เทศน์อบรมฆราวาส ณ วัดป่าบ้านตาด
เมื่อวันที่ ๖ ธันวาคม พุทธศักราช ๒๕๔๕
ท้องเต็มแต่จิตใจหิวโหย
ก่อนจังหัน
ทองคำเอาเข้าคลังหลวง ศีลธรรมเอาเข้าหัวใจของพระของเณรของชาวพุทธเรา ศีลธรรมสำคัญมาก ศีลธรรมภายในใจหนุนได้ทุกอย่าง สมบัติข้างนอกมีมากก็สู้ไม่ได้ ศีลธรรมภายในใจหนุนได้หมด พากันจำเอาไว้ วันนี้มีพระมาเท่าไร (๓๙ ครับ) ๓๙ เหรอ พระมามากทุกวัน ๆ มาศึกษาอบรม ก็ให้พากันตั้งอกตั้งใจพระลูกพระหลาน ให้ได้สืบทอดศาสนาต่อไป ด้วยความน่าดูน่าชม อบอุ่นทั้งตนและผู้เกี่ยวข้องมากน้อย อย่าไปสุ่มสี่สุ่มห้า ไปที่ไหนก็โก้ ๆ เก๋ ๆ พระโก้เก๋นี้ดูไม่ได้นะ พระโก้เก๋ให้โก้เก๋ในศีลในสมาธิในปัญญา ศรัทธา ความเพียร โก้เก๋ในนี้ ศาสดาองค์เอกโก้เก๋ เป็นสุขด้วยความโก้อันนี้ ความโก้ของกิเลสเป็นฟืนเป็นไฟ ใครโก้มากเท่าไรคนนั้นจมมาก เรื่องโก้กับกิเลสนี่ โก้ไปเท่าไร อย่าไปอวดดีกับกิเลสนะ สอดหัวเข้าไปให้มันตัดคอเอา ๆ ใครเก่งกับกิเลส
เดี๋ยวนี้พวกชาวพุทธเรามักจะเก่งกับกิเลส แล้วดูถูกเหยียดหยามธรรม นี่ละกำลังจะสร้างความล่มจมให้แก่ชาติไทยเรา ทั้ง ๆ ที่เป็นชาวพุทธไม่มองดูพระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์ บ้างเลยนี่เสียนะ พี่น้องทั้งหลายจำให้ดี หลวงตาตายไปแล้วจะไม่มีใครพูดอย่างนี้ คนนั้นก็เจริญพร คนนี้ก็เจริญพร มีแต่เจริญพรเต็มบ้านเต็มเมือง ขี้เต็มส้วมเต็มถาน ไฟเต็มหัวใจ นี่เจริญพรของกิเลส ถ้าเป็นเรื่องของธรรมแล้วทำอะไร นั่นเห็นไหมจ้อเข้าแล้ว จะตีกิเลสนะนั่น ทำอย่างนั้นมันผิด นั่นเห็นไหมขู่กิเลส ฟัดกิเลส นั่นเรียกว่าธรรม นี่ละภาษาธรรมเป็นภาษาชะล้าง ภาษากิเลสเป็นภาษาสั่งสมฟืนไฟ พี่น้องทั้งหลายจำเอานะ
ท่านทั้งหลายจะไม่เคยได้ยินเสียงอรรถเสียงธรรม ทั้ง ๆ ที่ถือพุทธศาสนา ระยะที่หลวงตาออกมาช่วยชาติบ้านเมืองเวลานี้ ค่อยออกมาเป็นลำดับ ๆ เป็นภาษาธรรมะ แต่กิเลสไม่ชอบทั้งนั้น ภาษาขวานผ่าซาก ว่าอย่างนั้นนะ ผ่าซากก็ซากกิเลส ฟาดมันคอขาดลงไปเป็นไร ตัวอะไรที่เป็นภัยต่อสัตว์โลกเวลานี้ ไม่ใช่กิเลสจะคืออะไร ธรรมไม่เคยมี เด็ดขนาดไหนมีแต่เด็ดปราบกิเลสทั้งนั้นเรื่องธรรม เรื่องกิเลสอ่อนนิ่มเท่าไร โอ๋ย เอาให้ตับปอดไม่มีเหลือเลย
พากันตั้งใจ พระเณรเราตั้งใจมาศึกษาทุกองค์ ๆ ดูให้ดีนะ สอดส่องมองที่จะเป็นอรรถเป็นธรรมเป็นประโยชน์แก่ตน ดูอะไรให้คิด คิดด้วยสติด้วยปัญญานี่สำคัญมาก อย่าสักแต่ว่าอยู่ สักแต่ว่าไป ใช้ไม่ได้ ไปที่ไหนก็เที่ยว ที่ไหนก็มีแต่ว่าเป็นครูเป็นอาจารย์ของเราทั้งหมด คนนั้นก็อาจารย์เรา คนนี้ก็อาจารย์เรา ๆ มีแต่อาจารย์ของเรา ๆ ตัวเราเป็นยังไงไม่ได้ดู เอาครูบาอาจารย์มาอวดเพื่อความดิบความดี ทั้ง ๆ ที่ไม่มีเลยความดี อวดแบบนั้นนะ ให้พากันตั้งอกตั้งใจ เรื่องธรรมพระพุทธเจ้านั้นคงเส้นคงวาหนาแน่น อย่าให้กิเลสมาลูบจมูกเล่นว่าบาปบุญนรกสวรรค์ครึ ล้าสมัย นิพพานไม่มี มีแต่กิเลสหลอกโลก ที่จะทำลายโลกให้จมด้วยกันทั้งนั้น ธรรมคงเส้นคงวาหนาแน่นมากี่กัปกี่กัลป์ กิเลสก็เช่นเดียวกัน เป็นข้าศึกศัตรูต่อกันมาตลอด
ใครหนักทางดีดีไปเรื่อย ๆ ใครหนักทางชั่วชั่วเรื่อย ๆ ชั่วจนไม่มีอะไรเหลือติดตัวเลยเพราะวิ่งตามกิเลส กิเลสรู้ไหม ความโลภ โลภไม่รู้จักเป็นจักตาย โลกเขามีป่าช้า คนที่โลภมาก ๆ ไม่มีป่าช้า กลับว่าตัวจะเอาหัวค้ำฟ้าไม่เคยตายกับใคร สุดท้ายก็เอาไฟเผาคนเอาหัวค้ำฟ้านั่นแหละ อย่าลืมเนื้อลืมตัวนะ ความโลภมันลบป่าช้าทั้งหมด ลืมเป็นลืมตาย มีแต่จะดิบจะดีจะมั่งจะมี มันมีขี้หมาอะไร ไปที่ไหนเห็นตั้งแต่ฟืนแต่ไฟเผาไหม้หัวใจสัตว์โลก ดีดดิ้น กิริยามารยาทก็จะเป็นจะตาย ภายในใจนี้คือไฟเผาหัวใจสัตว์ ได้แก่ไฟกิเลส นี่ละความโลภมันพาแสดง ความโกรธเป็นไฟเผาได้หมด
ราคะตัณหาหามันมามาก ๆ ถ้าอยากขึ้นสวรรค์ทั้งเป็น ผู้ชายคนหนึ่งไปหาเมียมาสักร้อยคน แล้วผู้หญิงคนหนึ่งไปหาผัวมาสักสองพันคนเอามาอวดกันซิ คู่ผัวคู่เมียคู่นั้น ใครจะเก่งเอาอวดโลกดูซิ นี่ละพวกจมทั้งนั้น พวกกินไม่อิ่มกินไม่พอ กิเลสมีแต่ความดีดความดิ้น หิวโหยตลอดเวลาคืออะไร คือกิเลส ธรรมะนี่อิ่มเป็นลำดับลำดา จำให้ดีนะคำนี้ ให้ฟังเสียงพระพุทธเจ้าถ้าอยากเป็นคนดิบคนดีมีฝั่งมีฝามีหลักมีเกณฑ์เป็นที่ยึดที่เกาะ ขอให้ยึดธรรมพระพุทธเจ้า ยึดกิเลสพังทั้งนั้น ๆ จำให้ดีลูกหลาน ต่อไปนี้จะให้พร
หลังจังหัน
