คำถาม 
โดย : หลานผู้ตกน้ำป๋อมแป๋ม ถามเมื่อวันที่ 9 ม.ค. 2547

นั่งสมาธิ แล้วเจ็บในจิตในใจ

ประมณมือก้มลงกราบแทบเบื้องบาทพระหลวงตา

หลานมาขอความเมตตาจากพระหลวงตาเจ้าค่ะ
หลานภาวนาแบบอานาปานสติ เมื่อคืนนี้หลานได้นั่งสมาธิพอเริ่มจิตสงบก็ได้ยินเสียงลูกบิดประตู หลานก็หลุดจากความสงบตามเสียงลูกบิดประตู  หลานก็ตั้งดูลมหายใจใหม่ พอเริ่มสงบก็มีเสียงลูกบิดประตูดังอีก ที่นี้เหมือนว่าจิตสะดุ้งค่ะ หลานก็ตั้งใหม่ดูลมหายใจต่อไปอีก เสียงลูกบิดดังอีกแล้ว เป็นแบบนี้ประมาณ 6-8 ครั้งได้ (ในช่วงเวลาครึ่งชั่วโมง) หลานมีความรู้สึกเจ็บที่ช่วงอกมาก เหมือนเจ็บในจิตในใจ เจ็บมากจนทรุดลงไป น้ำตาก็ไหลออกมา  ณ เวลานั้นหลานได้ฟังเทศน์ของหลวงตาตอนพิจารณาเวทนาสังขารพอดี ซึ่งถ้าเป็นเวทนาทางกายหลานยังพออดทนกับความเจ็บปวดทางกาย พิจารณาเป็นอนิจจัง ทุกขัง และอนัตตาได้ แต่พอมาเจ็บที่จิตที่ใจ หลานรู้สึกว่า หลานไม่มีแรงพอที่จะอดทนดูต่อไปได้  สักพักใหญ่ๆ หลานฝืนลุกมาเดินจงกรม พอคลายความเจ็บในใจได้พอควร  แล้วจึงพักผ่อน 
พอตอนเช้ามาอาการเจ็บในใจก็ยังไม่คลายหาย คล้ายจิตไม่มีแรงเหมือนจิตตกอยู่เลยค่ะ 

หลานขอรบกวนหลวงตาช่วยชี้แนะแนวทางปฎิบัติด้วยเจ้าค่ะ เพื่อหลานจะได้น้อมนำไปปฎิบัติ และสำรวมระมัดระวังในครั้งต่อไปเจ้าค่ะ

กราบขอบพระคุณหลวงตาด้วยเศียรเกล้า

คำตอบ
เมื่อวันที่ 15 ม.ค. 2547

เรียนคุณใช้นาม หลานผู้ตกน้ำป๋อมแป๋ม
หลวงตาเมตตาแสดงธรรมตอบให้คุณ
เมื่อวันพฤหัสที่ ๑๕ มกราคม ๒๕๔๗ ณ วัดป่าบ้านตาด  ดังนี้
(กดอ่านเต็มกัณฑ์ได้ที่http://www.luangta.com/thamma/thamma_talk_text.php?ID=2601&CatID=2)

