เทศน์อบรมฆราวาส ณ สวนแสงธรรม
เมื่อวันที่ ๒๐ ธันวาคม พุทธศักราช ๒๕๔๕ [ค่ำ]
ปฏิบัติธรรมห่วงเป็นห่วงตายได้ยังไง
พ่อตากับลูกเขยมักจะมีเรื่องกันอยู่เรื่อยละ แล้วก็ลูกสะใภ้กับย่า เณรน้อยกับหลวงตา สามคู่นี่มักเอากันจริง ๆ เป็นนิทานได้เลย นี่เราก็หูหนวกเข้าไปเรื่อย ๆ เราไม่ได้เอาเณรมาเลี้ยงไว้สักองค์ เวลาคนมาหาเราจะได้สวัสดี เดี๋ยวนี้หูชักหนวกแล้วนะ แต่ก่อนเวลามันจะเป็น นอนหลับ พอตื่นขึ้นมานี่หูดับหมดเลย มันไปนอนทับประสาทยังไงก็ไม่รู้นะ หูดับจริง ๆ เอ๊ ทำไมจึงเป็นอย่างนี้ ก็หูดี ๆ เวลาเป็นกลางคืนนอนตื่นขึ้นมานี้หูดับเลย ไม่ได้ยินเสียง จากนั้นมามันก็เรื่อย เลยกลายเป็นหูหนวกไปแล้วเดี๋ยวนี้ ไม่เห็นมันเปลี่ยน จะว่าหนวกเสียจริงๆ ก็ไม่ใช่ มันอยู่ในกึ่งกลางนั่นละ พอให้เณรรำคาญ แบบนี้แบบเณรรำคาญ
น่าจะไม่ต่ำกว่า ๖-๗ ปีละมั้งหูหนวกนี่ คงจะนอนทับประสาทอะไรอย่างงั้น จากนั้นมาก็ไม่ฟื้น ทีแรกดับจริง ๆ ครั้นต่อมาก็ถอยมาอยู่ในระดับนี้ละ ระดับเณรรำคาญ จะว่าหนวกจริง ๆ ก็ไม่ใช่ จะว่าไม่หนวกมันก็อยู่กึ่งกลาง พอสวัสดีลำบากว่างั้นเถอะ เรื่องของเณรกับหลวงตามันมีนิทาน พ่อตากับลูกเขยก็มี ลูกสะใภ้กับย่าก็มี สามคู่นี่มักเป็นละ ถือเป็นนิทาน
แปลกนะเรา ป ๓. มีแต่ ๓ ทั้งนั้นแปลกอยู่ เราก็เอามาพิจารณาอยู่ ถ้าว่าประถมก็ประถม ๓ เสีย นักธรรมก็ ๓ ตรี โท เอก เปรียญก็ ๓ พอใจเรียนเท่านั้น เปรียญเป็นจุดขาดตัวเลย ไม่มีข้อแก้ตัว พอสอบเปรียญ ๓ ประโยคจบแล้วขาดสะบั้นไปเลย เพราะตั้งสัจอธิษฐานจุดนั้นเท่านั้นเอง เพราะเราเรียนนี้เราเรียนเพื่อออกปฏิบัติ เราไม่ได้เรียนเพื่อชื่อเสียงอะไร ๆ ไม่เอาไม่สนใจ เรียนเพื่อออกปฏิบัติ ถึงขั้นมหาแล้ว การประพฤติปฏิบัติตามแผนการหรือตำรับตำราที่เรียนมาเรียกว่าไม่บกพร่อง แม้แต่นักธรรม ๓ ชั้นนี้ก็พอแล้วในการปฏิบัติ ชี้แจงแนวทางต่าง ๆ ในภาคปฏิบัติได้เป็นอย่างดีแล้ว
ส่วนเปรียญ ๓ ประโยคเหมือนว่าเป็นสิ่งเสริมกันไปเฉย ๆ ภูมิแท้ ๆ ภูมิปฏิบัตินี้อยู่นักธรรม ๓ ชั้นนี้หมดเลย เพราะฉะนั้นเวลาเรียนหนังสือที่เรียนบาลีกับเปรียญ จึงต้องจุดไว้เพียงแค่ ๓ ประโยค ถ้าได้นี้แล้วสมบูรณ์ หาทางสงสัยไม่ได้แล้วในภาคปฏิบัติว่าจะขัดข้องตำรับตำราตรงไหน ๆ ในภาคปฏิบัตินั้น เราแน่ใจหมดแล้ว เพราะฉะนั้นจึงตั้งจุดเอาไว้ว่า ได้ ๓ ประโยคเท่านั้นจะออกโดยถ่ายเดียว ไม่มีข้อแม้ ทีแรกนักธรรมก็ยังไม่ได้จบชั้น แต่เปรียญสอบไปตกไป นักธรรมได้ขึ้นไปเรื่อย ๆ เปรียญตกไม่ถอย นี่มันแปลกอยู่นะ เปรียญสอบตกไป นักธรรมสอบขึ้นมาได้มา หนุนกันขึ้น
จนปีสุดท้ายมันเลยได้พร้อมกัน นักธรรมเอกกับเปรียญ นักธรรมถึงจะไม่ได้ก็ตาม ขอให้ได้เปรียญออกเลย นักธรรมได้ชั้นไหนก็ตาม เรากำหนดไว้เรียบร้อยหมดแล้ว สอบเปรียญตกไปเรื่อย ๆ สอบนักธรรมตามกันไป นักธรรมเลยได้ไปเรื่อย ๆ พอดีถึงวาระสุดท้าย สอบนักธรรมก็ได้ เปรียญก็ได้พร้อมกัน ออกเลย จึงไม่มีปัญหาอะไรเลย ตามธรรมดาก็เรียกว่าไม่มี ถ้าลงได้เปรียญ ๓ แล้วหมดปัญหา ออกเลย นักธรรมได้แค่ไหนก็ตาม เพราะเราแน่ใจในภูมิของเราที่จะออกปฏิบัตินี้ไม่ขัดข้องแล้ว เท่าที่ศึกษาเล่าเรียนมา พอดีมันก็ได้ทั้งเปรียญ ๓ ประโยค ทั้งนักธรรมเอก ตรี โท เอก นี่ที่ว่า ๓ ชอบกลนะ มีแต่ ๓ เรื่อย
พอหยุด หยุดเลยนะ นิสัยอันนี้มันไม่เหมือนใครว่าหยุด ๆ เลย หยุดเรียนหยุดเลย ไม่เอา มีแต่เร่งปฏิบัติเท่านั้น พุ่ง ๆ เลย เรื่องผ่านไปเรียบร้อยแล้ว เราจะดูหนังสืออะไรเราก็ดูได้ตามสบาย ดูไม่มีขอบมีเขต ดูไม่มีข้อบังคับ ว่างั้นเถอะ ดูตามอัธยาศัยเฉย ๆ แล้วหายสงสัยเลยนะ ตั้งแต่วันสอบเปรียญ ๓ ได้แล้วออก จะสงสัยในการศึกษาเล่าเรียนได้มากได้น้อย หมดทันทีเลยตามคำอธิษฐาน จนกระทั่งทุกวันนี้ไม่เคยสนใจ พอแล้ว เข้ากันได้กับคำอธิษฐาน ขาดสะบั้นกันเลย คนละฝั่งไปเลย
ส่วนสมณศักดิ์นั้นเราพูดจริง ๆ เราไม่สนใจนะ ไม่เอา คิดดูตั้งพระครูให้ทีแรก ปัดคืนเลย ไม่เอา เป็นพระครูสัญญาบัตร เพราะเป็นเปรียญแล้วตั้งสัญญาบัตรไปเลย ปัดคืนเลย ไม่เอาเลย คิดดูตั้งแต่ในหลวงพระราชทานพัดพระครู เป็นพัดสัญญาบัตร จะไปรับในพระราชวัง ไม่ไปนะ มันก็ดื้อแบบหนึ่งเหมือนกัน เราก็พิจารณาย้อนหลัง วัดบวรฯที่ว่า เลขาธรรมยุต เจ้าคุณวิชชมัยอะไรนี่ละ เอาหนังสือมายื่นให้เราให้ไปรับพัดในพระราชวังวันนั้น ว่างั้น ดูว่าห่างกันไปสามวันก็ถึงวันรับพัด พอจดหมายมาเราก็ปุ๊บปั๊บเตรียมของเปิดเลย กลับอุดร ไม่เอา ไปก่อนเลย
ทางวัดบวรฯ นี้ก็ไม่ถอย เขียนจดหมายจี้ไปหาเจ้าคณะจังหวัดให้เอาเรากลับมารับพัด แล้วดุไปทางนู้นด้วย เจ้าคณะจังหวัดวิ่งมาหาเรา ถูกดุใหญ่มาแล้วจากทางนู้นแหละว่างั้น ดุอะไร ดุเรื่องรับพัด ทางนู้นจดหมายมาแล้ว ทำไมถึงออกมาเสียล่ะ ไม่ออกยังไง แก้ปุ๊บปั๊บ ก็เราคันหมดทั้งตัวนี่ หมาขี้เรื้อนแตกฮือ ๆ ไปทางไหน จะไปได้ยังไง เอาหมาขี้เรื้อนเข้าไปพระราชวังมันสมเหตุสมผลเหรอ แก้ตรงนั้น หมาขี้เรื้อน เราคัน มันไปฉันอาหารทะเลละท่า อยู่กรุงเทพฯ มันเลยคัน เอานั้นละเป็นข้อแก้ตัว ทางนู้นก็มาขู่เรา เจ้าคณะจังหวัดท่านเจ้าคุณธรรมบัณฑิตนี่เองจะเป็นใคร มาขู่เรา เราก็ขู่เอาซิก็พวกเดียวกัน
