คำถาม 
โดย : เด็กขยันภาวนา ถามเมื่อวันที่ 21 ต.ค. 2546

นั่งสมาธิแล้วปวดหัว

1. ขณะลูกเริ่มนั่งสมาธิเกิดอาการปวดหัว มันเกร็ง ๆ ไปทั้งหัว แต่จิตลูกสงบนิ่ง รู้ว่าปวดตรงนั้น แล้วก็ค่อยออกพิจารณาเวทนาไป อย่างนี้ถูกต้องประการใดหรือไม่เจ้าค่ะ
2. ลูกไปอ่านเจอในหนังสือธรรมะคู่แข่งขัน เป็นหนังสือที่หลวงตาเขียนเมื่อพ.ศ.2501 พอดีลูกไปเปิดเจอในเว็บไซด์หลวงตาเจ้าค่ะ เล่มนี้ดีมาก ๆ มีคำถาม-คำตอบที่หลวงตาเมตตาเดินทางไปประเทศอังกฤษ ลูกไปอ่านเจอที่หลวงตาตอบปัญหา เกี่ยวกับการนั่งสมาธิแล้วปวดหัว มีอาการตึงที่หน้าผาก หลวงตาตอบว่า ถ้าทำแรงย่อมปวดหัวได้ กระแสจิตมีความสำคัญมาก เพ่งให้แรงก็ได้ เบาก็ได้ สิ่งที่ถูกเพ่งย่อมแสดงผลหนักเบาไปด้วย ลูกจึงนำมาพิจารณาปฏิบัติตาม ถ้าลูกนั่งแล้วเกิดปวดหัว ลูกพิจารณาเป็นเวทนา ดูตรงที่ปวด แต่ไม่ได้พิจารณาเพื่อให้หายปวด แต่พิจารณาให้เห็นความจริงในเวทนาที่เกิด อย่างนี้ถูกหรือไม่อย่างไรเจ้าค่ะ
3. แต่ขณะจิตที่เกิดอาการปวดหัวนั้น จิตไม่ส่ายแส่ไปไหน มันนิ่งแน่วสงบ เพียงแต่รับรู้ว่าเกิดปวด ไม่ได้ทุรนทุรายไปกับเวทนานั้น

เมื่อวานได้ดูถ่ายทอดสดเทศน์ของหลวงตา ได้ชมหลวงตาเมตตาตอบปัญหา ไม่เคยเห็นองค์ไหนตอบได้ทันทีที่ถามจบ และคำตอบก็สุดยอด ลูกขอน้อมกราบสุดชีวิตจิตใจเจ้าค่ะ

คำตอบ
เมื่อวันที่ 23 ต.ค. 2546

เรียนคุณใช้นาม เด็กขยันภาวนา
หลวงตาเมตตาแสดงธรรมตอบปัญหาภาวนาของคุณให้
เช้าวันที่ ๒๓ ตุลาคม ๒๕๔๖ ณ วัดป่าบ้านตาด  ดังนี้

โยม            :     ถาม ข้อที่ ๑ ขณะลูกเริ่มนั่งสมาธิ เกิดอาการปวดหัว มันเกร็งๆ ไปทั้งหัว แต่จิตลูกสงบนิ่ง รู้ว่าปวดตรงนั้น แล้วก็ 
ค่อยออกพิจารณาเวทนาไป อย่างนี้ถูกต้องประการใดหรือไม่เจ้าคะ

หลวงตา     :     พิจารณาถูกต้อง ไม่เป็นไร พิจารณาให้เอาความรู้เอาสติไปดูกับทุกขเวทนา มันก็เป็นสัจธรรม แล้วมันเคลื่อนไหวไปยังไง 
มันจะหนักขึ้นหรือจะเบาลง ก็ให้รู้มันทางสติ ถ้าเราจะแยกเป็นทางด้านปัญญา ความเจ็บปวดนี้ก็เป็นทุกขเวทนา เป็นทุกขสัจ ร่างกายของเราก็เป็นอริยสัจอันหนึ่ง ชาติปิ ทุกฺขา ก็คือร่างกายนี้เป็นทุกขสัจ พิจารณาแยกไปไหนมันก็ได้ เขารู้อยู่ที่เจ็บปวดอย่างนั้นหรือ

