คำถาม 
โดย : พิสิษฐ์ ถามเมื่อวันที่ 11 ก.ย. 2546

พิจารณาเรื่องจิตส่งออกเป็นทุกข์

ผมปฏิบัติธรรมมาพอสมควร โดยได้นำธรรมที่หลวงตาเทศน์และตอบปัญหามาปฏิบัติ ในขณะนี้ก็มีทั้งธรรมและสิ่งอัศจรรย์เกิดขึ้นในจิต ดังนี้
1. ได้เห็นหยดน้ำหยดลงบนพื้นน้ำ และพื้นน้ำได้กระจายวงออก แต่ผมไม่ได้ตามดูไปจนถึงที่สุด เพราะในขณะนั้นก็มีความคิดผุดขึ้นว่า ธรรมของพระพุทธเจ้าเพียงหยดเดียว ก็กระจายออกไปได้กว้างขวาง แล้วก็หายไป 

2. เคยรู้สึกว่าร่างกายเน่า มีน้ำเหลืองไหล และน่าขยะแขยง วันต่อมาก็ได้รู้สึกเช่นนี้กับเนื้อสัตว์ จึงเกิดความคิดผุดขึ้นว่าผมกำลังกินของบูดเน่าอยู่ จากนั้นจึงได้รู้ว่ารูปและนามของคนและสัตว์ไม่ต่างกัน ยกเว้นจิต และรู้ว่ากินเพื่อให้ร่างกายนี้ดำรงอยู่ได้เท่านั้น 

3. เคยคุยกับเพื่อนเรื่องพระธาตุ ซึ่งเพื่อนได้มา เวลานั่งสมาธิก็เลยเกิดความอยากได้ขึ้นมาบ้าง แต่จิตบอกว่าไม่เอาเพราะเป็นวัตถุ จากนั้นจึงรวมจิตขอธรรมจากพระพุทธเจ้า สักพักก็ได้ธรรมว่า ให้เข้าใจธรรมชาติ ให้เข้าใจความเป็นจริง และอย่ายึดติด ต่อมาได้รู้ว่าความเป็นจริงคืออริยสัจสี่ โดยในปัจจุบันได้พิจารณาเรื่องจิตส่งออกเป็นทุกข์ โดยกำหนดว่า เห็นก็สักแต่ว่าเห็น ได้ยินก็สักแต่ว่าได้ยิน ได้กลิ่นก็สักแต่ว่าได้กลิ่น ได้รสก็สักแต่ว่าได้รส สัมผัสก็สักแต่ว่าสัมผัส รู้ก็สักแต่ว่ารู้ ให้ทำจิตให้พอดี เป็นกลาง

4. มีอยู่ครั้งหนึ่งนั่งสมาธิแล้วรู้สึกว่าจิตมีพลัง จึงได้กำหนดให้จิตขยับร่างกายท่อนบนดู ทำได้สักพักก็รู้ว่าไม่เป็นประโยชน์ แล้วพลังก็หายไป

5. เคยเกิดแผ่นดินถล่มทลายในจิต แต่ก็ไม่ได้ตื่นเต้นไปกับสิ่งนั้น แค่รับรู้ว่าเกิดความสนั่นหวั่นไหวอยู่ข้างใน แล้วก็หายไป

ผมเคยสังเกตุตัวเองว่าไม่มีความต่อเนื่องในการพิจารณาเรื่องใดเลย ถ้าอยากจะหยิบเรื่องใดขึ้นมาพิจารณาจะทำไม่ได้ จะเกิดความอึดอัดขัดแย้ง ต้องปล่อยให้เรื่องมันเกิดขึ้นมาเองถึงจะนำมาพิจารณาได้ ตอนนี้ก็เลยไม่มีความชำนาญในเรื่องใดเลย ขอความกรุณาหลวงตาได้โปรดชี้แนะแนวทางในการปฏิบัติต่อไป 

Sep1146  

คำตอบ
เมื่อวันที่ 13 ก.ย. 2546

เรียนคุณพิสิษฐ์
หลวงตาเมตตาแสดงธรรมตอบปัญหาผลการเจริญภาวนาของคุณ
เมื่อเช้าวันที่ ๑๓ กันยายน ๒๕๔๖ ณ วัดป่าบ้านตาด ดังนี้

โยม            :     ผมปฏิบัติธรรมมานานพอสมควร โดยได้นำธรรมะที่หลวงตาเทศน์และตอบปัญหามาปฏิบัติ ในขณะนี้ก็มีทั้งธรรมและสิ่งอัศจรรย์เกิดขึ้นในจิต ดังนี้
๑.ได้เห็นหยดน้ำหยดลงบนพื้นน้ำ และพื้นน้ำได้กระจายขยายวงออก แต่ผมไม่ได้ตามดูไปจนถึงที่สุด เพราะในขณะนั้นก็มีความคิดผุดขึ้นว่า ธรรมะของพระพุทธเจ้าเพียงหยดเดียว ก็กระจายออกไปได้กว้างขวาง แล้วก็หายไป 

หลวงตา     :     เอาละ เราตอบตรงนี้ถูกต้องแล้วตรงนี้นะ กระจายแล้วหายไปคือหายไปเป็นน้ำด้วยกันนั่นแหละ เข้าใจไหม เอ้า ว่าไป

