คำถาม 
โดย : ทีมงาน ถามเมื่อวันที่ 25 พ.ย. 2546

หลวงตาอนุโมทนาการปฏิบัติจิตตภาวนากับโยมจันทบุรี

คัดมาเฉพาะบางตอนสำหรับคำถามของโยมจันทบุรี และโปรดอ่านเต็มกัณฑ์ ได้ที่ http://www.luangta.com/thamma/thamma_talk_text.php?ID=2432&CatID=0)

คำถาม          :     กระผมได้ปฏิบัติธรรมมานานแล้ว กระผมจิต
ว่างอยู่หลายปี ด้วยการพิจารณาสิ่งทั้งหลายจนจิตว่างไปหมด เหลือแต่ผู้รู้ แต่ก็ยังมาติดผู้รู้อีก เมื่อพิจารณาผู้รู้อย่างจริงจัง ก็เหมือนมีสปริงดีดผู้รู้นั้นกระเด็นหายไปทันที เหลือแต่ผู้รู้ที่ไม่ต้องรักษา ไม่ต้องกำหนด ในขณะนั้นสมมุติทั้งสามแดนโลกธาตุปรากฏเกิดขึ้นที่ใจ อย่างไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนเลย กระผมขอกราบเรียนถามหลวงตาว่า ที่กระผมเข้าใจว่าธาตุผู้รู้นี้ไม่ดับไม่สูญ เป็นรู้ที่อยู่ในรู้ตลอดชั่วนิรันดรใช่ไหมครับ แม้สังขารนี้จะดับไปแล้วก็ตาม ขอความกรุณาหลวงตาช่วยตอบกระผมด้วยครับ (นายหวีด บัวเผื่อน จังหวัดจันทบุรี) 

หลวงตา     :     การตอบนี่ก็ลำบากเหมือนกันนะ คือมีส่วนได้มีส่วนเสียสำหรับผู้ฟัง จึงน่าคิดอยู่ ไม่ใช่ว่าถามอะไรตอบสุ่มสี่สุ่มห้า ต้องคำนึงผู้ถามมา และผู้จะได้ยินได้ฟังจากกันต่อ ๆ ไปจะได้ผลได้  ผลเสียยังไงบ้าง ถ้าธรรมดาแล้วปัญหาเป็นอย่างนี้แล้วมันก็หมดปัญหาไปในตัว ไม่จำเป็นต้องถาม แต่ที่ถามนั้นเขาก็มีความมุ่งหมายอีกอย่างหนึ่ง เพื่อประโยชน์แก่คนอื่นด้วย สำหรับคนผู้ถามปัญหาเราก็เชื่อเขาแล้วว่าเขาไม่มีปัญหา แน่ะ  เราเชื่อแล้ว เพราะฉะนั้นการตอบของเราไม่ตอบของเราจึงไม่มีปัญหาอะไร ที่พูดอย่างนี้ที่ว่าตอบไม่ตอบก็เลย มันจะเกี่ยวกับผู้มาฟัง

อันนี้เราให้ สนฺทิฏฺฐิโก เป็นสมบัติของคุณเอง รับรองคุณเองก็แล้วกัน ไม่ตอบ ที่เขาพูดมานี้ถูกต้องเป็นลำดับ ย่นเข้ามาปุ๊บ ๆ เข้ามาเลย เขาติดจิตว่างอยู่กี่ปี (หลายปี ไม่ได้บอกจำนวนครับ) นั่นหลายปี ถ้าไม่ได้ยินได้ฟังครูบาอาจารย์ที่พูดให้ฟังบ้าง กระตุกบ้างอะไรบ้างมันก็ช้า ไปโดยลำพังตัวเอง ไปได้แต่ช้า ถ้ามีครูบาอาจารย์คอยแนะคอยกระตุกเรื่อยๆ ไปเร็ว มันต่างกันนะ