ก็บอกท่านป่วยท่านมาไม่ได้แล้ว ท่านรีบกลับเพราะท่านไม่สบาย ท่านก็เลย เอ้อ ได้ข้อแก้ตัวก็จะบอกไป แล้วก็เงียบไป เป็นอันว่าแล้วไป ไม่รับ จากนั้นก็สั่งไปหมดทุกอย่าง ตัดขาด ตำแหน่งพระคงพระครูไม่เอาทั้งนั้น ยกเลิก ไปบอกอย่างงั้น ตลอดนิตยภัตเงินเดือนพระอะไรตัดหมดเลยไม่เอา ทางกรมศาสนาเขาก็บอกมา อนุโมทนาในเนกขัมมะของท่าน จากนั้นก็เลิกกันไปเลย อยู่ ๆ มาฟาดขึ้นเจ้าคุณชั้นราชเลย มันยังไงกันอีก เรื่องราวที่รับก็เห็นแก่ทั้งสองพระองค์นะ จะเสียพระทัยมากถ้าไม่รับ เพราะตั้งไม่ได้ตั้งเจ้าคุณขั้นสามัญ ตั้งขึ้นชั้นราชเลย ทั้งสองพระองค์พร้อมใจกัน ไม่ผ่านมหาเถรสมาคมเลย ตั้งผ่านไปเลย นี่ถ้าเราไม่รับท่านจะเสียพระทัยมาก เราจึงรับให้ เรื่องราวเป็นอย่างนั้น
ครั้งที่สองมานี้เอาอีก ฟาดข้ามชั้นเทพ ขึ้นชั้นธรรม คราวนี้ก็เอาบ้างแหละเรา ว่าให้ผู้ใหญ่ อย่าทำอย่างนี้นะ นี่เราทนมาแล้วนะ คราวนี้พูดตกลงกันอย่าทำอีกนะ เราหนักพอแล้ว เราไม่อยากยุ่งกับสิ่งเหล่านี้ เราแก่แล้ว นี่มันถึงชั้นธรรมแล้ว จากธรรมก็พรหม ศาสนโสภณ ขึ้นสมเด็จ ข้ามนี้ก็จะเป็นสมเด็จแล้วนะ ไม่เอานะ ตั้งแต่นี้มันก็หนักพอแล้ว ก็คิดดูชั้นราชเท่านั้นยังให้ไปฉันในพระราชวัง อันนี้เราก็ไม่ไป เราก็ดื้อไม่ไปเลย ให้พระชั้นเดียวกันไปฉันแทน ที่ไหนไปเถอะ ขึ้นชั้นธรรม เอาอีก ยิ่งหนักเข้า หนักเข้าก็หนักเข้าอีก เราก็ไม่ไปอีก ดื้อรั้นอยู่อย่างงั้น ไม่เอา ผ่านมารับเฉย ๆ หมู่เพื่อนทั้งหมดที่เป็นชั้นเดียวกันต้องเข้าไปพระราชวัง เราไม่เข้าองค์เดียวเท่านี้ ไม่เข้าตลอดเลย แล้วจะมาตั้งสมเด็จอีก โอ้โฮ
ก็ท่านส่งเสริมให้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ เพื่อเป็นกำลังใจปฏิบัติศาสนา ท่านไม่ได้ส่งเสริมให้เป็นบ้า ดินเหนียวติดหัวก็ว่าตัวมีหงอนไปเสีย เป็นบ้าไปเลย ท่านไม่ได้ตั้งเพื่ออันนั้น เราก็ไม่ได้รับเพื่อเป็นบ้า เพราะฉะนั้นถึงได้ค้านกันซิ ก็เราไม่ต้องการ ยศพระนี่มันเต็มยศแล้ว จะเอายศไหนมาเก่งกว่ายศพระอีก พระพุทธเจ้าก็พระ พระสาวกก็พระ แน่ะ เราตัวเท่าหนูก็บวชมาเป็นพระแล้ว เราก็พระ ก็เท่านั้นเอง จะเอาอะไรอีก อะไรก็เหมือนกัน เปิดออกหมดแล้ว จะเอาอะไรในโลกอันนี้
พูดให้มันชัดเจนท่านทั้งหลายฟังเสียนะ รสของธรรม อำนาจของธรรมเลิศเลอขนาดไหน มันกลายเป็นถังขยะไปหมดเลย พูดให้ฟังชัด ๆ อย่างนี้ ถอดออกมาจากหัวใจมาพูด ไม่ได้มาโกหกนะ เพราะฉะนั้นใครจะมาตำหนิติเตียนอะไร ๆ โดนโจมตีแบบไหน ๆ มันจึงไม่สนใจ ประสาถังขยะ ว่างั้น เขาจะยกเมฆมาชมเชยก็แบบเดียวกัน สิ่งเหล่านี้เป็นสมมุติ เรียกว่าอยู่ในขั้นถังขยะทั้งนั้น ถังขยะขั้นดี ถังขยะขั้นเลว อะไรก็แล้วแต่จะว่ากันไป เราไม่สนใจ มีแต่ว่าถังขยะเท่านั้นพอ อย่าเอามายุ่ง ก็เหมือนกับทองคำแท่งน้ำหนัก ๑๐ กิโล อิฐก้อนหนึ่งน้ำหนัก ๑๐ กิโล ทั้งสองอย่างนี้จะว่าอะไรดี เอ้า ยกทองคำน้ำหนัก ๑๐ กิโล อิฐก็ ๑๐ กิโลเหมือนกัน มันหนักเท่ากันจะเอาอันไหน ไม่เอา ไม่ยก มันหนักด้วยกันเท่านั้นพอ
ไม่ว่าความชมเชย ไม่ว่าความสรรเสริญ มันก็เทียบกับทองคำทั้งแท่งและอิฐนั่นแหละ น้ำหนักมันก็เท่ากัน เมื่อไม่รับมันก็ไม่รับทั้งหมดเพราะมันเท่ากัน สมมุติด้วยกัน สมมุติอันหนึ่งฝ่ายดี อันหนึ่งฝ่ายชั่วเท่านั้นเอง แต่มันก็เป็นสมมุติ อันนั้นเป็นยังไง ไม่หนัก คือไม่ยก สบายดี ไม่ยุ่งกับอะไรเลย ใครจะยกยอสรรเสริญอะไรก็เท่าเดิม ใครจะมาตำหนิติเตียนอะไรก็เท่าเดิม ไม่เห็นมีอะไรแปลกต่างกัน เพราะของเศษของเลยจากหลักธรรมชาติที่แท้จริงแล้ว ซึ่งไม่มีอะไรเสมอเหมือนเลย จะไปหาคว้าอะไร มูตร ๆ คูถ ๆ ว่างั้นมันเต็มยศนะ อยู่ที่ไหนสบายไป ๆ วันหนึ่ง ๆ เท่านั้นเอง
ดูลมหายใจเท่านั้น เหอ ไปไม่ไหวหรือ ดีดผึงเดียวเลย มีเท่านั้น เรื่องสมมุติทั้งหลายจึงได้ประมวลมาว่า มาอยู่ในขันธ์นี้เท่านั้น นอกนั้นไม่มี อยู่ในขันธ์ คือขันธ์นี้ถึงไม่ยึดมันก็ตาม ความเจ็บปวดแสบร้อน เจ็บท้อง ปวดศีรษะ อะไรนี้เป็นเรื่องของขันธ์แสดงๆ ถึงไม่ยึดมันก็ผ่านให้รู้ ๆ รับทราบ ๆ แน่ะ มันก็เหมือนกันกับโลกทั่วไป แต่ต่างกันที่ว่ายึดหรือไม่ยึดเท่านั้นเอง อันหนึ่งเพียงรับทราบ เป็นสัญชาติญาณที่รับผิดชอบในขันธ์นี้จะต้องปฏิบัติกันไปเท่านั้นเอง ส่วนยึดหรือไม่ยึด ความรับผิดชอบมันก็มีเหมือนกัน โดยสัญชาตญาณนะ จะว่าตั้งหน้าตั้งตาสงวนรักษาก็ไม่ใช่ มันหากเป็นหลักสัญชาตญาณอย่างนั้น
เราจะเห็นได้อย่างชัดเจน ขันธ์ของพระอรหันต์ กับธาตุขันธ์ของคนปุถุชนธรรมดานี้ ในสัญชาติญาณที่รับผิดชอบมีด้วยกัน เช่นเราเดินไปลื่นจะหกล้ม ทั้งปุถุชนทั้งพระอรหันต์จะไม่ล้มอย่างง่ายดาย จะต่อสู้ต้านทานกัน ไม่ควรล้มไม่ให้ล้ม ป้องกันตัวตลอด จนกระทั่งถึงสุดท้ายป้องกันตัวไม่ไหวก็ยอมล้มไป เช่นเดียวกับปุถุชน เมื่อลื่นนี้กลัวล้ม มันก็ต้องต้านทานใช่ไหม พลิกนู้นพลิกนี้จนไม่ไหวมันถึงยอมล้ม ถ้าไหวไม่ยอมล้ม พระอรหันต์ก็เหมือนกัน นี่สัญชาตญาณอันนี้เป็นเหมือนกัน
