คำถาม 
โดย : จิตรกร ถามเมื่อวันที่ 4 มิ.ย. 2547

เย็นอย่างคงตัวนั้นจะทำได้อย่างไร

กราบหลวงตา  
       วันหนึ่งกระผมเจริญสติโดยการมองดูการเคลื่อนไหวของร่างกาย  แล้วจู่ๆ มันก็เหมือนมีปัญญาอะไรเกิดขึ้นแล้วเข้าใจชัดแจ้งในธรรม โดยเข้าใจถึงธรรมอันแท้จริง มันว่างไปหมด  มันรู้ด้วยจิตว่า ขาดการสมมติทั้งปวง ไร้เวลา ไร้ความนึกคิด มีแต่รู้  ปัญญาเกิดขึ้น หยุดทั้งเจริญสติและนึกคิด  ทำให้เข้าใจในอริยสัจสี่และ หลักการเกิดดับของจิตชัดแจ้ง แต่ก็คงระดับหนึ่งไม่ถึงกับแทงตลอดแต่เพียงเข้าใจในคำสอนของพระพุทธองค์ไม่ผิดทาง 
    คำถามก็คือว่า เมื่อรู้ เมื่อญาณ เกิดขึ้นแล้ว ทำอย่างไร ภาวะแบบนั้นถึงจะคงตัว  คือมีสภาวะแบบนั้นทุกอริยาบท และเย็นอยู่ตลอด
  ด้วยปัญญาของตนเองบอกว่าให้เจริญมรรค 8 ให้ศีล  สมาธิ ปัญญา อบรมกันไป แต่ก็ยังมีการกระเพื่อมของจิต อยู่ แต่ว่าจิตนี้ รู้และละได้เองด้วย สติและ ตัวรู้ที่เคยเกิดขึ้น 
    หรือว่าจะต้องมีการกระเพื่อมแบบนี้จนกว่าจะถึง อรหันต์จึงหยุดครับ  หรือว่า จิตของกระผมเองที่มีอวิชชาที่ละเอียดเกิดขึ้นแต่ตนเองตามไม่ทัน
   สุดท้ายนี้ประสงค์ของผมคือเพียงแค่ได้สนทนาธรรมกับหลวงตาและขอเพียงแค่คำแนะนำเพื่อความเจริญก้าวหน้าในธรรมของผมต่อไปก็คงจะเพียงพอ

คำตอบ
เมื่อวันที่ 6 มิ.ย. 2547

เรียนคุณจิตกร
หลวงตาเมตตาแสดงธรรมตอบให้คุณ
เมื่อวันที่ ๖ มิถุนายน ๒๕๔๗ ณ วัดป่าบ้านตาด  ดังนี้

ผู้กำกับ       :     คนที่สอง บอกว่า วันหนึ่งกระผมเจริญสติ โดยการมองดูการเคลื่อนไหวของร่างกาย แล้วจู่ๆ มันก็เหมือนมีปัญญาอะไรเกิดขึ้น แล้วเข้าใจชัดแจ้งในธรรมะ โดยเข้าใจถึงธรรมะอันแท้จริง มันว่างไปหมด มันรู้ด้วยจิตว่าขาดสมมุติทั้งปวง ไร้เวลา ไร้ความนึกคิด มีแต่รู้ ปัญญาเกิดขึ้น หยุดทั้งการเจริญสติและนึกคิด ทำให้เข้าใจในอริยสัจ ๔ และหลักการเกิดดับของจิตชัดแจ้ง แต่ก็คงระดับหนึ่งไม่ถึงกับแทงตลอด แต่เพียงเข้าใจในคำสอนของพระพุทธองค์ไม่ผิดทาง คำถามคือว่า เมื่อรู้ เมื่อญาณเกิดขึ้นแล้ว ทำอย่างไรภาวะแบบนั้นถึงจะคงตัว คือมีสภาวะแบบนั้นทุกอิริยาบถ และเย็นอยู่ตลอดด้วยปัญญาของตนเองบอกว่า ให้เจริญมรรค ๘ ให้ศีล สมาธิ ปัญญา อบรมกันไป แต่ก็ยังมีการกระเพื่อมของจิตอยู่ แต่ว่าจิตนี้รู้และละได้เองด้วยสติตัวรู้ที่เคยเกิดขึ้น หรือว่าจะต้องมีการกระเพื่อมแบบนี้จนกว่าจะถึงอรหันต์จึงจะหยุดครับ หรือว่าจิตของกระผมเอง