พอพูดอย่างนี้เรายังเสียดาย ดังที่เคยพูดถึงเรื่องหลวงปู่มั่น เรื่องของเราที่มันไปติดความสว่างไสวอัศจรรย์บ้าตัวเองอยู่นั้น มันอัศจรรย์จริงๆ ยืนรำพึง มันสว่างไสวมันอะไร สรุปความลงมาว่า อัศจรรย์ ทำไมจิตของเราจึงอัศจรรย์ถึงขนาดนี้เชียวนา นี่ถ้าสมมุติว่าเรื่องนี้เกิดขึ้นแล้วอย่างนี้ไปกราบเรียนพ่อแม่ครูจารย์มั่น จะทะลุไปเดี๋ยวนั้น นี่มันก็จมกันไปอย่างนั้นเห็นไหมล่ะ คือไม่มีผู้กระตุกผู้เตือน นี่มันต่างกันอย่างนี้ คือมันช้ามันเร็วต่างกัน เวลามันผางขึ้นมาแล้วมันถึงได้รู้ อ๋อ คือตอนนั้นธรรมท่านเห็นว่าหลงแล้ว ติดที่อัศจรรย์ความสว่างไสวของเรา สายตาของธรรมซัดบอกว่านี่ติดแล้ว ถ้าเป็นหลวงปู่มั่นก็พุ่งเข้ามาเลย

เตือนขึ้นมานะ ถ้ามีจุดมีต่อมแห่งผู้รู้อยู่ที่ไหน นั้นแลคือตัวภพ ก็คือผู้รู้ มันก็ไปติดอยู่นั้นเสีย นั้นแลคือตัวภพ ถ้าสมมุติว่าเล่าให้ครูบาอาจารย์ฟังอย่างหลวงปู่มั่นอย่างนี้ พอพูดอย่างนั้น ก็จุดนั้นแล้วตัวใสตัวสว่างไสวนั้นแหละ คือตัวภพ จะเป็นตัวไหนไปน่ะ ถ้าว่าอย่างนั้นมันก็ผางทีเดียว ขาดสะบั้นไปเดี๋ยวนั้นเลยก็ได้ มันเป็นอย่างนี้ธรรมะ เพราะฉะนั้นบางองค์จึงตรัสรู้ต่อพระพักตร์พระพุทธเจ้า เวลาพระองค์แก้ปัญหาบรรลุธรรมปึ๋งต่อพระพักตร์พระพุทธเจ้าก็มี ก็อย่างนี้แล้ว นี่เราเสียดายเราแน่ใจร้อยเปอร์เซ็นต์เลย ตอนนั้นท่านล่วงไปแล้ว เราเป็นอยู่ที่วัดดอยหลังจากถวายเพลิงศพท่านเรียบร้อยแล้วเราขึ้นไปวัดดอยฯ ขึ้นก็ไปติดปัญหานี้ ถ้าสมมุติว่าท่านยังมีชีวิตอยู่ไปเล่าถวายท่านเท่านั้น ใส่ทีเดียวเท่านั้นละผึงเลยขาดสะบั้นไปเลย อย่างนี้ละปัญหาสำคัญ อย่างที่เขาเล่ามานี้ไม่มีที่ต้องติ หมดปัญหาไป

หมดแล้วนะปัญหา (หมดแล้วครับ) นี่คือผลแห่งการปฏิบัติ นิยมไหมว่าเป็นผู้หญิง ผู้ชาย เพศหญิง เพศชาย กิเลสกับธรรมไม่มีเพศ จิตผูกได้ด้วยกันทั้งนั้น แก้ได้ด้วยกัน นี่ผลแห่งการแก้ การบำเพ็ญ จะเป็นฆราวาสก็ตามก็เป็นอย่างให้เห็นอยู่นี้แหละ นี่เป็นอยู่ที่จิต ผู้ปฏิบัติต่อจิตเป็นอย่างนี้ และผู้ไม่เป็นอย่างงั้นก็ค่อยเป็นมาโดยลำดับ ขอให้ได้รับการบำรุงรักษาเถอะ จะค่อยเป็นค่อยไปของมันอยู่นั้นละ นี้ไม่มีการบำรุงรักษา มีแต่ขยี้ขยำ เผาอยู่ตลอดเวลา จิตถ้าเป็นของฉิบหายได้ หมดไม่มีเหลือแหละโลกอันนี้ แต่นี้มันไม่ฉิบหายละซิ จึงพาเกิดพาตายอยู่ตลอด เผาขนาดไหนก็เผา ทุกข์ยอมรับว่าทุกข์ แต่ไม่มีความฉิบหายคือจิต