ต่างกันภายในจิต จิตของปุถุชนนี้จะร้อนวูบไปหมด ตกอกตกใจ ลื่นมันจะหกจะล้ม หรือเดินก้าวไปเหยียบรากไม้ มันคดมันงอเหมือนงู นึกว่าเป็นงูกำลังจะก้าวเหยียบลง โดดผึงเลย เป็นสัญชาติญาณ จะว่าท่านตื่นท่านเต้นในหัวใจท่าน ท่านไม่มี หากมีอันหนึ่งระหว่างขันธ์รับผิดชอบกัน ดีดกัน หลีกกัน ป้องกันตัวอยู่ในของกันและกันในขันธ์นั้นแหละ ที่ไม่ผิดกันก็คือหัวเราะ ก็คือขันธ์ น้ำตาร่วงก็คือขันธ์ เป็นเรื่องของขันธ์ล้วน ๆ แต่ที่ท่านให้ชื่อให้นามว่าพระอรหันต์ ท่านบอกว่า ท่านปลงธรรมสังเวช ไม่เรียกว่าร้องไห้ เพราะท่านไม่มีอะไรในจิต เป็นแต่ขันธ์แสดงกิริยาต่างหาก เป็นกิริยาออกมา เช่นสลดสังเวช จะให้ร้องไห้ด้วยความเสียใจเหมือนคนทั้งหลายไม่มี ท่านมีธรรมสังเวช น้ำตาร่วงออกมา เรียกว่าขันธ์แสดงตัว เพียงเท่านั้น
จิตใจไม่มีอะไรกระเทือน นับแต่กิเลสขาดสะบั้นลงไปแล้ว บริสุทธิ์สุดส่วนแล้วเพียงเท่านั้นพอ ไม่มีอะไรจะแสดงต่อไปอีกเลย หมดโดยประการทั้งปวงตลอดไปด้วย นี่ที่มันเหมือนกันระหว่างปุถุชนกับพระอรหันต์ก็คือ สัญชาตญาณที่ป้องกันตัวเป็นหลักธรรมชาติของขันธ์ของพระอรหันต์ที่มีอยู่ในนั้นเอง แม้ไม่ยึดก็มี มีอยู่ในนั้น เช่นลื่นอย่างนี้ ก็เหมือนเรา พลิกตัวปั๊บถ้าไม่ควรให้ล้ม ไม่ยอมล้ม จนกว่าสุดวิสัยถึงจะยอมล้มเหมือนกับคนทั่ว ๆ ไป เป็นอย่างงั้น หรือไปเหยียบอะไรที่น่าตื่นเต้น เช่นเหมือนกับงูเหยียบลงไปนึกว่างู โดดผางเลย เป็นเหมือนกัน
แต่ภายในต่างกัน คือท่านไม่ตื่นเต้น ท่านไม่ตกใจเหมือนปุถุชนเรา ที่ทั้งตื่นเต้นตกใจ บางทีร้องเวิกวาก ๆ มันแสดงทั้งจิตทั้งขันธ์ ส่วนท่านมีตั้งแต่เรื่องของขันธ์ล้วน ๆ มันต่างกันที่ตรงนี้ ขันธ์นี่เป็นวาระสุดท้ายที่ว่ารับผิดชอบ ยังรับทราบกันอยู่ นอกจากนั้นหมดไปโดยประการทั้งปวงไม่มีอะไรเหลือ แต่ขันธ์นี้มีอยู่ เช่นเจ็บท้องปวดหัว เจ็บไข้ได้ป่วย เย็นร้อนอ่อนแข็ง รับทราบตลอดเวลา นี่แหละที่ให้รับทราบ ถึงไม่ยึดก็รับทราบๆ จะว่ากวนหรือ ธรรมชาตินี่เขาก็ไม่ว่าเขากวนใจนะ ใจเองก็ไม่ไปคิดยกโทษยกกรณ์ว่าเขากวนเรา หากเป็นทางผ่าน อันนั้นเขาก็ผ่านไปตามกิริยาของเขา ผู้รับทราบก็รับทราบตามอาการอันนั้นเท่านั้นเอง ก็มีเท่านั้น ไม่เห็นมีอะไร
ให้มันประจักษ์กับจิตใจ จะไม่ถามใครทั้งนั้นธรรมของพระพุทธเจ้า จึงเรียกว่าเลิศเลอ ยังไปถามนู้นถามนี้ ยุ่ง ไม่ใช่ ไม่เคยเจอ เจอเข้าปั๊บนี่รู้ทันที ดังที่ยกกัณฑ์เทศน์ขึ้นมาเทศน์ที่โรงเรียนอุดมศึกษานั่นก็เหมือนกัน ที่ว่าอย่างศาลาหลังเราเทศน์ ไม่เคยเห็นก็ตาม ใครมาเห็นไม่ต้องถามกัน แต่ก่อนก็คาดคะเนด้นเดา เพราะยังไม่เห็น พอไปเจอเข้าจริง ๆ แล้ว อ๋อ ศาลาหลังนี้หลังเล็กหลังใหญ่ กว้างแคบขนาดไหนมองปั๊บไม่ต้องไปถามใคร รู้เลย ไม่ต้องไปถามหาช่งหาช่าง เพราะศาลาหลังนี้ก็มีอยู่อย่างนั้น ไปเจอเข้าตามความมีอยู่มันก็หายสงสัย
อันนี้สิ่งทั้งหลายที่มีอยู่ พอจิตเข้าไปสัมผัสพับก็เหมือนเราเจอศาลา จะไปทูลถามพระพุทธเจ้าหาอะไร นี่ก็จะไปถามหาช่างหาอะไรที่ไหน ก็เห็นอยู่ต่อหน้าต่อตา เข้าไป อ๋อ ศาลาหลังนี้ ดูนั้นดูนี้ หายสงสัยแล้วว่าศาลามีหรือไม่มี มันก็เห็นชัด ๆ ก็มีแต่ดูศาลาเป็นยังไงต่อยังไงเท่านั้นเอง ธรรมของพระพุทธเจ้าก็เหมือนกัน ไม่เคยเห็นก็ตาม เจอปั๊บก็เหมือนกัน กับไปเจอศาลา หายสงสัยทันทีเลย
เรายิ่งจวนตายมาเท่าไร แทนที่จะห่วงตัวเองไม่ได้ห่วงนะ ห่วงโลกชาวพุทธเรามากทีเดียว เฉพาะอย่างยิ่งในเมืองไทยของเรา มองดูแล้วมันดูไม่ได้ ว่ามันตรง ๆ อย่างนี้เลย ถ้าหากพูดแบบโลกก็เรียกว่า หลับตาดู ปิดหูฟังเอา จึงพอไปได้ แต่ธรรมท่านไม่ได้รำคาญ ท่านไม่กระทบกระเทือน มียังไง ๆ ท่านก็เห็นตามความจริง แล้วเหมือนไม่มี ๆ เพียงเท่านั้น ท่านไม่ไปหยิบมาเพิ่มมาเติม มากระทบกระเทือนตัวเอง เป็นแต่เพียงว่าทราบ ๆ เหมือนขันธ์ของท่านที่แสดงอาการเจ็บปวดแสบร้อนประการใด ท่านเพียงรับทราบ ๆ ธรรมดานี่เหมือนกันกับภายนอก เป็นอย่างนั้น
นี่ละจึงให้พากันสนใจกับจิตให้มากนะ จิตนี้ตัวสมบุกสมบัน เกิดตายตกนรกหมกไหม้ ขึ้นสวรรค์ชั้นพรหมมากี่ครั้งกี่คราวนับไม่ได้นะแต่ละรายๆ เจ้าของไม่รู้ก็เหมือนไม่มี ๆ ให้กิเลสหลอกไปเรื่อย ตกไปเรื่อยอยู่งั้น ฟังให้ดีคำนี้ ท่านทั้งหลายเคยได้ยินไหม มาโกหกท่านทั้งหลายเหรอ พระพุทธเจ้าก็เคยตกนรกหมกไหม้ ขึ้นสวรรค์ชั้นพรหมเหมือนกับโลกทั่ว ๆ ไป ตั้งแต่ยังไม่รู้จักเดียงสาภาวะก็เป็นแบบเดียวกันมาตลอด จนกว่าท่านได้บำเพ็ญบารมี ปรารถนาโพธิญาณนี้สร้างบารมีเข้าเรื่อย ๆ ๆ ขึ้นสวรรค์ขึ้นเรื่อย เรื่องนรกจางไป แต่ก่อนก็เหมือนกัน เหมือนกับขึ้นบันไดนั้นแหละ ไม่ได้ผิดกัน เหมือนกันหมดเลย
พอได้หลักได้เกณฑ์ทีนี้ทางด้านต่ำก็ห่างไป ๆ ทีนี้ขึ้นเลย ไม่ลง ๆ เรื่อย ได้ตรัสรู้แล้วก็ผึงเลยไปเลย ไม่มีลง และพ้นไปด้วย เวลายังไม่รู้เหมือนกันกับเรา พระพุทธเจ้าทุกพระองค์สมบุกสมบันมาแบบเดียวกันหมด จนกระทั่งได้บำเพ็ญพระบารมี พอวาสนาแก่กล้าสามารถแล้ว บรรลุเป็นพระอรหันต์ขึ้นมา ตัดขาดกันเลยที่นี่ เรื่องความทุกข์ทั้งมวลที่อยู่ในสมมุตินี้หมดโดยสิ้นเชิง หลังจากกิเลสที่เป็นตัวสมมุติก่อสร้างเหตุการณ์ต่าง ๆ ขึ้นภายในใจขาดสะบั้นลงไปหมด ไม่ต้องไปถามใคร พระพุทธเจ้า พระอรหันต์ท่านไม่ถามใคร แบบเดียวกัน รู้อย่างเดียวกัน ท่านจะถามใครที่ไหน พระพุทธเจ้าเป็นองค์เช่นไรก็ไม่ถาม พุทธะแท้คืออะไร
