คำถาม 
โดย : จตุพงศ์ ถามเมื่อวันที่ 2 ธ.ค. 2546

นรก-สวรรค์มีจริงไหมครับ ?

 "นรกสวรรค์มีจริงไหมครับ?" เพราะมาร์เคียวเวลลี่ ได้กล่าวว่า "ให้นักปกครองใช้ศาสนาเป็นเครื่องมือในการบริหาร" กระผมเกรงว่า ผู้บริหารของเราตั้งแต่อดีต อาจใช้หลักดังกล่าวมาเป็นเครื่องมือ ทั้ง ๆ ที่จริง ๆ แล้ว นรก สวรรค์ ไม่มี
     อีกข้อครับ  คนเราตายแล้ว ไปอยู่ที่ไหนครับ

คำตอบ
เมื่อวันที่ 2 ธ.ค. 2546

เรียนคุณจตุพงศ์
ขอคัดพระธรรมเทศนาของหลวงตาให้คุณกดเข้าไปอ่านด้วยตนเอง เพื่อพิจารณาตามธรรมท่านดังนี้ 
1. จากคำถามเรื่องนรก-สวรรค์มีจริงไหม อ่านได้จากกัณฑ์เทศน์วันที่ ๒๖ ธันวาคม ๒๕๔๑ ณ วัดธรรมสถิต จ.ระยอง กดอ่านเต็มกัณฑ์ได้ที่http://www.luangta.com/thamma/thamma_talk_text.php?ID=1357&CatID=3
“พระพุทธเจ้าท่านสอนว่าบาปมี บุญมี นรกมี สวรรค์มี พรหมโลกมี นิพพานมี เหล่านี้เป็นความถูกต้องแม่นยำไม่มีเคลื่อนคลาดแม้แต่นิดเดียว และมีประจำโลกมานานแสนนานกี่กัปกี่กัลป์นับไม่ได้เลย เพราะเป็นหลักธรรมชาติที่มีอยู่เป็นอยู่มาแต่กาลไหน ๆ 

สิ่งที่เป็นภัยต่อจิตใจของโลก เฉพาะอย่างยิ่งของชาวพุทธที่นับถือพระพุทธศาสนา ในภาษาของศาสนาท่านเรียกว่ากิเลส คือท่านให้ชื่อว่ากิเลส คือความปิดบังหุ้มห่อจิตใจ ไม่ให้มองเห็นความจริงทั้งหลายที่พระพุทธเจ้าทรงสั่งสอนไว้แล้วเหล่านี้ สิ่งที่ผลักดันให้ทำ ให้พอใจทำ ให้สนใจทำ ให้ทำด้วยความจริงจังภายในจิตใจนั้น คืองานของกิเลสที่บงการออกมาจากจิตใจ ผลักดันให้ออกมาจากจิตใจ แล้วให้สัตว์ทั้งหลายเคลื่อนกาย วาจา ใจ ของตนหมุนไปตามมัน ไม่ให้หมุนไปในทางที่ถูกที่ดีตามพระพุทธเจ้าทรงสั่งสอนไว้แล้วนั้น ให้หมุนไปตามความอยากความทะเยอทะยานของตน

สิ่งเหล่านี้ท่านเรียกว่าเป็นภัยต่อจิตใจของเรา และเป็นภัยต่อธรรมทั้งหลาย สอนโลกให้รู้สิ่งเหล่านี้ว่าเป็นภัย เป็นสิ่งที่หลอกลวงต้มตุ๋นสัตว์โลกมาเป็นเวลานาน และปิดบังความจริงที่มีอยู่ทั้งหลายนั้นให้มิดตัว ไม่ให้มองเห็นเลย ถึงกับไม่เชื่อสิ่งเหล่านั้นว่ามี ดังที่กล่าวสักครู่นี้ว่า บาปมี บุญมี นรกมี สวรรค์มี พรหมโลก นิพพานมี นี้คือความจริงล้วน ๆ พระพุทธเจ้าพระองค์ใดตรัสรู้ก็ตรัสรู้ความจริง รู้เห็นสิ่งเหล่านี้เหมือนกันหมด นำมาแสดงแก่โลกเป็นแบบเดียวกันหมด แต่กิเลสมันก็เป็นประเภทเดียวกัน นับแต่โคตรแซ่ของกิเลส ปู่ย่าตายายของกิเลส มากัปไหนกาลใดก็ตาม มันเป็นตัวจอมปลอม พลิกแพลงเปลี่ยนแปลงดีว่าชั่ว ชั่วว่าดี มีว่าไม่มีไปเสียหมด 