โยม            :     เขาปวดหัวแล้วก็เอาไปพิจารณาเป็นเวทนา 

หลวงตา     :     เออ นั่นละ ให้สติอยู่กับนั้นก็ได้ มันปวดหัว เราภาวนาอะไร เราก็เอาคำภาวนาไปอยู่กับที่ปวดก็ได้ ใช่ไหมล่ะ เช่น พุทโธ ๆ ก็อยู่ที่เจ็บที่ปวดนั้นก็ได้ เข้าใจ ?

โยม            :    ถามข้อ ๒ ลูกไปอ่านเจอในหนังสือธรรมคู่แข่งขัน เป็นหนังสือที่หลวงตาเขียนเมื่อ พ.ศ.๒๕๐๑ พอดีลูกไปเปิดเจอในเว็บไซต์หลวงตาเจ้าค่ะ เล่มนี้ดีมาก ๆ มีคำถามคำตอบที่หลวงตาเมตตาเดินทางไปประเทศอังกฤษ ลูกไปอ่านเจอที่หลวงตาตอบปัญหา เกี่ยวกับการนั่งสมาธิแล้วปวดหัว มีอาการตึงที่หน้าผาก หลวงตาตอบว่าถ้าทำแรงย่อมปวดหัวได้ กระแสจิตมีความสำคัญมาก เพ่งให้แรงก็ได้ เบาก็ได้ สิ่งที่ถูกเพ่งย่อมแสดงผลหนักเบาไปด้วย ลูกจึงนำมาพิจารณาปฏิบัติตาม ถ้าลูกนั่งแล้วเกิดปวดหัว ลูกพิจารณาเป็นเวทนา ดูตรงที่ปวด แต่ไม่ได้พิจารณาเพื่อให้หายปวด แต่พิจารณาให้เห็นความจริงในเวทนาที่เกิด อย่างนี้ถูกต้องหรือไม่อย่างไรเจ้าคะ

หลวงตา     :     ถูกต้อง ให้ความรู้อยู่กับนั้นแหละ หรือเราจะเอาคำภาวนาไปไว้ที่มันเจ็บมันปวดก็ได้ อย่างที่พูดแล้วนะไม่ผิด อยู่ในองค์อริยสัจ

โยม           :     ถามข้อ ๓ แต่ขณะจิตที่เกิดอาการปวดหัวนั้น จิตไม่ส่ายแส่ไปไหน มันนิ่งแน่วสงบ เพียงแต่รับรู้ว่าเกิดปวด ไม่ได้ทุรนทุรายไปกับเวทนานั้น เมื่อวานได้ดูการถ่ายทอดสดเทศน์ของหลวงตา ได้ชมหลวงตาเมตตาตอบปัญหา ไม่เคยเห็นองค์ไหนตอบได้ทันทีที่ถามจบ และคำตอบก็สุดยอด ลูกขอน้อมกราบสุดชีวิตเจ้าค่ะ

หลวงตา     :     อันนี้เราตอบไปแล้ว เราก็ลืมแล้วแหละนะ สุดยอดก็ให้เป็นผลของผู้ฟังไป ผู้ตอบนี้ไม่ได้ผลอะไรแหละ ลืมหมดแล้ว เอ้าว่าไป

โยม           :     อันนี้ขอขยายอันนี้ครับ ที่เขาบอกเขาดูการถ่ายทอดสดเทศน์หลวงตานี้ ทางอินเตอร์เน็ตนี้ครับ เขาว่าหลวงตาตอบปัญหาไม่เคยเห็นองค์ไหนตอบได้ทันทีที่ถามจบ คงจะหมายความว่าหลวงตาได้คิดคำตอบไว้ก่อนหรือเปล่า 