ก็เหมือนท่านหยั่งน้ำมหาสมุทรด้วยกันแล้ว หยั่งแม่น้ำมหาสมุทรมันก็เหมือนกันหมดเลย หยั่งลงไปตรงไหนก็มหาสมุทรอันเดียวกันหมด แล้วจะสงสัยที่ไหน พอจิตได้ถึงนั้นปึ๋งแล้วก็เท่ากับถึงมหาวิมุตติ มหานิพพาน ซึ่งเทียบกับมหาสมุทรทะเลหลวง หายสงสัยทันที ไม่มีอะไรที่จะเป็นข้อระแวงสงสัยในการเกิดการตายของตนต่อไปนี้เป็นยังไง ขาดสะบั้นลงเห็นชัดเจนแล้ว ที่เคยเกิดเคยตายมากี่กัปกี่กัลป์ ตกนรกหมกไหม้ ขึ้นสวรรค์ชั้นพรหมนี้ขาดไปหมดเลย พอกิเลสตัวสร้างภพสร้างชาติให้เกี่ยวโยงกัน ภพนี้ภพนั้นตลอดมานี้ขาดลงไปจากใจ
ใจก็ขาดสะบั้นลงไปจากนั้นแล้ว เป็น สนฺทิฏฺฐิโก สุดยอดเสียด้วยนะ คือรู้เห็นเองอย่างประจักษ์ในธรรมอย่างสุดยอดเลย เพราะฉะนั้นบรรดาพระสาวกทั้งหลายจึงไม่ทูลถามพระพุทธเจ้า เพราะ สนฺทิฏฺฐิโก พระองค์ประกาศไว้แล้ว ผู้ปฏิบัตินั้นแล จะเป็นผู้รู้เองเห็นเองในผลของตนเป็นลำดับ เมื่อถึงขั้นสุดยอดแล้วก็เห็นอย่างสุดยอด มันก็หายสงสัยทุกอย่าง ทีนี้เรื่องว่าเกิดว่าตาย ได้รับความทุกข์ความลำบาก ระโยงระยางภพนี้ภพหน้าต่อไปอย่างนี้ ท่านหมด ขาดสะบั้นไปหมดเลย ทุกข์จึงไม่มี แม้แต่ภพชาติที่ท่านยังทรงพระชนม์อยู่ อย่างพระพุทธเจ้าท่านยังทรงพระสรีระอยู่เหมือนเรา เหมือนพระอรหันต์ทั้งหลาย ท่านก็รับทราบเพียงขันธ์ดังที่ว่านี่ มันเป็นในขันธ์เท่านั้น ไม่มีอะไรเป็นเงื่อนต่อไปที่จะพาให้ไปเกิดในภพนั้นภพนี้ต่อไป ท่านหมด ขาดสะบั้นไปจากใจแล้ว คือกิเลสขาดลงนั้นน่ะ ตัวสร้างภพสร้างชาติคือกิเลส
พอตัวนี้ขาดลงไป นั้นก็จ้าขึ้นมา ความสุดสิ้นทุกอย่างขาด ขึ้นชื่อว่าสมมุติสุดสิ้นหมดโดยประการทั้งปวง ท่านจึงยกเป็นภาษาบาลีขึ้นว่า ทุกฺขํ นตฺถิ อชาตสฺส ทุกข์ย่อมไม่มีแก่ผู้ไม่เกิด จะเกิดภพใดก็ตาม เรื่องความทุกข์จะมีแทรกอยู่มากน้อยตามภพหยาบและละเอียด ถึงจะไปเกิดสวรรค์ พรหมโลกก็ตาม ความทุกข์ที่เราอยู่ในแดนสมมุติด้วยกันนี้จะมีมากน้อยตามภูมินิสัยวาสนาของตนอยู่ เพราะยังอยู่ในแดนสมมุติ พอพ้นจากนี้ไปแล้วหมดโดยสิ้นเชิงไม่มีอะไรเหลือเลย ท่านจึงไม่มาเกิด กิเลสพาให้เกิด
พอกิเลสสิ้นลงไปจากใจแล้ว ตัดสินในเดี๋ยวนั้นเลย ไม่ต้องเอาใครมาเป็นสักขีพยาน ตัดสินในหลักธรรมชาติ จะว่าเจ้าของตัดสินเองก็ไม่ใช่ หลักธรรมชาติตัดสินเอง ขาดสะบั้นลงไปนี้จ้าไปหมดเลย เราเคยเห็นเมื่อไร เมื่อเจอเข้าไปแล้วสงสัยอะไร หมดความสงสัยทันที มีแต่ความเลิศเลอ จะเทียบกับอะไรเทียบไม่ได้เลย เพราะสิ่งเหล่านั้นเป็นสมมุติทั้งมวล จะเลิศเลอขนาดไหน อันนี้เหนืออยู่แล้ว ๆ จะเป็นสมมุติขั้นใดภูมิใด สูงขนาดไหน ธรรมชาตินั้นเหนืออยู่แล้ว เหนืออยู่ตลอดเวลา
คือไม่เหมือนอะไรเลย ในสามแดนโลกธาตุนี้ ธรรมชาติอย่างงั้นจะไม่มีเหมือนอะไรเลย จึงเทียบกับอะไรไม่ได้ ถ้าว่าจะแยกออกมาพูดไม่ได้นะ แต่ความรู้นั้นหากไม่มีสงสัย ความรู้ของท่านผู้เป็นอย่างนั้นแล้ว หายสงสัยในปัจจุบัน ทุกสิ่งทุกอย่างหายหมดโดยสิ้นเชิงไม่มีอะไรเหลือเลย เพราะคำว่าสงสัยก็เป็นสมมุติ มันก็หายไปพร้อมกัน หมดไม่มีเหลือ นั่นแหละที่ว่าท่านว่า นิพพานเที่ยง จิตดวงนี้เมื่อสมมุติขาดสะบั้นไปหมดแล้ว ก็เที่ยงแหละ ตั้งแต่ก่อนสมมุติยังมีอยู่มันจึงไม่เที่ยง คือพาให้ไปเกิดที่นั่นที่นี่ แต่ไม่ฉิบหายนะ จิตดวงนี้ไม่สูญ ทุกข์ขนาดไหน เช่นไปทำบาปทำกรรม และพาตกนรกหมกไหม้ นานเท่าไรก็ยอมรับว่าทุกข์ ๆ แสนสาหัสก็ยอมรับ แต่ไม่ฉิบหายคือจิตดวงนี้
จากนั้นพอโทษเบาบางลงไปๆ พลิกภพพลิกชาติไปเกิดใหม่ขึ้นมาแล้ว มันก็ไปเกิดของมันไปอยู่เรื่อย เกิดแล้วก็ตาย เข้าไปสวมในอัตภาพใด เป็นทิพย์ก็ตาม เป็นวัตถุคือคน คือสัตว์นี้ก็ตาม หมดสภาพมันก็ตาย เรียกว่าตาย ๆ แต่จิตไม่เคยตาย นี่แหละเรียกว่านักท่องเที่ยวคือจิต ทีนี้พอกิเลสตัวพาให้เกิดให้ตายได้ขาดสะบั้นลงไปแล้วหมด นี่ละอันนี้ก็ไม่สูญ หากเป็นธรรมธาตุไปแล้ว เลิศเลอสุดยอด พูดไม่ถูกเลย จะว่ามีอยู่อย่างเราพูดกันนี้ ก็พูดไม่ได้แล้ว สูญไปไหน มีอยู่ยังไง พูดได้แต่เพียงว่าอยู่ในท่ามกลางที่พูดไม่ได้นั้นแหละ แต่ท่านไม่สงสัย นั่นละละเอียดขนาดนั้น ไม่มีอะไรสงสัยเลย
แต่จะเอามาเทียบกับสมมุติไม่ได้ เพราะอันนั้นเป็นวิมุตติ อันนี้เป็นสมมุติ เทียบกันไม่ได้แหละ เราจึงได้เห็นคุณค่าของการบำเพ็ญคุณงามความดีมาเป็นลำดับ ที่ว่านี้จนกระทั่งถึงสุดขีด สุดขีดแห่งความสุข เรียกว่าสุดขีดแล้วความสุข ไม่มีอะไรจะเลยนั้นอีกแล้ว ได้ก็เพราะการบำเพ็ญ การตะเกียกตะกาย ผลไปจากนี้ทั้งนั้น จากเหตุคือการบำเพ็ญหนักเบามากน้อย ผู้มีความเข้มแข็งอดทนมากก็ย่นทางเข้ามาๆ ทางวัฏจักร จะเกิดกี่ภพกี่ชาติก็ย่นภพย่นชาติเข้ามา สั้นเข้ามา หดเข้ามา พอบารมีแก่กล้าเท่าไรทางนั้นก็หดเข้ามา กระทั่งถึงที่แล้วบรรลุปึ๋งแล้วขาดสะบั้นเลย ภพชาติไม่มี นั่นเรียกว่าหมดการท่องเที่ยว ไม่มีเหลือ เวลานี้ยังพาเกิดอยู่นั้นแหละ พาเกิดพาตาย
