|
/SCRIPT LANGUAGE="javascript1.1" page="dhamma_online";
/SCRIPT LANGUAGE="javascript1.1" src="http://truehits1.gits.net.th/data/e0008481.js">
|
|
|
คำถาม
|
|
โดย : สมาจิต ถามเมื่อวันที่
25 ก.ค. 2546 |
การถาม-ตอบในใจเกิดได้อย่างไร
กราบเรียนหลวงตา กระผมนั่งสมาธิมาเป็นเวลา 20 ปีขาดอาจารย์แนะนำอย่างจิงจังแรกๆ ฟุ้งซ่านจนปัจจุบันสามารถสงบได้จนถึงจุดที่มีความรูสึกตัวหมุน แรกจะตกใจและออกการการนั่งสมาธิหลังจากการนั่งสมาธิมักจะถึงจุดนี้ทุกครั้ง เมื่อเริ่มชินกับความรู้สึกนี้และไม่วิตก ความรู้ว่าตัวหมุนก็ช้าลงแล้วกับพบทุกอย่างว่างเปล่าไม่มีอะไรอีกเลยไม่มีที่ไปแต่กับรู้สึกสงบสุขและพอใจ ต้องการถามหลวงตาในความรู้สึกที่วางเปล่านั้นยังสามารถพบทางอะไรอีกไหม และดำเนินแนวทางอย่างไร บางครั้งมีขอสงสัยทั่วไปและหาคำตอบไม่ได้ แต่ตอนนั่งสมาธิกับได้คำตอบได้อย่างชัดเจน และมีทางออกเสมอเหมือนกับถามตัวเอง และตัวเองตอบเป็นอย่างนี้นานเข้าแม้ไม่นั่งสมาธิก็คิดได้เอง ซึ่งเห็นปัญหาโดยมีที่มาที่ไปโดยเหตุผล ซึ่งคำตอบนั้นกระผมไม่รู้เกิดได้อย่างไรแต่นำไปใช้ก็ได้ผล อยากถามว่าการถามตอบในใจนั้นเกิดได้อย่างไร เพราะบางครั้งคำตอบนั้นเกินปัญญาของเราคล้ายๆมีใครคอยตอบในใจเสมอ ขอขอบพระคุณหลวงตาอย่างสูง
Jul2546
|
คำตอบ |
|
เมื่อวันที่ 27 ก.ค. 2546 |
เรียนคุณสมาจิต หลวงตาได้เมตตาแสดงธรรมตอบปัญหาการเจริญภาวนาของคุณให้ เช้าวันที่ ๒๗ กรกฎาคม ๒๕๔๖ ณ วัดป่าบ้านตาด ดังนี้
หลวงตา : ทางก็คือตัวนั่นละ ตัวว่าง ๆ เข้าใจไหม มันไม่ย้ายออกมาเฉย ๆ ก็ยังไม่มีทางเข้าใจไหม เวลาเรานอนนี้ก็คือเรานอน พอตื่นขึ้นมาก็คือเราตื่น ไปไหนก็เราแหละไป ใช่ไหม เข้าใจแล้วเหรอ อันนั้นละตัวทางมันอยู่ตรงนั้น ตัวฐานนั่นแหละ คือว่าง ๆ แหละ มันไม่เคลื่อนออกเฉย ๆ เข้าใจเหรอ เอ้า มีอะไรว่าไปอีก
โยม : เขาบอก บางครั้งมีข้อสงสัยทั่วไปและหาคำตอบไม่ได้ แต่ตอนนั่งสมาธิกับได้คำตอบอย่างชัดเจน และมีทางออกเสมอ เหมือนกับถามตัวเอง และตัวเองตอบอย่างนี้ นานเข้าแม้ไม่นั่งสมาธิก็คิดได้เอง ซึ่งเห็นปัญหาโดยมีที่มาที่ไปโดยเหตุผล ซึ่งคำตอบนั้นกระผมไม่รู้เกิดได้อย่างไร แต่นำไปใช้ก็ได้ผล ขอถามว่าการตอบคำถามในใจนั้นเกิดได้อย่างไร เพราะบางครั้งคำตอบนั้นเกินปัญญาของเรา คล้าย ๆ มีใครคอยตอบในใจเสมอ
หลวงตา : นี่ถ้าเราจะแยกออกมาพูดก็เรียกว่า กิเลสเกิด ธรรมเกิดในใจเป็นอย่างนี้ นักปฏิบัติเท่านั้นที่จะรู้เรื่องเหล่านี้ได้ดี ดีเป็นลำดับ คือว่ามาเกิดขึ้นในตัวเอง ๆ คิดดูซิถึงขนาดที่ว่า เวลาสติปัญญามันเกรียงไกรพอตัวแล้วนี้ ไม่ได้ตั้งใจว่าจะสังหารกิเลสนะ พอแย็บมาขาดสะบั้นๆ ๆ ไปอย่างนั้น นี่ถึงเวลามันเกรียงไกรเป็นอัตโนมัติอย่างสุดยอดว่างั้นเถอะนะ เป็นอย่างนั้น นี่ก็แบบเดียวกันมันก็เริ่มเป็นแต่นี้ คือความคิดนั้นความคิดฝ่ายกิเลสขึ้นมา ความคิดฝ่ายธรรมรับกัน ๆ ไปเรื่อยๆ ต่อไปก็ละเอียดเข้าไปๆ อย่างที่ว่าหมดโดยสิ้นเชิง กิเลสไม่มีเหลือที่จะมาสร้างปัญหาขึ้น เพราะฉะนั้นจิตของพระอรหันต์จึงไม่มีปัญหา ไม่มีอะไรมาสร้างเลยกิเลสสิ้นแล้ว ถ้ามีมากมีน้อยมันจะบอกของมันอยู่ แสดงว่ากิเลสยังมี ข้อกังวลยังมี ทุกข์ยังมี เข้าใจไหม พอกิเลสตัวสร้างทุกข์ดับไปเท่านั้นหมดโดยสิ้นเชิง คิดก็เป็นขันธ์ล้วน ๆ ไปเสียเข้าใจไหมล่ะ ที่ว่าขันธ์ล้วน ๆ คิดไปธรรมดาไม่สร้างกิเลสเพื่อเป็นฟืนเป็นไฟแก่เรา มันก็ไม่มีอะไร
(ทีมงานขออนุโมทนาในธรรมปฏิบัติและเป็นกำลังใจให้สำเร็จในขั้นภูมิธรรมต่อไป)
|
|
|