆราวาส ณ กุฏิหลวงตา สวนแสงธรรม
เมื่อวันที่ ๒๑ ธันวาคม พุทธศักราช ๒๕๔๕ [ค่ำ]
มรรค ผล นิพพานอยู่กับหัวใจเรา
ทางนู้นก็มีพระอยู่ไม่น้อยเหมือนกัน ทราบว่าอยู่ทางสหรัฐมีพระมากอยู่เหมือนกัน แต่เราไม่เคยไปสหรัฐ ตั้งแต่ไปอังกฤษหนเดียวยังเข็ดจนกระทั่งป่านนี้ยังไม่หาย เข็ดไปอังกฤษ โอ๊ยเจ็บเอว เหมือนเอวจะหัก ตอนนั้นยังมีโรคเจ็บเอวอยู่ เวลาไปอยู่อังกฤษก็ไม่มีอะไร อากาศทางอังกฤษก็ดี ช่วยไม่ให้เจ็บหลังเจ็บเอว เวลานั่งเครื่องบินมาตั้ง ๑๔ ชั่วโมง ไม่ใช่เล่น เราตั้งนาฬิกาดูเวลา ขึ้นนั่งเครื่องบินปั๊บเราก็ตั้ง เวลาเครื่องบินออกก็ดูจนกระทั่งมาถึงเมืองไทยเรานี้ ๑๔ ชั่วโมง โห ปวดระบมไปหมดเลย นั่งชั้นที่ ๑ ขาไปไม่มีคน มีสองสามคนชั้นที่ ๑ ก็มีแต่พวกเรา พวกพระ พระก็ดูเหมือน ๓ องค์ ท่านปัญญา ท่านเชอรี่ เรา มีเท่านั้น แล้วก็มีประชาชนสองสามคน เขาก็อยู่มุมนู้น
ทีนี้เราก็สนุกเอกเขนกแล้ว ก็มันไม่มีคน ห้องใหญ่ ๆ บนเครื่องบิน มันก็ไม่เห็นทุกข์ล่ะซิ อยากนั่งก็นั่ง อยากนอนก็นอนอะไรก็ได้ เปลี่ยนไปเปลี่ยนมา ลุกเดินไปไหนสะดวกสบาย อยากนั่ง อยากนอน สะดวกสบาย มันก็ไม่เห็นทุกข์ ยังไม่เจ็บเอว ทีนี้เวลานานเท่ากัน การเปลี่ยนอิริยาบถขาไปสะดวกสบายทุกอย่าง ตอนขากลับมาซิ ชั้น ๑ แน่นหมดเลย ไม่มีที่ว่างเลยแม้แต่ที่เดียว นั่งที่ไหนก็จ่ออยู่นั่น เคลื่อนไหวไปมาไม่ได้ นี่แหละที่เป็นทุกข์มากนะ เราก็จำไม่ได้ว่ามันปวดปัสสาวะหรือไม่ปวดก็ไม่ทราบ คือมันระบมไปตามกัน เลยไม่ปวดอย่างงั้นก็อาจเป็นได้ เจ็บเอวมาก จนมาถึงดอนเมือง ดูนาฬิกามันตั้ง ๑๔ ชั่วโมง เข็ดตั้งแต่นั้นมา
เขามานิมนต์ทุกปีนะ ให้ไปอังกฤษ เราไม่ไป บอกตรง ๆ เลย อย่ามานิมนต์เลยเข็ดยังไม่หาย ในระยะนั้นเขามาทุกปี ทางอังกฤษมา บางทีเขาก็มาหัดภาวนาที่วัดเรานี่เป็นเดือนก็มีนะ ฝ่ายผู้หญิง มีสองคนสามคน แต่ก่อนในครัวก็ไม่มีคน ก็มีแต่เขาอยู่สบาย กุฏิคู่ทางเข้าไปทางขวามือเขาอยู่หลังนั้น สองสามคนเขาก็พอแล้ว สบาย เขามาบ่อย ๆ นะ ผู้ชายคนหนึ่ง เวลาเราไปอังกฤษมาแล้วเขาก็นิมนต์ให้ไปอังกฤษ เราก็บอกตรง ๆ เราไม่ไปนะเราเข็ด เราบอกจริง ๆ เลย เจ็บเอวเหมือนเอวจะหัก ว่างั้น แล้วอย่านิมนต์อีกนะต่อไป มานิมนต์ก็ไม่ไปจริง ๆ ด้วย เขาก็มาของเขา เมื่อเราไม่ไปเขาก็ไม่นิมนต์ แต่เขาก็มา
หลังจากนั้นมาก็ห่างไป ๆ เราไม่ได้ถามท่านปัญญาดู อาจจะตายแล้วหรือไงไม่รู้ เขาก็เริ่มแก่เหมือนเราแก่ ระยะนี้ชาวอังกฤษก็คงดูเหมือนจะค่อยหมดไป ๆ ไม่ค่อยเห็นมานะ เดี๋ยวนี้ไม่มา ไอ้เราก็ไม่ไป เขานิมนต์ไปไหนก็เหมือนกัน ไม่ว่าสหรัฐ ไม่ว่าออสเตรเลีย ไม่ไปทั้งนั้น เราบอกอย่างงี้เลย เข็ด อย่างที่พวกเมืองไทยเรานี้ที่ไปอยู่สหรัฐ เขามากันหลายคน ดูเหมือนสี่ห้าคนมาจากสหรัฐเลย ตรงไปวัดป่าบ้านตาด มาเขาก็พูดอย่างอาจหาญเลยนะ มานี้ไม่ได้มาธุระอะไร จะมาขอนิมนต์ท่านไปเทศน์แนะนำสั่งสอนพวกคนไทยเราซึ่งมีอยู่ในสหรัฐจำนวนมาก ว่างั้น แล้วท่านเหล่านี้เป็นผู้สนใจกับธรรมะหลวงตามากทีเดียว เลยพร้อมหน้ากันมา แล้วรอทางนู้นจะนิมนต์เราให้เราไป
นี่เขาพูดอย่างอาจหาญ คือพูดไม่สะทกสะท้าน เราฟังมันถึงใจ นี่เห็นไหมล่ะ พวกพระ พวกเณร หรือผู้ปฏิบัติทั้งหลายชาวพุทธเรา ปฏิบัติเหลาะแหละ ๆ กับพุทธศาสนา ไม่เป็นชิ้นเป็นอัน พอเป็นขนบประเพณีไปได้อย่างหนึ่ง ที่หนักกว่านั้นก็คือไปทำความเสียหาย ระเกะระกะกีดขวางธรรมวินัย ทำลายศาสนาให้เขาเห็นต่อหน้าต่อตา ทั้งที่เป็นพระเป็นเณร มันหนักเข้าไป ๆ จนกระทั่งเขาบอกเขาหมดหวังเรื่องพุทธศาสนา ไม่มีหวังแล้วจนทอดอาลัยไป เขาพูดอย่างนั้นนะ หมดหวังเรื่องพุทธศาสนา ไม่มีมรรคมีผล มองดูใคร ๆ ก็พอกันหมด พอกันกับทั้งพระทั้งเณรทั้งอะไร ก็คือระเกะระกะแบบเดียวกัน ไม่มีหลักธรรมหลักวินัยเป็นความประพฤติพอให้สวยงามตาและชุ่มชื่นภายในจิตใจบ้างเลย
ไปที่ไหนมันก็เห็นอย่างนั้น มันก็เบื่อเอือมระอาซิ พูดอย่างตรงไปตรงมา มองเห็นพระนี่เขาไม่อยากดูพระ พระแท้เขาก็เคยเห็น แล้วพระที่ตั้งใจปฏิบัติดีเขาก็เห็น พระระเกะระกะเขาก็เห็น ความรู้สึกมันจะไม่เปลี่ยนไปได้ยังไง เพราะการประพฤติกิริยาอาการของพระไม่เหมือนกัน เขาบอกเขาหมดหวัง ต้นเหตุที่มาที่นี่มีเพื่อนมาเล่าให้ฟัง ศาสนาผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบมีอยู่ มรรค ผล นิพพานยังอยู่ เขาว่าได้เห็นในหนังสือเรา เราก็ลืม ๆ แล้ว อย่างนั้นความจำ คือเป็นเครื่องยืนยัน คนนี้เขาก็ไปเห็น ในธรรมะของเราที่เทศน์อยู่สหรัฐนะ เขาพูดตรง ๆ อย่างนี้
ฟังไป ๆ เอ๊ะชอบกล ๆ เข้าเรื่อย ฟังเข้าไป ๆ ลงใจได้เลยทีนี้ โอ๊ยทีนี้มีหวัง เต็มหัวใจแล้วคราวนี้มีหวัง เต็มตื้นขึ้นมาหมดแล้วที่ถูกลบไปหมด คราวนี้ขึ้นมาสด ๆ ร้อน ๆ เอาละไปล่ะเรา ตั้งใจนิมนต์ให้เราไปเทศน์ อยู่วัดป่าบ้านตาดเขาก็มาทอดผ้าป่าด้วย ขึงขังตึงตังจะมาเอาไปจริงๆ เราก็บอกโอ๊ยไม่ไปแล้ว เขาก็วิงวอนจะพยายามเอาไปให้ได้ จะเอาให้ได้อยู่งั้น สุดท้ายเราไม่มีทางไป ก็คว้าเอาหีบศพมาล่ะซิ ถ้าไปต้องเตรียมหีบศพไปพร้อม ไปตอนนี้ยังไม่ตาย ขากลับมาจะตาย เอาใส่ศพมา ถ้าเสียดายเมืองไทยเรา ถ้าไม่เสียดายโยนลงที่ไหนก็โยนลง มันมีอย่างนั้น อย่างอื่นไม่มี ให้ไปอีกตายเลย
นี่ละที่มันสะดุดเขา ที่รุนแรงจะเอาไปให้ได้ ๆ บอกตรง ๆ บอกว่า ไปไม่ได้แล้วและไม่คิดจะไปอีกด้วย เราบอกงั้นนะ ตั้งแต่เพียงไปอังกฤษนี้เข็ดตั้งแต่นั้นยังไม่หาย สหรัฐยังจะมาย้ำเข้าอีก ไม่เอาแหละยังไม่อยากตาย ตกลงเขาก็หมดหวัง เวลาจะไปเอาอีก เขาเรียกบุ๊คตั๋วหรืออะไรมาถวายอีก กี่ร้อยใบมันก็ไม่สำเร็จ มันอยู่ข้อตกลงกันต่างหาก ไม่ตกลงมีเท่าไรก็ไม่สำเร็จ อย่าทำนะ ทำก็ไม่สำเร็จจริง ๆ ถ้าลงได้พูดแล้ว เขาก็หมดหวังเลยกลับไป นี่มันแสดงให้เห็นตอนที่มาค้านกันกับความหมดหวัง จะเป็นอินเตอร์เน็ตหรือเป็นอะไรเราก็ไม่ทราบนะ ทีแรกก็บอกชอบกล ๆ หนักเข้า ๆ ลงถึงจุดเลย มีหวังเต็มหัวใจแล้วหายสงสัย ว่างั้นเลย จึงว่าตัดสินใจมาทันที จะมาเอาเราไปเทศน์