หลวงตา     :     ที่นั่งภาวนา อานาปานสตินี้ ลูกบิดมันมากวน ว่าอย่างนั้นใช่ไหม (ครับ) ให้ลงไปอยู่กลางทุ่งกว้างๆ ลูกบิดจะตามไปไหม ให้บอกอย่างนั้นนะ มันเป็นยังไงไปที่ไหนลูกบิดมันกลับเป็นภัย ไปอยู่ทุ่งกว้างๆ หรือไปอยู่ท่ามกลางมหาสมุทรก็ได้ ถ้ามันยังตามอยู่อีกแล้วมาบอกหลวงตา หลวงตาจะตามฟาดมันให้ มันทำไมเก่งนักลูกบิดนี่ เป็นไปทุกอย่างนั่นแหละ เราเป็นสัญญาอารมณ์กับมัน มันก็เป็นไปเรื่อยๆ เรื่องอะไรมันมีอยู่ตั้งแต่เรายังไม่เกิด เรื่องนั้นเรื่องนี้มีอยู่ แต่จิตไม่คิดไม่ยุ่งกับมัน มันก็เหมือนไม่มี ถ้าจิตแย็บออกไปกับอะไร ก็เป็นอันนั้นแหละ แย็บไปหาตรงไหน อันนั้นเป็นเรื่องแล้วกับเรา เราไปเป็นเรื่องกับเขาต่างหาก ให้กำหนดดูซิ อานาปานสติก็ดูลม มันแย็บยังไงก็ช่างหัวมัน ให้ดูลม อย่าให้เผลอกับลม เพราะถ้าเราเป็นสัญญาอารมณ์กับอันนั้นแล้ว แสดงว่าสติเราอ่อนตรงนี้ มันไปแย็บอย่างนั้นทัน

เรื่องภาวนานี้มันเป็นไปคนละแบบละฉบับแหละ แต่เป็นอยู่ในวงของการภาวนาแต่ละนิสัยๆ ในฐานะว่ามีครูมีอาจารย์ก็ถามบ้างเป็นธรรมดา ถ้าไม่มีนี้ก็ฟัดกันเลยๆ มีก็ตาม เวลาเข้าตาจนแล้ว เหมือนกรรมการยืนอยู่นี้ นักมวยต่อยกัน กรรมการไม่มายุ่งนะ มีแต่นักมวยซัดกันเลย นี่ครูอาจารย์ก็อยู่โน้นไม่มายุ่ง มีแต่เราฟัดกันกับกิเลสอยู่นี้เลย เข้าใจไหม เอากันอยู่นี้ละ เรื่องอุบายวิธีการต่างๆ นี้เราพูดตามนิสัยของเรา นิสัยของคนอื่นมันก็มีแปลกๆ ต่างๆ กัน แต่เรื่องสติปัญญาเป็นสำคัญมากนะ อย่างพิจารณาทุกขเวทนาๆ นี้ ที่เคยพูดให้ฟังแล้วมันขนาดไหน เหมือนว่าเรานั่งอยู่นี้เป็นเหมือนหัวตอ เวลามันทุกข์มากๆ นะ เป็นไฟขึ้นมาหมดท่วมตัวเลยตรงกายนี่ มันไหม้จิตไม่ได้ แน่ะมันก็เข้าตรงนั้นเสีย ให้มันไหม้ไปร่างกายนี่ ไหม้จิตไม่ได้ จิตไม่เคยตาย แน่ะมันพลิกของมันอย่างนั้นแหละ ตรงไหนมันทุกข์ไล่เบี้ยกันเข้าไป สุดท้ายก็จนตรอก ลงผึง นั่นเห็นไหมล่ะสติปัญญา

ทุกข์มากเท่าไรเราจะอยู่เฉยๆ ทนไม่ได้นะ ไม่ถูก ทุกข์มากเท่าไรยิ่งหมุนหาเหตุหาผล มันจี๋กันอยู่อย่างนั้น ทันกันปั๊บลงๆ เราจึงบอกว่า ที่เรานั่งภาวนาตั้งเก้าคืนสิบคืน เว้นคืนหนึ่งบ้างสองคืนบ้าง นี่เคยเล่าให้ฟังแล้วเพื่อเป็นคติ ทุกครั้งทุกขเวทนามันก็ต้องเกิดของมัน การพิจารณาของเรา แล้วแต่อุบายของเราที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน เราจะไปเอาเรื่องเก่าที่พิจารณาแก้ไขไปแล้ว เอามาใช้ไม่ได้แล้ว นั่น เป็นสัญญาอารมณ์แล้ว ต้องเป็นปัจจุบันเกิดขึ้น พลิกกันอยู่นั้นละ เดี๋ยวก็ลงผึงๆ อย่างนั้น ได้ทุกคืนเราไม่เคยพลาด ลงถึงแดนอัศจรรย์ทุกคืน เป็นแต่ว่าลงมากลงน้อยต่างกันเท่านั้นเอง ลงได้ทุกคืนเลย