อย่างที่พระพุทธเจ้าทรงแสดงไว้นี้ว่าบาปมี กิเลสมันก็บอกว่าบาปไม่มี ทำให้สัตว์ทั้งหลายกล้าหาญในการทำบาป และพอใจในการทำบาปโดยไม่ขยะแขยง ไม่มีหิริโอตตัปปะประจำใจเลย นี่เพราะกิเลสมันเสี้ยมสอนอยู่ภายในจิตใจ ทั้ง ๆ ที่มันเป็นบาปมาตั้งกัปตั้งกัลป์แล้วสำหรับผู้ทำบาป ผู้ทำบุญก็เคยเป็นบุญมาตั้งกัปตั้งกัลป์แล้วตามหลักความจริงของพระพุทธเจ้าทรงสอนไว้ กิเลสมันก็ลบล้างว่า ทำบาปไม่ได้บาป ทำบุญไม่ได้บุญ นรก สวรรค์ พรหมโลก ไม่มี สิ่งที่มีก็คือที่มันกดดันอยู่เวลานั้น ให้ทำตามความต้องการของมัน ความต้องการของมันจึงกลายมาเป็นความต้องการของเรา เราอยากอะไรคือกิเลสพาให้อยาก มันไม่ให้ทราบว่าตัวมันพาให้อยาก มันก็จับยัดเข้ามาหาตัวของเราว่าเราเป็นผู้อยาก 

เมื่อเราเป็นผู้อยาก อยากทำอะไรก็ไม่คำนึงว่าอะไรที่เป็นพิษเป็นภัยหนุนหลังอยู่เวลานั้น ก็ไม่คำนึง ไม่รู้ กิเลสจับเข้ามามัดไว้กับตัวของเราเอง กลายเป็นเราอยาก ความโลภ ความโกรธ ความหลง ราคะตัณหาเหล่านี้ จึงกลายมาเป็นเราเสียทั้งหมด ไม่มีพิษมีภัยอะไร เพราะตัวเราเองย่อมถือว่าเป็นเราสงวนเรา เราต้องการทำสิ่งใดก็ทำตามความอยากของเรา ๆ นี้ละทำให้สัตว์ทั้งหลายลืมเนื้อลืมตัวลืมบุญลืมบาป ไม่อยากทำในสิ่งที่เป็นธรรม อยากทำแต่สิ่งที่ไม่เป็นธรรม แล้วก็นำความทุกข์เข้ามาพัวพันตนเอง

พระพุทธเจ้าทรงพระเมตตาสัตวโลกอย่างมากมาย ไม่มีอะไรเกินพระพุทธเจ้า แต่ละพระองค์ที่ตรัสรู้ขึ้นมา ก็เพราะเห็นว่าสัตว์ทั้งหลายนี้มืดบอดที่สุด ตา หู จมูก ลิ้น กายมีก็กลายเป็นเครื่องมือเป็นหุ่นของกิเลสเสียทั้งมวล ไม่ได้เป็นเครื่องมือของอรรถของธรรม จึงลำบากแก่การแนะนำสั่งสอน และลำบากแก่การจะปฏิบัติตาม นอกจากไม่ลำบากในการเชื่อกิเลสและทำตามกิเลสเท่านั้น เป็นทางเดินอันโล่งของมันตลอดมา จึงไม่ให้สัตว์ทั้งหลายรู้ดีรู้ชั่วรู้บุญรู้บาป รู้แต่ความอยากความทะเยอทะยาน หมุนไปตามความอยากความทะเยอทะยาน 

