|
/SCRIPT LANGUAGE="javascript1.1" page="dhamma_online";
/SCRIPT LANGUAGE="javascript1.1" src="http://truehits1.gits.net.th/data/e0008481.js">
|
|
|
คำถาม
|
|
โดย : ผู้ได้รับการตอบ ถามเมื่อวันที่
16 มิ.ย. 2546 |
ผู้ได้รับการตอบปัญหาธรรมขอน้อมสาธุการในเมตตาธรรมของหลวงตา
ผู้ที่ได้รับการตอบปัญหาธรรมะจากเมตตาธรรมของหลวงตา ล้วนขอน้อมสาธุในเมตตาธรรม และกลับไปตั้งใจปฏิบัติในสิ่งที่ได้รับคำแนะนำสั่งสอนในธรรมะนี้จากหลวงตา ตั้งใจจะไม่ให้ความเหนื่อยยากที่หลวงตาอุตส่าห์เมตตาเทศน์สอนมาเสียประโยชน์ และสามารถเป็นกำลังใจให้ลูกหลานผู้ปฏิบัติได้อีกมากมาย
Jun1646
|
คำตอบ |
|
เมื่อวันที่ 18 มิ.ย. 2546 |
หลวงตาเมตตาแสดงธรรมตอบแก่ลูกหลานที่ได้รับการตอบปัญหาธรรมจากองค์หลวงตา ไว้เมื่อวันที่ ๑๘ มิถุนายน ๒๕๔๖ ดังนี้
หลวงตา : เออ เอาละ ให้พากันตั้งใจปฏิบัติ การถามการตอบธรรมะเป็นประโยชน์เฉพาะๆ ๆ ผิดกันกับการฟังเทศน์ มันจะกว้างขวางเทศน์ไปเรื่อย ๆ ฟังก็ฟังไปเรื่อยๆ จะสะดุดใจก็มีน้อย แต่การฟังคำตอบปัญหา จากการถามปัญหาที่ถูกต้องโดยเหตุโดยผลแล้วย่อมได้รับประโยชน์ แล้วสะดุดใจ กระเทือนใจ ในขณะเดียวกันก็กระเทือนกิเลสไปด้วย ๆ นี่จึงเป็นของดี เราเคยพูดมาตั้งแต่ต้น ว่าการเทศนาว่าการเริ่มมาตั้งแต่ ๒๔๙๓ เฉพาะอย่างยิ่งพระอันดับแรก เดินซอกซอนเข้าไปในป่าในเขา เราก็อุตส่าห์พยายามสอนเป็นระยะ ๆ มาเริ่มขยายตัวที่วัดป่าบ้านตาด เพราะเพื่อนฝูงมีมาก ประชาชนพระเณรเรื่อยมา
เราเคยได้พูดตั้งแต่นู้น การเทศนาว่าการมาเรื่อย ๆ เราก็เทศน์มามากต่อมาก แต่การตอบปัญหาจะมีเป็นบางกาล เฉพาะวงปฏิบัติของพระก็มี อันนี้มีเกี่ยวกับเรื่องภาวนาล้วน ๆ จากนั้นประชาชนกว้างขวางออกไป ตามแต่ผู้มีปัญหาข้อใด ๆ มาถามก็ตอบเป็นระยะ ๆ ไปอย่างนี้ เรียกว่าเป็นคู่เคียงกันมา ไม่มากก็มี แต่สำคัญที่มาเทศน์อบรมประชาชน เฉพาะอย่างยิ่งพี่น้องชาวไทยเรา เป็นเวลาห้าปี มีแต่เทศน์ล้วน ๆ ห้าปีกว่า ถ้านับเป็นกัณฑ์เทศน์จะเป็นสักกี่ร้อย กี่พัน กี่หมื่นกัณฑ์ ก็เป็นเทศน์ธรรมดา ๆ ส่วนที่บกพร่องคือปัญหา ไม่ค่อยมีใครถาม จึงไม่ได้ตอบ แล้วผู้ที่รับประโยชน์จากการถามการตอบปัญหาจึงไม่ค่อยมี นี่เราเคยพูดเสมอ
