คำถาม 
โดย : หลานขี้แง ถามเมื่อวันที่ 23 มิ.ย. 2547

เกิดกลัวขณะภาวนา

หลานมีปัญหามาขอความชี้แนะจากหลวงตาเจ้าค่ะ
1. คืนนี้หลานได้พักนอนหลังจากเดินจงกรมและนั่งสมาธิ โดยในระหว่างที่นอนนั้น หลานก็ดูลมหายใจต่อไป สักพักใหญ่มีอาการเหมือนมีลมกระจายไปทั่วร่าง ขึ้นๆลงๆ เหมือนลมขึ้นมาจากปลายเท้า และลมลงจากศีรษะลงมากระทบกันตรงกลางอก ทำให้ช่วงอกซ้อนขึ้นมานูนทับกันแล้วก็ลง ลมก็ตีขึ้นมาที่ใบหน้าขึ้นๆลงๆ ทำให้หน้าตา ปากบูดเบี้ยว ซึ่งช่วงนั้นหลานรู้ตัว และพยายามดูลมหายใจ แต่ลมไม่มี หลานทนดูอาการแบบได้พักใหญ่ๆ แล้วเกิดอาการกลัวอยู่ลึก และลึกสุดในใจได้พูคขึ้นมาว่า "พระพุทธเจ้าช่วยด้วย"  อาการเหล่านี้ก็หายไป เปลี่ยนเป็นอาการสบายๆ และหลานก็ขยับตัวได้ หลานก็อยากจะตามดูให้สุดๆ ว่าจะถึงไหนแต่ "กลัว" และไม่รู้ว่าควรจะทำอย่างไร? ครั้งนี้เป็นครั้งที่ 3 แล้วภายในระยะ 4 เดือนที่ผ่านมา หลานมาขอคำแนะนำจากหลวงตาเจ้าค่ะ

2.หลานพึ่งหัดภาวนาได้แค่ปีเศษๆ และเดือนนี้ครบหนึ่งปีที่หลานได้มากราบหลวงตา และน้อมรับคำสั่งสอนจากหลวงตามาปฎิบัติ การปฎิบัติของหลานอยู่ในขั้นล้มๆลุกๆ หงายหมาอยู่ ที่นี้ถ้าหลวงตาผู้เป็นดั่งแสงตะวันส่องธรรมของหลาน จะไปนิพพาน แค่คิดหลานก็รู้สึกว่า โลกนี้ดับมืดกระทันหันเหมือนถูกทิ้งให้อยู่ก้นเหว ซึ่งต้องเป็นสักวันหนึ่งแน่นอนหลีกเลี่ยงไม่ได้ หลานจึงมาขอความเมตตาหลวงตา สอนเรื่องการสร้างกำลังใจด้วยตนเองเจ้าค่ะ ณ เวลานั้นผู้ที่พึ่งสุดท้ายก็คือตนเอง (อตฺตา หิ อตฺตโน นาโถ ตนเป็นที่พึ่งแห่งตน)

ต่อไปนี้เป็นต้นไป หลานขอปฎิบัติบูชาพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์และพระอาจารย์หลวงตา ตราบจนสิ้นลมหายใจเฮือกสุดท้าย กราบ หลวงตา ได้ไม่สิ้นตลอดกาล

คำตอบ
เมื่อวันที่ 26 มิ.ย. 2547

เรียนคุณผู้ถาม
หลวงตาเมตตาแสดงธรรมตอบปัญหาให้คุณ
เมื่อวันที่ ๒๖ มิถุนายน ๒๕๔๗ ณ วัดป่าบ้านตาด ดังนี้

ผู้กำกับ       :     ๑. คืนนี้หลานได้พักนอนหลังจากเดินจงกรมและนั่งสมาธิ โดยในระหว่างที่นอนนั้น หลานก็ดูลมหายใจต่อไป สักพักใหญ่มีอาการเหมือนมีลมกระจายไปทั่วร่าง ขึ้นๆ ลงๆ เหมือนลมขึ้นมาจากปลายเท้า และลมลงจากศีรษะลงมากระทบกันตรงกลางอก หลานทนดูอาการแบบนั้นได้พักใหญ่ๆ แล้วเกิดอาการกลัวอยู่ลึกๆ 