ครั้นตายไปแล้วก็ไปเกิดในสถานที่ไม่ดี ที่ไม่พึงหวังนั่นแล เพราะกิเลสไม่เคยพาใครไปสวรรค์ พรหมโลก นิพพาน นอกจากหนุนให้
ลงทางต่ำคือความทุกข์ความทรมานตกนรกหมกไหม้ เป็นเปรต เป็นผี ครั้นฟื้นตัวขึ้นมาได้มันก็พาหมุนไปทางเดิม ให้เกิดแก่เจ็บตายตกนรกอเวจีอยู่ตามเดิมอย่างนี้เรื่อยมา ไม่มีวันที่มันจะปล่อยวางให้เราทั้งหลายรู้เนื้อรู้ตัวว่ามันเป็นพิษเป็นภัย แล้วปลีกตัวหรือสลัดตัวให้ห่างไกลจากมันไปได้ นี่จึงเป็นการลำบากมากที่จะแก้ความชั่ว แก้เชื้อแห่งการทำความชั่วภายในจิตใจคือกิเลสตัวนี้ออกได้ ไม่มีสิ่งใดจะถอดถอนหรือแก้ชำระล้างมันได้ นอกจากธรรมของพระพุทธเจ้าเท่านั้นที่จะแก้มันได้ และกิเลสนี้กลัวแต่ธรรมอย่างเดียว อย่างอื่นไม่กลัว

นี่พวกเราทั้งหลายก็ได้เกิดมาพบพระพุทธศาสนาอันเป็นศาสนาที่เลิศเลอ เป็นผู้รู้แจ้งแทงทะลุทั้งบุญทั้งบาปทุกสิ่งทุกอย่าง ตลอดวิธีการแก้ไขถอดถอนภพชาติของตนให้หลุดพ้นไปได้ เพราะฉะนั้นจึงขอให้นำธรรมเข้าสู่ใจเป็นที่ยึดที่เกาะ สติธรรมให้ระลึกรู้ตัวอยู่เสมอว่าบาปมี บุญมี ให้ระวังให้ดี นรกมี สวรรค์มี พรหมโลก นิพพานมี เป็นผู้ที่จะรู้จะเห็นก็คือเรา สิ่งเหล่านี้มีอยู่แล้ว เป็นปัญหาอยู่กับที่เรายังไม่รู้ไม่เห็นเท่านั้น ขอให้สร้างใจของเราด้วยธรรมขึ้นด้วยดี สิ่งเหล่านี้จะไม่มีปัญหาอะไรกับตัวของเราที่รู้แล้วเห็นแล้ว ดังพระพุทธเจ้าและพระอรหันต์ท่านเห็น ท่านเห็นจริง ๆ

ให้ยึดหลักใจของเราด้วยสติ เช่นไปไหนมาไหนอย่าลืมสติ ให้ระลึกรู้ตัวว่าบาปมี บุญมี ความเป็นความตายมีกับตัวของเรา ให้มีใจเป็นหลัก เมื่อใจเป็นหลักกับธรรม เช่นไปไหนนึกพุทโธติดใจอยู่เสมอ ใครเคยอบรมธรรมบทใด ภาวนาธรรมบทใด ให้ยึดหลักธรรมนั้น ๆ เข้ามาสู่จิตใจของตนเองยึดเกาะไว้ตลอดไป นี่เรียกว่าผู้ยึดหลักอันถูกต้องดีงาม จะมีความสงบร่มเย็น จะเป็นหลักเป็นเกณฑ์ขึ้นที่จิตใจของตนไปเป็นลำดับลำดา ต่อไปก็พึ่งตนเองได้

สิ่งเหล่านั้นเป็นเพียงเครื่องอาศัยชั่วกาลเวลาที่มีชีวิตอยู่เท่านั้น เมื่อชีวิตหาไม่แล้วสิ่งเหล่านั้นก็พังไป ๆ แต่ใจกับธรรมกับความดีงามที่เราสร้างมานี้ไม่พัง เป็นเราเป็นตัวของเราโดยลำดับลำดา นี้แลที่จะพาเราไปถึงฝั่งถึงแดนแห่งความดีทั้งหลายตลอดแห่งมรรคผลนิพพาน คือธรรมนี้เป็นเครื่องยึดเครื่องเกาะของใจเป็นลำดับไป อย่าพากันปล่อยวาง”