เรื่องมันเป็นอย่างนี้ เราพูดนี้เป็นคติตัวอย่างแก่ชาติไทยซึ่งเป็นชาวพุทธของเราเกือบว่าทั้งประเทศนะ ไปที่ไหนเพื่อนฝูงดูที่ไหนมันงามตาด้วยกันไปหมดนะ นี่ละอำนาจของจิตที่มุ่งต่อธรรม มันทำให้เงียบไปหมดทุกอย่าง เพราะฉะนั้นคำว่าอดอยากขาดแคลนท่านจึงไม่ถือเป็นอุปสรรค ผู้ปฏิบัติธรรมไม่ถือนะ อดอยากขาดแคลนขนาดไหนท่านไม่สนใจ ขอให้ได้ที่พักที่อยู่ที่สะดวกสบาย และมีผู้แนะนำสั่งสอนเป็นแม่เหล็กไว้เท่านั้น ท่านเป็นที่พอใจในการบำเพ็ญ การอยู่ การกิน การหลับ การนอน อยู่ที่ไหนท่านอยู่ได้หมด ท่านไม่ถือเป็นอารมณ์เลย ยิ่งกว่าการบำเพ็ญเพียรของท่าน เมื่อเป็นเช่นนั้นผลจะไม่ได้ยังไง ก็หาอยู่ทั้งวันทั้งคืน
ความชั่วหาทั้งวันมันก็ได้ทั้งวัน ความดีหาทั้งวันก็ได้ทั้งวันเหมือนกัน ไม่มีอะไรยิ่งหย่อนกว่ากันเรื่องหาบาป หาบุญ หามรรค ผล นิพพาน หานรกอเวจี คนคนเดียวนั้นแหละหาได้ทั้งสองอย่าง ถ้าจิตใจมันหนักไปทางฝ่ายต่ำทราม มันก็ลากเข็นกาย วาจาไป เพราะใจเป็นตัวสำคัญ มันลากมันหมุนไปให้ดูดดื่มชอบใจ ทำสิ่งนั้น ๆ ซึ่งเป็นของชั่ว มันก็ถือว่าเป็นของดีเพราะความชอบใจ ทำลงไป ๆ วันนี้ก็ทำ วันหน้าก็ทำ แล้ววันทั้งวันมันก็ทำ ไม่ทำวันหนึ่งมันก็ทำวันหนึ่ง ส่วนอรรถส่วนธรรมไม่สนใจ มันก็ตักตวงเอาตั้งแต่ความชั่วช้าลามกเต็มหัวใจ แล้วเจ้าของเป็นผู้ทำเองผลจะให้ใครเป็นคนรับแทนล่ะ
ใครเป็นคนทำก็คนนั้นก็เป็นเจ้าของของกรรมอยู่แล้วตั้งแต่ขณะที่ทำลงไป ไม่มีที่แจ้งที่ลับ ธรรมไม่ลำเอียง กิเลสมันจะหลอกลวงไปไหนธรรมไม่สนใจ เพราะกิเลสเป็นตัวหลอกลวง มันจะลบไปหมด เช่นอย่างพระพุทธเจ้ามาตรัสรู้องค์ไหนก็มาตรัสรู้มรรค ผล นิพพาน ไม่เห็นตรัสรู้กิเลสนี่วะ พอที่จะไปตื่นเป็นบ้ากับกิเลส ท่านตรัสรู้แต่มรรค ผล นิพพาน เปิดก็เปิดกิเลสนั้นเองออก กิเลสเป็นขวากเป็นหนามปิดกั้นทางเดินของธรรมไม่ให้สะดวก ท่านก็ดำเนินตามนั้น เปิดอันนี้ออก มีแต่อุปสรรคของกิเลสทั้งนั้น ของธรรมท่านไม่มี มีทุกข์มียากลำบากก็คือฟัดกับกิเลสซึ่งเป็นข้าศึกตลอดเวลา
เมื่อกิเลสหนาตรงไหนมันก็หนักตรงนั้น ทุกข์ก็ยอมรับว่าทุกข์ เวลาสู้กันไม่ถอยกิเลสก็ค่อยเบาลง ๆ อรรถธรรมก็ค่อยปรากฏขึ้น ความสงบเย็นใจค่อยปรากฏขึ้น นี่เป็นผลแล้วจากการฝึกทรมานตัวเองด้วยความทุกข์ความยากความลำบากนั้นน่ะ ความทุกข์อันนั้นกลายมาเป็นผลให้เกิดความสุขขึ้นมา หนักเข้าไปก็ได้ล่ะซิ ท่านบำเพ็ญของท่านอยู่อย่างงั้น มรรค ผล นิพพานเคลื่อนที่เมื่อไร อกาลิโกท่านบอกไว้แล้ว เสมอต้นเสมอปลายตลอดเลย ไม่มีคำว่าเรียวว่าแหลมดังกิเลสมันหลอกโลกตาบอดอยู่ทุกวันนี้ เราพูดเราสลดสังเวชนะ ก็มันจ้าอยู่ในหัวใจจะให้ว่าไง พูดให้มันจัง ๆ อย่างนี้มันจวนจะตายแล้วนี่นะ
ท่านทั้งหลายว่าศาสนาหลอกลวงโลกหรือ กิเลสหลอกลวงสัตว์โลกให้จมอยู่ในวัฏสงสารกี่กัปกี่กัลป์มาแล้ว ทำไมไม่พากันตื่นเนื้อตื่นตัวบ้าง แล้วดีดดิ้นจิตใจหาอรรถหาธรรมเพื่อฉุดลากเจ้าของให้พ้นจากทุกข์ อย่างน้อยเบาบางเป็นลำดับลำดา มากกว่านั้นพ้นได้ๆ นี่ผลแห่งการทำความดีเป็นผลดีมาอย่างนี้ ไม่เคยครึเคยล้าสมัยแต่ไหนแต่ไรมา ดีชั่วไม่เคย ศาสนาจะมีมาสอนบ้างก็ตามไม่สอนก็ตาม ผู้ทำดีตามนิสัยของตนมันก็ดีของมันอยู่อย่างงั้น ผู้ทำชั่วก็เป็นชั่วอยู่อย่างงั้น จะให้บาปบุญหรือธรรมสูญจากโลกไปเลยไม่มี ธรรมที่เปิดเผยก็คือมีผู้มาตรัสรู้และเปิดขึ้นมา นี่เรียกว่าธรรมที่เปิดเผย หลักธรรมในหลักธรรมชาติมีอยู่ทั่วไป ตามแต่จริตนิสัยของผู้มีธรรมแล้วจะคิดจะสอนตัวเอง แต่มันเป็นเรื่องเงียบ ๆ ไม่เปิดเผยเหมือนศาสนามาประกาศจากพระพุทธเจ้าแต่ละพระองค์ ๆ
เรื่องอรรถ เรื่องธรรม เรื่องบุญ เรื่องบาป ศาสนามีไม่มีก็ตาม เรื่องเหล่านี้มีมาดั้งเดิม ไม่เคยคลาดเคลื่อนไปไหน เป็นแต่เพียงว่ามีผู้ชี้แนะแนวทางหรือไม่มี ถ้าไม่มีกิเลสก็ลากไปเต็มเม็ดเต็มหน่วย สร้างแต่บาปแต่กรรมแล้วก็ปฏิเสธบาป บุญ นรก สวรรค์ไปเรื่อย สร้างตั้งแต่กรรมไปเรื่อย ทีนี้การสร้างอยู่ตลอดเวลาผลก็มาตลอดเวลา แล้วสร้างนั้นเป็นสร้างกรรมดีหรือกรรมชั่ว ถ้าสร้างกรรมชั่วก็เป็นกรรมชั่วขึ้นมา ปฏิเสธวันยังค่ำมันก็เป็นกรรมชั่วอยู่วันยังค่ำ สำหรับผู้ที่สร้างอยู่ด้วยการปฏิเสธของตัวเอง นี่ละสัตว์โลกใครอยากจะไปตกนรก อย่างคนติดคุกติดตะราง ใครอยากไปติดคุกติดตะรางก็เชื่อตัวเองนั่นเองแหละว่าเขาจะจับไม่ได้ เห็นเขาเป็นหมาไปหมด เป็นคนเป็นเทวดาแต่เจ้าของคนเดียว อยากฉก อยากลัก อยากปล้น อยากจี้ ก็ว่าตัวมีกำลังวังชาเหนือเขาล่ะซิ ถ้าว่าปล้นก็ว่าตัวมีกำลังวังชาเหนือเขา
ความสำคัญของใจต่างหากนะ มันไม่ใช่ความจริง เป็นความสำคัญหลอกเจ้าของ พอผ่านไปได้ก็ผ่านไปเป็นครั้งเป็นคราว แล้วมันจะไปถึงไหน เรื่องนอกผ่านไปได้แต่ภายในที่ทำลงไปที่เป็นความชั่วช้าลามกมันผ่านไม่ได้ สมมุติว่าปล้นเขาได้มาเต็มเม็ดเต็มหน่วยก็ตาม เจ้าของบ้านเขาไม่มีทางต่อสู้กอบโกยเอาหมดก็ได้ แต่เรื่องกรรมนี่ก็เต็มหัวใจเหมือนกัน ได้ของเขาแล้วเราจะไม่มีกรรมอะไรได้เหรอ ก็เราสร้างกรรมเต็มหัวอกเราอยู่แล้ว เขาจะสู้ได้หรือไม่ได้ก็ตาม เจ้าของทรัพย์เขา ไปฉกไปลักเขา เขาเจอไม่เจอ เขาเห็นไม่เห็นก็ตาม มันก็เป็นความชั่ว ๆ ตลอด ไม่มีที่ลับที่แจ้ง นี่ธรรมเป็นอย่างงั้น ท่านเอียงที่ไหนเมื่อไร แต่กิเลสมันเอียง ถ้าไปในที่แจ้งเขาเห็นหลบหลีกไปเขาจะไม่เห็น นี่ทางออกของกิเลส