ผู้รู้อันหนึ่งที่เด่นอยู่นั้นดีดผึงออกไป นั่นละตัวภพตัวชาติที่ว่าจะเป็นอะไร มันดีดผึง เหมือนมีสปริงอะไรแล้วแต่ใครจะสมมุติมาพูด อันนี้ผู้เป็นเบาผู้เป็นหนักมี ไม่ใช่แบบเดียวกันหมดนะ มีหนักมีเบา มีผาดโผน เรียบ ๆ มี แย็บเรียบๆ ไป ความตัดสินใจหากเป็น สนฺทิฏฺฐิโก ด้วยกัน อย่างพ่อแม่ครูจารย์ท่านก็ผาดโผนนะ จิตขั้นนี้ท่านผาดโผนมากอยู่ โอ๋ย ผาดโผนอย่างพิสดารหลวงปู่มั่น เราจนน้ำตาร่วงเวลาท่านเล่าให้ฟัง น้ำตาร่วงในขณะนั้นเลย อัศจรรย์ แสดงความผาดโผนผางขึ้นมาเรียบร้อยแล้วยังแสดงฤทธิ์เดชต่างๆ อีกหลายแง่หลายมุม ของท่าน ต่างกันอย่างงั้นละ

บางรายก็พับตรงนี้ก็ไปเลย ตามนิสัยวาสนาต่างกัน สำหรับหลวงปู่มั่นพิสดารมากเทียว ที่เราเขียนในประวัตินั้นก็เท่าที่จำได้นะ ที่จำไม่ได้เราก็ไม่เขียนมา ที่จำได้ไม่สนิทใจนักเราก็ไม่เขียน เวลาผ่านไปแล้วยังไม่แล้ว ยังแสดงลวดลายทุกสิ่งทุกอย่างออกหลังจากนั้นแล้ว นี่ละการปฏิบัติธรรมของพระพุทธเจ้ายืนยันรับรองตลอดเวลา เป็น อกาลิโก

เรื่องจิตนี้พิสดารมาก กิเลสก็พิสดารเต็มเหนี่ยวของมัน ท่านผู้ปฏิบัติเหล่านั้นมาเล่าภาวนาสู่กันฟัง เรื่องสมาธิ เรื่องปัญญา ก็อย่างที่โยมเขามาพูดนี้แหละน่าฟังไหมล่ะ เป็นอย่างนั้น ถ้าธรรมดาก็ว่าเป็นของง่ายนิดเดียว เขาแทบตายนะนั่น ติดความว่างมากี่ปีนั่นน่ะ ถ้ามีผู้แนะอยู่จะไม่ติดนาน...ความว่าง ก็อย่างนั้นแหละ เขาก็บำเพ็ญมาอย่างนั้น เขารู้อย่างไรเขาก็เล่ามาตามเรื่องของเขา มันน่าฟังนะ เรานี่เข้าใจทุกกระเบียดที่เขาเล่ามานั้น นี่ละอำนาจแห่งการปฏิบัติธรรม รู้ได้เห็นได้ 

และจากเทศน์วันที่ ๒๕ พฤศจิกายน ๒๕๔๖ ณ วัดป่าบ้านตาด
     "นั่นละ ผู้ชายจันทบุรีนั้นน่าฟังมาก เราหาที่ค้านไม่ได้ นั่น ถ้า
ไม่มีที่ค้านเราก็ไม่ค้าน ยอมรับเขาเลย ถูกต้องเลย นั่นละการปฏิบัติ เขาถามเรามาเขาพูดให้เราฟัง ไม่ใช่เขาสงสัยนะ เขาพูดให้เราฟังในฐานะว่าเราเป็นครูเป็นอาจารย์สอนคน เขาสอดทางนี้มา เราจะว่ายังไงหรือไม่ว่ายังไงเขาก็ไม่เป็นอารมณ์ แต่เขาก็ถามมา นี้เราก็ตอบไปเฉย ๆ เราก็ไม่เป็นอารมณ์เหมือนกันเข้าใจไหม อันนั้นละเข้าท่าดีคนนั้น