เวลานี้ได้ประกาศแล้วว่ามอบทองคำแต่ละครั้ง ๆ ให้ได้ครั้งละ ๕๐๐ กิโล ต่ำกว่านั้นไม่มอบ แต่ก่อนเท่าไร ๆ ก็มอบ เดี๋ยวนี้ต้องให้ได้กำหนดกฎเกณฑ์ มันนับง่าย เช่น ๕๐๐ พอห้าร้อยที่สองก็หนึ่งตันไปเลย เวลานี้ก็ได้แล้ว ๕,๕๕๙ กิโลครึ่ง ยังขาดอยู่เพียงสี่พันกว่ากิโล ได้แล้วห้าพันกว่า แล้วก็แน่นอนไปเรื่อย ๆ การรวมทองคิดว่าจะเร่งขึ้นกว่าแต่ก่อน มันหากเป็นของมันไปเอง ค่อยเร่งขึ้นเรื่อย ๆ เร็วขึ้น ๆ คราวนี้เรามอบทองคำห้าร้อยกิโล กฐินทองคำเรา ๘๔,๐๐๐ กองนั้นเราได้ถอนออกมาซื้อทองคำเพิ่มเข้าไปนี้เพียง ๒๐ ล้าน
เวลานี้ยังเหลืออยู่จะซื้อทองคำได้ประมาณ ๓๐๐ กิโลเงินในธนาคารของเราที่ฝากไว้ ยังอีกสองร้อย ดีไม่ดีอาจได้มอบเดือนเมษานี้ก็ได้ ถ้าได้อีกสองร้อยก็ปุ๊บเลยไม่รอ เวลานี้เราแน่นอนแล้วเงินเราฝากไว้ที่ธนาคาร ๑๒๒ ล้าน จะซื้อทองคำ ดูว่าได้ทองคำประมาณ ๓๐๐ กิโล ยังขาดอยู่อีกเพียง ๒๐๐ กิโล หากว่าได้มาครบจำนวน ๕๐๐ กิโลนี้ก็จะมอบ อาจจะได้มอบเดือนเมษาก็ได้ มันจวนเข้ามาแล้ว มีอยู่ ๓๐๐ แล้วนะ พอเดือนเมษาก็มอบ มอบไปเรื่อย ๆ ดอลลาร์เราไม่ค่อยแน่นัก ได้เท่าไรก็มอบ เช่นคราวนี้ที่แน่ก็คือสองแสนแล้ว เศษเหลือไปเท่าไรเราไม่ได้นับดู มันควรจะมอบไปตามเศษเหลือเราก็มอบเสีย ที่แน่ก็คือว่าทองคำคราวนี้ ๕๐๐ กิโล ดอลลาร์สองแสน
เงินโครงการช่วยชาติของเรายังเหลืออยู่เวลานี้ประมาณ ๕๐ ล้าน ไม่ค่อยเคลื่อนไหว อยู่อย่างนั้นแหละ เรามักจะหมุนไปทางทองคำมาก ได้มาเท่าไรหมุนเข้าทองคำ ๆ ไปเลย โครงการช่วยชาติทั้ง ๆ ที่ก็เพื่อทองคำด้วยกัน แต่จิตมันไปหนักอยู่ทองคำมากมันเลยไปทางนู้นมากเดี๋ยวนี้นะ แล้วเคียงมาก็ดอลลาร์ คิดว่าจะให้ทองคำกับดอลลาร์เคียงข้างกันไป เช่นอย่างเราได้ทองคำน้ำหนักสิบตัน ดอลลาร์ก็ค่อนข้างแน่ใจว่าจะได้สิบล้าน คิดว่าอย่างนั้น
เมื่อวานทางช่อง ๑๑ เขามาสัมภาษณ์เราเกี่ยวกับวันเฉลิมพระชนม์ เราก็ไม่ได้พูดอะไรมาก พูดเพียงเล็กน้อยเพราะพูดมาประจำทุกวัน ๆ มิหนำซ้ำเวลานี้ทางสหรัฐยังมาคอยฟังอยู่นี้นะ (เอาโทรศัพท์มือถือโทรมาเข้ามือถือทางอุดร ไปวางไว้ที่ไมค์ แล้วออกไปถึงอเมริกาเลยครับ) เออ พูดที่นี่ก็ถึงอเมริกา ดูว่าติดต่อมาหลายวันแล้วมั้ง (วันอังคารถึงวันเสาร์ของอเมริกา ตรงกับวันจันทร์ถึงศุกร์ของประเทศไทยครับ) นั่นละทางโน้นขอมา ทางโน้นก็มีคนสนใจธรรมะอยู่มาก เฉพาะรัฐเทกซัสมีตั้งหลายประเทศ พวกลาว เขมร เวียดนาม ซึ่งเป็นชาวพุทธ แล้วคนไทยเราด้วยก็ร่วมอยู่ในนั้น พวกนี้เป็นพวกชาวพุทธ เพราะฉะนั้นเขาถึงสนใจธรรมะจากทางนี้ไป
เวลานี้ธรรมะเราไปอยู่ที่รัฐเทกซัสมากที่สุด เฉพาะอย่างยิ่งก็คือธรรมะหลวงตานี้เอง ไม่ไปไหนแหละ มีแต่ธรรมะหลวงตา ออกจากนี้ไปเมืองนอกคือสหรัฐ เทกซัสนี้ก็ออกจากธรรมะของเราที่เทศน์อยู่นี้ทั้งนั้น ไม่เห็นองค์ไหนไปเทศน์ ได้ยินไหมมีพระองค์ใดบ้างที่เทศน์ช่วยแบ่งหนักแบ่งเบากันอยู่เวลานี้ มีที่ไหนบ้าง (มีก็ที่ไปจำพรรษาแล้วไปเผยแพร่ของปลอมให้เขาฟัง เลยต้องเอาธรรมะหลวงตาซึ่งเป็นของจริงไปฟังเพื่อไม่ให้สับสนครับ) อันนี้ก็ไม่พ้นที่เราจะต้องพูด เพราะทางโน้นมากระเทือนกับเรา ทางเทกซัสนั้น ได้เรื่องได้ราวความเคลื่อนไหวของพระที่เทศน์ไปยังไงต่อยังไงให้เขาฟัง ส่วนมากก็มีแง่ที่เขาสงสัยหรือแง่ไม่แน่ใจเลยก็มี เขาถามมาทางนี้ พูดเรื่องราวทางโน้นมาทางนี้ เท่ากับเป็นการถามในตัว เมื่อเป็นการถามในตัวก็ต้องมีการตอบกัน สุดท้ายก็เลยประหนึ่งว่าเป็นการถามการตอบไปกับปัญหาเหล่านี้แหละ
พระไปประกาศศาสนาหรืออะไร (ที่หลวงตาเทศน์ว่าจะเป็นศาสดาองค์ใหม่) นั่นแล้ว มันก็เป็นอย่างนั้น สำหรับธรรมของเราแล้วเราพูดตรง ๆ สามแดนโลกธาตุนี้เราไม่เคยหวั่นกับอะไรเลย มันเหนือหมดเราพูดจริง ๆ สอนพี่น้องทั้งหลายนี้มาโกหกพี่น้องทั้งหลายเหรอ นี่มันจวนจะตายแล้วจึงได้เร่งธรรมเข้า เพื่อให้เข้าสู่หัวใจพี่น้องชาวไทยเราพอได้ยึดเป็นหลักเป็นเกณฑ์ไว้ เป็นที่สักการบูชา เป็นที่อบอุ่นในจิตใจ ธรรมนี้แลจะพาไปขึ้นสูง ๆ เรื่อย เรื่องกิเลสเรื่องไม่เอาไหนมีแต่จะจมทั้งนั้น ให้พากันระวังให้ดี
ศาสดาองค์เอกทุกพระองค์ไม่เคยโกหกโลกเลย แต่กิเลสมันโกหกโลกตลอดมา เราก็เชื่อทางกิเลสเสียมากมันถึงจมไป ๆ นั่นซิ ใครต้องการความสุขด้วยกันนั่นแหละโลก แต่เวลาก้าวไปถูกจูงไปทางความผิดละซี แล้วมันก็ไปกองทุกข์เสีย มันแหลมคมมากนะกิเลส ให้ขึ้นต่อกรกันบนเวทีเสียก่อน เราถึงจะทราบเรื่องราวของกิเลสว่ามีความละเอียดแหลมคมขนาดไหน ในสามแดนโลกธาตุนี้ชี้นิ้วให้กิเลสอย่างเดียว ไม่มีใครเหนือกิเลสเลย มีธรรมเท่านั้นที่เหนือโลกธาตุอีก จี้ลงมาหากิเลส ธรรมเอามาชะล้าง กิเลสเท่ากับส้วมกับถาน มันสร้างความสกปรกรกรุงรัง ให้เกิดความทุกข์ความเดือดร้อนแก่สัตว์ทั้งหลายไม่ไว้หน้ากันเลย ไม่เว้นด้วย อย่างนี้ตลอดมา
