คำถาม 
โดย : ปราการ สว่างจิตร ถามเมื่อวันที่ 13 ธ.ค. 2546

พิจารณาจิตเป็นอนัตตา

กราบนมัสการ พ่อแม่ครูบาอาจารย์หลวงตามหาบัว กระผมขอกราบเรียนถามดังต่อไปนี้ เกล้ากระผมได้ไปฝึกปฏิบัติธรรม 7 วัน วันที่ 4 พอลงนั่งจิตรู้สึกเหนื่อยและล้า จึงปล่อยจิตและกำหนดรู้เฉยๆ จิตเขาพิจารณาเองโดยเขาหมุนย้อนกลับ เริ่มจากกายอาการของกายเห็นลมหายใจไม่เที่ยงเขาจึงหมุนย้อนกลับเข้าหาตัวจิต ไปหยุดซักฟักและอาการของจิตผู้รู้ก็เปลี่ยนไปเป็นผู้คิดอีก จิตจึงหมุนออกจากอาการทั้งสองอย่าง ออกมาดูอยู่ข้างนอก มองดูเหมือนเครื่องจักรหมุน แต่ไม่มีคำพูดที่จะสมมุติซึ่งตัวจิตผู้รู้เป็นตัวสั่งการทั้งหมดเป็นเหมือนหัวใจสำคัญของเครื่องจักรที่ทำให้หมุน ตอนนั้นจิตรู้ว่าทั้งกายและจิตเป็นอนัตตาไม่อยู่ใต้บังคับบัญชาของใคร และไม่สามารถบังคับเขาได้ เมื่อถึงตอนนี้ น้ำตาไหลออกมาครับ แล้วก็โถ..ไม่รู้จะสร้างกันทำไม สร้างมาก็มาอยู่กับภพที่สร้างไว้ ส่วนอีกด้านหนึ่งเห็นเป็นอมตะธรรม ไม่มีการไป ไม่มีการมา ตอนนี้จิตเริ่มคิดปรุงแต่ง จิตจึงไหลเข้ากับเข้าหารวมกับผู้รู้อีก..  ขอถามหลวงตาว่า เป็นกิเลสหรอก หรือเกิดจริงครับ ครูบาอาจารย์ท่านเป็นอย่างนี้รึเปล่า แต่ตอนนั้นจิตไม่สงสัย

คำตอบ
เมื่อวันที่ 26 ธ.ค. 2546

เรียนคุณปราการ
หลวงตาเมตตาแสดงธรรมตอบปัญหาของคุณ
เมื่อค่ำวันที่ ๒๖ ธันวาคม ๒๕๔๖ ณ สวนแสงธรรม 
กดฟังเสียงเทศน์ได้ที่ http://www.luangta.com/thamma/thamma_talk_text.php?ID=2577&CatID=0

          เวลากิเลสกับธรรมรบกัน เราต้องมีหลอกมีจริง เพราะฝ่ายหลอกเป็นกิเลส ฝ่ายจริงเป็นฝ่ายธรรมพิจารณากัน ถ้าธรรมเหนือกว่าก็เอากิเลสลงได้ กิเลสแพ้ไปได้ ถ้าอุบายของธรรมไม่ทัน กิเลสก็ข้ามหัวไป เข้าใจไหม เพราะมันรบกันที่หัวใจเรา เรียกว่าสนามรบของวัฏวนอยู่ที่ใจแห่งเดียว ไม่ได้อยู่ที่ดิน ฟ้า อากาศ มืด แจ้งอะไรไม่อยู่ อันนั้นเขาไม่มีความรู้สึกอะไร ตัวรู้สึกนี่ละตัวจะแบกเอากองทุกข์เมื่อไม่รอบในความคิดของตน จากอุบายของกิเลสที่ผลักดันออกมา 
         ที่ว่าอยากนู้นอยากนี้ ตัวอยากมันอยู่ภายใน มันผลักดันออกไปให้อยากนั้นอยากนี้ ที่ว่าจิตเป็นอนัตตานั้นถูกต้อง ในจิตที่กำลังอยูในวัฏวน เพราะกิเลสที่เป็นตัวอนัตตาก็อยู่ในจิต ว่าจิตเป็นอนัตตาก็ถูก ผ่านนั่นแล้วพูดอนัตตาไม่ได้ เห็นพูดตะกี้นี้ว่าจิตเป็นอนัตตา แต่ว่าอนัตตาแบบที่ด้นเดาเกาหมัดทั่วกรุงสยาม ในชาวพุทธนี้เราไม่เอาเข้ามาในบัญชี นี่เป็นบัญชีของผู้ปฏิบัติที่ยังไม่รอบคอบในนั้น ว่าจิตก็เป็นอนัตตา ถูกต้อง กิเลสอยู่ในนั้น กิเลสยังไม่ปล่อยตัว จิตยังต้องเป็นอนัตตาไปตามกิเลส พอจิตปล่อยเมื่อไรแล้ว อนัตตาก็เป็นทางก้าวเดินของจิต ดังที่พูดแล้วว่านิพพานคือนิพพานนั้นแหละ 
          นี่เขาพิจารณาไปอย่างงั้น ก็เป็นความถูกต้องพอสมควร ผิดพลาดเราก็พิจารณาในตัวของเราเอง เพราะเวลานั้นเราสร้างปัญญาเพื่อให้ทันกับกิเลส มันก็มีผิดมีพลาด จึงเรียกว่าถูกบ้าง ผิดบ้างนะ ก็เรียกว่าเดินดีพอสมควร ก็มีเท่านั้นนะ

<< BACK

 


หน้าแรก