|
/SCRIPT LANGUAGE="javascript1.1" page="dhamma_online";
/SCRIPT LANGUAGE="javascript1.1" src="http://truehits1.gits.net.th/data/e0008481.js">
|
|
|
คำถาม
|
|
โดย : วิทยา ถามเมื่อวันที่
25 มิ.ย. 2546 |
ปรารถนาออกบวชแต่มีภาระ
กราบนมัสการองค์หลวงปู่ที่เคารพยิ่ง กระผมขอโอกาสกราบเรียนถามองค์หลวงปู่ด้วยขอรับ ช่วงเวลานี้การปฏิบัติจิตภาวนาของกระผมยังล้มลุกคลุกคลานอยู่ กระผมขอโอกาสเรียนถามองค์หลวงปู่ดังนี้ครับ 1. ขณะที่บริกรรมพุทโธๆ ความรู้เหมือนจิตจะสงบแต่จิตพยายามออกพิจารณาทางปัญญามากกว่า เลยทำให้เกิดปัญหาลักษณะนี้คือ จิตของกระผมที่ยังไม่สงบตัวมากพอแต่จะออกพิจารณาร่างกายตลอด พอจิตกำหนดรู้เห็นตับไตไส้พุง อวัยวะต่างๆของร่างกาย กำหนดความรู้สึกว่าที่นั่งสมาธิอยู่เป็นโครงกระดูกตลอด จนกำหนดดูภาพซากศพต่างๆ แล้วน้อมมาสู่ตนเอง ทุกส่วนที่กระผมกำหนดดูจะเห็นเป็นสิ่งปฏิกูลในขณะเวลานั้น แต่เมื่อจะพิจารณาให้ต่อเนื่องสืบไปจะทำต่อไม่ได้มันทื่อๆ แล้วสุดท้ายต้องกลับมาที่พุทโธอีก แต่พอจิตเริ่มสงบก็จะออกไปทางปัญญาอีก ซึ่งจะเป็นลักษณะนี้วนไปวนมาตลอด จะเป็นในลักษณะกำหนดเห็นแค่แว็บเดียวพิจารณาได้นิดเดียว เมื่อออกจากภาวนากระผมจึงมาพิจารณาเข้าใจดังนี้ว่า สาเหตุที่ออกทางปัญญาแล้วไปต่อไม่ได้เพราะว่า สติและสมาธิซึ่งเป็นพื้นฐานหลักของกระผมยังไม่มั่นคงพอ เมื่อสมาธิไม่แน่น ปัญญาเลยไปได้ไม่นาน แต่ก็พยายามทำให้ควบคู่กับไปทั้งสมาธิและทางปัญญา กระผมเข้าใจเช่นนี้ถูกผิดอย่างไรครับ 2. ขณะที่เสพกามบางครั้งจิตกำหนดดูกำหนดเห็นว่ามีแต่โครงกระดูกมากอดก่ายกัน มีแต่ความสกปรกแล้วนึกถึงภาพอสุภะ เกิดความรู้ว่ามีแต่เนื้อหนังมาสัมผัสกัน แต่ตัวจิตเป็นตัวรับรู้เองความรู้สึกต่างๆในขณะนั้น ร่างกายสัมผัสกันแต่จิตเป็นตัวเสพอารมณ์นั้น แต่การพิจารณาจะเป็นเหมือนข้อที่1 คือไม่ต่อเนื่อง และกระผมได้มีโอกาสไปกราบนมัสการและศึกษาธรรมะจากพ่อแม่ครูอาจารย์อยู่ที่หนึ่ง ท่านบอกว่า ที่ไม่ต่อเนื่องเพราะมีช่องให้อารมณ์ต่างๆมันเข้าและทำไม่ต่อเนื่อง กระผมยอมรับว่าจริงอย่างที่ท่านกล่าว และเวลาที่ไปพบเจอผู้หญิงสวย แล้วจิตก็ปรุงแต่งไปยาวกว่าจะระลึกได้ พอเวลาภาวนากำหนดดูโครงกระดูกของตนเองเกิดความรู้ขึ้นมาว่า นี่เป็นกระดูกเหมือนกันทั้งชายหญิง