ธรรมะต้องได้มาชะมาล้างพอน่าดูน่าชม ผู้ผ่านพ้นไปก็มี ๆ เมื่อมีการชำระการยอมรับการชะล้างอยู่ ก็มีเวลาที่จะค่อยสะอาดสะอ้านกันได้คนเรา นอกจากจะจมไปถ่ายเดียวไม่สนใจกับสิ่งชะล้างแล้วก็ช่วยไม่ได้ พระพุทธเจ้ากี่พระองค์ก็ช่วยไม่ได้ มันขึ้นอยู่กับเราผู้จะยอมรับมากน้อย นี่ก็ชะล้างกันมาตลอดจนกระทั่งป่านนี้ ศาสดาองค์ไหนตรัสรู้ขึ้นมาก็มาชะล้างของสกปรกเหล่านี้ไม่ใช่ชะล้างอะไร สกปรกเหล่านี้อยู่ที่ไหน อยู่ที่หัวใจของสัตว์ ไม่มีความสะอาดความสกปรกที่ไหนนอกเหนือไปจากหัวใจของสัตว์ ความสุขและความทุกข์ก็อยู่ที่หัวใจของสัตว์โลกทั่ว ๆ ไป เพราะกิเลสอยู่ที่นั่น ตัวเป็นเหตุสร้างความชั่วช้าลามก ทีนี้ธรรมก็อยู่ที่ใจ เกิดที่ใจด้วยกัน กิเลสและธรรมไม่เกิดที่ไหน เกิดที่ใจดวงเดียวกันของสัตว์โลก ให้พากันจำข้อนี้ไว้ให้ดี
เราอย่าเข้าใจว่าดินฟ้าอากาศกว้างแสนกว้าง กิเลสจะไปเที่ยวหาหลบซ่อนที่นั่นที่นี่ ไม่มี จะอยู่ที่หัวใจของสัตว์โลกด้วยกันทั้งนั้น ไม่ว่ามนุษย์ไม่ว่าสัตว์ประเภทใด กิเลสจะมีอยู่ด้วยกันทั้งนั้น เพราะฉะนั้นความทุกข์จึงมีอยู่ทั่วไป เพราะกิเลสเป็นตัวสร้างทุกข์ทั้งนั้น สร้างความเพลิดเพลินให้เล็กน้อย ๆ พอเป็นเหยื่อล่อ แล้วความทุกข์เป็นเสี้ยนเป็นหนามเป็นฟืนเป็นไฟเผาตามหลังไปเลย เรื่องความล่อลวงของสัตว์โลกก็คือกิเลสมันล่อลวงให้ดีดให้ดิ้นไปตามมัน จะสมหวังอย่างนั้นสมหวังอย่างนี้ มีแต่หวัง ๆ ทีนี้ผิดหวัง ๆ ก็เป็นความทุกข์ขึ้นมา ก็เป็นเรื่องของกิเลสหลอกโลกทั้งนั้น มันเต็มโลกเต็มสงสาร โลกไหนที่จะมีความสุขไม่มี เอาธรรมเข้าจับนะ
เราไม่พูดอะไรให้นอกเหนือจากธรรมไป เพราะธรรมเคยสอนโลกมานานแล้ว โลกที่จะพ้นจากทุกข์เพราะธรรมเท่านั้น อย่างอื่นไม่มี สามแดนโลกธาตุไม่มีอะไรที่จะฉุดลากจิตใจของโลกที่ถูกกิเลสปกคลุมหุ้มห่อหรือบีบบังคับเอาไว้ให้หลุดพ้นออกไปได้ มีธรรมเท่านั้น สองอย่างนี้เป็นข้าศึกต่อกัน อย่างอื่นไม่มี ดินเป็นดิน น้ำเป็นน้ำ ลมเป็นลม ไฟเป็นไฟ เขาเป็นข้าศึกศัตรูต่อผู้ใด ร้อนเขาก็ไม่รู้ว่าเขาร้อน หนาวเขาไม่รู้ว่าเขาหนาว เป็นธรรมดาของเขา เราผู้มีความรู้อยู่ภายในใจ สัมผัสอะไรก็ทราบได้ชัดว่าอันนั้นร้อนอันนี้หนาว อันนั้นสุขอันนี้ทุกข์ เกิดอยู่ที่หัวใจนะไม่ได้เกิดอยู่ที่อื่นใด ดินฟ้าอากาศเขาไม่มีความรู้สึก ร้อนเขาก็ไม่รู้สึกว่าเขาร้อน หนาวเขาไม่รู้สึกว่าเขาหนาว เช่นทุกข์อย่างนี้ ทุกข์เองก็ไม่รู้สึกว่าตัวเป็นทุกข์ แต่ผู้ไปสัมผัสทุกข์ต่างหากได้รับความทุกข์ความลำบาก ให้พากันจำเอานะ
รวมแล้วที่ไหนเป็นที่รวมแห่งความสุขและความทุกข์ ก็คือใจ ความทุกข์ก็คือกิเลสเป็นผู้สร้างขึ้นมาให้เกิดความทุกข์ ความสุขก็คือธรรมเป็นผู้สร้าง ความดีงามของเรานั่นสร้างขึ้นมาเป็นเครื่องชะล้างกัน ๆ พอฟัดพอเหวี่ยงกันไปได้คนเราไม่ทุกข์โดยถ่ายเดียว นอกจากสร้างกรรมอย่างไม่มีปรานีปราศรัยเลยนั้นจมได้ แต่ผู้ที่ยังรู้สึกเรื่องบุญเรื่องบาปอยู่แล้ว ผู้นี้มียาเป็นเครื่องบรรเทา เหมือนคนไข้เข้าไปหาหมอมีทางหายได้ อันนี้ถ้าเรายังมีความรู้สึกในอรรถในธรรม ขยะแขยงต่อบาปต่อกรรม มีความกระหยิ่มยิ้มย่องต่อบุญต่อกุศล ผู้นี้มีทางไปได้ ถ้าเป็นโรคก็เข้าโรงพยาบาลแล้วหายออกมาเป็นคนปรกติได้ ถ้าไม่ยอมเชื่ออะไรเลย โรคไม่เชื่อหมอก็คือโรคตายโดยถ่ายเดียว ไม่เชื่อหมอไม่เชื่อยาตายโดยถ่ายเดียวเท่านั้น แม้โรคเล็ก ๆ น้อย ๆ ก็ตายได้ เพราะกินตามความต้องการ ใช้ตามความต้องการ ไม่ได้คิดว่าอะไรเป็นของแสลง เพราะไม่เชื่อใคร แล้วสุดท้ายเจ้าของเป็นผู้จม
ธรรมพระพุทธเจ้าก็เหมือนกัน เราให้พากันอุตส่าห์พยายามนะ หลวงตาก็บอกชัด ๆ แล้ว เราไม่ได้พูดเพื่ออะไรในโลกอันนี้ พูดเพื่อเรา ๆ ก็ไม่เคย ไม่มีที่จะตั้งใจสงเคราะห์สงหาเราหรือว่าหนุนเรายังไง ๆ ขาดตกบกพร่องอะไร เราไม่มีเราก็บอกเราไม่มี มีแต่เพื่อโลกล้วน ๆ ที่ตะเกียกตะกายนี้ไม่ได้เพื่อใครนะ เพื่อพี่น้องชาวไทยและสัตว์ทั่วโลกดินแดนนั่นแหละ สำหรับเราเองเราไม่มี เราบอกไม่มี นี่แหละธรรมะท่านพูดอย่างตรงไปตรงมา การทำการทำงานทางดีทางชั่ว มีงานมีการทางดีทางชั่ว ได้ผลขึ้นมาดีชั่วมากน้อยเพียงไรเขาก็มาพูดกันได้ เช่นไปเล่นการพนัน วันนี้ไปเล่นการพนันเสียไปเท่าไรได้เท่าไร เขาพูดได้ เขาไม่เห็นปิดปาก เขาพูดได้อย่างธรรมดา ๆ ของนักพนัน แล้วทีนี้การสร้างคุณงามความดี เราหาคุณงามความดีได้มากน้อยเพียงไร วันนี้เป็นยังไง ได้ไปทำบุญให้ทานหรือรักษาคุณงามความดีอะไรบ้าง หรือวันนี้ได้ภาวนาเป็นยังไง จิตใจสงบอย่างไรบ้าง เราพูดได้ทำไมเราจะพูดไม่ได้
