คำถาม 
โดย : เบญ ถามเมื่อวันที่ 19 ม.ค. 2547

เข้าสู่ตัวผู้รู้

กราบนมัสการพระอาจารย์หลวงตามหาบัว
              โยมขออนุญาติกราบเรียนธรรมะที่ได้ปฏิบัติผ่านมา และผลของการปฏิบัติที่ปรากฏขึ้น หากมีสิ่งใดผิด ถูก หรือต้องแก้ไขส่วนใด และต้องเดินทางจิตต่อไปอย่างไร โยมขอความเมตตาจากพระหลวงตาได้โปรดช่วยชี้แนะ อบรมสั่งสอนให้โยมได้ปฏิบัติตามอย่างถูกต้องตรงทางต่อไปด้วยเถิดเจ้าค่ะ
               โยมปฏิบัติจิตและได้ทำลายกายโดยไม่กลับมาเห็นหรืออาศัยกายอีก เข้าใจว่าผ่านฐานกาย และเข้าสู่ตัวผู้รู้ที่   ไม่มีตัวตนปรากฏ เป็นเพียงอาการที่รู้ว่ามีบางสิ่งคู่กันอยู่ 2 ส่วน ก็คือ  ผู้รู้ (เข้าใจว่าคือสติ ปัญญาที่แจ่มชัด) และสิ่งที่ถูกรู้ (เข้าใจว่าคือ กิเลสตัณหา อุปทานที่ถูกขังอยู่ในฐานลึกๆ)
                 เมื่อเข้าสู่ตัวผู้รู้ และค้นดิ่งลงไปในฐานของจิต ทำลายกิเลสลึกเข้าไปเรื่อยๆ จนกระทั่งถึงสภาวะของการย้อนอดีต สัญญาต่างๆ ก็ผุดขึ้นมา เข้าใจว่าระลึกชาติต่างๆได้ ก็ทำลายไปเรื่อยๆ สังเกตุได้ว่าการทำงาน ทำลายกิเลสภายในทุกขณะจิตที่ดำเนินำไปอย่างต่อเนื่องไม่มีกายย้อนเข้ามาเกี่ยวข้อง ตัดขาดกันโดยสิ้นเชิง
                    และรู้สึกได้ว่าจากจุดเริ่มต้นของการทำลายกายหยาบจนถึงขั้นลึกเข้ามาเรื่อยๆนั้น  เหนื่อยและหนักหนาสาหัสมากต้องใช้ความอดทน พากเพียร จดจ่อ จดจ้องอยู่ทุกขณะจิต ต้องทุ่มเทและจริงใจต่อการปฏิบัติ เป็นอย่างมากจึงจะเห็นผล
                    โยมเดินทางจิตจนในที่สุดมั่นใจว่า ผ่านการทำลายกิเลสถึงขั้นระงับดับอารมณ์ ความฟุ้งซ่าน สะดุ้งสะเทือน รำคาญ ภายในจิตใจได้อย่างเด็ดขาด
                    จนกระทั่งมาถึงสภาวะหนึ่ง ขณะที่โยมเดินจงกรมและจิตจดจ่อค้นเข้าไปในฐานของจิต ก็ไม่ปรากฏอาการใดๆ อยู่นานมาก จิตโยมก็ตั้งอยู่กับพุทโธๆ ๆ  ไปเรื่อยๆ จนในที่สุด ปรากฏจุดดำเล็กๆ อยู่กลางฐานของจิต และสัมผัสถึงพลังงานที่ออกมาจากจุดดำเล็กๆ  นั้น เหมือน มีป้อมปราการที่แข็งแกร่งมาก ขณะที่จิตตัวผู้รู้ก็สร้างพลังงานขึ้นมา เมื่อกระแสของพลังตัวผู้รู้กับกระแสของพลังงานจากจุดดำ(สิ่งที่ถูกรู้ )กระทบกันเหมือนเกิดการผลักดันต่อสู้กันอย่างรุนแรง
          ขณะที่กริยาทางจิตภายในกำลังจ้องทำลายจุดดำ     อยู่นั้น กริยาอาการทางกายโยมก็ยังคงเดินจงกรมอยู่ จิตเฝ้าจดจ่อต่อสู้ผลักดันกันอยู่สักพักใหญ่      พลังงานของจิตที่ยังรับรู้ได้ว่าเป็นตัวผู้รู้นั่นก็ทะลุผ่านจุดดำ       วึบเข้าไป            โดยไม่มีอาการของการทำลายอย่างรุนแรง เหมือนทุกขั้นตอนหยาบๆ ต่างๆ ที่ผ่านมา แต่ก็รู้สึกได้ว่ามีบางอย่างที่เป็นจุดกำเนิดของจุดดำนั้นได้ถูกทำลายไปอย่างถาวรด้วย
