|
/SCRIPT LANGUAGE="javascript1.1" page="dhamma_online";
/SCRIPT LANGUAGE="javascript1.1" src="http://truehits1.gits.net.th/data/e0008481.js">
|
|
|
คำถาม
|
|
โดย : อนุสร อเมริกา ถามเมื่อวันที่
6 ก.ย. 2546 |
บริกรรมพุทโธจนเกิดความซาบซ่าน ร่างกายสั่น เป็นอาการของอะไร
กราบนมัสการหลวงตามหาบัวครับ การภาวนาโดยการบริกรรมพุทโธ ในช่วงแรกจิตก็สงบเกิดองค์แห่งสมาธิทั้ง ๕ คือ วิตก วิจารณ์ ปีติ สุข และเอกัคตา แต่มาช่วงหลังนี้ครับรู้สึกว่าพอคำภาวนาพุทโธหายไปไม่ปรากฏองค์แห่งสมาธิทั้ง ๕ เลยครับ รู้สึกว่าเป็นกลางๆและกำหนดดูตามสภาวะจิตที่เกิดขึ้นครับ กราบเรียนถามองค์หลวงตาดังนี้ครับ ๑ . การที่ปฏิบัติจิตตภาวนาเมื่อสมาธิจะเกิดขึ้นจะต้องมีองค์แห่งสมาธิครบทั้งห้าหรือเปล่าครับ ๒ . การที่คำบริกรรมพุทโธหายไปแล้วจิตนิ่งเป็นกลางๆ กระผมปฏิบัติมาถูกทางหรือเปล่าครับและควรปฏิบัติต่อไปอย่างไรครับ ๓ . เมื่อปฏิบัติมาระยะหนึ่งมีความรู้สึกว่าเกิดความซาบซ่านไปทั้งกายบางครั้งจนร่างกายสั่นเลยครับ ไม่ทราบว่าเป็นอาการของอะไรครับ อาการนี้เป็นติดต่อกันแม้ขณะเดิน นั่ง ยืน และนอน เมื่อกำหนดขึ้นมาอาการนี้จะปรากฏขึ้นครับ กราบนมัสการองค์หลวงตาช่วยเมตตาชี้แนะแก้ไขเพื่อความก้าวหน้าต่อไปด้วยครับ
Sep0646
|
คำตอบ |
|
เมื่อวันที่ 28 ส.ค. 2546 |
เรียนคุณอนุสร หลวงตาได้เมตตาแสดงธรรมตอบปัญหาธรรมของคุณให้ เมื่อวันที่ ๒๘ สิงหาคม ๒๕๔๖ ณ วัดป่าบ้านตาด ดังนี้
หลวงตา : อย่าเป็นบ้า ตอบแล้ว เราภาวนาอะไรเป็นหลัก ให้ถือนั้นเป็นหลัก อันนี้เป็นกิ่ง ก้าน สาขา ดอก ใบ ในระยะนี้ควรจะรู้จะเห็นสิ่งนี้มันก็เห็น เวลาผ่านไปมันก็ไม่เห็น เช่น เราผ่านมาจากบ้านตาดเข้ามาวัดนี้ เราเห็นสิ่งต่าง ๆ มันก็ผ่านมา ๆ ก็มาอยู่วัดป่าบ้านตาด มาเห็นวัดป่าบ้านตาด ทำไมวัดป่าบ้านตาดไม่เป็นเหมือนสายทางที่เราผ่านมานี้ก็บ้าอีกแบบหนึ่งเข้าใจไหม ความเห็นความรู้นี้มันผ่านไปเป็นธรรมดาของมัน แต่หลักใหญ่ที่เราจับไว้เช่น ภาวนา บทธรรมบทใด อันนี้ถือเป็นหลักไว้ คำว่า ปีติทั้ง ๕ ท่านมีไว้ไม่ใช่ว่าจะไปที่ไหนเอาปีติทั้ง ๕ นี้แขวนคอไป ข้าปีติทั้ง ๕ นะ ว่าอย่างนี้ไม่ได้นะ นอนก็ปล่อยไม่ได้จะขาดปีติทั้ง ๕ นี้บ้าใหญ่โต เอ้า เอาละ ไว้ก่อน
โยม : ข้อสอง การที่คำบริกรรมพุทโธหายไปแล้วจิตนิ่งเป็นกลางๆ กระผมปฏิบัติมาถูกทางหรือเปล่าครับและควรปฏิบัติต่อไปอย่างไรครับ