แล้วเรื่องกรรมมันออกไม่ได้จริงๆ ทำจมอยู่นั้นน่ะ ทำลงไปที่ไหนที่แจ้งที่ลับเป็นบาปเป็นกรรมทั้งนั้น ไม่ได้มีที่แจ้งที่ลับ ให้พากันเข้าใจเสียนะ กิเลสมันไม่มีความจริง บอกแล้ว ตั้งแต่ปู่ ย่า ตา ยาย โคตรแซ่ของมันมาตั้งกัปตั้งกัลป์ คือโคตรและสกุลแห่งความต้มตุ๋นสัตว์โลกให้จมอยู่วัฏฏะทั้งนั้น ไม่มีชิ้นหนึ่งเลยของกิเลสที่จะสอนสัตว์โลกให้ไปทางที่ดีเหมือนธรรม ธรรมนี้มีแต่เรื่องที่สอนไปทางที่ดี ท่านถึงเรียกว่ามันเป็นข้าศึกกัน เมื่อธรรมมาแล้วกิเลสค่อยสงบไป เมื่อมีธรรมเข้ามาแก้กัน ปราบปรามกันกิเลสก็สงบไป ถ้าธรรมอ่อนกิเลสก็ขึ้น มันอยู่ในหัวใจดวงเดียวกัน
เพราะฉะนั้นธรรมะจึงมีเป็นกาลเป็นเวลา ไม่มีไม่ได้ สัตว์โลกไม่มีความหมายเลย จมอยู่ในคุกในตะราง เหมือนเขาตัดสินตลอดชีวิตของนักโทษทั้งหลาย อันนี้จมลงด้วยอำนาจแห่งบาปแห่งกรรมของตน พอฟื้นขึ้นมาก็สร้างบาปอีกแล้ว เพราะไม่มีผู้ฉุดลากให้รู้บาปรู้กรรมล่ะซิ มันก็สร้างอีก เอาอีก จมอีก หาวันฟื้นฟูขึ้นมาไม่ได้ละ ถ้าเชื่อกิเลสจะเป็นอย่างนี้ด้วยกันทุกคน ให้พากันเชื่อให้พากันจำนะ อำนาจของกิเลสเป็นของเล่นเมื่อไร มันแหลมคมมากนะกิเลส จึงบอกได้คำเดียวว่าแหลมคมมากไม่มีอะไรเกินกิเลส นอกจากธรรมเท่านั้นเหนือกิเลส มีมากมีน้อยเหนือเป็นลำดับลำดา ถ้านอกจากธรรมแล้วไม่มีอะไรเหนือกิเลส กิเลสเอาเป็นเหยื่ออันโอชะของมัน เป็นอาหารอันโอชะ
เราจึงสลดสังเวช พอดีเกิดขึ้นมาพบพระพุทธศาสนาเป็นบุญเป็นกุศลของเรา อย่าพากันปล่อยให้กิเลสเอาไปกินหมดนะ ทั้ง ๆ ที่ธรรมมีอยู่ เครื่องฉุดลากมีอยู่ ไม่ยอมฟังเสียงวิ่งตามกิเลสก็จมไปเลย ๆ นั่นละเป็นอย่างงั้น ถ้าใครมีความคิดความอ่านแล้วอุตส่าห์พยายามตามอรรถตามธรรม คือทางของพระพุทธเจ้าที่ทรงสอนมาแล้ว ก็จะค่อยพ้นภัยไปเป็นลำดับ ธรรมพระพุทธเจ้านี้พูดได้ยันเลยร้อยทั้งร้อยไม่มีหลอกลวงโลก แต่กิเลสหลอกตลอดเวลา แต่สัตว์โลกก็ยอมตามมันตลอดเวลาถึงได้พากันจมนะ เราเป็นมนุษย์ เขาเป็นสัตว์มันดีไหมล่ะ เอามาเทียบกันซิ จากนั้นเขาเป็นเปรต เป็นผี เป็นสัตว์นรกประเภทต่าง ๆ ทั้ง ๆ ที่เราเป็นมนุษย์ มันต่างกันไหมล่ะ จิตดวงนี้ละมันพาให้เป็น
อำนาจแห่งกรรมมันตกมันแต่งให้เป็นไปตามอำนาจของมันนั่นแหละ ถ้าทำดีมันก็ไปทางดี ทำชั่วไปทางชั่ว สรุปแล้วก็คือเจ้าของตกแต่งเจ้าของเอง อยากชั่วก็ทำเข้าไปซิทำชั่ว เก่งขนาดไหน ถ้าเก่งจริงแล้วพระพุทธเจ้าก็ไม่มีมาสอนโลก ปล่อยให้กิเลสสอนโลกไปหมด ถ้าเก่งจริง นี่มันไม่เก่งจริงล่ะซิ ตกนรกหมกไหม้เท่าไร ๆ มันก็ตกมาตั้งกัปตั้งกัลป์ ทั้งที่ว่านรกไม่มี สัตว์โลกจมอยู่ในนรกน้อยเมื่อไร เป็นเปรต เป็นผี เป็นสัตว์นรกทุกประเภทเต็มท้องฟ้ามหาสมุทร มันน้อยเมื่อไร มีญาณหยั่งทราบดูซิ มันดูไม่ได้นะ ไปที่ไหนไปไม่ได้ มันจะโดนพวกเหล่านี้ทั้งนั้น แต่มันก็เป็นเหมือนอากาศ คือเราไปที่ไหนอากาศมันก็ว่างของมันอย่างงั้น เราก็ไปได้สบาย ๆ แล้วก็สูดลมจากอากาศนั้นแหละเข้าจมูกเรา
อันนี้สัตว์โลกมันน้อยเมื่อไร เป็นทุกแบบทุกฉบับตามอำนาจแห่งกรรมของสัตว์ ใครจะไปรู้ยิ่งกว่าพระพุทธเจ้า โลกวิทู รู้แจ้งทั้งโลกนอกโลกใน โลกนอกก็อย่างที่ว่านี่รอบเห็นหมดเลย โลกในภายในนี้ก็โล่งหมด กิเลสไม่มีชิ้นเหลือเลย ขาดสะบั้นไปหมด นี่ว่าโลกในตลอดทั่วถึง โลกนอกก็เห็นไปหมดนะ โลกวิทู หรือ อาโลโก อุทปาทิ สว่างจ้าอยู่ทั้งวันทั้งคืน ไม่มีกาลสถานที่เวล่ำเวลา จิตของพระพุทธเจ้าสว่างจ้าอยู่งั้นตลอดมา นั่นละท่านเห็นด้วยความสว่างจ้า ท่านไม่ได้เห็นด้วยความตาบอดเหมือนกิเลสพาเราดูนะ กิเลสพาเราดูพาเราเห็น หลับตาเสียก่อน กิเลสลากไปเลยถลอกปอกเปิก ไม่มีวันฟื้นและไม่มีวันเข็ดหลาบนะ กิเลสกล่อมสัตว์โลก นี่ถึงน่าสลดสังเวชนะ แหม ลึกซึ้งมากนะ กิเลสลึกซึ้งมากที่สุด
ถ้าไม่มีธรรมเลยก็มีแต่กิเลสเป็นเจ้าอำนาจครองโลก ไม่มีใครมาฉุดมาลากออกจากอำนาจของมันไปได้เลย จมอย่างงี้ตลอดตั้งกัปตั้งกัลป์ เวลาไหนก็อยู่อย่างงั้นตลอด แต่นี้มีธรรมดึงออก ลากออกไป กิเลสลากลง ธรรมลากขึ้น ทั้งสองนี้เป็นข้าศึกกัน ถ้าว่าข้าศึก แต่ก็เหมือนกับสิ่งสกปรกกับน้ำที่สะอาดมันชะล้างกันนั่นแหละ ไม่มีอะไรละ จิตใจเวลามันสกปรก มันก็สกปรกมากจริง ๆ ไม่เชื่ออะไรทั้งนั้น เชื่อแต่ความอยาก ความทะเยอทะยาน ความดีดความดิ้นของเจ้าของโดยถ่ายเดียว โดยไม่ได้คำนึงว่าผิด ถูก ชั่ว ดีอะไร นี่เวลามันมืดมาก เรื่องบาป บุญ นรก สวรรค์ อย่ามาพูด ปัดออกทันทีเลย จะทำตามความอยากของเรานี่เท่านั้น นี่เรียกว่าหนาเต็มที่แล้วนะ นี่รอแต่ลมหายใจ พอลมหายใจขาดแล้วหวิวเลย
ขันธ์นี่ก็พอยับยั้งได้ ในขณะที่ไม่ตายทุกข์ก็ยอมรับว่าทุกข์ แต่ที่จะไปโดนนรกเมืองผีเหมือนนรกเมืองคนนี้ไม่โดน นรกเมืองคนนี้มันโดนอยู่ในหัวใจ มันเกิดความทุกข์ความร้อน ทุกสิ่งทุกอย่างเป็นอยู่ในนี้ นี่นรกเมืองคน พอจากนี้ปั๊บ สภาพร่างกายนี้เปลี่ยน จากมนุษย์นี้ไปแล้วกลายเป็นนรกเมืองผีไปแล้ว อะไรกลายเป็นเรื่องของผีไปหมด ทีนี้จะไปแก้ที่ไหน เมื่อคนทั้งคนมันกลายไปเป็นผีแล้ว เจ้าของพาให้เป็น ปฏิบัติตัวไม่ดี เลอะเทอะไปหมด แล้วมันก็ไปหาแต่สิ่งเลอะเทอะ จะไปหาความสะอาดสะอ้านมีความสุขความเจริญมาจากไหน เพราะการทำความชั่วไม่มี
ผู้ที่จะไปทางดีสถานที่เป็นสุขได้ เป็นผู้ทำความดีเท่านั้น อย่างอื่นไม่มี ตัดขาดสะบั้นไปเลย เป็นคนละฝั่ง เป็นอฐานะ จะแก้ชั่วให้มาเป็นดี ทำชั่วแล้วกลับมาเป็นสุขไปสวรรค์ นิพพาน พ้นจากทุกข์ไปได้เพราะการทำชั่วไม่เคยมีในพระพุทธเจ้าองค์ไหน ๆ ในหลักความจริงเป็นอย่างนั้น โธ่ มันน่าทุเรศนะ ที่เขาพูดถึงเรื่องเขาหมดหวัง จึงได้เอามาพูดให้ฟัง ขนาดนั้นเขาหมดหวัง คือที่ไหนมันเอือมระอา ไม่อยากดู ดูประชาชนก็รู้แล้วว่าประชาชน จะมาดูพระดูเณรเราซิมันดูไม่ได้ ยิ่งไปเมืองนอกเมืองนาแล้วเราไม่ได้เชื่อนะว่ามันจะแสดงตัวยังไง มันจะแสดงเลวกว่านี้ส่วนมาก ส่วนดีก็ยกไว้เสีย