นี่ก็คือการพิจารณาด้วยปัญญา พลิกหาเรื่องความทุกข์ เรื่องกาย เรื่องหนัง เนื้อ เอ็น กระดูก เป็นทุกข์หรือ ย้อนหาถามหา เหล่านี้มันไม่มีทุกข์ คนเอาไปเผาไฟแล้วเหล่านี้มีอยู่มันก็ไม่เห็นว่าร้อนอะไร มันเป็นกับอะไร นั่น ไล่เข้ามาก็มาหาจิตที่ตัวไปสำคัญมั่นหมาย ก็ตีเข้ามาถึงจิต จิตก็รู้ตัว พลิกแก้กันได้ตก นั่น ลง

เราจึงเน้นหนักเรื่องการภาวนา เรื่องแดนอัศจรรย์ในโลกก็ดี เรื่องมหันตทุกข์ในโลกก็ดี อยู่ที่ใจทั้งหมด จับจุดนี้ให้ดีนะ อันนั้นเป็นนั้นเป็นนี้ ตัวนี้เป็นตัวสำคัญไปก่อเรื่องอยู่ตลอด พอพิจารณาเรื่องนั้นแล้วถอยเข้ามาก็มาอยู่ตรงนี้ มารู้ตรงนี้เสีย แล้วก็สงบตรงนี้ ทีนี้ธรรมเกิดตรงนี้ ความอัศจรรย์เกิดตรงนี้ อย่างที่ว่าไฟเผาเราทั้งเป็นนั่งอยู่น่ะ นั่นละเวลามันทุกข์ ทุกข์กายก็ทุกข์ แต่ใจมันหมุนหา ทีนี้เวลามันลงแล้วเหล่านี้ก็ดับไปหมดเลย จิตพรึบลง นั่นลงจิต เวลาลงแดนอัศจรรย์ทุกข์มันหายไปหมด แดนอัศจรรย์ก็อยู่ด้วยกันนั่น

ลงแดนอัศจรรย์ โถ ไม่ได้ลืมแหละ เพราะฉะนั้นเรื่องความตายอย่าเอามาพูดเลย โน่นเห็นไหม เพราะอัศจรรย์นี่เหนือแล้ว มันจะเอานี่ให้ได้อย่างเดียวเท่านั้น เป็นยังไงซัดกันเลยๆ สุดท้ายลงได้ทุกวันๆ ไม่เคยพลาดนะ จึงอาจหาญชาญชัย อันนี้ไปเรียนวิชาไหนไม่ได้ ต้องเป็นวิชาเทคนิคในตัวเอง เพราะธรรมมีอยู่ทั่วไปตลอดเวลา กิเลสก็มีอยู่ทั่วไปตลอดเวลา แล้วแต่จะหาอุบายวิธีแก้ไขซึ่งกันและกันได้เท่านั้น ถ้าแก้ไม่ได้ก็แพ้ ถ้าแก้ได้ก็ชนะไปเรื่อยๆ ธรรมมีอยู่ทั่วไป กิเลสมีอยู่ทั่วไป เพราะฉะนั้นทุกข์จึงมีอยู่ทั่วไปที่เข้ามารวมในหัวใจนี้ หัวใจเป็นที่รับทุกข์รับสุข มีเท่านี้ในโลกนี้ ได้พิจารณาเต็มกำลังแล้วไม่สงสัย อะไรๆ จะเกิดสัญญาอารมณ์มีแต่อันนี้ไปเกี่ยวโยงกับเขาทั้งนั้น พอพิจารณาอันนั้นรอบเข้ามา อันนั้นหดเข้ามาๆ ก็มาที่ใจ พออยู่ที่ใจแล้วทุกข์เหล่านั้นดับหมด ความสุขก็ขึ้นแทน นั่น อุบายวิธีการพิจารณานั้นเพื่อจะระงับสิ่งเหล่านั้น

                                                ______________

<< BACK

 


หน้าแรก