|
/SCRIPT LANGUAGE="javascript1.1" page="dhamma_online";
/SCRIPT LANGUAGE="javascript1.1" src="http://truehits1.gits.net.th/data/e0008481.js">
|
|
|
คำถาม
|
|
โดย : เอกชัย ถามเมื่อวันที่
31 พ.ค. 2547 |
พิจารณาจิตกับเวทนาขันธ์
กระผมเคยเรียนถามหลวงตามาครั้งหนึ่งและได้รับความเมตตาตอบจากหลวงตาครับ ผมขอถามคำถามตามนี้ครับ 1.ผมเป็นคนที่นั่งภาวนาทีนานๆบางที 3-4ชั่วโมงเมื่อเกิดเวทนาขึ้นกระผมก็ใช้ปัญญาพิจารณาดูบางทีก็นั่งกำหนดรู้เท่านั้นปรากฏว่าเวทนานี้ก็ไม่ได้กระทบจิตใจอย่างใด จิตรู้แต่ว่าไม่ทุกข์ แต่ว่ามีอยู่ครั้งหนึ่งผมนั่งไป 4 ชั่งโมงกว่าๆครั้งนี้ปรากฏว่าจิตรู้กับตัวเวทนามันแยกกันชัดมากมันรู้ชัดว่าตัวรู้กับตัวเวทนามันคนละส่วนกันแต่ก่อนมันไม่ได้เป็นอย่างนี้มันไม่ได้แยกกันแบบนี้เมื่อก่อนมันรู้เวทนาแต่ไม่รู้สึกกระทบกันแต่ว่าครั้งนี้มันกับรู้ชัดเลยว่ามันคนละส่วนไม่เกี่ยวข้องกันระหว่างตัวจิตรู้กับเวทนาขันธ์ ผมเลยรู้ชัดว่าจิตตัวรู้กับขันธ์ห้ามันคนละส่วนกัน จิตตัวรู้นี้มันไม่มีรูปร่างอะไรเลยมัน เป็นความว่าง ผมทำได้แค่ครั้งเดียวและมันเป็นของมันเองวันหลังผมพยายามทำให้เป็นอีกมันก็ไม่เป็นอีกก็เลยปล่อยมันตามธรรมชาติไม่ไปใช้สัญญาเก่าๆ หลวงตาโปรดเมตตาช่วยชี้แนะนำเพิ่มด้วยครับ หลวงตาครับผมเคยฝันเห็นหลวงปู่มั่นสองครั้ง ครั้งแรกหลวงปู่มั่นท่านมาพร้อมกับหลวงตา(หลวงตายืนอยู่ข้างๆ)หลวงปู่มั่นท่านยื่นพระธาตุกับฟันท่านมาให้ผม ผมเลยยื่นมือ ไปรับ ครั้งที่สองท่านมารูปหัวพร้อมปลอบใจว่าค่อยๆทำไปเดี๋ยวถึงเอง หลวงตาครับครูบาอาจารย์ที่ท่านนิพพานไปแล้วท่านยังคอยมาดูแลลูกศิษย์ท่านใช่ไม่ครับ ถ้าคำถามนี้หลวงตาเห็นว่าไม่สมควรตอบ กระผมก็ขอกราบเท้าขอขมาท่านด้วย การที่ผมฝันถึงหลวงปู่มั่นถึงสองครั้งทำให้ผมมีกำลังใจปฏิบัติต่อไปถึงแม้ผมจะไม่ได้บวชเป็นพระแต่ผมก็รักการภาวนามาก กราบเท้าหลวงตาด้วยความเคารพ
|
คำตอบ |
|
เมื่อวันที่ 2 มิ.ย. 2547 |
เรียนคุณเอกชัย หลวงตาเมตตาแสดงธรรมตอบปัญหาให้คุณ เช้าวันที่ ๒ มิถุนายน ๒๕๔๗ วันวิสาขบูชา ณ วัดป่าบ้านตาด ดังนี้