อย่างนั้นละธรรมะ ถ้าใครปฏิบัติอยู่ที่ไหน ๆ มันจะปรากฏขึ้นมาตามกำลังของตน เช่นเดียวกับจอกแหนมันจะปกคลุมหมดทั้งบึงทั้งบ่อจนจะมองไม่เห็นน้ำ ใครไปแหวกจอกแหวกแหนขึ้นตรงไหนมันก็เห็นน้ำตรงนั้นเข้าใจไหม ไม่ใช่ว่าจะไม่เห็นเสียโดยประการทั้งปวงนะ ใครไปแหวก เปิดจอกเปิดแหนออกที่ไหน น้ำอยู่ที่นั่นมีแล้วมันก็เห็นน้ำ ๆ อันนี้ธรรมมีอยู่เป็นพื้นอยู่แล้วในหัวใจ กิเลสคลุมอยู่ เราภาวนายังไงมันควรจะปรากฏให้เห็นความสงบสุข นั่นเท่ากับเห็นน้ำเป็นลำดับลำดา มันก็เห็นได้เข้าใจเหรอ 

ถ้าไม่ทำเลยก็ปล่อยให้จอกแหนคลุมตายเลยพวกเรา ตายจมอยู่ในจอกแหนนั่น เข้าใจเหรอ ก็มีเท่านั้นแหละ เราอยากให้ผู้ปฏิบัติได้ทำนี่นะ ฟังซิว่าจอกแหนปกคลุมหมดบึงบ่อ เหมือนว่าไม่มีน้ำ ใครเปิดก็เห็นแหละ นั่น ใครเปิดมากเปิดน้อยจะเห็น ธรรมมีอยู่ในใจ จำเอานะ

มันโล่งตั้งแต่คนจันทบุรี ตั้งแต่ต้นขึ้น โล่งไปตลอดเลย เราก็ไม่มีอะไรตอบเขา มีแต่อนุโมทนาโดยเทียบเคียงไป หรือว่าทางอ้อมไปอย่างนั้นละ จะว่าอนุโมทนาจริงๆ มันก็มีส่วนเสียส่วนหนึ่งสำหรับคนที่ไปฟัง มีลำบากอยู่นะการตอบ ตอบปัญหาตอบแง่นี้ไป จะได้แง่นี้ จะเสียแง่ไหนต้องคิดอีกๆๆ เช่นอย่างคำถามเขาถามมานี้ เวลามันออกมันออกร้อยเปอร์เซ็นต์ ออกตอบรับ ต้องคิดถึงผู้ที่จะรับปัญหานี้ไป จะได้มากน้อยเพียงไร แยกปัญหานี้อีก ควรจะให้ ๕๐-๖๐-๗๐% ก็ให้ไปตามนั้น ถ้าควรให้ร้อยเลย 

ทางนั้นผางมาทางนี้ผางไปเลยทันที ร้อยต่อร้อยแล้วกันไปเลยไม่มีปัญหา แน่ะมันมีหลายอย่างนะการตอบปัญหา ส่วนมากมักออกร้อยเปอร์เซ็นต์ แต่เวลาตอบต้องแยกออกมาตอบตามผู้ที่มารับจะรับไปได้มากน้อยเพียงไร นี่มันก็แยกออก ไม่แยกไม่ได้นะ แล้วตอบไปแล้วมีส่วนได้ส่วนเสียอะไรอีก ผู้ที่ฟังเกี่ยวโยงกันไป แน่ะมันก็มีหลายขั้นหลายภูมิ จึงลำบากอยู่นะ"

(ด้วยโอกาสในธรรมนี้ ทีมงานตั้งจิตขออนุโมทนาสาธุการกับภูมิธรรมทุกขั้นมากับคุณหวีด บัวเผื่อน จังหวัดจันทบุรี) 

คำตอบ
เมื่อวันที่ 25 พ.ย. 2546

Posted Date : ๒๕ พฤศจิกายน ๒๕๔๖

<< BACK

 


หน้าแรก