พอพูดอย่างนี้แล้วก็เคยได้พูด ในหนังสือก็มีนี่นะ ก็เป็นตัวของเราเองจะว่าไง บำเพ็ญเพียรภาวนาอยู่ในป่าในเขา หมุนติ้ว ๆ ทั้งวันทั้งคืน แล้วก็ไปเป็นโรค เขาเรียกว่าโรคอะไร จะว่าโรคระบาด เวลาเป็นกับเรามันไม่ใช่ เป็นสองวันตาย สามวันตาย ขนเข้าไปป่าเช้า กุสลา ธมฺมา เลยไม่ได้กลับที่พัก พอกุสลานี้เสร็จ เอ้า หามมาแล้ว เอากันมาอีกแล้ว เลยกุสลาต่อ วันมากวันละ ๘ ศพ วันน้อยวันละ ๓ ศพ มันก็พอแล้วแหละ มันจะมาที่พักได้ยังไง พระแถวนั้นก็ดูไม่ค่อยมีเสียด้วยนะ เราจึงลำบากมาก สองวันตาย สามวันตาย มันคงจะเป็นดินฟ้าอากาศเป็นพิษยังไงก็ไม่ทราบแถวนั้นนะ แถวที่เราไปพัก ที่เขาตายกันมาก ๆ ตายไปเหมือนกันกับโรคอหิวาต์ โอ๋ย ขนกันออกมา ทีนี้เราก็นั่งกุสลา โอ้ รำคาญเหมือนกัน
จิตใจเราก็หมุนติ้วๆ ต่อธรรมทั้งหลายไม่มีเวลาว่างเลย ทีนี้เขาก็มาตาย อาศัยเรา กุสลา โอ๊ย ทำยังไง ก็ต้องบืนไป จนกระทั่งจะไม่ได้กลับที่พัก มันตายไม่ขาดวรรคขาดตอน พอจากนั้นมาแล้วเราก็เป็นขึ้นที่นั่น เป็นขึ้นอยู่ในป่าช้านะ มีลักษณะเจ็บ ๆ ข้างใน เจ็บเสียดแทง อ้าว แปลก ๆ มันเป็นยังไงนี่นะ อย่างรวดเร็วเสียด้วย เพราะฉะนั้นคนถึงสองวันเท่านั้นตาย สามวันตาย มันรวดเร็ว พอเป็นมันก็เสียดแทงเข้าในหัวอก หายใจแรงก็ไม่ได้ เหมือนหอกเหมือนหลาวทิ่มเข้าไป ยิ่งจามด้วยแล้วสลบไปเลยนะ ไม่ใช่ธรรมดา
พอมันปรากฏขึ้นอย่างงั้น เราก็เลยรีบบอกเขาเลย โอ๊ยนี่ไม่ได้แล้วโยม อาตมาเป็นอย่างโยมเป็นแล้วเวลานี้ เริ่มอยู่ในหัวอกนี่ รวดเร็วมากนะ อาตมาจะอยู่ไม่ได้จะได้รีบกลับละที่นี่ จะไม่กลับมาอีก บอกตรงๆ เลย เขาก็เห็นใจเหมือนกัน พอเราว่างั้น เขาก็เปิดทางให้เลย เราก็ไป พอไปก็เตรียมพร้อมเลย ยังไงเราก็ต้องตายเหมือนเขาถ้าไม่เก่ง เก่งก็หมายถึงจิตตภาวนาของเรา เพราะเรามีจิตตภาวนา เขาไม่มี เขาตายแบบลม ๆ แล้งๆ ตามบุญตามกรรม เราตายแบบนักสู้ในสงคราม เราไม่ได้ตายแบบเขา ตายบนเวทีเลยว่างั้นเถอะ
ไปมันหนักเข้า ๆ จริง ๆ โอ๊ยหายใจแรงก็จะไม่ได้ อ๋อมันเป็นอย่างงี้เองๆ รู้ล่ะ พอเรากลับไปวัด ไม่นานเขาก็หลั่งไหลไปหา พอดีค่ำนั่นแหละ คนนี้กลับคนอื่นยกกันมาทั้งบ้านเลย มาล้อมเราทั้งบ้านเลย เต็มไปหมด อ้าว พวกนี้จะมาสร้างความกังวลให้เราอีก เรากำลังขึ้นเวที ฟัดกับความทุกข์ทรมานทั้งหลายซึ่งเราเคยผ่านมาแล้ว ตั้งแต่สมัยนั่งตลอดรุ่ง ความทุกข์ทรมานทั้งหลายรู้สึกว่าจะรวมอยู่ในเวลาเรานั่งภาวนาตลอดรุ่ง ๆ ทั้งนั้นเลยนะ นอกจากนั้นเราก็ไม่เห็นร่างกายของเราจะได้รับความทุกข์ทรมาน มากยิ่งกว่าการนั่งตลอดรุ่งแต่ละคืน ๆ
พวกนี้ก็มาแล้วทำยังไง มาก็บอกเลย เอาหยูกเอายามา ไม่เอาแหละมันจะหายแล้ว ไป พากันกลับ ไล่กลับเลยนะ เรียกว่าคุ้นกับใครไม่ได้เลย สลัดเลย เพราะเราจะขึ้นเวทีอยู่แล้ว อันนี้เราเคยนั่งตลอดรุ่ง หามรุ่งหามค่ำมาแล้ว ฟัดกับทุกขเวทนา ตายทั้งเป็นในขณะนั่งนั่นเลย เราไม่ถอยนี่ ถ้าลงว่านั่งตลอดรุ่งแล้ว แต่ไปไม่ไหวจะล้มเสีย ไม่ตลอดรุ่ง เราทำไม่ได้ นี่ล่ะคำสัตย์คำจริง เข้มแข็งมาก ถึงจะตายก็ไม่ยอมที่จะให้ละความสัตย์ความจริง ให้ตายเสียดีกว่า ไม่มีประโยชน์อะไร เป็นโมฆภิกษุ เรียกว่าไร้ค่าไร้ราคาหาประโยชน์ไม่ได้ จะตำหนิเจ้าของอยู่จนกระทั่งวันตายถ้าชนะไม่ได้ เพราะฉะนั้นจึงไม่ยอมถอย หามรุ่งหามค่ำ เอาขนาดนั้น ทุกข์มากแสนสาหัส นั่งหามรุ่งหามค่ำ ใครไม่เคยนั่ง เอ้าลองดู มันจะได้สักกี่ชั่วโมง มันจะตลอดรุ่งไหม นี่ตลอดทุกคืน
ลงได้ปักปึ๋งลงไปแล้ว ขาดสะบั้นไปเลย อะไรจะตายก่อนตายหลัง จะดูขณะที่มันจะตาย นี่ละมันทุกข์มากขนาดนั้น ร่างกายของเราเป็นเหมือนไฟเผาคนทั้งเป็น คือทุกขเวทนา มันเผาเราทั้งเป็น เอา เผา ๆ ไป เอาจนกระทั่งว่า อะไรจะตายก่อนตายหลังในร่างกายนี้ จะดูมันจนถึงที่สุด แต่คำว่าถอยอย่ามาพูด ว่างั้นเลยมันถอยไม่ได้แล้ว ลงได้ตั้งคำสัตย์ขนาดนั้นแล้ว นี่ตลอดรุ่ง ๆ ทุกคืน นั่นแหละที่ได้กำลังมหาศาลก็ได้ในวันตลอดรุ่ง ฟัดกันไม่ถอย ทุกข์มากเท่าไรสติปัญญายิ่งหมุนติ้วๆ ได้เหตุได้ผล จิตก็ลงอย่างอัศจรรย์ ๆ ได้ทุกคืน จิตลงอัศจรรย์นี่เราไม่เคยลง ธรรมดามันไม่เคยลงอย่างงั้น แต่เวลานั่งตลอดรุ่งหมุนกันติ้วๆ บทเวลาลงนี้ลงแบบอัศจรรย์ด้วยกันหมดทุกคืนเลย ไม่มีพลาด นั่นแหละหลักเกณฑ์
นี่เราก็เคยทำอันนี้มาแล้ว ไปอยู่ที่ว่าเป็นโรคอันนี้ มันก็หลังจากนี้ไปแล้ว นี่ละประมวลมา ทีนี้มาพูดถึงตรงนี้นะ คือเวลามันหนักแน่นเข้ามาก ๆ นี้ มันเหมือนหอกเหมือนหลาวทิ่มเข้ามาๆ หายใจแรงไม่ได้ อ๋อ อย่างนี้เองคนเขาถึงตาย ตายอย่างนี้เอง หายใจแรงไม่ได้ มันเหมือนหอกเหมือนหลาว นี่ละตอนที่สำคัญตอนหนึ่ง ไอ้เรายังไม่อยากตาย เป็นห่วง เป็นห่วงอะไร ถ้าเราตายเวลานี้ จิตของเรายังไม่พ้น แม้จะละเอียดขนาดไหนก็รู้อยู่ชัด ๆ ว่าจิตยังไม่หลุดพ้น ถ้าเราตายเวลานี้แล้ว เราจะไปค้างชั้นใดชั้นหนึ่งก็ตาม ไม่อยากค้าง เป็นครู่เป็นยามไม่อยากค้างเสียเวลา ขอให้พ้นไปเสียเท่านั้น ถ้าพ้นแล้วไปเมื่อไรได้เลย แต่เวลานี้ยังไม่พ้น จึงยังไม่อยากตาย