หลวงตา     :     ไหนๆ จนกว่าจะถึงอะไร

ผู้กำกับ       :     หรือว่าจะต้องมีการกระเพื่อมแบบนี้จนกว่าจะถึงอรหันต์จึงจะหยุดครับ

หลวงตา     :     มันหันไปหันมาเดี๋ยวคอหักนะ หันแบบนี้หันคอหัก เข้าใจไหม ไปคาดมันทำไม  เป็นบ้า ให้ว่างั้นนะ ดำเนินไปนั้นมันจะเป็นอย่างไรให้มันรู้ในปัจจุบันๆ ไปคาดอะไรอรหันต์ระแห็น ท่านผู้รู้เหล่านั้นท่านไม่ได้มาคาดนะ ให้พิจารณาอย่างนี้แหละถูกต้องแล้ว อย่าไปคาดโน้นคาดนี้ อรหันต์ระแห็น เดี๋ยวคอขาดนะ หันโน้นหันนี้ ถ้าไม่อยากให้คอขาดก็อย่าหันนัก อะไรก็ไม่รู้ เอะอะคาดแล้ว ก็มีเท่านั้นไม่เห็นมีอะไร เท่าที่พิจารณามานี้สติเป็นสำคัญ เป็นอันว่าถูกต้องแล้ว ให้ดำเนินไปอย่างนั้น อย่าไปคาดโน้นคาดนี้

ผู้กำกับ       :     ต่อจากเมื่อกี้นี้นะครับ หรือว่าจิตของกระผมเองที่มีอวิชชาที่ละเอียดเกิดขึ้น แต่ตนเองตามไม่ทัน ขอคำแนะนำเพื่อความเจริญก้าวหน้า

หลวงตา     :     ให้พิจารณาในวงปัจจุบันนั่นแหละมันจะทันเอง เข้าใจไหม อวิชชาก็อยู่ที่หัวใจนั่นแหละ วิชชาคือความรู้อวิชชานั้นก็อยู่ที่หัวใจ ให้ดำเนินอย่างนี้ละมันจะรู้เอง อย่าไปคาด
         นี่ละเมื่อมีคนทำก็มีคนมาพูดให้ฟังซิ ถ้าไม่มีคนทำก็ไม่มีความรู้แปลกๆ เพราะจิตนี้เป็นตัวเหตุมหาเหตุ อยู่ที่จิตนี้หมดเลย สามแดนโลกธาตุอยู่ที่นี่หมด มันจะไขว่คว้าไปทุกแห่งทุกหนก็ตัวนี้ หดเข้ามาก็ตัวนี้ พอพิจารณาตัวเองรู้เข้ามาๆ หดเข้ามา ย่นเข้ามา ก็มาเห็นตัวมหาเหตุ พอมหาเหตุคืออวิชชาดับลงเท่านั้น หมด ไม่มีเหตุใดละที่นี่ หมดโดยสิ้นเชิง ไม่อยากพูดมากอะไรละ เหนื่อย พูดเพียงเท่านั้นละ เหนื่อยมาก อยากให้ภาวนากันมากๆ พุทธศาสนาจะได้เจริญ เจริญในหัวใจนี่แน่นหนามั่นคง เจริญตามอาการ เสื่อมได้ ถ้ามีหลักใจไม่เสื่อม จะก้าวหน้าเรื่อย หลักใจอยู่ที่ภาวนา ภาวนานี่สำคัญมาก
                                          ___________

<< BACK

 


หน้าแรก