1. เทศน์วันที่ ๒๒ พฤศจิกายน ๒๕๔๖ เรื่อง ให้เชื่อบุญเชื่อบาป กดอ่านได้ที่http://www.luangta.com/thamma/thamma_talk_text.php?ID=2490&CatID=2
2. เทศน์วันที่ วันที่ ๑๘ เมษายน พุทธศักราช ๒๕๔๖ [ค่ำ] เรื่อง คนตาดีตาบอด คนใจดีใจบอด กดอ่านได้ที่ http://www.luangta.com/thamma/thamma_talk_text.php?ID=2051&CatID=2
3. เทศน์วันที่ ๑๑ กุมภาพันธ์  ๒๕๔๖ เรื่อง พอด้วยความเลิศเลอ
http://www.luangta.com/thamma/thamma_talk_text.php?ID=1918&CatID=2

2.    ส่วนคำถาม คนเราตายแล้วไปไหน อ่านได้จากเทศน์วันที่ ๒๒ มิถุนายน ๒๕๔๖ หรือกดอ่านเต็มกัณฑ์ได้ที่ http://www.luangta.com/thamma/thamma_talk_text.php?ID=2157&CatID=2
“เราอุทิศส่วนกุศลถึงท่านผู้ล่วงลับนี้เป็นความถูกต้องชอบธรรมแล้ว ในบรรดาญาติมิตรสาโลหิตที่ล่วงลับดับไป ใครจะอยู่ทิศใดแดนใด เมืองใด ใกล้ไกลไม่สำคัญ จิตวิญญาณขณะเดียวถึงแล้ว ๆ ประเทศไหนโลกไหนถึงกันอย่างรวดเร็ว ไม่มีแรมวันแรมคืน เพราะระยะทางห่างไกลเหมือนเราเดินด้วยเท้า

จิตวิญญาณท่องเที่ยวในวัฏสงสาร จะกว้างแคบขนาดไหนจิตวิญญาณจะไปได้ด้วยอำนาจแห่งกรรมดี กรรมชั่วหนุนพาให้ไป ผู้ที่ว่าไปสวรรค์ชั้นนั้น ๆ ถ้าจะพูดถึงเรื่องการวัดชั้นเป็นถนนหนทาง ทางจากนี้ไปสวรรค์ชั้นนั้นห่างสักกี่กิโลอย่างนี้นั้น เรานับไม่ได้ สังขารร่างกายเราไปไม่ได้ แต่จิตใจนั้นไม่ว่าจะอยู่ใกล้ไกลขนาดไหน ไปได้ทั้งนั้นชั่วขณะเดียว จิตใจนี้ไปได้ ระยะความใกล้ความไกลไม่มีปัญหาในจิตใจของแต่ละสัตว์แต่ละบุคคล ตายแล้วไปทางดีทางชั่ว เสวยสุขเสวยทุกข์ได้ด้วยกันทั้งนั้น ขอให้มีคำว่าบุญและบาปที่ตนสร้างไว้แล้วติดใจของตนเถิด ไม่ว่าไกลว่าใกล้ เช่นไปเสวยความทุกข์ความทรมาน ใกล้ไกลที่ไหนไม่มีประมาณ ถึงทันที ๆ

เช่นอย่างไปนรก แดนนรกนี้ถ้าธรรมดาแล้วจะไม่มีใครไปถึง เพราะอยู่ไกลแสนไกล แต่อำนาจแห่งกรรมที่เราสร้างไว้ไม่ดีนั้น มันติดอยู่กับตัวของเรา ติดพันกันไป จนกระทั่งถึงนรกหลุมไหนไม่มีคำว่าใกล้ว่าไกล ขึ้นอยู่กับอำนาจแห่งกรรมชั่วของตน ผู้ที่จะไปสวรรค์ พรหมโลก และนิพพานก็เช่นเดียวกัน ไม่มีคำว่าใกล้ว่าไกล ขอให้มีบุญมีกุศลติดใจของเราเถิด จะไปได้ถึงหมดไม่ว่าชั้นใดภูมิใด ตามอำนาจแห่งกรรมดีของเราที่มีมากน้อย และใจเป็นของไม่ตาย ขอให้ท่านทั้งหลายทราบเอาไว้ 