ผู้กำกับ : ปัญหาธรรมะจากอินเตอร์เน็ตหลวงตาวันที่ ๒ มิถุนายน ๔๗ คนที่หนึ่งครับ เขาถามดังนี้ครับ ผมนั่งภาวนาเมื่อเกิดเวทนาขึ้น กระผมก็ใช้ปัญญาพิจารณาดูบางทีก็นั่งกำหนดรู้เท่านั้น ปรากฏว่าเวทนานี้ก็ไม่ได้กระทบจิตใจอย่างใด จิตรู้แต่ว่าไม่ทุกข์ แต่ว่ามีอยู่ครั้งหนึ่งผมนั่งไปสี่ชั่วโมงกว่า ครั้งนี้ปรากฏว่าจิตรู้กับตัวเวทนามันแยกกันชัดมาก มันรู้ชัดว่าตัวรู้กับตัวเวทนามันคนละส่วนกัน
หลวงตา : นั่นถูกต้อง
ผู้กำกับ : แต่ก่อนมันไม่ได้เป็นอย่างนี้มันไม่ได้แยกกันแบบนี้ เมื่อก่อนมันรู้เวทนา แต่ไม่รู้สึกกระทบกัน แต่ว่าครั้งนี้มันกลับรู้ชัดเลยว่ามันคนละส่วน ไม่เกี่ยวข้องกันระหว่างตัวจิตรู้กับเวทนาขันธ์ ผมเลยรู้ชัดว่าจิตตัวรู้กับขันธ์ห้ามันคนละส่วนกัน จิตตัวรู้นี้มันไม่มีรูปร่างอะไรเลย มันเป็นความว่าง ผมทำได้แค่ครั้งเดียวและมันเป็นของมันเอง วันหลังผมพยายามทำให้เป็นอีกมันก็ไม่เป็นอีก ก็เลยปล่อยมันตามธรรมชาติไม่ไปใช้สัญญาเก่าๆ หลวงตาโปรดเมตตาช่วยชี้แนะนำเพิ่มด้วยครับ หลวงตา : อันนี้ที่พิจารณาแยกเวทนากายกับจิตได้แล้ว ไม่กระทบกระเทือนกันนี้เป็นความถูกต้องแล้ว ที่เราพิจารณาทีหลังมันไม่เป็นอย่างนั้นอีก คือเราไปหมายสิ่งที่เราเคยเป็น เช่นทุกขเวทนากับจิตแยกกันในเวลาพิจารณา เราเอาอันนี้ไปเป็นสัญญาอารมณ์ให้ได้อย่างนั้น แต่เราไม่ได้ทำปัจจุบันธรรม แยกแยะทุกขเวทนาเหล่านี้โดยหลักปัจจุบัน เราเอาสัญญาความหมายที่เคยได้แล้วมาเป็นผลเสียทีเดียวมันจึงไม่เกิด ให้ลงในปัจจุบัน วันนี้แยกแยะได้แล้ว วันหลังจะไปเอาความรู้อันนี้มาเป็นแบบเป็นฉบับก้าวเดินไปด้วยความสำคัญไม่ได้ ต้องเกิดขึ้นในปัจจุบัน เอาที่มันรู้มันเห็นมาแล้ว แยกแยะได้แล้วปัดออกหมด จะเอาตั้งแต่ทุกขเวทนากับร่างกายและจิตที่มันคลุกเคล้ากันอยู่เวลานี้ มันเป็นเพราะเหตุไรมันจึงคลุกเคล้ากัน ให้เป็นวิชาใหม่ขึ้นมาในหลักปัจจุบัน วิชาเก่าที่รู้แล้วเห็นแล้วปล่อยออกให้หมด ไม่ให้เข้ามายุ่ง มันจะเป็นสัญญาอารมณ์ ให้พิจารณาแยกแยะดังที่เคยแยกแยะนั้นแหละ แต่ไม่ไปหมายอันแยกแยะได้นะ หมายลงปัจจุบัน ผม ขน เล็บ ฟัน หนัง เนื้อ เอ็น กระดูก เวลามีชีวิตอยู่อะไรก็เจ็บก็ปวดไปตามๆ กันหมด เวลาคนตายแล้วทำไมสิ่งเหล่านี้มันจึงไม่เจ็บไม่ปวด เผาไฟจนเป็นเถ้าเป็นถ่านมันก็ไม่เจ็บไม่ปวด มันเป็นไปจากจิตใจตัวยึดตัวหมายนี้แหละ ให้พิจารณาอย่างนี้
ถามถึงเนื้อถึงหนังถึงเอ็นถึงกระดูก ตับ ไต ไส้ พุง ทุกอวัยวะ ไม่มีอะไรเป็นทุกข์ ไม่มีอะไรเป็นสุข เป็นขึ้นมาเพราะจิตใจครองตัวอยู่และไปสำคัญมั่นหมายเขาต่างหาก เพราะฉะนั้นจึงให้พิจารณาในปัจจุบัน อย่าพิจารณาแบบเป็นสัญญาอารมณ์ ไปยึดเอาที่เคยรู้แล้วมาเป็นผล ทั้งๆ ที่เป็นผลแล้วผ่านไปแล้ว อย่ายึด ให้เอาปัจจุบันเป็นหลัก
ผู้กำกับ : ข้อสอง ผมเคยฝันเห็นหลวงปู่มั่นสองครั้ง ครั้งแรกหลวงปู่มั่นท่านมาพร้อมกับหลวงตา หลวงปู่มั่นท่านยื่นพระธาตุกับฟันท่านมาให้ผม ผมเลยยื่นมือไปรับ ครั้งที่สองท่านมาลูบหัวพร้อมปลอบใจว่า ค่อยทำไปเดี๋ยวถึงเอง หลวงตาครับครูบาอาจารย์ที่ท่านนิพพานไปแล้ว ท่านยังคอยมาดูแลลูกศิษย์ท่านใช่ไหมครับ หลวงตา : ถ้ายังไม่ใช่กว่านี้ให้หาไม้มายื่นใส่มือหลวงตาบัว หลวงตาบัวจะฟาดมันแหลกหมด เตือนยังไม่เตือนเอาไม้บอกเข้าเลยถ้ามันยังไม่รู้ ตีปั๊วะเข้าๆ นี่เตือนหรือไม่เตือน เข้าใจเหรอ ไอ้เรามันเป็นบ้าเฉยๆ ผู้กำกับ : การที่ผมฝันถึงหลวงปู่มั่นถึงสองครั้งทำให้ผมมีกำลังใจปฏิบัติต่อไปถึงแม้ผมจะไม่ได้บวชเป็นพระ แต่ผมก็รักการภาวนามาก จาก เอกชัย ครับ
หลวงตา : ถูกต้องๆ บวชไม่บวชก็ตามหัวใจนั้นน่ะเป็นนักบวช นักบวชนักแก้ไขดัดแปลง ถูกต้องแล้ว ใจไม่มีเพศ นักบวชไม่นักบวชไม่สำคัญ กิเลสอยู่กับใจไม่อยู่กับเพศ ถ้าอยู่กับเพศให้ครองผ้าเหลืองโกนผมไปหมดแล้วเป็นอรหันต์ทั้งดิบไปเลย แต่นี้ไม่อยู่ในเพศ กิเลสมันไม่ได้ฟังเสียงผ้าเหลือง โกนผมโกนคิ้ว มันฟังแต่เสียงอรรถเสียงธรรม ถ้ากำจัดมันมันก็จะตกออกไปทันทีในหัวใจของเรา เข้าใจเหรอ
________
คุณสามารถกดอ่าน รับชมวิดีโอเทศน์กัณฑ์นี้ได้ที่ http://www.luangta.com/thamma/thamma_talk_text.php?ID=2775&CatID=2
|
|
|