เราทำหน้าที่การงานใด เราก็นำหน้าที่การงานที่เป็นผลขึ้นมาได้มากน้อยเพียงนั้นเหมือนกัน ทำไมเราจะพูดไม่ได้ ธรรมพูดไม่ได้ก็กิเลสมีอำนาจมากเย็บปากผู้ปฏิบัติธรรมให้หมดไม่ให้พูด ให้พูดแต่เรื่องของกิเลสอย่างเดียว โลกนี้ก็มีแต่ฟืนแต่ไฟซิ ที่จะเย็นได้เพราะธรรม แต่ธรรมออกไม่ได้จะทำยังไง อะไรจะดับฟืนไฟที่มันเผาร้อนอยู่ภายในจิตใจของสัตว์ เพราะฉะนั้นจึงพูดได้ เรื่องธรรมเรื่องโลกพูดได้ด้วยกัน เพราะมีการทำด้วยกัน มีผลด้วยกัน ผลได้มากน้อยเพียงไรพูดได้ ทางชั่วก็พูดได้ ทางดีก็พูดได้ทำไมจะพูดไม่ได้ นี่เราปฏิบัติศีลธรรมก็เป็นอย่างนั้น
อย่างหลวงตาที่ได้สอนพี่น้องทั้งหลายนี้ เราก็ไม่เคยได้คิดได้คาดบอกแล้ว อันนี้บอกไม่รู้กี่ครั้งแล้ว ปฏิบัติตนด้วยความตะเกียกตะกายเสือกคลานมาเป็นลำดับลำดา แต่เพราะความอุตส่าห์พยายามไม่หยุดไม่ถอย เอา ล้มลุกขึ้นมาต่อยอีกอยู่อย่างงั้น หลายครั้งหลายหน ฝึกซ้อมเข้าไป ๆ เสียท่าให้คู่ต่อสู้แง่ไหน ๆ จับเอาไว้ๆ แล้วได้ท่าตรงไหนจับเอาไว้เป็นสักขีพยาน ส่งเสริมอุบายที่ถูกต้องนั้นให้มีกำลังมากขึ้น ก็ต่อสู้กันไป ๆ นี่ละท่านว่าธรรมคือน้ำที่สะอาดชะล้างของสกปรกได้แก่กิเลส ที่มันสร้างกองทุกข์ขึ้นมาในหัวใจของเรา ยกตัวอย่างเช่น เรานั่งภาวนาจิตไม่อยู่ จิตดีดจิตดิ้น ไม่ดีดไม่ดิ้นยังไงกิเลสมันมีพลังขนาดไหน มันดันออก มีเมื่อไรที่กิเลสอิ่มพอ ไม่มี มีแต่หิวแต่โหยอยู่ตลอดเวลา ท้องกินจนไม่มีท้องที่จะใส่ ท้องเต็มแต่จิตใจหิวโหย คือเรื่องของกิเลสไม่ยอมอิ่มพอเลย ตลอดกัปตลอดกัลป์ก็ไม่มีคำว่าอิ่มพอคือกิเลส ได้เท่าไรยิ่งดิ้น ๆ คือกิเลสนั้นแหละจะเป็นไรไป
ส่วนธรรมไม่เป็นอย่างนั้น ยกตัวอย่างเช่นนักบวชผู้มุ่งต่อศีลต่อธรรมอย่างยิ่ง ต่อมรรคผลนิพพานอย่างยิ่งแล้ว ท่านเริ่มบวชปั๊บวันนั้นท่านจะเริ่มมีความสุขภายในใจ ความระมัดระวังจะรอบตัว ระวังความชั่วไม่ให้เข้ามาผ่านภายในใจทำลายตัวเอง แล้วรักษาความดีไม่ให้ศีลด่างพร้อย เพียงเท่านี้เย็นแล้วนะนักบวช บวชในวันนั้นเย็นในวันนั้นเลย ทีนี้พยายามตั้งใจปฏิบัติรักษาศีลรักษาธรรม แล้วปัดเป่าสิ่งไม่ดีทั้งหลายอยู่ตลอดเวลาในอิริยาบถทั้งสี่เว้นแต่หลับเท่านั้น จิตใจก็ยิ่งมีความอบอุ่นเป็นลำดับลำดา มันเห็นชัด ๆ อยู่งั้น นี่ละธรรมเข้าอยู่ที่ใจนะ
คุณงามความดีเป็นเครื่องเสริมจิตใจให้มีความสุขความสะดวกสบาย อบอุ่นทุกอย่างขึ้นไปเป็นลำดับลำดา นี่ธรรมอยู่กับใจ ดูเอาซิดูเจ้าของ ทีนี้ศีลก็ดี พยายามตั้งใจภาวนาให้จิตมีความสงบ เพราะกิเลสตัวยุแหย่ก่อกวนมันทำทุกอย่างที่จะให้เกิดความฟุ้งซ่านวุ่นวายและสร้างความทุกข์ใส่หัวใจตัวเอง มันทำอยู่ตลอดเวลา ทีนี้เวลาเรามาภาวนา กิเลสก็ดันออกไป มันอยากให้คิดอย่างนั้น อยากให้คิดอย่างนี้ คิดตลอดเวลา ทางธรรมะระงับดับความคิดที่กิเลสคิดนั้น เอาความคิดของธรรมเข้าแทน เช่นเราบริกรรมพุทโธ ๆ ให้บังคับอยู่กับพุทโธ คำบริกรรมเป็นคำใดก็ตามซึ่งเป็นอารมณ์ของธรรมแล้ว เรียกว่าถูกต้องทั้งนั้น ถ้าเจ้าของชอบกับจริตนิสัยข้อใดให้จับข้อนั้นเอาไว้ เอาธรรมนี้บังคับ จำไว้ให้ดีนะ
มันจะดันออกนะ กิเลสนี่ละ อารมณ์เรื่องของกิเลส อารมณ์มันแสดงออกมา คืออยากคิดอย่างนั้น อยากคิดอย่างนี้ มันดึงออกเรื่อย ทางนี้บังคับไม่ให้คิด บังคับด้วยความคิดของธรรมคือพุทโธ หรือคำบริกรรมบังคับเอาไว้ มันจะเป็นจะตายมันจะคิดอะไรไม่ยอมคิด บังคับกัน ไม่นานนักแล้วจิตจะค่อยสงบลง ๆ มีอารมณ์ของธรรมสืบเนื่องกันด้วยคำบริกรรมโดยความมีสติ จะค่อยสงบลง ๆ พอจิตสงบแน่วลงไปนี้เห็นโทษแห่งความวุ่นวายแล้วที่นี่ ที่กิเลสมันผลักมันดันออกไปให้คิดอย่างนั้นอย่างนี้ ทีนี้มาเห็นความสงบ ความสงบเป็นสุข ไม่มีอะไรกวน แต่ความดีดดิ้นของความคิดความปรุงกวนทั้งนั้นให้เกิดแต่ความทุกข์ มันก็เห็นคุณค่าละซิ อ๋อ จิตสงบแล้วสบาย เห็นโทษแห่งความคิด คราวหลังก็มีทางต่อสู้เพราะได้สักขีพยานแล้ว เราทำอย่างนั้นจิตของเราสงบอย่างนั้น ทีนี้จะเอาให้สงบอย่างนั้น ๆ มากกว่านั้นให้ยิ่งขึ้น ๆ