ผู้ตั้งใจปฏิบัติดีก็ยังมี เราไม่ได้ลบไปหมดนะว่าชั่วไปหมด ส่วนมากมันมักจะเป็นอย่างงั้น ไปโกโรโกโส ยิ่งเห็นเขาไม่รู้จักศาสนา เราอยากทำอะไรก็ทำ นี่ยิ่งเสริมให้คนทำชั่ว พระทำชั่วเข้ามากมายนะ เลอะเทอะไปหมดเลย มองเห็นมันดูกันไม่ได้แล้วทำยังไง สุดท้ายก็ลงในคำว่าหมดหวังเรื่องศาสนา ดูพระดูเณรที่พอจะเป็นคติตัวอย่างเพื่อก้าวเดินทางความดีงามทั้งหลายมันก็ดูไม่ได้แล้ว แล้วจะไปอาศัยใครเป็นคติ มันก็แบบเลว ๆ เหมือนกันหมด ดูเราก็อย่างนี้ ดูเขาก็อย่างนั้น ดูพระดูเณรก็แบบเดียวกัน มันก็หมดหวังได้คนเรา
การพูดทั้งนี้เราพูดตามหลักความจริงที่เขามาเล่าให้ฟัง เขาจะเอาเราไปจริง ๆ เราก็บอกเราไม่ไป ถึงขนาดที่ว่าเราลงหีบศพ ศพเรานั่นแหละ ให้เขาทำหีบไว้เสียก่อนแล้วค่อยไป เวลาขากลับมามันก็ตายแล้วแหละ ถ้าผู้ที่อยากได้ศพเราก็เอามาเมืองไทย ไม่อยากได้โยนลงไหนก็แล้วแต่ เดี๋ยวนี้เราไม่อยากเข้าหีบ เราจึงไม่ไป เขาถึงไปด้วยความหมดหวัง ความตั้งใจมาจริง ๆ ถ้าตั้งใจปฏิบัติตามหลักพระพุทธเจ้านี้ ศาสนานี้แล้ว โหย อะไรจะมีความสงบร่มเย็นยิ่งกว่าชาวพุทธเราวะ อันนี้มันไม่ได้ปฏิบัติตามหลักศาสนธรรมล่ะซิ ปฏิบัติตามกิเลส ทั้ง ๆ ที่มีคนถามไม่ถามก็ตาม อยากพูดออกมาแต่เขายังไม่ถาม ถ้าเขาถามถือศาสนาอะไร ถือศาสนาพุทธ
ลูกอยู่ในท้องก็แย่งแม่มาพูดถือศาสนาพุทธ แย่งปากแม่มาพูด มีสองคนสามคนเป็นลูกแฝด แย่งกัน แม่เลยจะตาย แย่งพูดศาสนาพุทธ ตั้งแต่แม่มันไม่รู้จักศาสนา เข้าใจไหม แต่มันมีแต่คำพูดอย่างนี้ แม่มันก็พาลูกเป็นอย่างงั้น เพราะฉะนั้นลูกมันถึงแย่งแม่เอามาพูด ถือศาสนาพุทธ พวกนี้มีแต่พวกถือศาสนาพุทธ มีลูกกี่คนมันแย่งกันพูดอยู่เวลานี้ ถือศาสนาพุทธน่ะ พวกเรามีลูกกี่คน มีกี่แฝด เหอ มันจะแย่งแม่ เดี๋ยวแม่ตายนะ แม่ไม่สนใจ แต่เวลาเขาถามถือศาสนาพุทธแล้วลูกเกิดมามันก็เอาแบบแม่ ถือศาสนาพุทธ แย่งแม่พูด มันไม่ได้เรื่องได้ราว
นี่เห็นไหม ศาสนามีไหม เป็นแบบเป็นฉบับให้ก้าวเดินตามนั้น ถ้าเราจะเทียบเหมือนแปลนบ้านของเรา เราจะปลูกบ้าน ปลูกอะไร ๆ ทำอะไร ๆ ทำแปลนให้เรียบร้อยก่อน แล้วก้าวเดินตามแปลนนั้นคือก่อสร้างอะไรๆ ตามแปลนนั้นแล้ว มันก็เป็นไปตามแปลนนั้น ๆ ยิ่งพุทธศาสนาด้วยแล้วเป็นศาสนาของผู้สิ้นกิเลส ไม่ได้เป็นเหมือนผู้เป็นนายช่างแปลน นายช่างแปลนเขาก็คำนวณเต็มกำลังของเขา แต่เป็นคนมีกิเลสอาจมีผิดมีพลาดบ้างเป็นธรรมดา ส่วนมากต่อมากเป็นที่ยืนยันรับรองเป็นที่ยอมรับกันทั่วโลกนั้นแหละ แต่เรื่องศาสนธรรมของพระพุทธเจ้านี้เรียกว่าสวากขาตธรรม สมบูรณ์แบบทุกอย่าง ไม่ว่าจะธรรมะขั้นใดภูมิใดสมบูรณ์แบบตลอด ไม่มีบกพร่องเลย เป็นแบบแปลนแผนผังสอนไว้โดยถูกต้อง เราปฏิบัติตามแบบแปลนที่ท่านสอนไว้โดยถูกต้อง นั่นแหละเรียกว่าเราสร้างบ้านสร้างเรือน แล้วก็ค่อยสำเร็จรูปขึ้นมาเป็นลำดับลำดาเรื่อย ๆ
ย่นเข้ามาในภาคปฏิบัติทางด้านจิตตภาวนาอีก อันนี้ยิ่งชัดนะ จิตตภาวนา เวลายังไม่รู้เรื่องรู้ราวในเรื่องภาวนานี้มันก็เห็นชัด ๆ ความไม่รู้เรื่องรู้ราว ด้นเดาเกาหมัด ทำไปอย่างงั้นแหละ หัวใจมีก็ทำไป ผลที่จะได้ก็ไม่ได้เท่าที่ควร แต่ทำไปทำมาหลายครั้งหลายหนมันก็ค่อยปรากฏขึ้นมาๆ สุดท้ายจิตสงบให้เห็น เออ จิตสงบเป็นอย่างงั้น พอจิตสงบ มันไม่เคยสงบตั้งแต่เกิดมา ไม่เคยมีความสงบ มีแต่ความฟุ้งซ่านวุ่นวายก่อกวน เผาหัวอกอยู่ตลอดเวลา ทั้งเด็ก ผู้ใหญ่ ทั้งหญิง ทั้งชาย นักบวชและฆราวาส ไฟกิเลสเผาตลอดเวลา นั่นแหละไฟกิเลสดูเอา
ความยุ่งเหยิงวุ่นวายคือเรื่องของกิเลสผลักดันออกไปให้คิดให้ปรุง ให้ยุ่งเหยิงวุ่นวายแล้วสร้างกองทุกข์ให้ตัวเอง นี่คือกิเลสทำงานเพื่อผลประโยชน์ของมันโดยอัตโนมัติ ไม่มีใครบังคับบัญชา จิตใจดวงใดกิเลสทำงานโดยอัตโนมัติทั้งนั้น ไม่ว่าได้เห็นได้ยินจากสิ่งใด มาสัมผัสสัมพันธ์จิตจะคิดออกไปทางกิเลส ตามที่กิเลสบงการ เรื่องอรรถเรื่องธรรมอย่าไปถาม นี่กิเลสทำงานโดยอัตโนมัติของมัน ที่ไม่มีธรรม ไม่สนใจกับอรรถกับธรรมเป็นอย่างนี้กันทั้งนั้น เพราะฉะนั้นโลกนี้จึงหาความสุขไม่ได้ เพราะกิเลสทำงานจะเอาความสุขมาจากไหน ถ้าหากว่าธรรมทำงานมี มีแน่ ใครจะทำที่ไหนก็ทำ อยู่โลกไหน ประเทศไหนก็ประเทศซิ ก็มีแต่กิเลสทำงานอยู่บนหัวใจ ความทุกข์ก็เผาอยู่ที่หัวอก
บ้านใด เมืองใดเจริญมีที่ไหน ก็ดังเคยพูดแล้ว เราไปถือว่าบ้านนั้นเมืองนี้เจริญก็ถือเอาด้านวัตถุ ด้านวัตถุก็เหมือนกับเมืองไทยเรา เอาอะไรไปก่อไปสร้าง เอาเครื่องสัมภาระจากมาจากเมืองทิพย์แดนสวรรค์ที่ไหนมาสร้าง มันก็เอาจากแดนมนุษย์ไปสร้างขึ้นมา สำเร็จจากหิน จากอิฐ จากปูน จากหิน จากทราย จากแร่ธาตุต่าง ๆ เข้ามา สร้างนั้นนี้ขึ้นมา ประดับประดาตกแต่งให้สวยให้งามขึ้นไปเรื่อย ๆ ก็มาอวดกัน มาเห็นบ้านเขาบ้านนั้นใหญ่ สุดท้ายก็ยกให้บ้านเขาเจริญ เลยสุดท้ายเจริญทั้งคนที่ถูกไฟกิเลสเผาหัวอกอยู่นั้นก็เลยเจริญไปตาม ๆ กัน มันเจริญขี้หมาอะไรไฟเผาหัวอกมันอยู่นั้น
อิฐปูนมันก็เป็นอิฐเป็นปูน เราจะไปสวรรค์นิพพานแล้วมันก็เป็นอิฐเป็นปูนอยู่ตามตึกรามบ้านช่อง มันวิเศษวิโสอะไร นรกมันก็ไม่ได้ลง ไปสวรรค์นิพพาน อิฐ ปูน หิน ทราย ตึกรามบ้านช่อง ถนนหนทาง เครื่องใช้ไม้สอยต่าง ๆ มันไม่ได้ไปสวรรค์ นิพพาน ไม่ได้ตกนรก ผู้ที่ไปสวรรค์นิพพานได้และตกนรกคือคน คือเจ้าของ ถ้าเจ้าของรู้จักวิธีปฏิบัติ สิ่งเหล่านี้อาศัยได้ในเวลาที่มีชีวิตอยู่ เรามีเงินทองข้าวของเราจะทำประโยชน์อะไร เราเอามาคิดซิ สมบัติเป็นของเรา เงินเป็นของเรา อันนี้จะแบ่งไว้เพื่อทำอันนั้น อันนี้แบ่งไว้ทำบุญให้ทานอย่างนั้น ๆ นั่น ผู้ฉลาดต้องเป็นอย่างนั้น