พระพุทธศาสนาคือพระพุทธเจ้าของเราทุกๆ พระองค์ทรงเทศนาว่าการยืนยันจิตวิญญาณคือใจของคนของสัตว์นี้มีมาดั้งเดิม ตั้งแต่กาลไหนๆ ไม่มีต้นไม่มีปลาย มีแต่ความเกิดความตายแบกหามกองทุกข์ หรือเสวยสุขเป็นลำดับลำดามา ก็เพราะจิตดวงที่ไม่ตายนี้แล เวลาได้รับความทุกข์ความลำบากมากเพราะการทำชั่วของตัวเองด้วยความประมาท ไปตกนรกหมกไหม้กี่กัปกี่กัลป์ก็ยอมรับว่าทุกข์ ถึงขั้นมหันตทุกข์ ใจก็ยอมรับเสวย แต่ไม่เคยฉิบหาย ไม่เคยสูญก็คือใจดวงนี้แล เวลาไปทางดีก็เหมือนกัน ไม่มีคำว่าฉิบหายเหมือนสิ่งอื่นใด 

พอตายจากนี้แล้วก็เข้าไปสู่ภพหน้า พร้อมเสมอที่จะไปเกิด ๆ เมื่อหมดสภาพแห่งความเกิดในภพชาตินั้นๆ แล้ว ก็เรียกว่าตายๆ ตายกับเกิดจึงเป็นของคู่เคียง ประจำภพชาติของจิตตลอดมา เพราะฉะนั้นสัตว์ตัวหนึ่งรายหนึ่งจึงมีการเกิดตาย ได้รับความทุกข์ความลำบากเสมอหน้ากันหมด ไม่มีใครที่จะมาแข่งขันกันว่า ข้านี้เกิดน้อยชาติ ข้านี้เกิดหลายชาติ ข้าได้รับความทุกข์ความสุขมากน้อยเท่านั้นเท่านี้ เอามาแข่งขันกันนั้นแข่งไม่ได้ เพราะทุกคนมีอยู่ด้วยกันเต็มตัว เพราะอำนาจแห่งกรรมของตนสร้างมาเหมือนกันหมด ท่านจึงไม่ให้ดูถูกเหยียดหยามซึ่งกันและกัน 

ธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้าทรงสอนโลกอย่างแม่นยำ ไม่มีผิดพลาดคลาดเคลื่อนไปไหนเลย ก็คือธรรมของพระพุทธเจ้าแต่ละพระองค์ นี่สอนพวกเราทั้งหลาย ขอให้ถามปัญหาตัวเองว่า ธรรมพระพุทธเจ้านั้นเลิศเลอพอแล้ว เราจะสามารถรับอรรถรับธรรมเชื่อคำสอนของพระพุทธเจ้าที่สั่งสอนแล้วด้วยพระเมตตาสุดส่วน ด้วยความรู้แจ้งแทงกระจ่างในสิ่งทั้งหลายหมดนั้น เราจะรับได้หรือไม่ หรือจะรับตั้งแต่ความหูหนวกตาบอดของเรา ไม่ฟังเสียงอรรถเสียงธรรม เสียงดี เสียงชั่ว แต่สิ่งที่ชั่วนั้นทำได้ตลอดไป 