นี่ละการฝึกทรมานตนเอง ต่อไปจิตที่เคยดีดเคยดิ้นหิวโหยกระวนกระวายเพราะอำนาจของกิเลสฉุดลากไปนั้น จะสงบตัวลงด้วยอำนาจแห่งธรรม ได้ดื่มธรรมแล้วมีความสบายใจ ๆ อยู่ไหนก็สบาย นักภาวนาอยู่ที่ไหนสบาย อยู่ในป่าในเขา การกินอยู่ปูวาย การหลับการนอนไม่ได้คำนึง สำหรับนักภาวนาแท้ ๆ นะ ไม่ได้สนใจ กินไปวันหนึ่ง ๆ พอยังชีวิตให้เป็นไปเท่านั้นพอ ๆ ท่านไม่ได้เป็นอารมณ์กับสิ่งเหล่านี้ เป็นอารมณ์กับธรรม หมุนติ้ว ๆ จิตใจมีความสงบเอิบอิ่มอยู่ภายในใจ อยู่ที่ไหนก็สบายไปหมด ต้นไม้ภูเขาเขาไม่มีอะไร มีแต่ใจของเราที่สงบเย็น ๆ มันก็เห็นเด่นอยู่นี้
ความสุขทั้งหลายในโลกที่เราเคยคิดเคยกว้านมาว่าความสุขจะอยู่ที่นั่นที่นี่ มันไม่ได้อยู่ที่ไหน มันอยู่ที่หัวใจอิ่มกับธรรมเป็นขั้น ๆ ขึ้นไป เมื่อเราอบรมธรรมเข้าไป จิตของเราก็มีความอิ่มเอิบขึ้นภายในใจสบาย ๆ อารมณ์ที่กวนใจได้แก่กิเลสมันจะค่อยเบาลง ๆ นี่ละการอบรมตนเอง ท่านทั้งหลายจำเอานะ นี่วิธีการที่เราทำมาแล้ว จากนั้นจิตมันสงบแน่ว จนกลายเป็นจิตเป็นสมาธิ ทีนี้อยู่ที่ไหนสบายหมด ความคิดความปรุงที่เคยเดือดร้อนวุ่นวายอยากที่จะปรุงแต่ก่อนดับลงหมด คิดขึ้นมาปรุงขึ้นมานี้รำคาญ ความคิดของกิเลสแต่ละแง่ ๆ นี้สร้างความรำคาญให้แก่เรา ไม่อยากคิด มีแต่ความสงบแน่ว อยู่ไหนอยู่ได้หมด นั่นเห็นไหมล่ะ วันคืนปีเดือนมีแต่มืดกับแจ้งสำคัญอะไร สำคัญอยู่ที่ความสัมผัสกันระหว่างจิตกับธรรม หรือระหว่างจิตกับสุขกับทุกข์สัมผัสกันอยู่นี้ เมื่อธรรมมีมากทุกข์ก็มีน้อย สุขก็มีมากขึ้นมาเรื่อย ๆ ก็สงบเย็น ๆ นี่เป็นขั้นนะ เรื่องธรรมเป็นอย่างนั้น แล้วพอตัวสบายไปโดยลำดับ ไม่ดีดนะ
ธรรมไม่ดีดเหมือนกิเลส กิเลสได้เท่าไรยิ่งดีด ยังสร้างความทุกข์ให้เจ้าของ เหมือนกับหาเชื้อไฟเข้ามาเผาตัวเอง ๆ ตลอด ส่วนธรรมะไม่เป็นอย่างนั้น ค่อยเย็นเข้าไป ๆ เราพูดย่อ ๆ ให้พี่น้องทั้งหลายทราบ จิตขั้นใดก็ตามมีความอิ่มพอในตัวเอง สบาย ๆ ยิ่งออกทางด้านวิปัสสนาปัญญาพิจารณาสอดส่องมองทะลุไปหมด นั่นยิ่งแล้วนะ ยิ่งกระจ่างแจ้งออกไป สิ่งไม่เคยรู้ ๆ ไม่เคยเห็น ๆ เห็นอยู่ในใจ เพราะอะไรจึงไม่เห็นแต่ก่อนพึ่งมาเห็นเวลานี้ เพราะแต่ก่อนกิเลสมันปิดเอาไว้ไม่ให้มองเห็น สิ่งใดที่มีอยู่รอบด้านก็ไม่เห็น เหมือนคนหลับตา เราหลับตาสิ่งเหล่านี้มันก็ไม่เห็น พอลืมตาออกมามันมีอยู่ตั้งแต่เมื่อไรเห็น แล้วสิ่งทั้งหลายมันก็เหมือนกัน พอจิตใจเปิดออก ๆ ชำระกิเลสตัวปิดบังนั้นออก ๆ มันก็ค่อยเริ่มเห็น ๆ ทุกสิ่งทุกอย่าง เริ่มเข้าไปเรื่อย ๆ
จิตมีความสว่างกระจ่างแจ้งออกไปเท่าไร ยิ่งขยายออกไปความรู้ความเห็น ลึกตื้นหยาบละเอียดจะขยายตัวออกไป ฟังนะนี่ผลของการปฏิบัติธรรม พระพุทธเจ้าสอนโลกมาโกหกโลกเหรอ ปฏิบัติตามนี้ดูซิ ถ้าไม่จริงจริง ๆ แล้วจะไปฟ้องพระพุทธเจ้าก็ได้ไม่ว่า แต่นี้เราไม่จริงนั่นซีไปฟ้องอะไร ถ้าไปฟ้องท่านก็จะตีหน้าผากเอา พวกขี้เกียจคำเดียวเท่านั้นตีเปรี้ยงหงายไปเลย หงายไม่หงายธรรมดาหงายหมาเสียด้วย หงายไม่เป็นท่าเขาเรียกหงายหมา หงายที่จะต่อสู้กับความชั่วนี้เรียกหงายแมว ตบเรื่อย ล้มก็ล้ม ลุกขึ้นแล้วต่อยกันเลยกับกิเลสไม่ถอย
ทีนี้เวลาจิตสว่างออกไปเท่าไร ๆ พระพุทธเจ้าสอนไว้ตรงไหนว่าบาปบุญ นรกสวรรค์ เปรตผีประเภทต่าง ๆ เห็นแล้วรู้แล้วค่อยมาสอนสัตว์ตาบอด สัตว์ยังไม่เห็น เอา ให้เดินตามนี้นะสิ่งเหล่านี้จะปิดไม่อยู่ จะได้รู้ได้เห็นในตัวเอง ขอให้เดินตามแบบแปลนแผนผังคือธรรมที่แสดงไว้แล้วนี้ แล้วจะรู้เต็มภูมิของตัวเอง ครั้นเวลาปฏิบัติไปมันก็รู้จริง ๆ เมื่อเจ้าของรู้ประจักษ์หัวใจเจ้าของแล้ว เจ้าของค้านเจ้าของไม่ได้ แล้วเราจะไปค้านพระพุทธเจ้าได้ยังไง พระพุทธเจ้าสอนไว้แล้วเห็นไว้ก่อนแล้ว พอเราไปเจอเข้า ยอมรับตัวเองในความรู้ความเห็นตัวเอง แล้วก็แย็บออกไปความรู้ ไปถึงพระพุทธเจ้า พระองค์สอนไว้หมดแล้ว ๆ ก็ยอมเรื่อย ๆ ทีนี้มันบุกเรื่อยละซิ
นี่ละพระพุทธเจ้าเอาธรรมมาสอนโลก ไม่ได้สอนแบบคนตาบอดหูหนวกนะ เห็นแล้วรู้แล้วทุกอย่าง ที่พวกเราทั้งหลายไม่เห็นอยู่เวลานี้ ท่านเห็นทุกอย่างแล้ว พอเปิดใจออกไปทางด้านปฏิบัติธรรมแล้วจะค่อยกระจ่างออกไป ๆ เห็นไปเรื่อย ๆ ทีนี้เรื่องธรรมที่ท่านสอนไว้ทั้งหลายแล้วมันหมดปัญหาสำหรับผู้ที่รู้ตามท่านแล้ว หมดปัญหาไปเลย ๆ มันก็มีปัญหาตั้งแต่พวกตาบอดไม่ยอมฟังเสียง คอยแต่จะค้านธรรมพระพุทธเจ้า นั้นคือเรื่องของกิเลส พากันปฏิบัตินะ ไม่มีอะไรเลิศยิ่งกว่าใจ ชี้นิ้วเลย สามแดนโลกธาตุไม่มีอะไรเลิศยิ่งกว่าใจ ในขณะเดียวกันก็ไม่มีอะไรเลวยิ่งกว่าใจ ถ้าสร้างความชั่วตามอำนาจของกิเลสนี้จะเลวสุดยอดเลย ตกนรกหมกไหม้ไม่ทราบกี่กัปกี่กัลป์ถึงจะได้ฟื้นขึ้นมา ถ้าปฏิบัติความดีก็ดีขึ้นไปสุดยอด ๆ จนถึงพระนิพพานเป็นนิพพานเที่ยงขึ้นมา นี่ละสุดยอดอยู่ที่จิตนะ สุขสุดยอดอยู่ที่ใจ ทุกข์สุดขีดสุดแดนก็อยู่ที่ใจ จากความชั่วทั้งหลาย ให้ฝึกหัดอบรมตน