นี่ได้มาอะไรก็ให้กิเลสถลุงไปหมด แล้วก็หาว่าหากินไม่พอกิน ไม่พอใช้ จะพอยังไงกิเลสเอาไปกินหมด เจ้าของไม่ได้กินเลย นี่ถ้าผู้มีปัญญาได้มาต้องคัดต้องเลือกเฟ้นเอาไว้ให้เรียบร้อย อันนี้ค่าหยูกค่ายาเวลาเจ็บไข้ได้ป่วย ค่าเด็กเรียนหนังแส่หนังสืออะไร ให้คิดให้หมดเรียบร้อย เมื่อเรามีเงินทองข้าวของพอที่จะเจียดทางนั้นทางนี้ได้ต้องทำอย่างงั้นผู้คิด แล้วคนนี้ไม่ค่อยเสียมาก ไม่ค่อยจนมาก ส่วนการทำบุญให้ทานถือเป็นเรื่องยิ่งใหญ่ เพราะจิตนี้เป็นตัวสมบุกสมบันมากทีเดียว สำหรับร่างกายเราอยู่แค่ชีวิตเท่านั้น เมื่อสิ้นลมหายใจสิ่งทั้งหลายหมดความหมาย ร่างกายเราก็หมดความหมายไปตาม ๆ กันเท่านั้น ร่างกายเองก็ไม่ได้ไปสวรรค์ นิพพาน สิ่งทั้งหลายเหล่านั้นก็ไม่ไป ทั้งไม่ลงนรก
ใจดวงนี้ซิ ดวงที่ว่าโง่หรือฉลาด ถ้าฉลาดปฏิบัติต่อตัวเอง ใจนี้ก็ดีดเลย ไม่เป็นห่วงเป็นใย ประสาอิฐ ปูน หิน ทราย มันวิเศษวิโสที่ไหน คุณธรรมหรือบุญกุศลที่อยู่ในใจนี้ต่างหากที่ทำให้จิตใจมีความสง่างาม มีความสุขความเจริญรื่นเริงบันเทิงอยู่ที่หัวใจ ไม่ต้องไปหาอะไรมาเพิ่มเติม ธรรมเต็มหัวใจ บุญเต็มหัวใจ อยู่ได้หมด ไปได้หมด สบายหมด ไม่ต้องมาห่วงกับอะไร ประสาอิฐ ปูน หิน ทรายอย่างนี้ ต้องคิดซิ ไม่คิดไม่ได้นะ ได้อะไรมาก็ให้กิเลสเอาไปถลุงหมด แล้วหาเป็นบ้า หาตั้งแต่วันตื่นนอน ตั้งแต่วันเกิดจนกระทั่งวันตาย ไม่ได้มีอะไรเพียงพอ มันจะเพียงพออะไร กิเลสตัวหิวโหย ใครจะไปเกินกิเลส ได้มาเท่าไรมันถลุงหมด เหมือนเราไสเชื้อเข้าไฟ ไฟคือกิเลส หามาเท่าไร หามาให้มันหมด ๆ ไม่มีอะไรเหลือ
นั่นเรื่องกิเลสมันเป็นอย่างนี้เรื่อยมา ถ้าผู้มีปัญญามีอรรถมีธรรมเข้าแทรกก็คัดเลือกซิ สมบัติเงินทองข้าวของมีมากมีน้อยให้คัดเลือก อย่าให้กิเลสเอาไปถลุงเสียหมด ให้มีความจำเป็นเข้าแทรก ๆ อย่างงั้น เพราะฉะนั้นจึงได้เทศนาว่าการเรื่องการทำบุญให้ทาน ไม่ใช่เรื่องเล็กน้อยนะ จิตนี้เป็นตัวสมบุกสมบันที่ก่อภพก่อชาติ เกิดตายไม่มีสิ้นสุดคือจิตดวงนี้ ร่างกายไม่มีความหมาย ตั้งแต่วันเกิดถึงวันตายหมดสภาพไปแล้ว ตึกรามบ้านช่องมีกี่ปี ๆ มันหมดสภาพแล้ว แต่จิตนี้ไม่หมดสภาพนะ ออกจากร่างนี้เข้าสู่ร่างนั้น เรียกว่าเกิดตาย ๆ ไปตามอำนาจแห่งบุญแห่งกรรมดีชั่วของตัวเอง
ถ้าทำกรรมชั่วไว้ลงไปตรงไหนมีแต่ความชั่ว ก็เจ้าของทำไว้ แล้วจะให้ใครมาเสวยแทน ไม่มีใครเสวยแทนได้นะ ไม่เอา ๆ มันก็เป็นความคาดหมายของกิเลสหลอกต่างหาก ว่าให้เป็นไปตามความสำคัญ ว่าบาปไม่มี มันก็ว่าเอาเฉย ๆ บาปมีมาตั้งกัปตั้งกัลป์มาหาอุตริทำไม บุญมีมาตั้งกัปตั้งกัลป์มาอุตริทำไมว่าบุญไม่มี นรกก็มีมากี่กัปกี่กัลป์ขนาดไหน พระพุทธเจ้าองค์ไหนตรัสรู้ขึ้นมาก็มาเจอแดนนรกนี้ จึงได้นำมาสั่งสอนสัตว์โลก ทั้งสวรรค์ พรหมโลก นิพพาน มีมาตั้งกัปตั้งกัลป์ ท่านไม่ได้มาอุตริสอนโลก พระพุทธเจ้าองค์ไหนตรัสรู้ขึ้นมาเพื่ออุตริสอนโลกไม่เคยมี แต่เรื่องกิเลสนั้นอุตริตลอด ถ้าหากว่าเป็นลูกเป็นเต้า เป็นพ่อเป็นแม่เหมือนเรานี้ ตั้งแต่ลูกของมัน หลานเหลนของมันอยู่ในท้องมันสร้างความตลบตะแลงไว้เรียบร้อยแล้ว พอเกิดขึ้นมาปั๊บหลอกทันทีเลย เก่งกว่าแม่เสียอีก นั่นกิเลสเป็นอย่างงั้นนะ
เราหลงมันขนาดไหน ฟังให้ดีนะทุกคน นี่ไม่ได้สอนเล่น ๆ ปฏิบัติมาไม่ได้ปฏิบัติเล่นนะ เอาจริงเอาจังจนเห็นเหตุเห็นผลเหล่านี้จึงได้นำมาสอน สอนอย่างไม่สะทกสะท้านเสียด้วยนะว่าจะผิดไป พระพุทธเจ้าปฏิบัติมาเพื่อความรู้ยิ่งเห็นจริงในความจริงทั้งหลาย ก็มาปฏิบัติแล้วมันจะไม่เห็นได้ยังไง ความจริงมีอยู่ ผู้ปฏิบัติเพื่อความจริงมีอยู่ แนวทางเพื่อให้รู้ความจริงมีอยู่ มันรู้จนได้เห็นจนได้ เต็มภูมิของตัวเองนั้นแหละ พุทธศาสนาเรามีจิตตภาวนาเป็นรากฐานสำคัญ ขอให้พี่น้องทั้งหลายจำเอาไว้นะ การทำบุญให้ทานอันนี้เป็นอันหนึ่งต่างหาก ไม่หนาแน่นมั่นคงยิ่งกว่าจิตตภาวนานะ
เรื่องจิตตภาวนานี้เป็นแกนของศาสนา เป็นรากแก้วของศาสนาโดยแท้ คือจิตตภาวนา ทาน ศีล ภาวนา ภาวนาน่ะรากฐานลงลึกมากนะ เรื่องภาวนานี้กิเลสจะลากออกทันที มันไม่อยากให้ทำภาวนา พอจะนึกเรื่องภาวนาเข้ามานี่ โอ๊ย ความขี้เกียจขี้คร้านความท้อแท้อ่อนแอนี้มาพร้อมกันหมดเลย เอาให้จมดังครอก ๆ อยู่ในหมอนนั่น นี่อำนาจของกิเลสเวลามันหนา ใครให้ทราบเสียนะ นี่คืออำนาจของกิเลสมาเหยียบย่ำทำลายความดีของเรา ไม่ให้ทำ ทำก็ไม่เต็มเม็ดเต็มหน่วย เพราะกิเลสลากไป ๆ ล่ะซิ นี่ให้พยายามฝืนกัน เวลาทำภาวนานี้มันเห็นจริง ๆ นะ มันไม่ได้เหมือนทาน เหมือนศีล
ทานนั้นเราให้ทานไปก็เป็นความปีติยินดี ตามหลักความจริงที่ให้ทานแล้วเป็นบุญเป็นกุศล เป็นไม่สงสัย แล้วก็ซึมซาบเข้าสู่จิตใจตามฐานะของทาน ให้มีความยินดีให้มีความเอิบอิ่มภายในตัว คนมีการทำบุญให้ทานเป็นคนที่กว้างขวางจิตใจเบิกบาน นี่อยู่ขั้นนี้ ยิ่งการรักษาศีลเข้าไปแล้วก็ยิ่งแน่นเข้าไป ทีนี้ลงลึกด้านภาวนานี้กระจายไปหมดนะ เพิ่มกำลังของการให้ทานให้หนักแน่นมั่นคงยิ่งขึ้น เพราะจิตเป็นตัวสำคัญที่จะเป็นกำลังดึงดูดสิ่งทั้งหลายนั้นให้มีกำลังมากขึ้น เช่นการให้ทานก็หนักแน่นขึ้น การรักษาศีลหนักแน่นขึ้น ทุกสิ่งทุกอย่างหนักแน่นขึ้น เพราะจิตกับธรรมอยู่ในใจแล้ว หิริโอตตัปปะอยู่ในใจ แล้วหนักแน่นขึ้นเรื่อย ยิ่งจิตมีความสงบร่มเย็นเท่าไรมันก็ยิ่งหนักแน่นเข้า