เราเห็นว่าสวยก็เพราะมีเนื้อหนังมาหุ้มเห็นว่าขี้เหร่ก็เพราะเนื้อหนังมาหุ้มเช่นกัน แต่สุดท้ายของการพิจารณาวันนั้นทำให้ทราบว่าที่ว่า สวยหรือขี้เหร่เอาเนื้อหนังมาหุ้ม แต่สุดท้ายมันก็เนื้อเหมือนกัน หนังเหมือนกัน เป็นธาตุสี่เหมือนกันแล้วมันสวยตรงไหน นี่คือที่กระผมเกิดความรู้ในวันนั้น กระผมเข้าใจถูกผิดอย่างไรครับหลวงปู่ 3. สุดท้ายนี้กระผมมีความรู้สึกว่าสับสนจึงใคร่ขอโอกาสกราบเรียนถามขอธรรมชี้แนะจากองค์หลวงปู่คือ กระผมและคู่หมั้นต่างก็มีความปรารถนาอยากออกบวชทั้งคู่ ไม่ปรารถนาที่จะมีลูกให้เกิดมาเป็นกรรมต่อกัน แต่ด้วยความสำนึกต่อกรรมจึงจำเป็นต้องหมั้นหมาย และเก็บเงินเพื่อไปแต่งงานอีกสองปีข้างหน้า สำหรับการปรารถนาออกบวชทางพ่อแม่พี่น้องทั้งสองฝ่ายต่างก็ยินดีอนุโมทนาสาธุด้วย สำหรับกระผมเองไม่ได้ห่วงอะไรมาก คุณพ่อกับคุณแม่ท่านยินดีมากถ้าบวชให้เร็วเท่าไรยิ่งดีเพราะท่านบอกว่า บวชเพื่อปฏิบัติเป็นการตอบแทนบุญคุณท่านมากกว่าหาเงินทองส่งให้ท่านเสียอีก แต่ทางพ่อแม่คู่หมั้นของกระผมท่านว่าทำไมจะตัดช่องน้อยแต่พอตัว น่าจะทำงานเก็บเงินให้พ่อแม่ก่อนแล้วค่อยบวชท่านก็ไม่ว่า สิ่งนี้ทำให้กระผมมีความรู้สึกว่าไม่รู้ว่าจะเดินไปทางใด ใจปรารถนาอยากออกบวชให้เร็วที่สุดแต่จำเป็นต้องอยู่ช่วยในส่วนของคู่หมั้นคือ ถ้าจะอยู่ทางโลกสร้างโลกต่อ ใจก็ไม่ปรารถนาเช่นนั้น แต่ถ้าจะออกบวชตอนนี้แต่ก็มีภาระต้องทำให้เสร็จก่อน ใจมันรู้สึกว่าเดินมาถึงทางแยกตัดสินใจไม่ถูกว่าจะไปกับโลกหรือจะไปทางธรรม คุณพ่อของกระผมท่านบอกว่าตอนนี้เรายังไปไม่ได้ เราก็ปฏิบัติเอาได้เช่นกัน พร้อมเมื่อไรค่อยไป เราเป็นฆราวาสเราก็ทำได้เช่นกัน ก็ถูกของท่านครับ กระผมจึงใคร่ขอธรรมะจากองค์หลวงปู่ เพื่อเป็นกำลังใจในการปฏิบัติด้วยครับ กราบขอขมาองค์หลวงปู่อย่างสูงยิ่งที่ลูกหลานเรียนถามค่อนข้างยาว
Jun2546
|
คำตอบ |
|
เมื่อวันที่ 27 มิ.ย. 2546 |
เรียน คุณวิทยา หลวงตาเมตตาแสดงธรรมตอบปัญหาของคุณให้ วันที่ ๒๗ มิถุนายน ๒๕๔๖ ณ วัดป่าบ้านตาด ดังนี้
