คำถาม 
โดย : จำอ้าว ศิษย์หลวงตา ถามเมื่อวันที่ 19 ก.พ. 2547

ภาวนาจนรู้ว่าจิตจริง ๆ ไม่มีอะไร

กราบนมัสการหลวงตาที่เคารพอย่างสูง
ผมได้ศึกษาธรรมะจากหลวงตาจากทางหนังสือกับเทปและได้ปฏิบัติอย่างจริงจัง ช่วงฝึกใหม่ๆจิตไม่สงบเท่าไรนัก แต่พอทำไปๆจิตเริ่มสงบขึ้นทุกวันๆจนรู้สึกมีอาการตัวเบาจนไม่มีน้ำหนักเลย แต่พอไปสนใจกับสิ่งที่เกิดขึ้นอาการตัวเบาก็หายไปกลับมาหนักเหมือนเดิม ในตอนนั้นผมก็ได้รู้ว่าสมาธินี้สำคัญเช่นนี้เอง เกิดความพอใจติดใจในอาการตัวเบานี้และคิดว่าเราจะต้องทำให้ได้อีก แต่พอวันต่อๆมาทำไม่ได้เลย ยิ่งทำไม่ได้ยิ่งอยากให้มันเป็น ยิ่งอยากให้เป็นยิ่งหงุดหงิดรำคาญกระวนกระวายใจ จนเวลาทำสมาธิก็ไม่เป็นสมาธิเลย ช่วงนั้นทุกข์มากทุกข์จนได้สติคิดได้ว่าที่เราเครียดหน้าดำอยู่นี้ก็เพราะความอยากนี้เอง ไปยึดถืออาการตัวเบาจนทำให้เสียสมาธิ มีแต่กิเลสเต็มหัวใจ หลังจากที่ผมคิดได้ผมจึงได้ปล่อยวางความอยากได้อยากเป็นของผมลงแล้วหันมายึดคำสอนของหลวงตาที่ว่าใส่ใจแต่งานของตน หลังจากนั้นจิตก็เริ่มสงบขึ้นเลื่อยๆจนมาถึงคืนหนึ่งผมเริ่มนั่งสมาธิผ่านไประยะหนึ่งมีอาการตัวเบาเกิดขึ้นอีก คราวนี้ผมไม่สนใจแล้วมุ่งทำงานของตนคือพุทโธต่อไป สักพักพุทโธหายคิดยังไงก็คิดไม่ออกสิ่งที่เหลืออยู่คือลมหายใจที่ชัดเจนมาก ตอนนั้นผมไม่ได้สนใจไม่คิดอะไรทั้งนั้นมุ่งหน้าทำงานของตนต่อไป เหลือแต่ลมหายใจก็เอาแค่ลมหายใจ ลมหายใจก็ละเอียดนุ่มนวลและแผ่วเบาขึ้นทุกทีจนสุดท้ายไม่มีลมหายใจเลย มาถึงตอนนี้เหมือนจะหมดที่ไปแล้ว งานที่ทำอยู่ก็หายไปหมดแล้วคือไม่มีงานทำ แต่แล้วสติก็นึกถึงคำสอนของหลวงตาขึ้นมาได้ คือหลวงตาให้ระลึกรู้ไปทั้งๆที่ไม่มีอะไรนั้นละ จากนั้นผมจึงกำหนดจิตไปที่ความรู้ของตน พอกำหนดปุ๊ปรู้พุ่งหนีปั๊บ ไปไกลมากในตอนนั้นเหมือนตัวรู้จะพุ่งหนีไปไกลสุดขอบโลก แต่ผมก็ตามตัวรู้ไปไม่ให้คลาดสายตา ดูเหมือนจะตามทันแต่ยิ่งตามตัวรู้ยิ่งพุ่งหนีไปไกลและเร็วมากเหมือนจะออกนอกจักวาลไปให้ได้ ระหว่างตามเกิดความกลัวตายขึ้นแต่ก็ได้ตัดสินใจทันทีในขณะนั้นว่าตายเป็นตายเรามาถึงตอนนี้แล้วจะไม่ถอยกลับ แล้วผมก็ตามไปจนสุดท้ายตัวรู้ก็หมด หมดทุกอย่าง หมดไม่เหลืออะไรทั้งสิ้น และตั้งแต่นั้นมาผมจึงได้รู้ว่าจิตจริงๆนั้นไม่มีอะไรเลยคือไม่มีธาตุ4ขันธ์5เลย คิดแล้วก็ได้แต่ถอนหายใจว่า นี่เราโง่มาตั้งนานแสนนาน ไปหลงคิดว่าเป็นเราของเรา ขนาดตัวรู้ คิด จำ ที่ละเอียดยังไม่ใช่ของเราเลย ตัวที่มันขยันนั่งสมาธินั้นก็ไม่ใช่เรา 
               ผมจึงใคร่ขอกาสกราบเรียนถึงผลการปฏิบัติพร้อมทั้งขอรับคำแนะนำจากหลวงตาต่อไปครับ และการที่ผมพิจารณาอย่างนี้ถูกต้องหรือไม่ครับ
                ด้วยความเคารพอย่างสูง
                   จ้ำอ้าว ศิษย์หลวงตา

คำตอบ
เมื่อวันที่ 23 ก.พ. 2547

เรียนคุณผู้ถาม
หลวงตาเมตตาแสดงธรรมปัญหาจิตตภาวนาให้คุณ
เมื่อวันที่ ๒๓ กุมภาพันธ์ ๒๕๔๗  ณ  วัดป่าบ้านตาด   ดังนี้

หลวงตา     :     เหอ

โยม            :     เขาชื่อจ้ำอ้าว ศิษย์หลวงตา

หลวงตา     :     จ้ำอ้าว คือวิ่งเลยใช่ไหม จ้ำอ้าวแปลว่าวิ่งไปเลย พูดนี้เข้าทีเลยละ ให้พิจารณาตามที่พิจารณามาแล้ว เรายังไม่ค้าน เรื่องค้านก็ไม่ค้าน เรื่องจะชมเชยว่าดีสุดยอดแล้วเราก็ยังไม่ชม แต่ที่ปฏิบัติมานี้ถูกต้องแล้ว เข้าใจเหรอ เออ เอาจ้ำอ้าวนะอย่าถอย พูดเข้าท่านะ อย่างงั้นแล้ว ให้เขาก้าวของเขาไปเสียก่อนจะคอยฟัง ถ้าเขามีอะไรเขาก็มา แต่ถ้ามันเป็นอย่างงี้ไปเลยแล้วก็ไม่น่ามีอะไร เอ๊ย การพูดกันมา กับการพูดกันเฉพาะมันต่างกันนะ คือพูดนี้ส่งมาจดหมายมันไปแถวเดียวๆ พูดซ้ำๆ ซากๆ วกไปวนมา เหมือนเราพูดกันนี้มันพูดไม่ได้ มันเป็นไปได้นะ ถ้าพูดต่อปากต่อคำนี้ใส่ปั๊วะเดียวหยุดเลย นั่น มันต่างกันอย่างงี้ นี่เขาพูดเข้าทีแล้ว เราไม่ชม เราไม่ตินะ ให้เขาปฏิบัติตามปัจจุบันที่เป็นอยู่ เอาเท่านี้ก่อน

                                                   __________


คุณสามารถรับชมภาพ เสียง และตัวหนังสือเทศน์ของกัณฑ์นี้ได้ที่
http://www.luangta.com/thamma/thamma_talk_text.php?ID=2646&CatID=0

<< BACK

 


หน้าแรก