เรื่องบาป เรื่องบุญ หิริโอตตัปปะไม่ต้องถามนะ เป็นขึ้นในใจเลย เพราะฉะนั้นท่านจึงแสดงไว้ในธรรมว่า พระอริยบุคคลคือตั้งแต่พระโสดาขึ้นไป พอสำเร็จพระโสดาแล้ว ศีลในหลักธรรมชาติของท่านมีมาเอง ไม่ต้องไปสมาทานก็ได้ หิริโอตตัปปะความสะดุ้งกลัวต่อบาปต่อกรรมเป็นเองขึ้นมา ไม่ฆ่าสัตว์ ไม่ขโมย ไม่เกี่ยวข้องกับกาเม ไม่มุสา ไม่ดื่มสุรายาเมา เป็นเองขึ้นมาเลย ไม่ต้องไปสมาทาน มยํ ภนฺเต อะไร นั่นเรียกว่าศีลตามหลักธรรมชาติ เป็นขึ้นมาเอง เมื่อจิตได้เข้าสู่ธรรม มีความสงบแล้วจะมีอะไรทุกอย่าง ควรไม่ควรจะรู้ขึ้นมาที่จิต นั่นแหละถึงเรียกว่าศีลธรรมในหลักธรรมชาติ และจิตตภาวนาก็ดีขึ้น ทุกอย่างดีขึ้น เรื่องการให้ทานดีขึ้น หนาแน่นขึ้น มั่นคงขึ้น มีความกระหยิ่มยิ้มย่องหนัก ไม่ได้ทานอยู่ไม่ได้
เพราะฉะนั้นพระพุทธเจ้าท่านถึงทรงบัญญัติ แต่ก่อนพระพุทธเจ้าทรงพระชนม์อยู่ เหมือนว่าพระองค์รับรอง สกุลใดที่เป็นพระโสดาบันห้ามไม่ให้พระไปบิณฑบาตในสกุลนั้น พวกนี้ให้ไม่ถอย องค์ไหนทะลึ่งเข้าไปนี้ปรับอาบัติ ท่านแสดงไว้ในพระวินัยมีอย่างงั้นนะ คือไม่ให้พระไปบิณฑบาตในสกุลพระโสดา ผู้สำเร็จพระโสดาสกุลนั้นห้ามไม่ให้เข้าไป ให้เป็นอัธยาศัยของเขาทำบุญให้ทานเอง ถึงอย่างนั้นเขาก็หนักของเขาอยู่แล้วในการทำบุญให้ทาน เรายิ่งไปแล้วไปกวนกันใหญ่ เขาก็ไม่รู้ว่าเรากวน เขาไม่สนใจเรากวน แต่ความเหมาะสมพอดีนั้นแหละ มันเลยไปแล้วเรียกว่ากวน พระพุทธเจ้าทรงห้ามไม่ให้พระไปบิณฑบาตสกุลพระโสดา
เมื่อพระพุทธเจ้าปรินิพพานไปแล้ว ความพอเหมาะพอดีมีอยู่ เช่นอย่างเขา ปวารณาสิ่งของมากน้อยเพียงไร ความพอดี เขาปวารณาก็เป็นธรรมของเขาอยู่แล้ว เปิดโอกาสให้พระเจ้าพระสงฆ์ที่เขาเคารพเลื่อมใสได้ทำบุญให้ทาน เขาก็เปิดโอกาสให้ปวารณา ถ้าพระมีความขัดข้องขาดเขินอะไรเขาก็ปวารณาตามขั้นตามภูมิของเขาไปเรื่อย ๆ เราผู้รับคำปวารณาเขา เรารับเป็นธรรมแล้ว เราก็รู้ความพอดี เอะอะเมื่อเขาปวารณาแล้วก็ขอดะ ๆ ไม่ใช่ความเป็นธรรม ความเป็นธรรมมีอยู่ เขาเปิดทางให้ก็เป็นเรื่องของเขา เรามีความจำเป็นมากน้อยก็เป็นเรื่องธรรมของเราที่จะปฏิบัติต่อกันยังไงบ้าง เรียกว่าธรรมต่อธรรมเข้ากันได้สนิท
ไม่ใช่ใครขอแล้วไปหากว้านเอาหมด ไม่ถูก หลักของการปวารณา ใครปวารณามากน้อย ความสมควรหรือความเหมาะสมมีอยู่ เมื่อมันไม่ควรจะรบกวนเขา จะรบกวนหาอะไร มันจำเป็นจริง ๆ ก็ให้รู้ว่าจำเป็น นี่ก็เป็นธรรม จำเป็นไม่จำเป็นแล้วขอดะ ไม่ใช่ธรรม ผิด นั่นอย่างงั้นนะ พระพุทธเจ้าทรงบัญญัติไว้ทุกอย่าง การปวารณาเขาปวารณาไว้ยังไงก็เข้มงวดกวดขัน เพราะพระมันมักจะโกโรโกโส ถ้าเป็นพระอย่างแบบพระอริยเจ้าท่านรู้เองหมด ใครจะปวารณามากน้อยเพียงไร ท่านก็อนุโมทนาสาธุการกับเขา ความเหมาะสมความพอดีอยู่กับท่าน ท่านจะบิณฑบาตขออะไร ๆ เขาท่านรู้เอง อย่างงั้นจึงเรียกว่าธรรม มีความเหมาะสม
นี่เราพูดเรื่องธรรมเกี่ยวกับเรื่องภาวนา ภาวนาจิตมีความละเอียดเท่าไร หิริโอตตัปปะมันจะมีขึ้นในใจ อะไรพอดีไม่พอดีจะรู้ขึ้นในตัวเองเป็นลำดับลำดานะ นี่เรื่องภาวนาไม่ใช่เรื่องเล็กน้อย แล้วยิ่งภาวนาไปบางรายเป็นของแปลกประหลาดขึ้นมาก็มี เพราะการทำลงไปต้องเป็นแหละไม่มากก็น้อย เหมือนเราขุดน้ำบ่อนั้นแหละ ขุดหาน้ำ ตาน้ำอยู่ตื้นก็มี อยู่ลึกลงไปก็มี ลึกลงไปก็มี แต่ขุดจริง ๆ มันก็ถึงน้ำเหมือนกัน ไม่ว่าตื้นว่าลึกของน้ำแหละ อันนี้ก็เหมือนกันบางคนที่จะปรากฏเร็วก็เหมือนตาน้ำอยู่ตื้น ๆ มันก็ปรากฏขึ้นมาและโดยลำดับลำดา ผลสุดท้ายก็ได้น้ำเหมือนกันจากการขุดบ่อนั่นแหละ
อันนี้เราทำภาวนา ถึงไม่ได้รู้ได้เห็นก็ตาม การภาวนาก็มีอานิสงส์มาก ไม่ใช่เรื่องเล็กน้อยนะ การภาวนามีอานิสงส์มากด้วย และเป็นสิ่งที่จะทำจิตของเราให้สงบผ่องใส ให้เห็นธรรมอันแปลกประหลาดและประเสริฐเลิศเลอขึ้นที่ภาวนานั้นด้วยนะ ไม่ใช่ขึ้นจากที่ไหน สุดท้ายจะขึ้นจากภาวนาทั้งนั้น เวลาภาวนาลงไปมันก็แปลกประหลาด ๆ อันนี้มันก็เป็นขึ้นกับผู้ปฏิบัติเอง ผู้กว้างขวางอะไรนี้ มันก็อย่างว่านะ ให้มันเป็นขึ้นกับผู้ปฏิบัตินั่นแหละมันก็เข้าถึงกันเอง ระหว่างลูกศิษย์ลูกหากับครูกับอาจารย์ เวลาไม่ได้คุยกันอะไรนี่ก็ต่างคนต่างภาวนาไป พอไปรู้อะไร ๆ ขึ้นไปหาท่านซิ เป็นยังไง ๆ ท่านจะอธิบายให้ฟังทันที ก็ท่านรู้มาก่อน เป็นอย่างงั้น
เพราะฉะนั้นเรื่องอย่างนี้มันจึงพูดยาก แต่ขอให้ปรากฏในจิตเป็นความสงบเป็นพื้นฐานนะ จิตมันจะฟุ้งซ่านไปไหน ความฟุ้งซ่านตั้งแต่ตื่นนอนจนกระทั่งหลับ นี้มีแต่เรื่องกิเลสลากเข็นจิตใจไปให้คิดฟุ้งซ่านรำคาญแล้วก่อฟืนก่อไฟมาเผาไหม้เจ้าของ ให้รู้เสียนี้คืออารมณ์ของกิเลส มันผลักดันอยู่ที่หัวใจเราตลอดเวลา อารมณ์ของธรรม เช่นอย่างสอนให้ภาวนา อารมณ์ของธรรม เช่นเรานำธรรมบทใดก็ตามเอามาบริกรรมเพื่อจะบังคับความคิดอันนี้ไม่ให้คิด เอาความคิดของธรรมเข้าบีบบังคับกัน เพราะจิตทำหน้าที่อันเดียว ว่าพุทโธก็เป็นพุทโธ ว่ากิเลสเป็นกิเลสไปเลย ก่อนที่จะมาเป็นธรรม เราต้องพลิกจากกิเลสมาเป็นธรรม แล้วมันก็ทำหน้าที่ทางธรรมไป
พอทางธรรมอ่อนกิเลสเอาไปแล้ว ไม่ใช่ว่ามันแย่งกันอยู่นี้คนละทิศละทาง จิตทำงานหลายหน้าที่ไม่นะ ทำงานหน้าที่เดียว ขณะ ๆ ๆ ขณะไหนทำงานเป็นธรรม เป็นธรรมไปเรื่อย พอกิเลสได้ช่องกิเลสลากไปเป็นเรื่องของกิเลสแล้วกลายเป็นกิเลสไปหมด ทีนี้เวลาภาวนาเข้าไปมันจะแปลกประหลาดนะ นี่ละธรรมพระพุทธเจ้าที่มีมาให้พี่น้องทั้งหลายได้ทราบออกมาจากท่านผู้ปฏิบัติ ผู้ทรงมรรคทรงผลนะ ไม่ได้ออกมาจากเพียงตำรับตำรา ซึ่งจะเฉื่อยชาลงไปโดยลำดับ ดีไม่ดีไม่มีความหมายตำรับตำรา มีแต่กิเลสเหยียบย่ำทำลายตำรับตำรา เรียนมาสูงขนาดไหนก็ตาม หิริโอตตัปปะมันไม่มี มีแต่ความจำ แล้วสร้างบาปสร้างกรรมได้เช่นเดียวกับโลกทั่ว ๆ ไป ดีไม่ดีเก่งกว่าเขาอีกก็ได้ ถ้ามีแต่ความจำนะ
ถ้ามีความจริงเข้าในใจนี่ โอ๊ย มันทำไม่ลงนะ มันรู้อยู่ในใจ ใครไม่รู้มันก็รู้ มันขวางอยู่ในจิตแล้วท่านไม่ฝืน นั่นน่ะที่ว่าธรรมอยู่กับใจ พอสะกิดออกมาอันไหนรู้ทันที ควรหรือไม่ควรรู้ นั่นเป็นอย่างงั้นนะ เวลาสงบจริง ๆ โถ เป็นของอัศจรรย์เอามากนะ เราเกิดมาเราไม่เคยเห็นความสุขอย่างนั้น แต่เวลาภาวนาไป ๆ บทเวลามันจะเป็นขึ้นมามันเป็นขึ้นมา เราเคยได้พูดให้บรรดาลูกศิษย์ฟัง ที่ว่าเรียนหนังสืออยู่ ๗ ปี นี่ก็ได้มาพูดให้เป็นคติตัวอย่าง ไม่ได้มาอวดนะ กิเลสมันจะแทรกเข้ามานะ นี่ท่านอวดนะ เห็นไหมกิเลสมันคอยต้านทานธรรม
ธรรมะควรจะเป็นประโยชน์แก่ผู้ฟัง กิเลสมันก็มาแย่งเอาไป ว่าพูดยังไง แหมนี่ท่านคุยท่านโม้ ท่านโอ้ท่านอวด สุดท้ายก็เลยไม่พอใจจะฟัง กิเลสเอาไปกิน เวลาภาวนาไปจิตมันรวมล่ะซิ เหตุที่จะได้เหตุได้ผล เป็นความต่อเนื่องมาตั้งแต่วันนั้นที่ให้เชื่อฝังลึกมากในการภาวนา พอภาวนาไป ๆ ธรรมดาทุกวันมันก็ไม่ได้เรื่องอย่างงั้น ตั้งสติในเบื้องต้น ตั้งไปตั้งมาก็ล้มไปเสีย ภาวนาก็เห็นว่าเหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้าเลยหยุดไปเสีย เป็นประจำ ๆ อย่างงั้นทุกวัน หากทำไป บทเวลามันจะเป็น พอภาวนาก็พุทโธ ๆ นั่นแหละตามจริตนิสัยของคนเรา เพราะพุทโธเป็นคำผูกมัดจิตใจ ไม่ให้มันไปคิดกับเรื่องกิเลส ให้มันคิดอยู่กับพุทโธ มีสติกำกับไว้ นี่เรียกว่าเป็นงานของธรรม
งานของกิเลสนี้ พอหยุดจากนี้ปั๊บมันจะวิ่งของมันตามเรื่องตามราว อารมณ์นั้นอารมณ์นี้อดีต อนาคต กว้าง แคบ มันไปของมันตลอด นี้เรียกว่าอารมณ์ของกิเลส ให้พากันจำเอานะ อารมณ์ของธรรมปัดอันนั้นออก ทีนี้เอาอารมณ์ของธรรมเข้าไป เช่นพุทโธ ๆ บีบบังคับเอาไว้ มันอยากไปทางกิเลส กิเลสลากไป ๆ ไม่ยอมให้ไป บังคับเอาไว้ มันดันเท่าไรก็ไม่ถอย พุทโธถี่ยิบ ๆ เข้าไป สุดท้ายจิตเมื่อกำลังทางธรรมพอ สติตั้งไว้อยู่ แล้วก็ค่อยสงบลง พอสงบลงไปแล้วมันเย็นสบายเงียบเลย อ๋อ จิตเป็นอย่างนี้ จากนั้นมันก็ลงผึงของมันเลย
นี่เคยพูดให้ฟังแล้ว เวลามันลงเต็มที่ของมันนี้เหมือนอยู่ในท่ามกลางมหาสมุทรทะเลหลวง เรานั่งเป็นเกาะเล็ก ๆ นอกนั้นเวิ้งว้างไปหมดเป็นโลกสงสาร จิตอยู่จุดนี้ อัศจรรย์อยู่จุดเดียว เกิดความอัศจรรย์ในตัวเองแล้วตื่นเต้น ความตื่นเต้นนั่นแหละไปกวนจิตที่สงบให้ถอนออกมาเสีย วันหลังเอาใหม่มันก็ไม่ได้ ไม่ได้ก็ตามนะ เหมือนเราไปเจอบึงที่มีน้ำเต็มอยู่ในบึง แต่ถูกจอกแหนปกคลุมเอาไว้ ทีนี้พอเราไปเปิดจอกแหน ตักน้ำมาดื่มมาอาบมาอะไร เปิดออกดูมันใสสะอาด น้ำเป็นยังไงดื่มน่ะดี อ๋อน้ำอยู่ในสระน้ำนี้ดีซึ้งในใจ เชื่อ พอเราหยุดแล้วจอกแหนจะปกคลุมเข้าไปตามเดิมก็ตาม แต่ความเชื่อที่ว่าน้ำอยู่ใต้จอกใต้แหนนี้มี มันไม่ถอนนะอันนี้
อันนี้ก็เทียบกับว่าจิตของเราเมื่อมันสงบเต็มที่ เหมือนเราเปิดจอกแหนออกไป ไปเห็นน้ำ ทีนี้พอจิตมันถอนออกมากิเลสมันก็เข้าไปปกคลุมเสีย กิเลสเหมือนจอกเหมือนแหน เราภาวนามันก็ไม่ลงอย่างนั้น มันก็ไม่เห็นน้ำซิ ไม่เห็นมันก็เชื่อว่าน้ำเคยมีอยู่แล้วใต้จอกใต้แหนนี้ ถึงไม่เห็นมันก็เชื่ออยู่งั้น นั่นละเรียกว่าเป็นศรัทธาที่แน่นหนามั่นคง เรียกว่าอจลศรัทธา มันก็ไม่ผิด ถึงจิตของเราจะไม่สงบอย่างงั้น แต่เราเคยสงบแล้วเป็นอย่างงั้น มันเชื่อมันในนั้น พยายามอีก ทำไปทำมา มันก็ไปเจออีก เปิดจอกแหนออกได้จังหวะมันก็เห็นน้ำ เอาอีก ๆ นั่น
สำหรับเรานั่งภาวนาเวลาเรียนหนังสืออยู่ ๗ ปี เราภาวนาได้แบบนี้เพียง ๓ หนเท่านั้น เราก็ไม่ลืม แบบอัศจรรย์เลยนะ โห จนตื่นเต้นนะ มันสุขมันอัศจรรย์อะไรอย่างนี้จิต ไม่เคยมี เป็นอย่างนี้เชียวหรือ ความสุขเราไม่เคยมีตั้งแต่เกิดมา พึ่งมาเจอเอาขณะนั้น มันจะไม่ตื่นเต้นได้ยังไง มันก็ตื่นเต้นละซี คราวหลังทำอีกมันไม่เจอมันก็ไม่ถอย เรื่องความเชื่อ จิตประเภทที่เป็นนั้นแล้วถอนขึ้นมาแล้วมันก็เชื่ออยู่งั้น ถ้าทำอีกจะได้อีกอยู่ ความหวังมี นั่นแหละ จากนั้นก็ทำ พอออกปฏิบัติเท่านั้น ทีนี้จะเอาใหญ่ มันมุ่งไว้แล้วนะ ตอนนี้เราเรียนหนังสืออยู่ไม่เต็มเม็ดเต็มหน่วย เอาผ่อนไว้เสียก่อน
ออกจากเรียนหนังสือเราจะขึ้นเวทีปฏิบัติ ทีนี้ฟัดใหญ่เลยนะ เอาจริงๆ ด้วย ฟัดใหญ่ เป็นขึ้นมา ๆ เลยนั้นไปอีก เราไม่พูดแหละนะ เบื้องต้นที่ตั้งรากตั้งฐานเบื้องต้นที่เราได้เป็นคติหรือเป็นที่ระลึกไม่ลืม ก็คือเราเป็นภาวนาทีแรก จากนั้นสูงกว่านั้นเราก็ไม่ว่าละ ทีนี้เรื่อย ๆ ๆ แต่อันนั้นเป็นรากฐานสำคัญ จิตใจก็ค่อยสง่างามขึ้นเรื่อย ๆ เวลามันรวมจริง ๆ นี้โลกนี้มันไม่มี ฟังซิน่ะ จิตเข้านี้หมด โลกธาตุนี้มีหรือไม่มี ความแปลกประหลาดอัศจรรย์อยู่ในจิตดวงเดียวนี้เท่านั้น มันจะไม่ชัดได้ยังไง ประจักษ์กับหัวใจเจ้าของเอง ใครไม่เคยเจอก็เถอะน่ะ จะไม่ไปถามใครล่ะนะ ความแปลกประหลาดอัศจรรย์จะเป็นสมบัติของเจ้าของด้วยความตื่นเต้นทันทีเลย
หลังจากนั้นก็ขยับเข้าไปเรื่อย ทีนี้มันก็เข้าเรื่อย รู้เรื่อย เห็นเรื่อย ละเอียดเรื่อย จิตใจละเอียดเท่าไรยิ่งเป็นความแปลกประหลาดอัศจรรย์ขึ้นมาเรื่อย ๆ นี่การภาวนา มันเห็นประจักษ์อยู่ในหัวใจ มรรค ผล นิพพานอยู่กับหัวใจของเรา ไม่ได้อยู่กับกาลสถานที่เวล่ำเวลา ว่าสมัยนั้นสมัยนี้ เหมือนกับกิเลสมันไม่ได้อยู่กับกาลสถานที่เวล่ำเวลา มันอยู่กับหัวใจคน ธรรมะก็อยู่กับหัวใจเรา ฟื้นขึ้นมาเมื่อไรก็เป็นธรรมเมื่อนั้น ทีนี้เวลาทำลงไป ๆ มันก็กระจ่างขึ้นมา ๆ นี่การปฏิบัติธรรม แล้วมรรค ผล ไปถามกับใครล่ะ ก็เจ้าของรู้เจ้าของเห็นเจ้าของทรงอยู่นั่น
ใครจะว่ามรรค ผล นิพพาน มีไม่มี มันก็ไม่สนใจกับใคร ว่าเขาไม่ได้ทำ เขาไม่ได้รู้ได้เห็น เราทำอยู่ เรารู้ เราเห็นอยู่ ถ้าว่าเสวยเราก็เสวยอยู่ เป็นความสุขอยู่กับเราตลอดเวลา เราจะไปตื่นเต้นวิ่งไปหาอะไร มันกระจ่างขึ้นมา ๆ ในใจ รวมลง ๆ ๆ แล้วความสุขทั้งหลายมาอยู่ในใจหมดนะ แต่ก่อนความทุกข์นี่เหมือนครอบโลกธาตุ เวลารวมลงมาแล้วมันก็อยู่ที่ใจ มารู้มาเห็นกันที่ใจด้วยสติปัญญาธรรม เวลาอันนี้ค่อยกระจายออกไป ความสุขก็ขึ้นมา ๆ ทีนี้เลยมารวมอยู่ที่ใจนี้หมดเลย ความสุขทั่วแดนโลกธาตุไม่มีความหมาย มารวมอยู่ที่ใจนี้หมดเลย นั่น มันรวมอยู่ที่ใจ ใจเป็นใหญ่นะ