อันนี้เมื่อมีปัญหามาอย่างนี้ เราก็จะเริ่มตอบตามเหตุการณ์ที่สมควร ไม่สมควรมากน้อย เราก็จะเริ่มตอบสงเคราะห์บรรดาพี่น้องทั้งหลาย ให้ได้เข้าอกเข้าใจ ปัญหานี่มันเป็นจุด ๆ แล้วเข้าใจถึงขั้นสะดุดกึ๊ก ๆ ก็มี การตอบปัญหา ถ้าตอบถูกหลักถูกเกณฑ์แล้ว เพราะฉะนั้นการตอบปัญหา อย่างพระพุทธเจ้าทรงตอบปัญหาของพวกทวยเทพทั้งหลาย นี่มีมาแล้ว อฑฺฒรตฺเต เทวปญฺหากํ ตั้งแต่หกทุ่มล่วงไปแล้ว ทรงตอบปัญหาและเทศนาว่าการสอนพวกเทพ คือมีพวกเทพทั้งหลายถามปัญหา แล้วพระองค์ก็ทรงตอบปัญหาชี้แจง จากนั้นก็เทศน์อบรมพวกทวยเทพ นี่ก็มีมาตั้งแต่นู้นแล้ว
การถามปัญหานี้ถามเพื่อผลเพื่อประโยชน์ เราก็พอใจตอบ แต่ถามเป็นแบบ เลอะ ๆ เทอะๆ ถามเป็นเครื่องหยอกเล่น เป็นเครื่องแหย่ไปอย่างงั้นไม่ได้ ไม่เอา ขอให้ท่านทั้งหลายได้นำปัญหาที่เข้าใจแล้วนี้ไปปฏิบัติต่อตัวเอง ส่วนมากเรามันติดปัญหาตัวเองทั้งนั้นแหละ แต่ไม่รู้จักวิธีแก้และไม่รู้จักอุบายวิธีที่จะให้ผู้อื่นช่วยแก้ เช่นถามปัญหาครูบาอาจารย์ ว่าจิตใจเรา ตัวของเรา เป็นอย่างไรบ้าง และจะควรแก้ไขอย่างไรอย่างนี้ มันไม่มีอุบายวิธีที่จะนำอันนี้ออกไปเล่าให้ครูบาอาจารย์ฟัง เพื่อท่านจะได้ช่วยแก้ช่วยไขแนะนำสั่งสอนเรา
การถามการตอบปัญหาจึงเป็นของสำคัญดังที่มีมาแล้วตั้งแต่ครั้งพุทธกาล เฉพาะอย่างยิ่งแม้แต่แม้ทวยเทพ เทวบุตรเทวดาก็ยังต้องมาถามปัญหา แต่เขาถามปัญหานั้นจะมีหัวหน้านะ พวกทวยเทพทั้งหลายมานี้เขาจะมีหัวหน้าถามปัญหา กระซิบปัญหากับหัวหน้าให้หัวหน้านำมาทูลถามพระพุทธเจ้า พระองค์จะทรงตอบให้เข้าใจทั่วถึงกันๆ การถามปัญหาของเทวดาเขาไม่ได้ถามสุ่มสี่สุ่มห้า พวกเทวดาจะมีมากขนาดไหนนี้เงียบนะ จะมีตั้งแต่หัวหน้า เทวดานี้เคารพหัวหน้ามากทีเดียว เคารพจริงๆ คอยฟังหัวหน้าตลอด รายใดๆ มีข้อข้องใจก็พูดหรือฝากปัญหา พูดภาษาของเราว่าฝาก คือทางนี้แย็บปั๊บ ทางนั้นรับกันแล้ว ออกแล้ว อันนี้มันพูดไม่ได้
ภาษาของคนกับภาษาของเทวบุตรเทวดาซึ่งเป็นกายทิพย์นี้จึงต่างกันมาก ด้วยเหตุนี้เองเวลาท่านแสดงแก่พวกเทพเทวบุตรเทวดาชั้นใดก็ตาม ท่านจึงไม่มาเกี่ยวกับมนุษย์ ท่านจะเป็นภาษาใจภาษาธรรม จะออกรับกันพับ ๆ เข้าใจๆ ไม่มีคำที่จะมาโต้แย้งๆ โต้เถียงกัน คอยฟังเป็นลำดับลำดาไป นี่เรียกว่าระหว่างเทวดากับพระพุทธเจ้า เทวดากับพระพุทธเจ้า หรือครูอาจารย์ผู้เชี่ยวชาญโต้ตอบปัญหาซึ่งกันและกัน จากนั้นท่านก็อบรมแนะนำสั่งสอน การเทศน์สอนพวกกายทิพย์ท่านสอนอย่างนั้น ยกตัวอย่างขึ้นมาก็ อฑฺฒรตฺเต เทวปญฺหากํ ทรงตอบปัญหาและแนะนำสั่งสอน เทศนาว่าการแก่พวกทวยเทพทั้งหลาย ทั้งเทศนาว่าการทั้งแก้ปัญหาโดยเฉพาะ ท่านก็ทำหน้าที่โดยเฉพาะ ทีนี้เวลาจะเทศน์สอนประชาชนที่เป็นกายหยาบท่านก็สอนเป็นอย่างที่เราสอนกันเวลานี้ เป็นขั้น ๆ ตอน ๆ