โยม : ข้อที่หนึ่ง ขณะที่บริกรรมพุทโธ ๆ ความรู้เหมือนจิตจะสงบ แต่จิตพยายามออกพิจารณาทางด้านปัญญามากกว่า เลยทำให้เกิดปัญหาลักษณะนี้คือ จิตของกระผมที่ยังไม่สงบตัวมากพอ แต่จะออกพิจารณาร่างกายตลอด พอจิตกำหนดรู้เห็นตับไตไส้พุง อวัยวะต่างๆ ของร่างกาย กำหนดตามความรู้สึกว่าที่นั่งสมาธิอยู่เป็นโครงกระดูกตลอด กำหนดดูสภาพศพต่างๆ แล้วน้อมมาสู่ตัวเอง ทุกส่วนที่กระผมกำหนดดูจะรู้เห็นเป็นสิ่งปฏิกูลในขณะเวลานั้น แต่เมื่อพิจารณาให้ต่อเนื่องสืบไป จะทำต่อไม่ได้ มันทื่อๆ สุดท้ายก็ต้องกลับมาที่พุทโธอีก แต่พอจิตเริ่มสงบก็ออกไปทางด้านปัญญาอีก ซึ่งเป็นลักษณะนี้วนไปวนมาตลอด จะเป็นไปในลักษณะที่กำหนดเห็นแค่แวบเดียว พิจารณาได้นิดเดียว เมื่อออกจากการภาวนากระผมจึงมาพิจารณา เข้าใจดังนี้ว่า สาเหตุที่ออกทางด้านปัญญาแล้วไปต่อไม่ได้ เพราะว่าสติและสมาธิซึ่งเป็นพื้นฐานหลักของกระผมยังไม่มั่นคงพอ เมื่อสมาธิไม่แน่น ปัญญาเลยไปได้ไม่นาน แต่ก็พยายามทำควบคู่กันกับทางด้านสมาธิและทางด้านปัญญา กระผมเข้าใจดังนี้ผิดถูกประการใดครับ)
หลวงตา : ที่เขาทำนั้นถูกต้องแล้ว ถ้าปัญญามันทื่อๆ มันไม่ออกก็เข้ามาพักสงบทางสมาธิ เพื่อทางสมาธิมีความสงบเป็นกำลังพอแล้วก็พิจารณาทางด้านปัญญาอีก ก็ถูกต้องแล้วนี่ แต่เขาไม่เข้าใจเฉยๆ (เขาทำได้นิดเดียว แต่อยากทำให้มันยืดยาว) อยากให้ยืดยาว แต่จิตมันทื่อก็ถอยกลับมาเสียซี มาเข้าสู่สมาธิให้จิตสงบแล้วค่อยออกไปอีก นั้นถูกต้อง
โยม : ข้อที่สองครับ ขณะที่เสพกามบางครั้งกำหนดดู กำหนดเห็นว่ามีแต่โครงกระดูกมากอดก่ายกัน มีแต่ความสกปรก แล้วก็นึกถึงภาพอสุภะ เกิดความรู้สึกว่า มีแต่เนื้อหนังมาสัมผัสกัน แต่ตัวจิตเป็นตัวรับรู้เองความรู้สึกต่างๆ ในขณะนั้น ร่างกายสัมผัสกันแต่จิตเป็นตัวเสพอารมณ์นั้น แต่การพิจารณาจะเป็นเหมือนข้อที่หนึ่งคือไม่ต่อเนื่อง และกระผมก็ได้มีโอกาสไปกราบนมัสการปรึกษาธรรมะจากท่านอาจารย์อยู่ที่หนึ่ง ท่านก็บอกว่า ที่ไม่ต่อเนื่องเพราะมีช่องให้อารมณ์ต่างๆ มันเข้า และทำไม่ต่อเนื่อง ผมยอมรับว่าเป็นความจริงตามที่ท่านกล่าว และเวลาที่ไปพบเจอผู้หญิงสวย จิตก็ปรุงแต่งไปยาวกว่าจะระลึกได้ พอเวลาภาวนากำหนดดูโครงกระดูกของตัวเองเกิดความรู้สึกขึ้นมาว่า อันนี้เป็นโครงกระดูกเหมือนกันทั้งหญิงทั้งชาย เราเห็นว่าสวยก็เพราะมีเนื้อหนังมาหุ้ม เห็นว่าขี้เหร่ก็เพราะเอาเนื้อหนังมาหุ้มเช่นกัน แต่สุดท้ายของการพิจารณาทำให้ทราบว่า ความสวยหรือขี้เหร่ เอาเนื้อหนังมาห่อหุ้ม แต่สุดท้ายมันก็เนื้อเหมือนกัน หนังเหมือนกัน เป็นธาตุ ๔ เหมือนกัน แล้วมันสวยที่ตรงไหน นี่คือที่กระผมเกิดความรู้ในวันนั้น ผมเข้าใจถูกผิดอย่างไรครับ)