หลวงตา : ถูกต้อง เอ้า เวลามันนิ่งเป็นกลาง ๆ ก็ให้เป็นกลาง ๆ เสีย ทีนี้ความเป็นกลาง ๆ นั้น พอได้จังหวะของมันแล้วมันจะเคลื่อนไหวออกมา เราก็นึกบริกรรมได้ต่อไป ถ้าเรามีความสามารถที่จะนึกต่อไปก็นึกต่อไปได้ไม่เสียหายอะไร นี่เป็นธรรมดา นึกบริกรรมคำบริกรรมนี่นะ ให้พี่น้องทั้งหลายทราบไว้ เช่นอย่างบริกรรม พุทโธ ๆ นี้ เวลาจิตละเอียดเข้าไปจริง ๆ แล้วคำบริกรรมกับใจนี่นะ คำว่า พุทโธ กับใจนี้เข้าเป็นอันเดียวกันแล้วบริกรรมไม่ได้นะ มันจะไม่ออกเลย มีแต่ความรู้ล้วน ๆ อยู่ในนั้นละเอียดลออ และนึกคำบริกรรมไม่ออก เงียบอยู่นั้นเสีย ให้อยู่กับความละเอียดของจิต รู้เด่นอยู่ในจิต ไม่ต้องมาเกี่ยวข้องกับคำบริกรรม
ทีนี้พอมันเคลื่อนออกมาจากนั้นแล้วจิตที่มันนิ่งมันเข้าไปอยู่ในนั้นของมัน พอมันเคลื่อนออกมาแล้วเราก็จับคำบริกรรมเข้าติดกันได้ต่อไป ให้พากันจำเอาไว้อย่างนั้นนะ นี่ละการบริกรรมมีหลายแบบหลายฉบับ เอ้า พูดออกมาซิเราพูดจริง ๆ นี่นะ เปิดให้โลกฟังอยู่ตลอดเวลา นี้เราจวนจะตายแล้วเราบอกแล้ว ใครจะมาพูดอย่างเราว่าอย่างนี้เลยนะ ดังที่เราผ่านมานี้ก็ยังไม่เห็นในปัจจุบันจะพูดอย่างนี้นะ การพูดอย่างนี้เราไม่ได้พูดเพื่อโอ้เพื่ออวด พูดถอดออกมาจากความรู้ที่ไม่เคยรู้เคยเห็น มันเป็นขึ้นมาเห็นขึ้นมา สิ่งใดที่ควรจะพูดได้หนักเบามากน้อยเราก็พูด สิ่งใดไม่ควรพูดก็เก็บไว้เสีย ก็อย่างว่าแหละ เข้าใจไหม จะเป็นบ้ากับเขาทุกอย่างได้เหรอ
ถ้าสิ่งใดที่ควรจะเปิดผึงเลยทันที ธรรมะยิ่งเป็นธรรมะขั้นสูงแล้วผางทันทีเลย ยังไม่ได้ติดเครื่องนะเป็นรถยนต์ และยังไม่ได้เหยียบเบรกมันไปเลย คือมันพุ่งแรงมันรับกันกับทางโน้น นี่ละเรื่องธรรมภายนอกกับธรรมภายในเข้าประสานกัน พอปั๊บนี้มันพุ่งรับกัน เพราะฉะนั้นอย่างดุเดือดทันทีทันใดก็มี อย่างธรรมดาก็มี อย่างนิ่งเฉยก็มี ไม่ควรพูดไม่พูด ควรจะพูดหนักเบามากน้อยก็พูด ควรจะออกเต็มเหนี่ยวก็ออก นี้เปิดให้พี่น้องทั้งหลายฟังว่า เอ้า นักภาวนามาซิน่ะ ถึงขั้นใดที่ควรจะพูดจะเปิดทันทีเลยเข้าใจไหม ก็มันครอบโลกธาตุแล้วนี่เราคุยที่ไหน เราพูดอย่างนี้เพื่อพี่น้องทั้งหลายได้เห็นกำลังใจของตัวเองกับพุทธศาสนาเป็นยังไง
โยม : ข้อสาม เมื่อปฏิบัติมาระยะหนึ่งมีความรู้สึกว่าเกิดความซาบซ่านไปทั้งกายบางครั้งจนร่างกายสั่นเลยครับ ไม่ทราบว่าเป็นอาการของอะไรครับ อาการนี้เป็นติดต่อกันแม้ขณะเดิน นั่ง ยืน และนอน เมื่อกำหนดขึ้นมาอาการนี้จะปรากฏขึ้นครับ กราบนมัสการองค์หลวงตาช่วยเมตตาชี้แนะแก้ไขเพื่อความก้าวหน้าต่อไปด้วยครับ (จาก อนุสร สหรัฐอเมริกา)
หลวงตา : เออ นั่นละ เรื่องปีติมันมีเป็นธรรมดา มันมีเป็นกาลเป็นเวลา เวลามันมีมันก็ให้ทราบว่ามันมี เวลาผ่านไปอย่าเป็นบ้ากับมัน อยากให้มันมีอยู่อย่างนั้นตลอดไป นี้คือบ้าปีติ เข้าใจไหม บ้าภาวนาแบบนี้เข้าใจแล้วเหรอ ก็มีเท่านั้น
(ทีมงานขออนุโมทนาในธรรมภาวนาของคุณมา ณ ที่นี้)
|
|
|