ร่างกายของเรานี้มันไม่ไปตกนรกหมกไหม้ที่ไหนนะ ตายแล้วมันก็เป็นดินเป็นน้ำเป็นลมเป็นไฟ เขาเรียกว่าส่วนผสม ส่วนผสมคืออะไร ธาตุแข็ง ธาตุอ่อน ส่วนผสมธาตุแข็งเรียกว่าธาตุดิน ธาตุน้ำ ธาตุลม ธาตุไฟ อยู่ในร่างกายของเรา พอลมหายใจหมดเท่านั้นแล้วสิ่งเหล่านี้ก็สลายลงไปสู่ธาตุเดิมของตน แต่จิตดวงนี้จะออกทันที ใครมีบุญมีบาป บุญบาปนั้นจะพาไป อย่างอื่นอย่างใดไม่พาไปได้ มีแต่บุญกับบาป คือดีกับชั่วจะนำจิตดวงนั้นไป ถ้าจิตมีแต่ความชั่วช้าลามกตายแล้วดีดผึงลงเลย ถ้าจิตมีความดี พอหมดลมหายใจก็ดีดขึ้นเลย อำนาจแห่งบุญหนุนทันที ๆ ก็อยู่ในหัวใจดวงเดียวกัน
ใจดวงนี้ไม่เคยตาย ไม่มีคำว่าตาย ที่ว่าเกิดตาย ๆ นี้ เป็นเรื่องของใจดวงนี้เข้าไปอาศัยในธาตุขันธ์นั้น ไปปฏิสนธิวิญญาณเกิดภพนั้นภพนี้ ส่วนใจจริง ๆ ไม่เคยตาย หากเข้าร่างนี้ ร่างนี้หมดสภาพเรียกว่าตาย เอ้า ไปเข้าร่างนั้น ๆ ตามบุญตามบาปของตัวเองนั้นแหละ เวลามันหมดทุกสิ่งทุกอย่างแล้ว ท่านชำระจนหมดไม่มีอะไรจะพาให้ไปเกิดไปตายอีกแล้ว บริสุทธิ์เต็มที่แล้ว เรื่องความทุกข์ก็ตัดสินใจลงในขณะนั้นว่า ทุกฺขํ นตฺถิ อชาตสฺส ทุกข์ย่อมไม่มีแก่ผู้ไม่เกิด คือเกิดก็เอากองทุกข์มาพร้อมนั่นแหละ เมื่อไม่เกิดแล้วทุกข์ไม่มี ไม่เกิดแล้วก็ไม่ตายด้วย ถึงอมตมหานิพพาน ท่านไม่ตาย นี่ละธรรมท่านสอนไว้อย่างนี้ ทุกพระองค์สอนแบบเดียวกันหมด
ศาสนาเราก็เรียวแหลมลงไปทุกวัน ๆ สุดท้ายมีแต่ส้วมแต่ถานเต็มบ้านเต็มเมือง ใครก็ดิ้นหาตั้งแต่ความสุขความเจริญ เวลาได้รับมีตั้งแต่ความทุกข์ความทรมานเต็มหัวใจทั้งเปิดเผยทั้งลี้ลับอยู่ภายในตัว เสวยอยู่คนเดียวภายในตัวก็มี ออกไปให้หมู่เพื่อนได้เห็น เป็นกิริยาที่โศกเศร้าโศกา ร้องห่มร้องไห้เป็นการเปิดเผยอย่างนี้ให้โลกเห็นก็มี ที่ไม่เป็นอย่างนั้นเป็นอยู่ภายในใจก็มี มีอยู่ด้วยกันสัตว์โลกเหล่านี้ เพราะกิเลสเอาไฟไปเผาในหัวอกนั้น เข้าใจเหรอ เอาธรรมจับมันก็เห็นหมดนี่ พระพุทธเจ้าไม่ขนาดนั้นสอนโลกได้ยังไง ท่านไม่ได้สอนแบบหูหนวกตาบอดเหมือนเรานะ พวกเรามันอยู่ด้วยตาบอดหูหนวก เวลาตายนี้จะไปเกิดที่ไหนมันก็ไม่แน่ใจ เพราะเจ้าของไม่ได้สร้างความแน่ใจให้เจ้าของ ถ้าลงสร้างความแน่ใจแล้วตายไม่ตายมันก็รู้ภายในจิตใจ พูดตรง ๆ อย่างนี้ เมื่อมันแน่อยู่ในหัวใจ ไม่มีอะไรจะเป็นนักรู้ยิ่งกว่าใจ ใจเป็นนักรู้แน่ทุกอย่าง
เมื่อเวลาสร้างบาปสร้างกรรมมาก ๆ แล้ว พอคิดถึงบาปคิดถึงความชั่วนี้จิตใจมันจะวูบขึ้นมาเป็นไฟเผาเจ้าของเห็นชัด ๆ นะ คนที่สร้างความดี พอระลึกถึงเรื่องความเป็นความตายนี้จิตใจจะมีความอบอุ่น มีที่เกาะที่ยึด เพียงขั้นนี้ก็ชัดเจนแล้ว ยิ่งเป็นนักภาวนาด้วยแล้วเห็นชัด เห็นประจักษ์เลยเทียว จิตใจหากเบาบางจากกิเลสมากน้อยเพียงไร ๆ มันจะรู้เป็นระยะ ๆ ๆ ไปเลย จนกระทั่งเป็นที่แน่ใจ เช่น อย่างพระอนาคามีท่านก็แน่ใจท่านแล้ว พระอนาคามีผู้สิ้นจากราคะตัณหา ขั้นปฐมฤกษ์ทีเดียว ท่านแน่แล้วปั๊บตั้งแต่นั้นมาพระอนาคามีจะก้าวเรื่อย ๆ ๆ จะไม่กลับ ถึงจะต่อชั้นนั้นชั้นนี้ก็ต่อไปเพื่อถึงที่สุด วิมุตติคือพระนิพพาน นั่น ท่านแน่ใจตั้งแต่ท่านบรรลุอันนี้ลงไป แน่เป็นลำดับว่าจะหลุดพ้นจากทุกข์โดยถ่ายเดียว ยิ่งผู้สิ้นกิเลสแล้วผางทีเดียวหมดเลย อยู่ที่ไหนรู้หมด แล้วจะไปถามใครเรื่องเป็นเรื่องตาย ความรู้ใครจะเกินใจของเราของเขาล่ะ มันก็รู้อยู่นี้
นี่ละใจที่ว่าใจเป็นนักรู้ รู้อย่างนั้นซิ ถ้าสร้างดีขึ้นมาก็รู้ประจักษ์ อยู่ที่ไหนก็อยู่ได้สบาย ๆ ตายหายห่วงไปพร้อมทั้ง ๆ ที่ยังไม่ตายก็ไม่ได้ห่วง ท่านปล่อยภาระหมดแล้วทุกข์ก็หมดไปด้วยกัน ถ้าผู้ที่ยังมียึดถืออยู่มากน้อย ความทุกข์ก็แทรกอยู่ในนั้น ๆ นี่ละธรรมพระพุทธเจ้าให้พากันปฏิบัติบ้าง ไม่ได้นะจะจมไปเลย นี่อุตส่าห์พยายามได้ ๔-๕ ปีมานี้ ได้อุตส่าห์เต็มกำลังความสามารถ ธรรมะทุกประเภทออกหมดนะ ประเภทที่เยี่ยมก็สอนพระแล้ว เฉพาะอย่างยิ่งในวัดป่าบ้านตาด ติดเทปไว้หมด ประเภทนี้ประเภทเงียบ ๆ สอนอยู่ภายใน ๆ เวลาออกมาช่วยชาติบ้านเมืองนี้ก็เป็นแกงหม้อใหญ่ แกงหม้อเล็กมีบ้างเล็กน้อย แกงหม้อใหญ่คือคนส่วนรวมเป็นจำนวนมาก สอนให้พอเหมาะพอดีกับขั้นภูมิของผู้จะรับไปปฏิบัติให้เป็นประโยชน์แก่ตนทั่วถึงกัน ก็ต้องอุตส่าห์พยายามสอนไปทางโน้นสอนไปทางนี้ ตีนั้นตีนี้ ตีหนักบ้างตีเบาบ้าง ถ้าจะตีแรง ๆ ลงไปนี้มันจะถูกหัวเด็ก แล้วถูกหัวคนแก่เข้าใจไหม