หลวงตา     :     กลัวหรือ ไม่ต้องกลัวๆ กลัวหาอะไร กลัวมันเขย่าให้เกิดความเดือดร้อน ไม่ต้องกลัว ให้พิจารณาอย่างนั้นละ ว่าไป

ผู้กำกับ       :     เกิดอาการกลัวอยู่ลึกๆ และลึกสุดในใจได้พูดขึ้นมาว่า พระพุทธเจ้าช่วยด้วย  อาการเหล่านี้ก็หายไป เปลี่ยนเป็นอาการสบายๆ และหลานก็ขยับตัวได้ หลานก็อยากจะตามดูให้สุดๆ ว่าจะถึงไหนแต่กลัว และไม่รู้ว่าควรจะทำอย่างไร ครั้งนี้เป็นครั้งที่สามแล้วภายในระยะสี่เดือนที่ผ่านมา หลานมาขอคำแนะนำจากหลวงตาเจ้าค่ะ

หลวงตา     :     ไม่ต้องกลัว เราอยู่กับลมหายใจมาตั้งแต่วันเกิดกลัวหาอะไร ใครก็อยู่กับลมหายใจด้วยกันไม่เห็นกลัวกัน แต่เวลาจะมาภาวนามันกลัว มันกลัวบ้าอะไร เข้าใจเหรอ ไม่ต้องกลัว เอ้าลมจะดับให้มันเห็นในองค์ภาวนาซิ ลมดับไป ลมหายใจของเราตั้งแต่วันเกิดมาลมหายใจไม่เคยขาด แต่เวลาภาวนาลมหายใจแผ่วเบา ๆ แผ่วเบาลงไปๆ หายเงียบ ให้เห็นเสียทีน่ะ พอลมหายใจดับนี้มันจะกระตุกเจ้าของนะ เอ นี่ลมหายใจดับไปแล้วนี่มันจะไม่ตายเหรอ กลัว สะดุ้งแล้วก็ถอยจิตมาเสีย วันหลังไปก็ได้แค่นั้นละ แค่นั้น ได้แค่ที่ลมหายใจดับ กระตุกตัวเองถอยออกมา 

ทีนี้เมื่อไม่ให้มันกระตุก ลมหายใจดับ เอ้าลมหายใจดับ ดับไป ความรู้อยู่ภายในร่างกายนี้ไม่ดับ ไม่ตาย เท่านั้นละพุ่งเลยที่นี่ หมด ถ้าลมหายใจได้ดับแล้วละเอียดสุดยอดในองค์การภาวนานะ คำว่าลมหายใจนี่เป็นขั้น ๆ นะ เราจะพูดให้ฟังเพียงขั้นนี้เท่านั้นก่อน บอกว่าไม่ต้องกลัวลมหายใจ เอ้าดับ ดับไป ให้เห็นฐานของลมหายใจดับ อะไรมันจะตายให้รู้ จิตผู้รู้อยู่นั้นไม่เคยตาย ไม่ต้องกลัว เอ้าว่าไป

ผู้กำกับ       :     ข้อ ๒.หลานพึ่งหัดภาวนาได้แค่ปีเศษๆ หลานจึงมาขอความเมตตาหลวงตา สอนเรื่องการสร้างกำลังใจด้วยตนเองเจ้าค่ะ ณ เวลานั้นผู้ที่พึ่งสุดท้ายก็คือตนเอง (อตฺตา หิ อตฺตโน นาโถ ตนเป็นที่พึ่งแห่งตน)  ต่อไปนี้เป็นต้นไป หลานขอปฎิบัติบูชาพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์และพระอาจารย์หลวงตา ตราบจนสิ้นลมหายใจเฮือกสุดท้าย กราบหลวงตา ได้ไม่สิ้นตลอดกาล จาก หลานขี้แง

หลวงตา     :     ถูกต้องแล้ว ๆ ทางนี้ตอบไปอย่าให้ขี้แง มันเกิดประโยชน์อะไรขี้แง เอ้าเร่งลงไปไม่ต้องกลัว ขี้แงมันหายเอง

(คุณสามารถกดรับชมวิดีโอ หรืออ่านพระธรรมเทศนากัณฑ์นี้ ได้ที่
http://www.luangta.com/thamma/thamma_talk_text.php?ID=2838&CatID=2)




<< BACK

 


หน้าแรก