สิ่งที่ดีก็หาเรื่องหาราวมาขัดมาขวาง กีดกันเอาไว้ไม่ให้ทำ เช่นอย่างวันนี้ก็เป็นวันที่เราจะบำเพ็ญการกุศล เราก็จะหาเรื่องว่าวันนี้ฝนตกทำบุญให้ทานไม่สะดวกไม่สบายเลยสำหรับวันนี้ วันอื่นที่เราสร้างขวากสร้างหนามเป็นอุปสรรคแก่ตัวเองทั่วหน้ากันนั้น เราไม่ได้พูดถึง ทั้งๆ ที่มันก็ไม่สะดวกเช่นเดียวกัน แต่เพราะความพอใจของเราที่จะทำ ในน้ำ บนบก ฟ้าฝนตก เราก็ทำได้ด้วยกันทั้งนั้น วันนี้เป็นวันที่เราสร้างบุญกุศล ฝนเป็นฝน น้ำเป็นน้ำ บุญเป็นบุญสำหรับเราผู้สร้างบุญ ไม่มาคละเคล้ากัน เราจึงทำได้เต็มเม็ดเต็มหน่วย ฝนตกฟ้าลงก็เป็นเรื่องของฟ้าฝนที่เคยมีมาตั้งกัปตั้งกัลป์แล้ว ไม่ใช่พึ่งมีมาในวันนี้ที่เราจะบำเพ็ญกุศลเท่านั้น 

จึงขออย่านำสิ่งใดมาเป็นอุปสรรคต่อการสร้างกุศลของเรา บรรดาผู้ที่ล่วงลับ ไปนั้นท่านสอนไว้ใน ติโรกุฑฑกัณฑสูตร ว่าใครจะอยู่ใกล้อยู่ไกลที่ไหน ประเทศใดเมืองใดก็ตาม เวลาตายแล้วจะต้องกลับเข้าไปถึงบ้านถึงเรือน ถึงพี่น้องพ่อแม่ญาติมิตรของตนเป็นลำดับลำดา ถ้าไม่ถูกกรรมหนักบังคับให้ไปตกนรกเสียก่อน มีช่องทางที่จะไปหาญาติหาวงศ์ของตนได้ทุกแห่งทุกหน โดยไม่มีคำว่าหลงทาง นี่คือญาติมิตรที่ตายไปแล้ว แล้วกลับเข้ามาในบ้านญาติมิตรของตน ตายที่ไหนก็มาหาญาติหามิตร เพื่อรับส่วนบุญส่วนกุศลจากพ่อแม่พี่น้องที่เคยเป็นพ่อเป็นแม่มาดั้งเดิม ในเวลาตายแล้วก็ต้องย้อนกลับมา

ท่านบอกไว้ใน ติโรกุฑฑกัณฑสูตร ว่า เข้ามาแอบอยู่ตามข้างบ้านข้างเรือนบ้าง เข้ามาอยู่ข้างฝาเรือนบ้าง เข้ามาอยู่ทุกซอกทุกมุมในบ้านเรือนของญาติของมิตร ของพ่อของแม่บ้าง แต่เวลาพ่อแม่พี่น้องซึ่งเคยอยู่ร่วมกันในเวลามีชีวิตอยู่ รับประทานด้วยกัน มีอะไรถึงกันหมดนั้น พอตายไปแล้วเท่านั้น กลับมาก็มาแอบดูพ่อดูแม่ ดูญาติดูวงศ์ที่กำลังรับประทานอาหารกันอยู่ในนั้น ไม่สามารถที่จะรับได้ เพราะไม่ใช่วิสัยของเปรตผีกับมนุษย์ที่จะมาร่วมกินร่วมอยู่ด้วยกันได้เช่นนั้น ถ้าหากว่าญาติมิตรมีความรู้สึกเป็นห่วงใยในผู้ล้มผู้ตายที่จากไปนั้น ได้ทำบุญทำกุศล อุทิศส่วนกุศลนี้ให้แก่บรรดาเปรตทั้งหลายที่มานั้น เปรตเหล่านั้นก็ได้รับส่วนบุญส่วนกุศล ก่อนจะจากไปก็อนุโมทนาสาธุการแก่ญาติมิตรของตน แล้วไปสวรรค์ได้เพราะอำนาจแห่งส่วนกุศลที่หนุนท่านเหล่านั้นให้พ้นทุกข์ในความเป็นเปรตเสียได้ นี่ท่านแสดงไว้อย่างนี้