ทุกขเวทนามันก็ยิ่งโหมตัวเข้ามา หนักเข้าๆ ทางนี้ก็เป็นกังวลเรื่องการตายของตัวเองที่ยังไม่อยากตาย เพราะจิตยังไม่พ้นในเวลานั้น มันละเอียดขนาดไหนก็รู้ แต่มันยังไม่พ้น ถ้าตายนี้ต้องค้าง แม้จะไม่กลับมาก็ตาม จะไปตายข้างหน้า หรือนิพพานข้างหน้าก็ตาม มันก็ยังค้าง เรายังไม่อยากตาย มันเป็นพะวักพะวงอะไรอยู่ในนี้ ระหว่างความตายกับโรค เหมือนกับว่าต่อสู้กัน คนหนึ่งยังไม่อยากตาย ไอ้โรคมันยิ่งหนักเข้า เรียกว่ามันยิ่งได้กำลัง สักเดี๋ยวธรรมก็ผึงขึ้นมา อ้าว ท่านจะไปห่วงเรื่องเป็นเรื่องตายหาอะไร นึกว่าท่านปฏิบัติธรรมเพื่อห่วงอรรถห่วงธรรม ท่านจะมาห่วงเป็นห่วงตายได้ยังไง เรื่องอย่างนี้ท่านก็เคยผ่านมาแล้ว เหมือนมีอาจารย์องค์หนึ่งสอนในทันทีนะ พูดเป็นคำ ๆ ขึ้นมา ผึง ๆ ๆ เลย
เรื่องหนักขนาดไหนท่านเคยผ่านมาแล้ว ท่านมาหวั่นไหวอะไรที่นี่ ท่านเสาะแสวงหาธรรม ท่านทำไมจึงมารวนเร ไม่แน่ใจอย่างนี้ เหล่านี้มันก็เป็นทุกขสัจทั้งนั้น ท่านพิจารณาลงไปซิ ความเกิดความตายมันอยู่กับท่าน ไม่อยู่กับดินฟ้าอากาศ สถานที่ เวล่ำเวลาที่ไหน มันอยู่กับท่าน นี่มันกำลังเกิดกับท่าน ดูให้ชัดเจนซิ นี่ละที่พ้นภัยอยู่ตรงนี้ ท่านเคยผ่านมาแล้ว ท่านมาลังเลสงสัยอะไรอีก คือผ่านมาแล้วตั้งแต่สมัยเรานั่งตลอดรุ่ง ฟาดมา ๙ คืน ๑๐ คืน จนกระทั่งก้นแตก ก็เคยเล่าให้ฟังแล้ว นี่หนักขนาดไหนถึงขนาดก้นแตก แล้วทำไมท่านถึงจะมาโลเลอยู่กับทุกข์อย่างนี้ล่ะ ว่างั้น
โลเลก็คือว่าห่วง ยังไม่อยากตาย เพราะมันยังไม่พ้นเท่านั้น อย่างอื่นไม่กลัวนะ ถ้าตายเวลานี้มันจะค้าง เรื่องชั้นไหน ๆ มันไม่สงสัยแหละ นี่มีไหมสวรรค์ พรหมโลกมีไหม มันประจักษ์อยู่อย่างงั้นจะให้ว่าไง ปฏิบัติดูซิ ทั้ง ๆ ที่ยังไม่เห็นนิพพาน ไปถึงนิพพาน ขั้นใดมันก็รู้ของมัน เห็นของมันอยู่ ในขั้นที่อยู่ในวิสัยของตนมันปิดไม่ได้นะ ฉะนั้นจึงยังไม่อยากไป ไปนี่ก็จะค้างที่นั่น ค้างกี่วันกี่คืนไม่อยากค้าง ถ้าพ้นเสียเมื่อไรไปเลยเราไม่ห่วงอะไรแล้ว ทีนี้มันยังไม่พ้นมันก็โกโรโกโส ยุ่งกันอยู่นี่ พระธรรมท่านจึงได้มาตีเอาอย่างแรงล่ะซิ ท่านมากังวลอะไรๆ พิจารณาลงไป ท่านก็เคยผ่านมาพอแล้วเรื่องเหล่านี้น่ะ พอว่ามันได้สติปึ๋งทันทีเลยนะ ทิ้งเลยเรื่องความตายเมื่อไร ไม่ตายเมื่อไรที่เคยเป็นห่วง ตัดปึ๋งเลยทันที หมุนติ้วเข้าไปนั้นเลย เข้าไปในทุกขสัจที่เราเคยเป็นมาแต่ก่อน สู้กันมาแต่ก่อน หมุนติ้วเข้าไปตรงนั้นเลย เป็นกับตายมันก็อยู่ที่นี่แหละ
พระธรรมท่านก็แสดงบอกแล้ว เป็นตายมันอยู่ที่ไหน มันอยู่ที่เราเวลานี้ พิจารณาให้มันเห็นชัดซิ มันก็หมุนติ้วลงไป พอหมุนติ้วลงไป ก็เราเคยแล้ว สติปัญญาในขั้นนั้นด้วย ขั้นนั้นเป็นขั้นอัตโนมัติเสียด้วย สติปัญญาหมุนติ้ว ๆ ตลอดเวลาอยู่แล้ว ยิ่งมีเหตุการณ์อย่างนี้แล้ว พอไสเข้าไป มันก็ใส่ตูมเลยไม่ถอย ผึง ๆ เลย ตั้งแต่หัวค่ำจนกระทั่ง ๖ ทุ่มกว่า ตอนนั้นมีนาฬิกาแล้ว มันถึงเอากันลงได้ พิจารณาหมุนติ้ว พอมันเอากันจริงๆ มันไล่กันออก ๆ ทุกขเวทนาตรงไหนติดตาม ๆ ๆ เหมือนไฟได้เชื้อ อันนั้นก็เบิกออกๆ นี้ก็ติดตามกัน เลยโล่งไปหมดเลย โลกธาตุปรากฏว่าว่างไปหมดเลย แน่ขึ้นมาทันที เอ้า ที่นี่ไม่ตาย นั่นเห็นไหมรู้ทันที จิตว่างไปหมด โล่งไปหมด
ทุกขเวทนาที่เสียดแทงอย่างแสนสาหัสมันหมดไปเลย นั่นเห็นไหมแก้ปัจจุบัน ไม่ได้เอายาที่ไหนมาแก้แหละ เอาธรรมโอสถ สติธรรม ปัญญาธรรมแก้เข้าไป ขาดสะบั้นลงไป จนจิตโล่งในปัจจุบัน จนแน่ใจว่าทีนี้ไม่ตาย จนกระทั่งกำหนดดูว่ามันยังข้องอยู่ตรงไหน มีอะไรเป็นภัยที่จะได้ฟัดกันในวันนี้ โล่งไปหมด ไม่มีก็แน่ใจ ไม่ตาย ทีนี้ที่มันเคยเจ็บเสียดแทงมาก ๆ นั้นหายหมดเลย เหมือนกับว่าเราแกล้งเป็น ไม่มีอะไรเลย ไม่มีความทุกข์ความเดือดร้อนอะไร เช่นอย่างการเสียดการแทงหมดโดยสิ้นเชิง เป็นคนธรรมดาไปเลย พอแน่ใจแล้ว หายสงสัยไม่มีอะไร โรคอันนี้หมดไปโดยสิ้นเชิง พอได้เวลาก็ออกมาดูนาฬิกา ๖ ทุ่มกว่าๆ นี่เอาตั้งแต่หัวค่ำ ไล่โยมหนีหมดเลย ไม่ให้เข้ามายุ่ง นี่เวลาสู้ สู้อย่างนั้น
แล้ววันนั้นก็ไม่ได้นอน พอออกจากนั้นก็ลงเดินจงกรม นี่หมายความว่าห่วงตาย เรามีห่วง แต่มันห่วงแบบนั้น ห่วงแบบว่ามันยังไม่สิ้น ตายเวลานี้มันจะค้าง มีเท่านั้น ที่จะว่าเป็นห่วงกลัวจะไปตกนรกหมกไหม้ไม่มีเลย มีแต่มันจะพุ่งถ่ายเดียว แต่มันพุ่งไม่ถึงที่สุดล่ะซิ มันจะตายเสียก่อนแล้วไปค้างที่ไหน ไม่อยากให้ค้าง เลยวกวนกันอยู่ รบกันอยู่ ทุกขเวทนาก็ยิ่งได้ใจ มันก็ยิ่งขยำเข้ามา พอพระธรรมท่านมาเตือนเท่านั้น โห สะดุดใจกึก เรื่องอย่างนี้ท่านก็เคยผ่านมาแล้ว ท่านสงสัยหาอะไร ว่างั้น มันก็ซัดลงไปทันที หมุนติ้วเลย หมดห่วงที่นี่ เป็นกับตายไม่สนใจเลย ดูทุกขสัจที่เป็นในปัจจุบัน มีทุกขเวทนาเป็นต้น ซัดกันจนว่างไปหมดเลย ไม่มีอะไรเหลือ