ไอ้นักเลงโตมันก็แอบอยู่ข้างหลังไม่ถูกมันละซิ แกงหม้อใหญ่เป็นอย่างนั้นละ ถ้าแกงหม้อเล็กนี้พุ่ง ๆ เลย เพราะมีแต่ผู้ที่มุ่งหวังความหลุดพ้นด้วยกัน ธรรมะประเภทเด็ดเท่าไรยิ่งชอบ ๆ ผึงเลย ผู้นี้เรียกว่าฟังแต่แกงหม้อเล็กแกงหม้อจิ๋ว เรานี้ก็เทศน์หมดแล้วนะ แกงหม้อเล็กหม้อจิ๋วนี้เราสอนพระโดยลำพัง ๆ มาก่อนที่เราจะช่วยชาติบ้านเมืองนี้ จนกระทั่งเราหยุดการสอนพระเรียบร้อยแล้ว เพราะเราก็หมดกำลังแล้ว ทีนี้เรื่องชาติบ้านเมืองก็โผล่ขึ้นมาให้ได้พลิกไปทางใหม่ไปสอนทางโลกทางสงสาร กลายเป็นแกงหม้อใหญ่ขึ้นมา แกงหม้อเล็กจะมีบ้างในสถานที่มีพระกรรมฐานที่ท่านไปปฏิบัติ ท่านสนใจไปฟังเทศน์ฟังในเวลาเช่นนั้น ก็แยกแกงหม้อใหญ่มาเป็นแกงหม้อเล็ก เพื่อพระทั้งหลายที่มุ่งต่ออรรถธรรมขั้นสูง ให้ท่านได้ยินได้ฟังได้ประโยชน์ นั่น จึงมีน้อยไม่มีมากนะ แกงหม้อเล็ก นี่เราก็สอนมาเต็มเม็ดเต็มหน่วย
ธรรมทั้งหลายที่เราสอนแล้วนี้ เราไม่มีสงสัยอะไรเลย สอนอย่างอาจหาญชาญชัย ไม่ใช่เราตั้งข้ออาจหาญขึ้นมานะ มันเป็นอยู่ในหัวใจ ไม่มีสงสัยอะไรแล้วเทศน์จะสงสัยอะไรวะ ก็ต้องตรงแน่ว ๆ ๆ น่ะซิ ยังมีชีวิตอยู่เวลานี้ แล้วตายไปจะไปที่ไหนมันก็ไม่สงสัยเวลานี้ เราไม่ได้สงสัย จนกระทั่งในบางครั้งก็บอกว่า เวลาหลวงตาบัวตายแล้วอย่านิมนต์พระมากุสลานะ นั่นเห็นไหมล่ะ หรือว่าอวดว่าท้าทาย เราไม่ได้อวดเราแน่ใจเรา ความหมายว่าอย่างนั้น กุสลา ธมฺมา คือความฉลาด เราฉลาดฆ่ากิเลสขาดสะบั้นไปหมดแล้ว หาความฉลาดมาจากไหน แล้วจะเอาใครมากุสลา องค์ที่มากุสลามันมีความฉลาดหนักเบามากน้อยเพียงไร ดีไม่ดี กุสลา ธมฺมา กล้วยหอมไปไหนนา มันจะว่าอย่างนั้นเข้าใจไหม นี่เราไม่หากล้วยหอม
ถ้าพูดตามหลักความจริงจริง ๆ ถึงเวลาแล้วที่จะไปแล้ว ไม่อยู่แล้ว เข้าไปร่มไม้ร่มไหนปั๊บ ไป เท่านั้นดีดผึงเลยไปเลย ไม่มีอะไรเป็นห่วงเป็นกังวลเลย สำหรับจิตหรือธรรมล้วน ๆ แล้วเป็นอย่างนั้น แต่กิเลสนี้ยุ่งเหยิงวุ่นวาย ห่วงหน้าห่วงหลัง ยังไม่ตายห่วงเป็นบ้าไปเลย เข้าใจไหม นี่จิตกิเลส ห่วงหน้าห่วงหลัง จิตของธรรมล้วน ๆ แล้วไม่ห่วง
เพราะฉะนั้น ในประวัติท่านแสดงไว้ในตำราจึงมีน้อยมากสำหรับพระอรหันต์ ท่านนิพพานที่ไหน ๆ บ้างนี้ไม่ค่อยมีนะ มีเฉพาะองค์ที่มีชื่อเสียงโด่งดัง ทำประโยชน์ให้แก่โลกได้มาก อย่างเช่นอย่างพระสารีบุตร พระโมคคัลลาน์ หรือ พระกัสสปะ เรายกมาเป็นตัวอย่างเพียงเท่านี้ แล้วพระสาวกท่านมีจำนวนเป็นพัน ๆ หมื่น ๆ หรือ แสน ๆ ล้าน ๆ หายไปไหนหมด เหตุที่หายไปหมดก็เพราะว่า ท่านไม่ได้กังวลในความตาย บรรดาพระอรหันต์ท่านไม่กังวล เวลาสอนโลกท่านก็สอนตามกำลังความสามารถของท่าน ถึงวาระกาลอันควรของท่านที่จะไปแล้ว ท่านหลีกปั๊บออกไป เพราะท่านอยู่ในป่าที่สงัดอยู่แล้ว พอถึงกาลเวลาท่านหลีกปั๊บออกไปแล้วเท่านั้นแหละ ดีดผึงเลยไปเลย ๆ จึงไม่ค่อยมีประวัติ
ส่วนปุถุชนคนหนาด้วยกิเลสนี้ไปที่ไหน โอ๊ย.ยุ่งไปหมดเลย เผาศพเผาเมรุก่อเหมือนชั้นดาวดึงส์ ก่อศพก่อเมรุ ครั้นเผาก็เอาไฟนั่นแหละไม่เห็นได้เรื่องอะไร เจ้าของถ้าได้ทำชั่วลงในนรก มันไม่ได้ขึ้นอยู่กับการศพก่อเมรุสูง ๆ สวย ๆ งาม ๆ นะ มันขึ้นอยู่กับกรรมของเจ้าของต่างหากนี่นะ ถ้ากรรมดีแล้วตายที่ไหนตายได้หมด พระพุทธเจ้าท่านตายง่ายนิดเดียว ท่านไม่หาที่ตายที่ไหนยากเลย ปั๊บเข้าไปตรงไหน ไปแล้ว
นี่ก็ได้เคยพูดกับหมู่กับเพื่อน ฟังซิ อวดหรือนี่ก็ดี พูดให้หมู่เพื่อนฟัง เฉพาะอย่างยิ่งกับพระ เราสั่งอย่างเด็ดอย่างขาดตามหลักความจริงไม่ให้เคลื่อนนะ เวลาจำเป็นจริง ๆ เราก็เริ่มมาตั้งแต่ต้น การเจ็บไข้ได้ป่วยของเรา ถ้าเราไม่ยินยอมในใจอย่าเอาเราเข้าไปโรงพยาบาลโรงไหน อย่าเอาไปนะ นั่นบอกแล้ว ถ้าเป็นความยินยอมแล้วเอาไปเลย นี่เรียกอนุโลมขั้นหนึ่ง
จากนั้นเวลาเราหนักเข้ามานี้ บรรดาพระทั้งหลายนั้นแหละที่จะมาเกี่ยวข้องกับเรา ประชาชนไม่ค่อยมา ให้ต่างองค์ต่างเงียบอย่ามาส่งเสียงนั้นส่งเสียงนี้ แล้วอย่ามาสอนเราอันนั้นอันนี้ เราพอเดี๋ยวนี้ บอกขนาดนั้นนะ เราพอทุกอย่างแล้ว คำว่าพอแล้วจะรับอะไรอีก อย่ามาสอนมันเป็นการกวนใจ นี่ประการที่สอง
