คำถาม 
โดย : คนเดิมรบกวนถาม ถามเมื่อวันที่ 24 พ.ย. 2546

สมาธิแบบคริสต์

กระผมมีเพื่อนเขาฝากถามครับ 
1. เขาเป็นคริสต์ แต่เขาชอบทำบุญและนั่งสมาธิภาวนาพุทโธแต่พึ่งฝึกนั่งวันละนิด เคยดูถ่ายทอดสดของหลวงตาในเว็บไซด์นี้ครับ เขาขอเรียนถามว่าการทำสมาธิของคริสต์ กับของศาสนาพุทธเรา แตกต่างกันอย่างไร 
2. ทำไมบางคนเราเห็นเขาแล้วเรารู้สึกดีกับเขา บางคนเห็นแล้วกลับไม่ชอบหน้ากันครับ เพราะผมเป็นคนโกรธง่าย กำลังพยายามฝึกข่มไปตามหลวงตาสอนครับ

  

คำตอบ
เมื่อวันที่ 25 พ.ย. 2546

เรียนคุณใช้นาม "คนเดิมรบกวนถาม"

1. สำหรับปัญหาข้อแรก หลวงตาท่านเคยตอบปัญหานี้ไว้เมื่อครั้งท่านเดินทางไปประเทศอังกฤษ ณ กรุงลอนดอน 
เมื่อวันที่ ๑๓ มิถุนายน พ. ศ. ๒๕๑๗  คุณสามารถกดอ่านได้ที่ 
http://www.luangta.com/upload/ThammaBook/content/20030127003116.doc
ผู้ถาม          :     "วิธีทำสมาธิของพระเยซู(Jesus Christ) กับของพระพุทธเจ้า ต่างกันหรือเหมือนกันอย่างไร?"

หลวงตา      :     "ศาสนาทุกศาสนาสอนให้คนเป็นคนดี อาจารย์ไม่อาจเอื้อมเอาพระเยซูกับพระพุทธเจ้ามาชกมวยแชมเปี้ยนกันบนเวที เพราะศาสนาไม่มีอะไรจะทะเลาะและตีกัน แต่คนเราที่เป็นบริษัทของคริสต์และพุทธต่างหาก     ชอบทะเลาะตีกันด้วยฝีปาก เพราะดื้อ ไม่ปฏิบัติตามศาสนานั้น ๆ ศาสดาองค์ใดสอนไว้อย่างไรก็เหมือนท่านให้ทางเราเดินดีแล้วด้วยเมตตา เราควรจะระลึกถึงคุณของท่าน เปรียบเหมือนเราจะเดินทางไปสู่จุดหนึ่ง เรา ตั้งต้นเดินทางที่เรารู้ แล้วไปถึงที่เราไม่รู้เราก็ถามผู้รู้ ๆ   ก็บอกทางให้ เราก็เดินไปอีก พอถึงที่ไม่รู้ ก็ถามไปอีก  จนกระทั่งถึงจุดหมายปลายทาง ผู้ที่บอกทางให้เราทุกคนมีบุญคุณแก่เรา  เราควรจะระลึกถึงคุณท่าน

พระพุทธเจ้าท่านเห็นประจักษ์ในธรรม และวิธีการฝึกของท่าน ดังนั้นท่านจึงไม่จนมุมแก่พุทธบริษัท ท่านพร้อมที่จะช่วยโลกให้พ้นจากอันตรายต่าง ๆได้ด้วยพระอุบายที่เต็มไปด้วยพระเมตตา รวมความแล้วทั้งสองศาสนาท่านสั่งสอนคนให้ดีด้วยเมตตาเหมือนกัน จะ  ต่างกันอยู่บ้างก็ความสามารถที่อาจแหลมคมต่างศาสนาจึงอาจมีความหยาบละเอียดต่างกันไปตามผู้เป็นเจ้าของศาสนา"

2. สำหรับคำถามข้อสองของคุณ หลวงตาท่านเคยเมตตาตอบไว้ตามวัน เวลา สถานที่ดังกล่าวเช่นกัน และกดอ่านได้ตาม url ที่แจ้งไว้เหมือนกัน
ผู้ถาม          :     ทำไมเราพบคนบางคนใหม่ ๆ เราก็รู้สึกชอบหรือไม่ชอบเขาแล้ว เขายังไม่ได้มาทำอะไรให้เรา?

หลวงตา      :     คนที่ไม่ใช่คนตายย่อมมีความรู้สึกดังนั้น ฉะนั้น เป็นความรู้สึกธรรมดา ที่เห็นอะไรก็ชอบ หรือไม่ชอบ ไม่เป็นการเสียหายอะไร เพราะนิสัยมนุษย์ที่มีกิเลสก็  มักจะเป็นเช่นนั้นแทบทั้งโลก นอกจากไม่แสดงออกก็ราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น

ถ้าเราเกิดความรู้สึกโกรธใครไม่ชอบใคร เราเห็นโทษในตัวเราเองว่ามันทำให้เราไม่สบายใจ เราก็ระงับความรู้สึกอันนั้นเสียจึงจะตรงจุดที่หมาย ก่อนอื่นต้องพิจารณาโทษของตนเอง หรือโทษที่จะเกิดหรือเกิดแก่ตนเอง แล้วสลัดความรู้สึกอันนั้นเสีย เมื่อเริ่มการปฏิบัติธรรมะนั้น ตอนแรกยังไม่เข้าใจตนเอง เราได้แต่รู้สึกต่อสิ่งภายนอก และมีชอบ ไม่ชอบ 

เราเริ่มสังเกตดูคนอื่น คนโกรธแสดงกิริยาโกรธอย่างนั้น ๆ เราไม่ชอบ เราก็พยายามไม่ทำอาการอย่างนั้นต่อคนอื่น ทำเช่นนี้เราเริ่มเข้าใจจิตใจของเราเอง ทำบ่อย ๆ ความรู้สึกจะไวขึ้น ความรู้จักตัว รู้จักจิตของเราก็จะเร็วขึ้น พอเราได้รับการแสดงออกจากผู้อื่นอย่างไรก็รู้ตัวและระงับอารมณ์ได้ ทำดังนี้ก็จะถอดถอนกิเลสออกได้ทีละน้อย ระงับทุกข์ และความร้อนใจตนเองได้ ความไม่พอใจในอะไร ๆ นั้นเป็นความทุกข์ทั้งสิ้นดังธรรมท่านสอน แต่คนเรามักฝืนธรรม คือ ความถูกต้องดีงาม จึงมักเจอทุกข์กันเสมอโดยไม่เข็ดหลาบ ความไม่เข็ดหลาบจึงทำให้เจออยู่บ่อย ๆ 
 
                                    ____________________


<< BACK

 


หน้าแรก