นี่พูดถึงเรื่องความห่วงความตาย มันห่วงนะ จากนั้นมาไม่เห็นมีห่วงอะไร ไม่เคย นี่จิตมันแน่ของมันขนาดนั้นนะ นี่แหละภาคปฏิบัติ จึงไม่ไปถามใครเลย ถามใครที่ไหน พระพุทธเจ้าแสดงไว้ถูกต้องหมดแล้ว ก้าวเดินตามทางพระพุทธเจ้าที่ทรงสอนไว้แล้ว มันแม่นยำ ๆ มันไม่เคลื่อนไม่คลาด มันก็เจอตามที่นั่น เป็นตามนั้น ฐานะของจิต ขั้นภูมิของจิตมันก็เลื่อนขึ้นของมันเรื่อยๆ นี่พูดถึงเรื่องจิต เวลามันผ่านของมันไปแล้ว ก็ไม่เห็นมีอะไรเลย จะไปเมื่อไรก็ไปซิ มันห่วงที่ไหน ไม่ห่วงนะ
เราเป็นอย่างที่เป็นหนองผือ ถ่ายท้อง ๒๕ ครั้ง อาเจียน ๒ ครั้ง รวมแล้วเป็น ๒๗ ครั้ง มันจะไปเดี๋ยวนั้นก็รู้ชัด ๆ ก็ไม่เห็นเป็นห่วงอะไร ห่วงนั้นห่วงนี้ไม่มี มีแต่จะไปเดี๋ยวนี้เชียวหรือ แน่ะ ไม่เห็นห่วงอะไร เป็นตายมันก็รู้ อะไรเป็นอะไรตาย ธาตุขันธ์เขาก็ไม่ตาย ดิน น้ำ ลม ไฟมีดั้งเดิม จิตตัวนี้ก็ไม่เห็นตาย รู้รอบขอบชิดตลอดเวลาจะเอาอะไรมาตาย แน่ะ มันไม่มี นี่ละการปฏิบัติจิต ถ้าลงได้เข้าถึงขั้นแน่ใจตัวเองแล้ว ไม่ต้องไปถามใครเลย มันเป็นเอกอยู่ในตัวเองเลย ไม่มีสองกับใครมาช่วยมาหนุน พุ่ง ๆ เลย เวลามีกำลังเต็มที่แล้วมันไม่ได้หวั่นไหวกับอะไร
จิตดวงนี้ไม่เคยตายนะ อย่าไปงมงายกับกิเลส ไม่เคยตายมาตั้งกัปตั้งกัลป์ ตลอดกาลไหน ๆ ไม่เคยตาย พ้นจากทุกข์แล้วก็ไม่ตาย เป็นธรรมธาตุขึ้นมาเลยล้วน ๆ ไม่มีตาย ตายที่ไหน ฉิบหายที่ไหนจิตดวงนี้ สูญไปไหนไม่มี มีแต่กิเลสหลอกโลกให้งมเงา ตายมาเกิดมาไม่มีใครมากยิ่งกว่าสัตว์และบุคคลที่ตายเกิดอยู่ในโลกทั้งสามนี้ แต่แล้วก็ให้กิเลสมาหลอกว่าตายแล้วสูญได้ ทั้ง ๆ ที่เขาเป็นนักเกิดนักตายยังเชื่อกิเลสว่าตายแล้วสูญ ตายแล้วสูญนี่มันจะไม่มีอะไร ทำบุญไม่ได้บุญ ทำบาปไม่ได้บาป เวลานี้อยากทำอะไรก็ทำเสีย กิเลสมันไสเข้าหาความอยากเป็นเรื่องของกิเลส ทางเดินโล่งเพื่อสร้างบาปสร้างกรรม
ครั้นตายไปแล้วมันไม่สูญน่ะซิ กรรมของตัวเองที่เกิดขึ้นจากความสำคัญว่าตายแล้วสูญ มันพาไปเสวยทุกขเวทนา สูญหรือไม่สูญที่นี่ มันสายเกินไปแล้ว ลงนรกแล้ว สูญหรือไม่สูญเผาอยู่นั้น มันเป็นอย่างงั้นนะ
วันนี้ก็ว่าจะไม่พูดเรื่องอะไร มันก็เลยไปจนได้ เป็นห่วงพี่น้องทั้งหลาย ให้พากันห่วงใยจิตใจ เรื่องจิตตภาวนานี่สำคัญมากนะ เราเห็นประจักษ์ ไปเทศน์ที่ไหนเราจึงไม่ปล่อยไม่วาง พุทธศาสนาเรานี้ผู้ที่จะเทศน์สอนอบรมทางด้านภาวนา เราอยากจะพูดว่ามันไม่มีแล้วนะเวลานี้ มีนิด ๆ หน่อย ๆ ส่วนมากจะมีแต่วงกรรมฐานท่านสอน ส่วนนอกนั้นไม่มีเลย ที่เรียนมามากน้อยได้ชั้นนั้นชั้นนี้ เป็นหนอนแทะกระดาษอยู่นั้น เราอยากพูดอย่างนี้นะ มันไม่ได้สนใจภาวนาพวกนี้ มิหนำซ้ำยังมาเป็นข้าศึกต่ออรรถต่อธรรม ต่อศาสนาเสียอีก เห็นอย่างชัดเจนอยู่ทุกวันนี้ เห็นไหม
ใครจะหนายิ่งกว่าพระที่เรียนอรรถเรียนธรรมไปแล้ว มาตั้งตัวเป็นข้าศึกเหยียบหัวพระพุทธเจ้าลงมาสด ๆ ร้อน ๆ ให้ประชาชนและพระเณรที่ท่านปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ ได้เห็นอยู่ประจักษ์ตาประจักษ์ใจ เป็นยังไงเลวมากไหมพระเรา เลวขนาดไหน เลวที่สุดคือพระสมัยปัจจุบันนี้ ที่ดูถูกเหยียดหยามพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าตรัสรู้ขึ้นมาเรียบร้อยแล้ว ทรงมรรคทรงผลเต็มเม็ดเต็มหน่วย แล้วนำธรรมนี้มาสอนโลก ผู้ปฏิบัติตามบรรลุธรรมตามท่านได้มรรคผลนิพพานขึ้นมาต่อใจตัวเอง องค์นั้นสำเร็จโสดา องค์นี้สำเร็จสกิทา องค์นั้นสำเร็จอนาคา องค์นี้สำเร็จอรหันต์ รวมแล้วกลายเป็นสาวกอรหันต์ขึ้นมาเต็มแผ่นดินของพระพุทธเจ้าแต่ละพระองค์ ๆ เพราะเป็นสาวกของท่าน
นี่ท่านปฏิบัติท่านไม่ได้ไปยุ่งกับใคร ปฏิบัติความดีก็เห็นความดี ท่านมีสิทธิ์ที่จะรับความดี ผู้ปฏิบัติชั่ว มีสิทธิ์ไม่มีสิทธิ์มันก็ต้องได้รับเหมือนกัน มีท่านปฏิบัติดี อย่างว่า สำเร็จเป็นนั้นเป็นนี้ก็มีมาแล้วแต่ครั้งพุทธเจ้าไม่ใช่เหรอ พระอัญญาโกณฑัญญะสำเร็จเป็นพระโสดา อายสฺมโต โกณฑญฺญสฺส วิรชํ วีตมลํ ธมฺมจกฺขุÿ อุทปาทิ ในขณะที่พระองค์ทรงแสดงธรรมอย่างถึงพริกถึงขิงอยู่นั้น พระอัญญาโกณฑัญญะผู้มีอายุได้ดวงตาเห็นธรรม ปราศจากมลทินความมัวหมองสงสัยโดยประการทั้งปวงแล้ว แล้วเปล่งอุทานขึ้นมาในขณะที่พระพุทธเจ้าทรงแสดงธรรมอยู่นั้นว่า ยงฺกิญÚจิ สมุทยธมÚมํ สพÚพนÚตํ นิโรธมฺมํ สิ่งใดก็ตามเกิดขึ้นแล้วดับทั้งนั้น หาความตายใจไม่ได้
แล้วพระพุทธเจ้าก็ทรงเปล่งพระอุทานรับกันอีกว่า อญฺญาสิ วต โภ โกณฺฑญฺโญ อญฺญาสิ วต โภ โกณฺฑญฺโญ พระอัญญาโกณฑัญญะผู้เจริญได้รู้แล้วหนอ ๆ นั่นพระองค์ทรงรับทันทีเลย ผลของพระอัญญาโกณฑัญญะ ได้สำเร็จเพียงขั้นพระโสดาเท่านั้นพระองค์ก็ทรงเปล่งอุทานรับกันเรียบร้อยแล้วว่า พระอัญญาโกณฑัญญะได้รู้แล้วหนอ ๆ พอวันต่อมาก็แสดงอนัตตลักขณสูตร อนิจฺจํ ทุกฺขํ อนตฺตา ให้เบญจวัคคีย์ทั้งห้านั้นฟัง ในทั้งห้านั้นแหละได้สำเร็จเป็นพระอรหันต์ขึ้นมา กระเทือนโลกไปหมด เป็นยังไงเป็นผลหรือไม่เป็นผล มีหรือไม่มีศาสนาของพระพุทธเจ้า