เปรตประเภทที่จะได้รับส่วนบุญส่วนกุศลนั้นมีมากมายก่ายกอง ด้วยเหตุนี้จอมปราชญ์ทั้งหลาย มีพระพุทธเจ้าเป็นต้น จึงสอนไว้ว่าเมื่อล้มหายตายจากไปจากกันแล้ว อย่าลืมบุญลืมคุณ ลืมความระลึกถึงกัน แล้วให้บำเพ็ญส่วนกุศลอุทิศไปให้ ท่านผู้ล้มผู้ตายจะได้รับการสนับสนุนจากการสร้างบุญกุศลอุทิศไปให้นั้น แล้วพ้นทุกข์ไปโดยลำดับ นี่ท่านสอนไว้อย่างนี้ อย่างบรรดาทหารที่มาตายอยู่ในเมืองกาญจน์ของเรามีจำนวนมากมายทีเดียว ท่านเหล่านี้ก็มีความหวังที่จะพึ่งพิงญาติมิตรเพื่อนฝูง และญาติเกิด แก่ เจ็บ ตายด้วยกันก็มีทางรับได้ 

เช่นพวกเราไม่ได้รู้จักหน้าค่าตากันเลย แต่เรามีเจตนาเป็นกุศลทำบุญแล้วอุทิศถึงท่านเหล่านั้น บุญกุศลจึงไม่นิยมว่าใครเป็นญาติ ไม่เป็นญาติ อยู่ในฐานะที่จะรับได้จากผู้มีเมตตาจิตยื่นให้ด้วยการอุทิศส่วนกุศล ท่านเหล่านั้นก็รับได้ พ้นทุกข์ไปได้ 

ที่เราทำวันนี้จึงเป็นการถูกต้องกับขนบประเพณีที่พระพุทธเจ้าทรงแสดง และพาดำเนินมา แล้วทีนี้ก็ย้อนมาหาตัวของเราเอง อย่าได้พากันประมาทนอนใจ มีแต่ลมหายใจไปวันหนึ่ง ๆ ตั้งแต่ตื่นนอนจนกระทั่งหลับอยู่ได้ด้วยลมหายใจ พอลมหายใจขาดเท่านั้นอยู่ที่ไหนตายได้หมดคนเราและสัตว์ทั่ว ๆ ไป พวกเรานี้เรียกว่าอยู่ได้ด้วยลมหายใจ อย่าหายใจอยู่เฉยๆ หายใจให้มีอรรถมีธรรม มีบุญมีกุศลติดใจของตัว อย่าหายใจไปด้วยการให้กิเลสรุมล้อม หายใจไปด้วยความโลภไม่พอ ความโกรธ ความเคียดแค้น หายใจไปด้วยราคะตัณหา หาลูก หาผัว หาเมียไม่พอใช้ ไม่พออยู่ ไม่พอกิน ดิ้นรนกระวนกระวาย อย่างนี้เขาเรียกว่าหายใจเพื่อความล่มจม ถึงจะยังไม่ตายก็ล่มจมอยู่แล้วกับการกระทำของตัว

เพราะฉะนั้นจึงแยกลมหายใจของเราเข้ามาสู่ศีลสู่ธรรม หายใจเข้าหายใจออกให้ระลึกถึงพระพุทธเจ้า หรือพระธรรม หรือพระสงฆ์ อยู่โดยสม่ำเสมอ คำว่าพระพุทธเจ้าเพียงพระองค์เดียวนี้ กระเทือนทั่วพระพุทธเจ้าทั้งหลายในแดนโลกธาตุ ธรรม สงฆ์เป็นอันเดียวกัน จึงมีคุณค่ามากแก่ผู้ที่ระลึกถึงพระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์ นี่เรียกว่าหายใจมีสารประโยชน์ หายใจเป็นบุญเป็นคุณ เวลาเราตายลงไปเราก็อาศัยลมหายใจที่เป็นบุญเป็นคุณต่อเรานี้แล จะเป็นเครื่องอุดหนุนค้ำชูเราให้ไปเกิดในสถานที่ดี คติที่สมหวัง” 
                                           _______________________

<< BACK

 


หน้าแรก