หลวงตา     :     ก็คิดเสียก่อนถึงตอบ จะคิดปัจจุบันก็ได้ คิดมาจากอดีตก็ได้ใช่ไหมล่ะ เรื่องคิดคิดปุ๊บปั๊บตอบทันที ไม่มีความคิดออกมาก่อนตอบไม่ได้ ออกเป็นเสียงมาไม่ได้ แต่เราพูดธรรมดาก็ว่าความคิดนี้ต้องคิดไว้ไตร่ตรองเสียก่อน ถ้าตอบในปัจจุบันนั้นเรียกว่าไม่คิด ธรรมดาเป็นอย่างนั้น นี่หลักใหญ่ใช่ไหมล่ะ แล้วก็ถามเกี่ยวกับเรื่องคิดเรื่องนั้นเรื่องนี้ ให้เขาไปตอบเองหาคิดเองเถอะ ใครไม่ติดขัดละอยากคิด เท่านั้นละเราขี้เกียจตอบ บอกแล้วนี่ ท่านเจ้าคุณท่านยังถามเรา เรายังไม่ลืมได้พูดเสมอ เพราะไปที่ไหนมีแต่ให้เราเทศน์ ท่านไม่เคยเทศน์ไปไหนมีแต่เราทั้งนั้นแหละเทศน์ เอาไปเทศน์หมดที่ไหน ยิ่งเขามาช่วยโบสถ์ของท่าน ไปกู้เงินมาจากมหามกุฏฯ ลูกศิษย์ลูกหา เพราะท่านเป็นเจ้าคณะภาคจังหวัดต่าง ๆ ทั่วภาคอีสานมาหมด เดี๋ยวจังหวัดนั้นมาเดี๋ยวจังหวัดนี้มา มาทอดผ้าป่า จังหวัดไหนมาที่ไหนมาก็ตามต้องเราโดยถ่ายเดียวเป็นผู้เทศน์ ท่านมาเอาเลยนะท่านไม่ให้คนอื่นคนใดมา เพราะเราก็มียาแก้อยู่ในย่ามเรานี้ ท่านมาเราแก้อย่างนั้นอย่างนี้ไม่ไปเสียท่านเลยมาเอง อย่างที่เขาถ่ายรูป ๘-๙ องค์ เห็นไหม เราผอม นั่น เราไข้อยู่นะ 

ไปไหนมีแต่เทศน์ พอเทศน์แล้วก็แหย่เขาละ เอ้า ใครมีปัญหาอะไรถามมาสนทนากัน พอเขาถามปั๊บ เอ้า บัวแก้ แน่ะ อย่างนี้ตลอด ทีนี้นานแสนนานท่านก็ถามละซิไปอยู่ ๒ ต่อ ๒ อยู่เฉย ๆ ก็บัว นั่งอยู่ด้วยกันดูหน้ากัน บัว ที่เขาถามปัญหามาตลอดมากต่อมาก เธอตอบนี้ ถ้าใครถามมาปั๊บถามตรงไหนปั๊บตอบปั๊บ ๆ เธอได้คิดไว้ไหมว่างั้น เราก็เฉย ยิ้มๆ แล้วเฉยเสีย นี่มันไม่ใช่หนหนึ่งหนเดียวมันมากต่อมากมาอย่างนี้ ดูเธอตอบปัญหาตอบอย่างนี้ทั้งนั้น พอถามปั๊บตอบเลย ๆ ๆ นี่เธอได้คิดไว้บ้างไหม เราก็ยิ้มเราไม่ตอบเฉย สุดท้ายท่านก็รวบวุธเอาเลย ขึ้นเด็ด ๆ เสียด้วย ไม่คิด ถ้าคิดตอบไม่ทัน ท่านเลยตอบเอง เราก็เลยเฉยไปเลยจนกระทั่งท่านตายจาก ไม่คิด ขึ้นเลย ถ้าคิดตอบไม่ทันท่านว่าอย่างนั้นละ 

(ทีมงานอนุโมทนาในธรรมภาวนาของคุณมา ณ ที่นี้ และโปรดหาอ่านธรรมะหลวงตาเพิ่มเติมในเว็บไซด์นี้ต่อไป)

<< BACK

 


หน้าแรก