โยม            :     ข้อ ๒ เคยรู้สึกว่าร่างกายเน่า มีน้ำเหลืองไหล และน่าขยะแขยง วันต่อมาก็ได้รู้สึกเช่นนี้กับเนื้อสัตว์ จึงเกิดความคิดผุดขึ้นว่าผมกำลังกินของบูดเน่าอยู่ จากนั้นจึงได้รู้ว่ารูปและนามของคนและสัตว์ไม่ต่างกัน ยกเว้นจิต และรู้ว่ากินเพื่อให้ร่างกายนี้ดำรงอยู่ได้เท่านั้น

หลวงตา     :     อันนี้ก็ถูก ให้พิจารณาอย่างนั้น อย่าไปตื่นนอกลู่นอกทาง ถ้าให้รู้ตามนี้แล้วก็เป็นอันว่าถูกต้องตามอรรถตามธรรม กินไปท่านไม่ห้าม กินไปเถอะอย่างนั้น กินกระทั่งถึงวันตายเลยนะว่างั้น เอ้า มันต้องอย่างนั้นซิจึงเรียกว่า ถามว่าตอบปัญหาเข้าใจไหม มันต้องมีอย่างนั้น เอ้า ว่าไป

โยม            :     ข้อ ๓ ครับ เคยคุยกับเพื่อนเรื่องพระธาตุ ซึ่งเพื่อนได้มา เวลานั่งสมาธิก็เลยเกิดความอยากได้ขึ้นมาบ้าง แต่จิตบอกว่าไม่เอาเพราะเป็นวัตถุ จากนั้นจึงรวมจิตขอธรรมะจากพระพุทธเจ้า สักพักก็ได้ธรรมะว่า ให้เข้าใจธรรมชาติ ให้เข้าใจความเป็นจริง และอย่ายึดติด ต่อมาได้รู้ว่าความเป็นจริงคืออริยสัจสี่ โดยในปัจจุบันได้พิจารณาเรื่องจิตส่งออกเป็นทุกข์ โดยกำหนดว่า เห็นก็สักแต่ว่าเห็น ได้ยินก็สักแต่ว่าได้ยิน ได้กลิ่นก็สักแต่ว่าได้กลิ่น ได้รสก็สักแต่ว่าได้รส สัมผัสก็สักแต่ว่าสัมผัส รู้ก็สักแต่ว่ารู้ ให้ทำจิตให้พอดี เป็นกลาง

หลวงตา     :     อันนี้ก็ถูกต้องอยู่แล้วนะ เท่านั้นละก็ไม่มีแง่อะไรไป เพราะอันนี้มันเป็นอุบาย เป็นความรู้สึกของตัวเองที่จะแตกแขนงไปในแง่ต่าง ๆ เมื่อเจ้าของไม่หลงความรู้ ความเห็นของตัวเองแล้วก็ถูกต้องแล้ว นี่ฟังว่าไม่หลงก็รู้ไปตามธรรมดา ไม่ได้ตำหนิตรงนั้นตรงนี้ขึ้นมา

โยม            :     ข้อ ๔ ครับ มีอยู่ครั้งหนึ่งนั่งสมาธิแล้วรู้สึกว่าจิตมีพลัง จึงได้กำหนดให้จิตขยับร่างกายท่อนบนดู ทำได้สักพักก็รู้ว่าไม่เป็นประโยชน์ แล้วพลังก็หายไป

หลวงตา      :     อันนี้ไม่ตอบขี้เกียจตอบ

โยม            :     ข้อ ๕ เคยเกิดแผ่นดินถล่มทลายในจิต แต่ก็ไม่ได้ตื่นเต้นไปกับสิ่งนั้น แต่รับรู้ว่าเกิดความสนั่นหวั่นไหวอยู่ข้างในแล้วก็หายไป 

หลวงตา     :      เอาละ อันนี้มันบ้าภายใน มันหายไปแล้วก็ดีละ เรียกว่า หายบ้าไปพร้อม เอาละ แค่นี้พอ

โยม            :     ผมเคยสังเกตตัวเองว่าไม่มีความต่อเนื่องในการพิจารณาเรื่องใดเลย ถ้าอยากจะหยิบเรื่องใดขึ้นมาพิจารณาจะทำไม่ได้ จะเกิดความอึดอัดขัดแย้ง ต้องปล่อยให้เรื่องมันเกิดขึ้นมาเองถึงจะนำมาพิจารณาได้ ตอนนี้ก็เลยไม่มีความชำนาญในเรื่องใดเลย ขอความกรุณาหลวงตาได้โปรดชี้แนะแนวทางในการปฏิบัติต่อไป (พิสิษฐ์)

หลวงตา     :     ก็ต้องคิดบ้างซี การคิดหรือการต่อสู้ต้องมีการฝืนกัน มันไม่อยากคิด ถ้ามันไม่อยากคิด จะเป็นจิตสงบเพื่อความผาสุกเย็นใจในระยะนั้นก็ได้ ถ้าไม่อยากคิดอยากปรุงอะไรเลยในสิ่งที่ดี แต่เรื่องความคิดในสิ่งภายนอก ลิงร้อยตัวก็สู้ไม่ได้ มันเร็วกว่าลิงเหล่านี้ใช้ไม่ได้ เข้าใจไหม 

(ทีมงานอนุโมทนาในความตั้งใจในธรรมมา ณ ที่นี้)

<< BACK

 


หน้าแรก