หลวงตา : เออ ถูกต้อง ในเวลานั้นถูกต้อง ก็มีเท่านั้น
โยม : ข้อสามครับ กระผมมีความรู้สึกว่าสับสน จึงใคร่ขอกราบเรียนถามธรรมะเพื่อหลวงตาได้ชี้แจง คือ กระผมและคู่หมั้นต่างก็มีความปรารถนาอยากออกบวชด้วยกันทั้งคู่ ไม่ปรารถนาที่จะมีลูกให้เกิดมาเป็นกรรมต่อกัน แต่ด้วยความสำนึกต่อกรรมจึงจำเป็นต้องหมั้นหมายและเก็บเงินเพื่อไปแต่งงานในอีกสองปีข้างหน้า สำหรับข้อปรารถนาออกบวช พ่อแม่พี่น้องทั้งสองฝ่ายก็ยินดีอนุโมทนาสาธุด้วย สำหรับตัวกระผมเองไม่ได้ห่วงอะไรมาก คุณพ่อคุณแม่ท่านก็ยินดีมาก เพราะท่านบอกว่าบวชก็เพื่อปฏิบัติ เป็นการตอบแทนบุญคุณท่านมากกว่าหาเงินหาทองส่งให้ท่านเสียอีก แต่ทางพ่อแม่ของคู่หมั้นท่านว่า ทำไมจะต้องตัดช่องน้อยแต่พอตัว น่าจะทำงานเก็บเงินให้พ่อแม่เสียก่อนแล้วค่อยบวชก็ได้ สิ่งนี้ทำให้กระผมมีความรู้สึกว่า ไม่รู้จะเดินไปในทางใด ใจปรารถนาอยากออกบวชให้เร็วที่สุด ก็จำเป็นต้องอยู่ช่วยในส่วนของคู่หมั้น คือ ถ้าจะอยู่ทางโลกสร้างโลกต่อ ใจก็ไม่ปรารถนาเช่นนั้น แต่ถ้าจะออกบวชตอนนี้แต่ก็มีภาระต้องทำให้เสร็จก่อน ใจมันรู้สึกว่าเดินมาถึงทางแยกตัดสินใจไม่ถูกว่าจะไปทางโลกหรือจะไปทางธรรม คุณพ่อของกระผมท่านบอกว่าตอนนี้เรายังไปไม่ได้ เราก็ปฏิบัติเอาได้เช่นกัน พร้อมเมื่อไรค่อยไป เราเป็นฆราวาสเราก็ทำได้เช่นกัน ก็ถูกของท่านครับ กระผมจึงใคร่ขอธรรมะจากองค์หลวงปู่ เพื่อเป็นกำลังใจในการปฏิบัติด้วยครับ กราบขอขมาองค์หลวงปู่อย่างสูงยิ่งที่ลูกหลานเรียนถามค่อนข้างยาว
หลวงตา : มันไปไม่ได้ก็ให้ถ่างขาอยู่กลางถนน เวลารถเขามาชนตาย เราไม่รับรู้ด้วย เข้าใจไหม คือจะไปก็ไม่ไป จะอยู่ก็ไม่อยู่ แล้วไปถ่างขาอยู่บนถนน เวลารถเขามาเขาชนเอาตาย เราไม่รับรู้ด้วย ตอบแล้ว อ้าว มันก็มีเท่านั้น ไปยืนถ่างขาอยู่อะไร จะไปก็ไม่ไป จะอยู่ก็ไม่อยู่ ก็มีเท่านั้น คือการถามปัญหาอะไรที่ควรจะเป็นประโยชน์มันจะตอบของมันทันที ถ้ามันโลเลๆ แล้วก็ขี้เกียจตอบ ก็มีเท่านั้น
การภาวนาเป็นการรบกันกับสิ่งชั่ว เช่น ฝ่ายดำก็คือกิเลส ฝ่ายขาวก็คือธรรม ต้องมีรบมีรากันอยู่ตลอด จึงเรียกว่าทำความเพียร อย่างหนึ่งมันวุ่นวายมาก ส่ายแส่มาก รบมันเพื่อความสงบ แน่ะมันก็เป็นอย่างงั้น เราทำใจของเราให้สงบ นี่ก็เรียกว่ารบกันประเภทหนึ่ง การพิจารณาทางด้านปัญญา นั่นก็เป็นการรบกันทางหนึ่งเหมือนกัน
|
|
|