พวกเราไม่ได้มองดูหัวใจ มองดูตามกิเลสข้ามฟ้าข้ามเมฆไป เลยไม่ได้มองดูความจริง มันก็ไม่เห็นความจริงซิ เห็นแต่ความจอมปลอมหลอกลวงตลอดเวลา เกิดมาหรืออยู่ในสถานที่ไหนมีแต่ความทุกข์ความเดือดร้อนวุ่นวายไปทั่วหน้ากัน แล้วโลกไหนเป็นโลกที่เจริญ เราอยากถามว่างั้นนะ เอาหัวใจนี้ออกกางเลย ไม่ได้มีคำว่าสะทกสะท้าน ขอให้ปฏิบัติให้มันรู้เถอะน่ะธรรมพระพุทธเจ้า สนฺทิฏฺฐิโก ประกาศป้างขึ้นมาอย่างพระพุทธเจ้าตรัสรู้เพียงพระองค์เดียวเท่านั้น พระองค์ไปถามใคร เอาใครมาเป็นสักขีพยาน เป็นกำลังในการสั่งสอนและให้คนอื่นยอมเชื่อ เพียงพระองค์เดียวเท่านั้นผางออกเลย ถ้าธรรมลงได้เต็มในพระทัย
อันนี้ขอให้เต็มในหัวใจ หัวใจพระพุทธเจ้า หัวใจพระสงฆ์ก็หัวใจเดียวกัน เต็มภูมิของตัวเองแล้วมันกระจ่างขึ้นได้ด้วยกัน ไม่ต้องไปทูลถามพระพุทธเจ้า นี่ละธรรมของจริง ถ้าปฏิบัติมันเห็นมันรู้อยู่นี่ นี้ไม่มีใครปฏิบัติล่ะซิ มีแต่ว่ากันไป สุดท้ายก็เอาศาสนาเป็นเครื่องประดับร้านไปเสีย เลยไม่เป็นของจริง ทำอะไรก็เอากิเลสเข้ามาเป็นใหญ่เป็นโต สุดท้ายก็มาเอาศาสนามาประดับกิเลสไปเสีย เป็นบ๋อยกิเลสไปเสีย ไม่เป็นตัวของตัวได้เลย ความแปลกประหลาดอัศจรรย์จะมีมาที่ไหน เรื่องของกิเลสมันเคยสร้างความอัศจรรย์ให้ใครมีไหม ไม่เคยมี นั่นมันก็แบบนั้น เราเหมือนท่าน ท่านเหมือนเราทั่วโลกดินแดน
ใครมีความสุขเอามาอวดหลวงตาหน่อยน่ะ เราอยากจะพูดอย่างนี้ เราพูดได้อย่างเต็มหัวใจในโลกธาตุนี้ ไม่มีอะไรแล้วในหัวใจนี้ มันจ้าอยู่ตลอดเวลา อะไร ๆ มันก็รู้ไปเสียหมด ปล่อยเสียหมดแล้ว ไม่มีอะไรเกินอันนี้ มันก็ปล่อยล่ะซิ ถ้ายังมีอะไรเห็นดีอยู่มันก็จะคว้าอันนั้น อันนี้มันไม่มีจะไปคว้าอะไร อันนี้มันพอแล้วในตัวของตัวเอง ว่านิพพานคือเมืองพอก็ไม่ผิด คำว่าพอในนิพพานนี้เลิศเลอสุดยอด ไม่ได้ว่าพอ เช่นอย่างเรารับประทานเราพอ เราอิ่มแล้ว นี่เป็นขั้นเป็นตอนของสมมุตินิยม แต่พอของวิมุตติต่างทั้งหลายมาก นิพพานคือความพอ พอหมด อะไรจะดีจะชั่วอะไรมันเป็นเรื่องสมมุติทั้งมวล เรื่องความเลิศเลอไม่มีสิ่งเหล่านั้น ไม่เหนือความพอของจิตที่บริสุทธิ์เป็นธรรมธาตุแล้วได้เลย
พากันปฏิบัติบ้างซิ มันเป็นยังไง พุทธศาสนาเรามันจะหมดต่อหน้าต่อตาของคนไทยทั้งชาติเวลานี้ ไม่มีใครสนใจละนะ การปฏิบัติกับศีลกับธรรมกับพระวินัย พระก็เหมือนกัน โยมก็เหมือนกัน เลอะ ๆ เทอะ ๆ ไปหมด เอาแต่ศาสนามาเป็นโล่บังหน้า เมืองไทยเราเป็นเมืองพุทธ เมืองพุทธหรือเมืองผีมันก็ไม่รู้นะเวลานี้ มันเป็นผีได้ทั้งคนทั้งพระเต็มบ้านเต็มเมือง มันละอายบาปที่ไหน ถ้าคนละอายบาปจะไม่ทำสิ่งที่โลกกระเทือนใจอย่างทุกวันนี้ มีอยู่เห็นไหมล่ะ ทำความกระทบกระเทือนแก่โลกให้ได้เห็นอยู่ประจำ ถ้ามันมีหิริโอตตัปปะมีธรรมในใจจะทำไม่ได้เลย ฆ่าตายก็ตายเฉย ๆ อย่าเข้าใจว่าจะไปทำ
ท่านผู้เชื่อธรรมท่านไม่ทำอย่างนั้น ผู้ไม่เชื่อธรรมทำได้ทุกอย่าง ไม่มีบาปมีบุญ ขอแต่ให้ได้อย่างใจเท่านั้นเป็นอำนาจบาตรหลวง เหล่านี้ใหญ่กว่าทั่วโลกดินแดน เราใหญ่กว่าเขาทั้งหมด ทั้ง ๆ ที่ตัวเท่าหนูจะว่าใหญ่ได้ยังไง ช้างมันใหญ่กว่าหนูเท่าไร ไม่เห็นพูด ว่าแต่หนูนี้จะใหญ่กว่าช้างไปได้เหรอ ที่เหนือหนูก็ยังมีช้าง ความสำคัญเป็นบ้าต่างหาก ความอวดเนื้ออวดตัว ความสำคัญมั่นหมาย นี้ของกิเลสทั้งนั้นนะ อยากใหญ่อยากโต อยากปรากฏชื่อลือนามให้เขายกยอสรรเสริญแล้วเป็นบ้าไป ออกนอกลู่นอกทางด้วยอำนาจป่า ๆ เถื่อน ๆ แล้วกุมอำนาจไปในตัวเสร็จว่าไม่มีใครรู้ใครเห็น เพราะไม่มีใครฉลาดยิ่งกว่าเรา ตัวจอมปราชญ์หรือจอมแปดอะไรก็ไม่รู้ล่ะนะ มันเป็นอย่างงั้นนะกิเลสความพองตัว ธรรมท่านไม่พอง ท่านจะพองหาอะไร
นี่การปฏิบัติธรรม ให้ท่านทั้งหลายพิจารณา นี่ก็เคยพูดหมดแล้ว หมดเปลือกแล้วนะที่มาสอนพี่น้องทั้งหลายไม่ปิดบังลี้ลับ ที่อยู่ในฐานะที่จะพูดได้เอามาพูดให้ฟัง ตามกาลเวลาที่ธรรมแง่ไหนจะออก จะออกได้ทุกเวล่ำเวลา ถ้าไม่ควรจะออกดึงก็ไม่ออก ธรรมเป็นอย่างงั้นนะ นี่เราสงสารจะตายกองกันนี้ไปอีกสักกี่กัปกี่กัลป์ หาที่ประมาณ หาที่ยึดที่เกาะไม่มีเลย จะไปยึดเกาะสิ่งเหล่านั้นทั่วโลกดินแดน มันพังด้วยกันหมด ถ้าธรรมแล้วไม่พัง ยึดตรงนั้นซิ
เฉพาะอย่างยิ่งหลักใจขอให้มี พุทโธ ธัมโม สังโฆ การภาวนาขอให้มีในใจจะเจอวันหนึ่ง ที่เป็นของแปลกประหลาดอัศจรรย์ภายในจิตใจของเรา เพราะธรรมแท้ ๆ อยู่ที่ใจนะ ไม่อยู่ที่ไหน ท่านสอนให้ภาวนา นั่นละแก่นของธรรมอยู่ที่นั่น มันจะหมดจริง ๆ นะ ศาสนา ยิ่งเลอะยิ่งเทอะ สุดท้ายพระมันก็พูดกันไม่รู้เรื่อง อย่าว่าแต่ประชาชน ประชาชนเขาก็เป็นอีกอย่างหนึ่ง พระเราเป็นผู้มีกฎมีระเบียบ เคารพนับถือกัน ควรจะปฏิบัติตามกฎตามเกณฑ์ตามอะไร มันเลอะเทอะไปหมด ไม่ได้สนใจ ธรรมวินัยก็ไม่มีเข้าไป มีแต่หัวโล้น ๆ ผ้าเหลือง ๆ มันเกิดประโยชน์อะไร
นี่ที่ศาสนาเสื่อม มันเสื่อมอยู่ตลอดเวลา ยิ่งบวชเข้ามามากด้วยความดื้อด้านหาญทำทุกอย่างที่ไม่เป็นอรรถเป็นธรรมด้วยแล้ว บวชมากเท่าไรก็ยิ่งทำศาสนาให้ล่มให้จมลงไปโดยลำดับลำดา สุดท้ายวัดก็เลยกลายเป็นวัดของโจรของมาร ของมหาภัยไปเท่านั้นซิ มันไม่เป็นวัดของพระของเณรผู้ปฏิบัติศีลธรรมนะ มันเป็นวัดของมหาโจรมหาภัย ผู้สร้างตั้งแต่ขวากแต่หนามแต่ฟืนแต่ไฟเผาโลกดินแดนให้เป็นฟืนเป็นไฟทั่วหน้ากันไปหมดแล้วนะ
ให้จำให้ดีนะคำนี้นะ วันนี้พูดแค่นี้ก่อน
อ่านและฟังพระธรรมเทศนาของหลวงตาวันต่อวัน ได้ที่
www.Luangta.or.th or www.Luangta.com
|