|
/SCRIPT LANGUAGE="javascript1.1" page="dhamma_online";
/SCRIPT LANGUAGE="javascript1.1" src="http://truehits1.gits.net.th/data/e0008481.js">
|
|
|
คำถาม
|
|
โดย : ส.วิสุทธิ์ ถามเมื่อวันที่
24 ม.ค. 2547 |
อาการของจิตชั่วขณะเปลี่ยนจากปุถุชนเป็นอริยบุคคล
กราบนมัสการหลวงตาที่เคารพ กระผมขอความเมตตาท่านอาจารย์ช่วยเเนะนำสั่งสอนด้วยครับ คือผมมีความเข้าใจว่า การดำเนินชีวิตและการปฏิบัติจิตตามแนวของศีล สมาธิ ปัญญา ถ้าปฏิบัติถูกต้องด้วยความเพียรสม่ำเสมออย่างไม่ลดละ ผลที่จะเกิดขึ้นก็ คือ สติ สมาธิ ปัญญา จะมีพละกำลังมากขึ้น จนสามารถประหารกิเลสไปได้ตามลำดับชั้น ชั่วขณะหนึ่งที่สติ สมาธิ ปัญญา มีกำลังสม่ำเสมอ ประชุมพร้อมที่จิตจนสามารถประหารกิเลสได้เด็ดขาด จิตเปลี่ยนสภาพจากปุถุชนเป็นอริยบุคคล ตามปริยัติกล่าวไว้ว่า อริยบุคคลชั้นต้น คือ โสดาบันนั้นละสังโยชน์เบื้องต้นได้ 3 ข้อเเรก กระผมมีคำถามดังนี้ คือ 1.ในทางปฏิบัติชั่วขณะที่จิตเปลี่ยนจากปุถุชนเป็นอริยบุคคลนั้น จิตมีอาการเเสดงอย่างไรบ้างครับ ที่กล่าวว่าตกกระแสพระนิพพาน หรือการรับรู้รสพระนิพพานเป็นครั้งเเรก มีอาการอย่างไรบ้าง 2.วิปัสสนูปกิเลส ทำให้เกิดความเข้าใจผิดว่าบรรลุมรรคผล กับ สันทิฏฐิโก เราจะมีทางรู้หรือสังเกตุอย่างไรบ้างครับ 3.ผมเข้าใจว่า การที่เราจะรู้ว่า เราละกิเลสตัวใดได้บ้างนั้นจะต้องมีการสังเกตุดูจิตตัวเอง ขณะที่มีการกระทบสัมผัสกับอารมณ์ที่เกี่ยวเนื่องกับกิเลสตัวนั้นๆ ถ้าจิตยังมีการกระเพื่อม การหวั่นไหว การปรุงการคิด ไม่ว่าดีหรือชั่ว พอใจหรือไม่พอใจก็ตาม ยังต้องมีการบังคับหักห้ามหรือกดถ่วงจิต ก็แสดงว่ายังละกิเลสตัวนั้นๆไม่ได้ ในทางตรงกันข้าม ถ้าจิตสามารถดำรงความเป็นกลาง ไม่มีการปรุงเเต่ง ไม่มีการยินดียินร้าย มีสติปัญญารู้พร้อม ไม่ต้องมีการบังคับกดถ่วงจิต ก็เเสดงว่าละกิเลสตัวนั้นได้ เพราะฉะนั้น การที่เราจะรู้ว่าเราละกิเลสตัวไหนได้นั้น เราต้องรู้ได้ด้วยตัวเอง มิใช่ให้ผู้อื่นมาบอกมาประเมิน การพยากรณ์มรรคผลโดยผู้อื่นนั้นไม่น่าจะถูกต้อง (ยกเว้นพระพุทธเจ้าซึ่งทรงพยากรณ์สาวกของพระองค์) กระผมมีความเข้าใจถูกหรือผิดพลาดประการใดขอให้ท่านอาจารย์ชี้เเนะด้วยครับ
|
คำตอบ |
|
เมื่อวันที่ 26 ม.ค. 2547 |
เรียนคุณส.วิสุทธิ์ หลวงตาไม่ได้ตอบปัญหาของคุณ เนื่องด้วยหลวงตาท่านดำริให้เราต่างมุ่งปฏิบัติจิตตภาวนาด้วยตนเอง หากติดขัดการภาวนาขั้นนั้น ๆ จึงค่อยกราบเรียนถามท่าน