                เมื่อรู้สึกว่าผ่านจุดดำวึบเข้าไป   โยมเกิดความเข้าใจ ในขณะนั้นว่าตัวผู้รู้หายไป เป็นเพียงความอิสระ ว่างเปล่า ไม่มีขอบเขต ไม่มีประมาณ เวิ้งว้าง โล่งโปร่ง รู้สึกแจ่มใส สติปัญญาคมชัด เต็มกำลัง อิสระ อย่างเต็มที่ ไม่ยึดติดเกี่ยวข้องกับสิ่งใดๆ ไม่มีของสองส่วน คือ ผู้รู้ กับ สิ่งที่ถูกรู้อีกต่อไป     อาการทางกายที่กำลังเดินจงกรมอยู่ขณะนั้นก็เกิดอาการร่างกายเหมือนถูกตัดขาด หมดแรงดึงดูดซึ่งกันและกัน ทรงตัวไม่อยู่ เหมือนจะร่วงลงไปกองกับพื้น ต้องค่อยๆ ประคองตัวถอยไปนั่งทรุดลงกับขอนไม้ข้างทางเดินจงกรม 
           แรกๆ ก็งงๆ อยู่เพราะพบกับสิ่งใหม่ที่ชัดเจน เห็นการปล่อยจากการยึดติด ตัดขาดจากทุกอารมณ์ ทุกกริยาอาการได้อย่างแจ่มชัดมาก เป็นอิสระ ไม่ มีแรงดึงดูดจากสิ่งใดๆ มายึดติดข้องแวะ
              เฝ้าสังเกตุดูอาการอยู่ระยะใหม่ๆ ก็รวบรวมกำลังกาย ลุกขึ้นมาเดินจงกรมต่อ      แต่ก็ยังรู้สึกเดินแบบโซซัดโซเซ โคลงเคลง ร่างกายขาดพลังงานที่เคยยึดเกาะธาตุขันธ์ที่เคยรวมกันเป็นกลุ่มก้อน ก็กลายเป็นเหมือนมันแตกขาดจากกัน สลายไป หมดไม่มีเรี่ยวแรง ไม่มีพลังเลย แต่กลับไปคมชัดอยู่ที่ความแจ่มในปัญญา สติ สมบูรณ์  
              สักพักพอตั้งตัวได้ ก็ตั้งจิต             เพื่อจะเข้าฐานก็ไม่ปรากฏว่ามีจิต ไม่มีตัวผู้รู้ ไม่มีฐาน ไม่มีนอก ไม่มีใน   มีแต่อิสระอย่างเต็มที่ รู้สึกบริสุทธิ์  เปล่าๆ ว่างๆ อยู่อย่างนั้น
                จากวันนั้นถึงวันนี้ 2 ปี ผ่านไป ก็ไม่มีการค้นหา เพราะไม่เห็นจิต ไม่ต้องทำงาน อิสระบริสุทธิ์ อยู่อย่างนี้ 
                  เมื่อก่อนที่เคยผ่านมา หากทำความเพียรมากจนรู้สึกเหนื่อย และต้องการพักจิต เพื่อเพิ่มกำลังของจิต ก็จะเข้าสมาธิไล่ไปทุกระดับ ตั้งแต่ขณิกสมาธิ อุปจาระสมาธิ และก็อัปปนาสมาธิ จนกระทั่งดิ่งลึกเข้าสู่ ฌาณ1 ถึง ฌาณ8  นั่งสมาธิเพื่อพักจิต และเพิ่มพลังให้กับจิต ครั้งหนึ่งก็ประมาณ 1 ชั่วโมง เป็นอย่างต่ำ 
        แต่เมื่อผ่านจุดดำวึบ เข้าสู่ความอิสระ ว่างเปล่า         ไม่มีสุข ไม่มีทุกข์นี้ จะกลับมาเข้าฌาณ1 ถึงฌาณ8 อีกก็รูสึกว่าสังเกตุเห็นได้ชัดเจนถึงความแตกต่าง ว่าการเข้าถึงความอิสระเปล่าๆ นี้ ละเอียดละออบริสุทธิ์ สติปัญญาคมชัด เต็มเปี่ยมเต็มภูมิ มากกว่าสิ่งที่เป็นอยู่ มีพลังงานมากกว่าการเข้าฌาณ เพราะสัมผัสรู้สึกได้ว่าอาการของการทรงฌาณ ยังมีจิตตัวรู้กับสิ่งที่ถูกรู้คือ กำลังการทรงของสมาธิที่เป็นสุข เหล่านี้มันยังเป็นของหนักอยู่ แม้ว่าความสงบละเอียด          ปราณีต ของฌาณจะสุขอย่างลึกล้ำดื่มด่ำก็จริง 
               แต่สิ่งที่โยมเป็นอยู่ ไม่ต้องเข้าไม่ต้องออก         ไม่หนัก ไม่เบา บริสุทธิ์ ประณีต อิสระ ลึกซื้ง มั่นคงกว่าการเข้าออกในฌาณ ไม่มีอาการย้อนเข้าย้อนออก เป็นเอกเทศ     ไม่ขึ้นอยู่ หรือตั้งอยู่กับสิ่งใดๆ
         ขอพระอาจารย์หลวงตามหาบัว โปรดชี้แนะและอธิบายด้วยเถิดเจ้าค่ะ 
                       กราบนมัสการด้วยความเคารพอย่างสูง
                       จากลูกศิษย์ที่เดินทางสายธรรม