ด้วยเหตุนี้เวลาท่านสอนประชาชน ท่านจึงไม่ได้นำเรื่องราวของเทวบุตรเทวดามาพูดมาเกี่ยวข้องกัน เวลาท่านเกี่ยวข้องกับพวกเทพเหล่านี้ท่านก็ไม่เอามนุษย์เข้าไปเกี่ยวข้อง หน้าที่คนละหน้าที่ อรรถธรรมคนละสัดละส่วนเป็นอย่างนั้น ให้พากันเข้าใจเอานะ สอนเทวดากับสอนมนุษย์นี้สอนคนละประเภท แล้วทีนี้ไอ้พวกตาบอดพวกขนโค ขนโคมีมากไหม โคตัวหนึ่งมีเขากี่เขา เคยเห็นโคมีถึง ๓ เขา ๔ เขาไหม โคตัวไหนปู่โคย่าโค ลูกหลานโค ก็มีแต่สองเขา ๆ ดีไม่ดีเขาเรียกอะไรโคไม่มีเขานั่น โคหัวโล้นเหรอ อย่างนั้นอีกด้วยซ้ำ จะให้เป็น ๓ เขา ๔ เขา ไม่มี นี่แหละมีน้อย แต่ขนโคนี้เต็มตัว ๆ พวกเรานี้พวกขนโค ธรรมะพระพุทธเจ้ากระจ่างแจ้งครอบแดนโลกธาตุ แต่มนุษย์ของเราที่เป็นขนโคคือพวกตาบอดนี้มันไม่ยอมเชื่อ มันยังบอกว่าเทวบุตรเทวดาไม่มีๆ หัวชนต้นเสาไปอย่างนั้นตลอด นี่ละที่ว่าหนาพวกขนโคนี่พวกหนามากนะ พวกเขาโคนี้พอมีทางที่จะขยับ ๆ ฟังแล้วแก้ไขดัดแปลงตัวเองไปเรื่อย ๆ เรียกว่า จะเพิ่มเขาโคให้เขาโคใหญ่ขึ้นโตขึ้น มากขึ้น ๆ เรื่อย ๆ แล้วขนโคของคนนั้นก็จะค่อยลดลง ๆ เขาโคก็จะเพิ่มพูนขึ้นเข้าใจไหม
ให้เราเห็นเสียบ้างซิว่า โคตัวหนึ่งมีเขาเต็มหัวมัน เราเคยได้ยินตั้งแต่โคตัวหนึ่งมีขนเต็มตัวมัน มี ๒ เขา เอาให้เห็นในภาคปฏิบัติของเรา ให้มีเขาโคเต็มตัว คำว่าเขาโคเต็มตัวได้แก่มรรคแก่ผลที่ปฏิบัติตามอรรถธรรมของพระพุทธเจ้า แล้วเพิ่มคุณงามความดี มรรคผลขึ้นมา สุดท้ายจิตใจนี้มีตั้งแต่ความสว่าง เขาโคเต็มตัวรอบด้านเข้าใจเหรอ นี่คือเขาโค พระพุทธเจ้าเทียบกับเขาโคเพียงพระองค์เดียวสอนพวกขนโคนี้มากขนาดไหน ฟังซิน่ะ นี่ละเขาโคจึงมีคุณค่ามาก ให้พยายามเอาเขาโคตัวให้ดี ฝึกฝนอบรมเขาโค เสี้ยมแหลมเขาโคลงให้มันแหลมปิ๊บ ฟาดกิเลสขาดสะบั้นพุงทะลุเข้าใจไหม ไปเรื่อย ๆ นะ