ผู้ทรงแสดงก็คือศาสดาเสียเอง ผู้ปฏิบัติก็ปฏิบัติเพื่อมรรคเพื่อผล เมื่อรู้เมื่อเห็นขึ้นมาแล้วใครจะมาลบล้างได้ ใครจะมีสิทธิมาลบล้างได้ ธรรมเหล่านี้เป็นสมบัติของท่านผู้ปฏิบัติเองนี่นะ เรามีอำนาจมาจากไหน เอาอำนาจมาจากโลกไหน มาบีบมาบังคับ ใครสำเร็จขั้นนั้นขั้นนี้มาลบล้างกัน มาเหยียบย่ำทำลายกัน โดยที่เจ้าตัวไม่สนใจปฏิบัติ มันมีอย่างเหรอ พิจารณาซิ ใครจะหยาบยิ่งกว่าประเภทนี้ เปรตพวกนี้นะ มันไม่ได้สนใจกับอรรถกับธรรมเลย พูดถึงเรื่องอรรถเรื่องธรรม เรื่องมรรคเรื่องผลจากการปฏิบัติของท่านขึ้นมา ๆ ตั้งแต่พระพุทธเจ้าลงมาถึงสาวกทั้งหลายจนกระทั่งปัจจุบันนี้ มาลบล้างไปหมด ดูถูกเหยียดหยาม พูดเป็นเชิงเยาะเย้ย ๆ ด้วยความเลวทรามของมัน เป็นของดีแล้วเหรอ พิจารณา
นี้ความเลวทรามที่สุด คือคนเหยียบหัวพระพุทธเจ้า เหยียบธรรมพระพุทธเจ้า เหยียบพระสงฆ์สาวกที่ปฏิบัติตามพระพุทธเจ้าแล้วได้ผลขึ้นมา นั่นแลเหยียบตลอดมา เป็นยังไงคนประเภทนี้ พระประเภทนี้ มันควรจะกินข้าวชาวบ้านให้มันเสียข้าวเขาแล้วเหรอ หมาเขาเลี้ยงไว้ในบ้านมันยังรู้จักบุญจักคุณ พระนี่มันเลวยิ่งกว่าหมาจึงไม่รู้จักบุญจักคุณของพระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์ ทั้งๆ ที่อาศัยพระบารมีของท่านเลี้ยงปากเลี้ยงท้องจากอาหารการกินของประชาชนอยู่มาจนกระทั่งทุกวันนี้ เป็นพระไม่กินข้าวของประชาชน กินกับใคร แล้วทำไมไปเหยียบหัวพระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์ได้ลงคอ เห็นอย่างจะแจ้งอย่างนี้ มันเลวขนาดไหน ธรรมนี้เป็นธรรมของใคร ใครมาเป็นใหญ่จึงจะมาลบล้าง มาดูถูกเหยียดหยามด้วยวิธีการต่าง ๆ แบบไม่อาย เรียกว่าหน้าด้านสุดยอดแล้ว
นรกหลุมไหนก็ไม่ทราบแหละจะรับมันไว้ได้ เราน่ากลัวนรกก็จะไม่รับแหละ ปัดหัวขึ้นมาอีก ถ้าเป็นหลวงตาบัวนี้ปัดเลย ไม่ให้มันมาตกนรกหลุมนี้ว่างั้นเลย มันพิสดารเกินเหตุเกินผลเหลือเกิน เปรตตัวนี้น่ะ เปรตตัวหัวโล้น ๆ นี่น่ะ ว่าอย่างนั้นเลย สิทธิของใคร เขาทำบาปทำกรรมอะไรเขาก็เป็นกรรมของเขาเอง แม้ที่สุดเขาไปเล่นการพนันขันต่อ ได้เท่าไรเสียเท่าไรวันนี้เขาก็มาพูดกันได้ ตามหน้าที่การงานของเขาที่ได้ที่เสียไปเท่าไร นี่ทางความชั่วเขายังมาพูดกันได้ ทางความดีผู้ทำปฏิบัติเพื่อความดีความชอบธรรมทั้งหลายนี้ ท่านปฏิบัติยังไง ท่านรู้ท่านเห็นยังไง ท่านพูดต่อกันทำไมพูดไม่ได้ เอาอำนาจมาจากไหนมาเย็บปากท่านล่ะ เย็บก็เย็บปากเจ้าของซิ ที่มันปากเปรตปากผี อย่าให้มันมีต่อไปอีก ไปเห่าศาสนาว้อ ๆ มันเลวกว่าหมา พูดแล้วเราสลดสังเวชนะ
มันเป็นอย่างงั้น ได้ยินมาอย่างงั้น ดังที่เขาประกาศแล้ว มิหนำซ้ำยังจะหมายหัวอรหันต์อุดรอีกนู่นน่ะ หมายหัว จะเด็ดหัวอรหันต์อุดร อรหันต์อุดรนี้จะว่าไง ก็อย่างเราตอบเมื่อเช้านี้ ถ้าจะไปเด็ดอรหันต์องค์นั้นไม่ได้แล้ว อรหันต์องค์นั้นท่านหันไปนู้นท่านหันมานี้ จากอุดรหันมากรุงเทพ จากกรุงเทพหันไปเมืองอุดร วันนี้ก็หันไปเทศน์กลับมา อรหันต์องค์นี้มันเก่งทางนี้นะ เข้าใจไหมล่ะ โอ๊ย อย่ามาดูถูกศาสนา อะไรจะเลิศเลอยิ่งกว่าศาสนา มันพูดอย่างฟังไม่ได้เลย เลวที่สุดทีเดียว
อย่างกฎหมายบ้านเมืองเขา ทางนี้เขามีการฟ้องร้องกัน สำหรับเรา เราไม่มีอะไรกับใคร มันจะยกโคตรยกแซ่มาว่าให้เรา เราก็เฉย อรหันต์บัว อรหันต์อุดร เพราะวัดเรา เราก็จะไปตีเกราะประชุมทั้งไอ้ปุ๊กกี้ ทั้งไอ้หยอง ทั้งอะไร สูอยากเป็นอรหันต์อุดรเหมือนกูไหม กูเป็นอรหันต์อุดรนะ เขาเสกให้กูเป็น สูอยากเป็นไหม ออกจากนั้นก็จะมาตีเกราะประชุมลูกศิษย์ลูกหาทางสวนแสงธรรม อยากเป็นอรหันต์กับหลวงตาบัวไหม เขาเสกสรรให้หลวงตาบัวเป็นอรหันต์อุดร เราก็จะว่างั้น สนุกปากไปเลย ก็ภาษาถังขยะ มูตรคูถไปแตะให้มันเปื้อนมือทำไม มีแต่หัวเราะอยู่ด้วยความสลดสังเวชเท่านั้น มันเลวขนาดนั้นนะ
ศาสนาเป็นศาสนาชั้นเอกด้วย ชาวพุทธเราทั้งเมืองไทย เราอยากจะพูดว่าทั้งเมืองไทย เพราะมีจำนวนมากกราบไหว้บูชาพระพุทธเจ้าเป็นขวัญตาขวัญใจ มีความอบอุ่นด้วยอรรถด้วยธรรมตลอดถึงเป็นผู้ทรงมรรคทรงผล ตามลำดับขั้นภูมิแห่งการปฏิบัติของตนเรื่อยมา ไม่มีใครมาดูถูกเหยียดหยาม เปรตตัวนี้มันมาจากภพไหนชาติใด มันถึงได้มาเหยียบย่ำหน้าพระพุทธเจ้า เหยียบหัวพระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์ เหยียบพระสาวกทั้งหลายแหลกไปหมดอย่างนี้ มันจะควรอยู่เหรอ มันไม่หนักประเทศไทยเหรอ ถ้าเป็นเรื่องเขี่ยแล้ว เขี่ยลงทะเลเลย มันจะไม่หนักประเทศไทย
คนประเภทนี้นะ หนักมากนะ ขวางหัวใจของคนทั้งชาติที่เป็นชาวพุทธอย่างมาก ทีเดียว มันสมควรจะอยู่ในเมืองไทยให้หนักเมืองไทยหรือคนประเภทนี้ ถ้าอยู่ในพระสงฆ์ผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบท่านก็ให้อยู่ไม่ได้ เปรตประเภทนี้นะ ท่านขับหนีเลย อย่างวัดหลวงตาบัวนี้เขกไปหมดทั้งโคตรมันเลย พอมันจะโผล่หน้าเข้ามานี่ โคตรนั้นหรือ เตะทีเดียวลงทะเลเลย ก็เรามีตีนนี่ เราทำไมเตะไม่ได้ ก็เราพูดแต่ปากเราไม่ได้เตะเป็นอะไรไปวะ อยากอะไร ก็ต้องพลิกแพลงหลายสันพันคมล่ะซิ พูดทั้งจริงทั้งตลกรวมอยู่ในนี้แหละ ก็เราไม่มีอะไรกับใคร ใครจะว่าอะไรมันก็ไม่มี เพราะฉะนั้นจึงพูดได้ เด็ดได้ ตลกได้สบาย ๆ ไม่มีอะไร เอาละพอ
www.Luangta.or.th or www.Luangta.com
|