ประการที่สาม ห้ามไม่ให้ใครมาแตะต้อง เวลาจำเป็นเข้าจริง ๆ แล้วใครอย่ามาแตะต้อง ให้ต่างองค์ต่างอยู่สงบ ๆ เราจะทำหน้าที่ของเราเต็มภูมิ ไม่ให้อะไรมายุ่งเลย พอทำหน้าที่เต็มภูมิแล้วดีดผึงเท่านั้นแหละ ไอ้ซากของเรานี้จะเอาอะไรสาดเหี้ยนห่อโยนลงไปในคลองในบึงที่ไหนเราไม่ว่า เราไปแล้ว ไปสบายอย่างนี้ สอนโลกจึงสอนด้วยความอาจหาญชาญชัย ไม่มีความสะทกสะท้าน เพราะเราไม่มีอะไรสะทกสะท้านในหัวใจเราแล้ว ธรรมพระพุทธเจ้าจริงไหม ฟังซิน่ะ สอนโลกหลอกลวงโลกหรือ มันเห็นอยู่ประจักษ์ในใจนี้ บาปเป็นบาป บุญเป็นบุญมาแต่กาลไหน ๆ ยังจะว่าลบล้างได้หรือ
พระพุทธเจ้าลบล้างบาปลบล้างบุญลบล้างนรกสวรรค์ไม่ได้ ทำไมเราจะเก่งกว่าครูไปลบล้างบาป บุญ นรก สวรรค์ได้ ให้มันเห็นในหัวใจแล้วลบล้างอะไร ยอมกราบพระพุทธเจ้าราบเท่านั้นเอง ให้พากันจำเอา อย่าประมาทเป็นอันขาด ใจดวงนี้ตัวสมบุกสมบัน จะไปอยู่ตลอดนะ หาความดีไปหนุน อย่าเอาความชั่วไปกดลงให้จมลงในนรกนะ เอาละ วันนี้เทศน์เพียงเท่านั้นแหละ
โยม (ชาวอินโดนีเซีย) กราบเรียนถามปัญหา
หลวงตา มีอะไรว่ามา
โยม หัวใจเต้นแรงเหมือนจะระเบิด ที่หัวเหมือนมีน้ำหนักมาทับอยู่หนักมาก
หลวงตา เรากำหนดจิตยังไงตอนที่ภาวนา กำหนดลมหายใจหรือกำหนดอะไร หรือใช้คำใดบริกรรม
โยม ไม่บริกรรม ดูเฉย ๆ
หลวงตา กำหนดดูลมหายใจไหม หายใจเข้าหายใจออก ได้กำหนดรู้อยู่ไหม
โยม กำหนดอยู่ที่ทรวงอก ไม่ได้อยู่ที่ลมหายใจครับผม
หลวงตา ให้กำหนดลมหายใจด้วยนั้นดี คือลมหายใจเข้าให้รู้ ลมหายใจออกก็ให้รู้ มันอยู่ในทรวงอกหรือนอกทรวงอกก็ตาม ให้รู้อยู่ที่ลมหายใจเคลื่อนออกเคลื่อนเข้า ให้ดูอยู่ที่นี่ อะไรจะหนักจะเบาอย่าไปสร้างความกังวลกับมัน ให้ดูลมหายใจ มันมีนะนักภาวนา พอพูดมาเข้าใจทันที นักภาวนาจะรู้เรื่องของการภาวนามีอาการต่าง ๆ ของนักปฏิบัติด้วยกัน มันจะหนักจะเบาไปอย่าถือเป็นอารมณ์ เช่นอย่างเรากำหนดลมเข้าลมออก ให้ดูลมเข้าลมออกอยู่ตลอดเสียก่อน หากยังเคลื่อนไหวไปมาอะไรค่อยพูดกัน เราจะแนะต่อไปอีก ถ้าควรจะแนะต่อไปแบบไหน ให้ดูอยู่ทรวงอกเฉย ๆ มีแต่ความรู้นี้มันเผลอได้ง่าย ให้กำหนดลมหายใจเข้าหรือออกนี้เป็นหลักเอาไว้
โยม ให้รู้อยู่ตรงนี้ วุ่นวายอะไรรู้
หลวงตา เออ ให้ตั้งเอาลมเป็นหลักไว้ก่อน อยู่ทรวงอกมันกว้าง ๆ ไป ให้ตั้งลมไว้นี้เสียก่อน คือสติอยู่กับลมหายใจให้รู้ ทีนี้มันจะค่อยขยายออกไปอีก อันนี้ยังไม่พูดนะให้ตั้งลมไว้ก่อน สติอยู่ที่นั่น สติอยู่ที่ลมหายใจเข้าก็รู้ออกก็รู้ ไม่ต้องคำนวณว่ามันจะออกไปไหนเข้าไปไหน ไม่ต้อง ให้รู้เวลาลมหายใจเข้ารู้ ออกรู้ มีสติอยู่อย่างนั้น สตินี้ตัวสำคัญมากนะ ถ้าพรากจากนี้มากน้อยจะพรากจากความเพียร ขาดผลประโยชน์ เข้าใจแล้วเหรอ
โยม เข้าใจค่ะ
หลวงตา เออ เอาอย่างนั้นก่อนนะ
โยม เห็นร่างกาย เห็นเนื้อ เห็นเอ็น เห็นกระดูก
หลวงตา อันนี้รู้สึกมันจะนอกลมหายใจไปก็ได้แล้ว เพราะมันดำเนินงานของมัน แล้วพิจารณานี้ให้เป็นของแตกของดับ ให้มันแตกมันดับให้มันสลายลงไป
โยม รู้อยู่อันนี้เป็นร่างกาย อันนี้เป็นกระดูก
หลวงตา นั่นละ แล้วลองกำหนดให้มันแตกลงไปดูซิ ร่างกายของคนไม่แตกก็มี ร่างกายคนแตกคนตายก็มี ให้กำหนดมันตายมันแตกสลายลงไปดูนะ เวลามันตายสลายลงไปแล้ว ความรู้จะเด่นขึ้นเรื่อย ๆ อันนี้ถ้าเรากำหนดอีกตั้งขึ้นมาเป็นรูปสวยงาม ให้สวยงามยิ่งกว่านี้ก็ได้ แล้วตั้งให้มันแตกให้มันพองขึ้นไปสลายไป นี่เรียกว่าการฝึกซ้อมสติปัญญา มันจะคล่องแคล่วว่องไวขึ้นไปเรื่อย ๆ เข้าใจแล้วเหรอ มันตั้งขึ้นมาแล้วให้มันแตก
โยม เวลาไม่สบายก็รู้อยู่ว่าไม่สบาย พูดกับตัวเองว่าไม่อยากมาเกิดอีก
หลวงตา เอาละให้ดูอยู่ภายในกายนี้ อริยสัจอยู่ในกายนี้ ให้กำหนดแตกกำหนดดับ มันจะขยายไปยังไงเรื่องธาตุอย่างนี้ ให้ความรู้อยู่กับนั้น สติอยู่กับตัว อย่าให้ส่งออกนอก มันไปรู้สิ่งนั้นสิ่งนี้ถอยเข้ามา ให้อยู่ในวงกาย เอาเท่านั้นก่อน เอาไปพิจารณาเรื่อย ตั้งขึ้นมาแล้วกำหนดให้มันแตกให้มันตาย มันสลายลงไป หรืออย่างหนึ่งเอาไฟเผา กำหนดไฟเผาร่างกายที่มันแตกลงไปนี่นะ เอ้า ตั้งขึ้นมาใหม่ ให้มันเป็นอย่างนี้จนชำนิชำนาญไปโดยลำดับ มันจะบอกเองความรู้มันจะบอก ความขยายตัวเองรวดเร็วยังไงมันจะรู้ของมัน ขอให้ใช้การการฝึกซ้อมนี้ให้มาก ๆ มันจะรู้ไปเอง
เอาเท่านั้นนะ ให้พิจารณาให้มาก ๆ ตั้งขึ้นกำหนดดูให้มันตายมันพองขึ้นมามันแตกลงไป แล้วบางทีเอาไฟเผาลองดู ให้ทดลองดูทุกอย่าง แล้วจิตมันจะหดเข้ามา ๆ ผ่องใสเข้ามา มีหลักฐานแน่นหนามั่นคงขึ้นเรื่อย ๆ อาศัยอันนี้เป็นหินลับปัญญาของเราให้คมกล้า มันจะคล่องแคล่วในตัวเอง แล้วจะสร้างพลังของจิตให้แน่นหนามั่นคงละเอียดลออเข้าไปเรื่อย ๆ เข้าใจเหรอ เอา เท่านั้นก่อน
อ่านธรรมะหลวงตาวันต่อวัน ได้ที่ www.luangta.com |