โยม : ๑.ในทางปฏิบัติชั่วขณะที่จิตเปลี่ยนจากปุถุชน เป็นอริยบุคคลนั้น จิตมีอาการเเสดงอย่างไรบ้างครับ
หลวงตา : อันนี้เราก็เคยตอบเคยโต้ผู้ถามมามากมายก่ายกอง คราวนี้ตอบไม่ได้แล้ว ยอม เอาละพอ ว่าต่อไป
โยม : ๒.วิปัสสนูกิเลส ทำให้เกิดความเข้าใจผิดว่าบรรลุมรรค ผล กับ สันทิฏฐิโก เราจะมีทางรู้หรือสังเกตอย่างไรบ้างครับ
หลวงตา : อันนี้ก็ไม่ขอตอบ อันนี้ก็ติดเหมือนกัน เอ้าว่าไป
โยม : ๓.ผมเข้าใจว่าการที่เราจะรู้ว่า เราละกิเลสตัวใดได้บ้างนั้นจะต้องมีการสังเกตดูจิตตัวเอง ขณะที่มีการกระทบสัมผัสกับอารมณ์ที่เกี่ยวเนื่องกับกิเลสตัวนั้นๆ ถ้าจิตยังมีการกระเพื่อม การปรุงการคิด ไม่ว่าดีหรือชั่ว พอใจหรือไม่พอใจก็ตาม ยังต้องมีการบังคับหักห้ามหรือกดถ่วงจิต ก็แสดงว่ายังละกิเลสตัวนั้นๆ ไม่ได้ ในทางตรงกันข้าม ถ้าจิตสามารถดำรงความเป็นกลาง ไม่มีการปรุงเเต่ง ไม่มีการยินดียินร้าย มีสติปัญญารู้พร้อม ไม่ต้องมีการบังคับกดถ่วงจิตก็เเสดงว่าละกิเลสตัวนั้นได้
เพราะฉะนั้น การที่เราจะรู้ว่าเราละกิเลสตัวไหนได้นั้น เราต้องรู้ได้ด้วยตัวเอง มิใช่ให้ผู้อื่นมาบอกมาประเมิน การพยากรณ์มรรคผลโดยผู้อื่นนั้นไม่น่าจะถูกต้อง ยกเว้นพระพุทธเจ้าซึ่งทรงพยากรณ์สาวกของพระองค์ กระผมมีความเข้าใจถูกหรือผิดพลาดประการใดขอให้ท่านอาจารย์ชี้เเนะด้วยครับ (จาก ส.วิสุทธิ์)
หลวงตา : ถ้าให้ทำความเข้าใจมากกว่านี้ เดี๋ยวคุณจะเป็นบ้านะจะว่าไม่บอก เอาละพอ ถามยั้วเยี้ยๆ ไม่ได้เรื่องได้ราว ไม่ได้หลักได้เกณฑ์ เท่านั้นละขี้เกียจตอบ
ถามมีแต่เรื่องผิวๆ เผินๆ ถามไปเฉยๆ เจ้าของไม่ได้ปฏิบัติได้รู้ในเจ้าของ พอจะเอาของจริงออกมาพูดบ้างให้ได้ฟังตามหลักธรรมชาติที่ปฏิบัติเพื่อรู้ของจริง เห็นของจริงๆ แล้วรู้จริงๆ ตอบได้จริงๆ ว่างั้นแหละ นี่มันไม่ได้เรื่อง ถามผิวๆ เผินๆ ไป ได้ยินตามปริยัติว่าไงแล้วก็ว่าตามปริยัติไปอย่างนั้น ไม่ตอบ ไม่ควรตอบไม่ตอบ เท่านั้นแหละพอ
วันนี้ปัญหาทั้งสามข้อนี้ไม่ค่อยได้เป็นประโยชน์อะไรนักยิ่งกว่าข้อที่หนึ่ง คนที่หนึ่งที่ถามนั้นเหมาะสมมาก กระเทือนทั้งชาติทั้งศาสนาไปพร้อมๆ กัน เพราะฉะนั้นเราจึงขออนุโมทนา และยกคำที่เขาอนุโมทนาเรากลับคืนให้เจ้าของเดิมเท่านั้นแหละ อันนี้ดี ให้เป็นคติเตือนใจได้ดี นอกนั้นเหลวๆ ไหลๆ ไปคว้าเอาตำราโน้นตำรานี้มาถามโดยเจ้าของไม่ได้ปฏิบัติพอให้รู้เห็นประจักษ์กับใจบ้างมาถามบ้างเลยนะ เราจึงไม่อยากจะตอบ ก็มีเท่านั้นละ
___________
|
|
|