คำตอบ
เมื่อวันที่ 20 ม.ค. 2547

เรียนคุณเบญ 
หลวงตาเมตตาแสดงธรรมตอบคุณให้
เมื่อวันอังคารที่ ๒๐ มกราคม ๒๕๔๗ ณ วัดป่าบ้านตาด  ดังนี้
(หรือกดอ่านเต็มกัณฑ์ได้ที่ http://www.luangta.com/thamma/thamma_talk_text.php?ID=2613&CatID=2)


หลวงตา     :     ตามแถวแนวที่พูดมานี้ เป็นวิธีต่อกรกันบนเวที ต้องมีการยอกการย้อนสูงต่ำดำขาวเป็นธรรมดา ขอให้ดำเนินไปอย่างนั้น เราจะไปตัดสินให้คนอื่นคนใดที่ไม่ใช่เรื่องของเราผู้ปฏิบัติเป็นผลขึ้นมา เราก็ไม่กล้าจะตัดสินนะ แต่การดำเนินนี้เป็นวิธีที่ถูกต้องสำหรับผู้ขึ้นเวทีต่อกรกับกิเลส ต้องมีวิธีการหลายสิ่งหลายอย่างยอกย้อนกลับไปกลับมาสูงต่ำลุ่มๆ ดอนๆ เป็นวิธีการของการต่อสู้กับกิเลส นี่เราเห็นด้วยที่ดำเนินมานี้ถูกต้องมาโดยลำดับ เราจึงจะขอย้ำให้อีกว่า ให้ดำเนินอย่างนี้ไปเรื่อยๆ มันจะออกวิธีใดให้เป็นหลักปัจจุบันเกิดขึ้นมา เราอย่าไปคาดสิ่งที่เกิดมาแล้วมีมาแล้วหายไปแล้ว มาเป็นปัจจุบัน จะไม่เกิดประโยชน์ อะไรที่เกิดขึ้นกับจิตที่สัมผัสสัมพันธ์กันอยู่ เหมือนนักมวยเขาต่อยมวยกันบนเวที ต่อยกันปัจจุบันๆ

เหล่านี้ก็เหมือนกันระหว่างกิเลสกับธรรมที่พินิจพิจารณาซึ่งกันและกัน ก็ให้ทำกันอย่างนั้น ให้เป็นปัจจุบันตลอดไป สิ่งที่มันล่วงมาแล้วก็ให้ล่วง ปัจจุบันที่เราพิจารณาอะไรในเวลานั้น ให้พิจารณาไป  เป็นการถูกต้องในการดำเนิน แต่การรับรองผล  มอบให้เป็นสนฺทิฏฺฐิโกของผู้ปฏิบัติ คือเจ้าของเองเป็นผู้ตัดสินเอง เราเป็นแต่เพียงผู้รับฟังให้ซ้ำอันนี้ไปอีก เข้าใจเหรอ ให้พิจารณาอีก เมื่อถึงขั้นที่จะเป็นสนฺทิฏฺฐิโกไม่ต้องถามใครแล้ว พระพุทธเจ้าก็ไม่ถามใคร สาวกทุกองค์ไม่เคยถามใคร ทั้งๆ ที่เป็นนักศึกษาจากพระพุทธเจ้า พอถึงขั้นเต็มภูมิแล้วไม่ศึกษาอีกต่อไป อันนี้คุณก็ให้เป็นนักศึกษาปฏิบัติของตัวเองตลอดไป เมื่อถึงขั้นอิ่มพอแล้ว สนฺทิฏฺฐิโก จะประกาศขึ้นเองเหมือนครั้งพระพุทธเจ้าครั้งพุทธกาล เข้าใจไหม เอาแค่นั้นก่อน

                                                  ____________

<< BACK

 


หน้าแรก