นี่พูดถึงพวกเทพพวกอะไร คือพวกเทพกับพวกเรานี้ ถ้าพูดถึงเรื่องมนุษย์นะ มนุษย์เราในโลกนี้มีกี่พันล้าน เทวบุตรเทวดาเพียงชั้นใดชั้นหนึ่งเพียงเท่านั้นก็มีมากยิ่งกว่ามนุษย์แล้ว เรายังอวดก้ามอยู่เหรอในความโง่ของตน ว่าเทวบุตรเทวดาไม่มี ก็เท่ากับเหยียบหัวพระพุทธเจ้านั่นเอง เหยียบหัวพระพุทธเจ้าทั้งหลายด้วย พระสาวกทั้งหลายผู้เชี่ยวชาญในทางนี้ด้วย เป็นของดีไหม คิดออกแง่ไหนมุมใดมีแต่เหยียบหัวพระพุทธเจ้า เหยียบหัวพระธรรมที่สอนไว้โดยถูกต้อง เหยียบหัวพระสงฆ์ที่เป็นธรรมชาติที่เลิศเลอของเราตลอดเวลา ด้วยความคิดผิดพลาด ลบล้างคำสอนพระพุทธเจ้าในหัวใจของเราที่เป็นเทวทัต ให้แก้ตัวเทวทัตนี้ให้ดีนะ
สฺวากฺขาโต ภควตา ธมฺโม ธรรมอันพระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้ดีแล้ว ตรัสแล้วชอบแล้ว คือไม่มีอะไรที่จะเปลี่ยนแปลงแก้ไขว่าไม่ถูกหรือบกพร่องไป ในคำสอนของพระพุทธเจ้าถูกต้องทุกอย่าง ที่มันบกพร่องก็คือตัวของพวกเราเอง มองดูคน ๆ หนึ่งมันไม่ได้เต็มบาท มีแต่คนบกพร่องเต็มเนื้อเต็มตัว บกพร่องในความถูกความดีงามทั้งหลาย แต่ความผิดพลาดนี้เต็มตัว ๆ คือพวกเราเอง ให้พากันไปแก้ไขดัดแปลงตนเองนะ อย่าไปมองแต่พระพุทธเจ้าในทางที่ไม่ดีซึ่งจะทำลายตัวเอง อย่าไปมองพระสงฆ์สาวก เรียกว่าอย่าไปมองธรรมที่ท่านสอนไว้ด้วยความถูกต้องแล้ว ว่าผิดนั้นพลาดนี้ ถูกนั้นไม่ถูกนี้ ลบล้างนั้นลบล้างนี้ ให้ยิ่งกว่าที่จะมาลบล้างความผิดพลาดของตัวเอง ด้วยความคิด ความเห็น คำพูดคำจากิริยาแห่งการทำทั้งหลายซึ่งเป็นของเลวร้ายประจำตัวของเราทุกคน ๆ ออกโดยลำดับลำดานะ ถ้าไม่อย่างนั้นมันจะมีแต่ขนโคเต็มตัว ๆ นะ
พากันเข้าใจทุกวี่ทุกวันไป ควรจะดีขึ้นเรื่อย ๆ พวกเรานะ ขอให้ทราบชัด ๆ ให้ถึงใจด้วยอันหนึ่งนะ พระพุทธเจ้า พระสงฆ์สาวก และธรรมของพระพุทธเจ้า หรือธรรมธาตุไม่ใช่บ๋อยของเราทั้งหลายนะ เป็นยอดเจดีย์ที่ควรจะกราบไหว้ด้วยความเคารพนับถือและปฏิบัติตามท่านเข้าใจเหรอ ให้จำคำนี้ให้ดี ไม่อย่างนั้นจะเหลวแหลกไปเรื่อย ไม่เห็นเรื่องธรรมของพระพุทธเจ้าเป็นของสำคัญ นั่นละเสียตรงนั้นเสียไปทุกวัน แล้วมิหนำซ้ำ เอ้า ยกตัวอย่างอีก อย่างเราเทศน์สอนพี่น้องทั้งหลายนี้เป็นเวลา ๕ ปีกว่ามาแล้วที่สอนอย่างเปิดเผยเต็มเม็ดเต็มหน่วย อันนี้เราก็พูดตรง ๆ เราไม่ใช่เป็นบ๋อยของพี่น้องทั้งหลายนะ เราตั้งหน้าตั้งตามาสอนด้วยความเมตตา ขอให้ยึดธรรมนี้เป็นเครื่องปฏิบัติดัดแปลงตัวเอง บืนตามคำสอนของพระพุทธเจ้า นั้นจะเป็นความถูกต้องดีงาม บ้านเมืองเราจะสง่าราศีด้วยการฟังอรรถฟังธรรม ฟังเสียงครูเสียงอาจารย์นะ เอาละ จุดนี้เป็นจุดสำคัญมาก ฝากอันนี้ไว้นะ
(ทีมงานขอตั้งจิตน้อมสาธุการในเมตตาธรรมของหลวงตา)
|
|
|