|
/SCRIPT LANGUAGE="javascript1.1" page="dhamma_online";
/SCRIPT LANGUAGE="javascript1.1" src="http://truehits1.gits.net.th/data/e0008481.js">
|
|
|
คำถาม
|
|
โดย : จักรพรรดิ ผลบุญ ถามเมื่อวันที่
30 ต.ค. 2548 |
ภาวะจิตเสื่อม
กราบนมัสการพระอาจารย์ผู้มีธรรมอันบริสุทธิ์ กระผมมีปัญหาอยากให้ท่านพระอาจารย์โปรดชี้แนะตามแต่ท่านพระอาจารย์จะเห็นควร กระผมมีจิตเลื่อมใสในธรรมอยู่เป็นนิสัย หากแต่การปฏิบัติตนไม่ค่อยจะจริงจังนัก ทำตนลุ่มๆ ดอนๆ ปฏิบัติได้ชั่วระยะวันเวลาหนึ่งๆ (ปฏิบัติกรรมฐานในสถานปฏิบัติธรรม) ก็หยุด แต่ทั้งนี้หาได้เกิดความหลงไหลในตนเองว่าได้รู้ธรรมแล้วไม่ เพียงแต่เมื่อออกมาจากสถานที่อันเป็นสัปายะสถานแล้วก็ไม่ได้ทำให้สืบเนื่องกันไป ด้วยจิตมักอ้างเหตุผลต่างๆ นาๆ เพื่อจะเลี่ยงการปฏิบัติอยู่เสมอๆ ตัวกระผมเคยปฏิบัติตนอย่างเคร่งครัดอยู่พักหนึ่งเมื่อตอนอายุ 16-17 ปี (ตอนนี้อายุ 25 ปี) เห็นจะได้ ช่วงนั้นการปฏิบัติตนค่อนข้างดี กินน้อย-นอนน้อย-ทำความเพียรมาก ความสงบ และความเข้มแข็งของจิตมีมาก แต่การปฏิบัติก็เสื่อมถอยบ้างตามเวลาที่มีจำกัด จิตก็ล้มลุกคุกคลานบ้าง แต่ก็พยุงให้จิตยืนหยั่ดต่อสู้กับความอยากฝ่ายต่ำของตัวมาได้เป็นครั้งๆ ไป ทำให้เกิดความประมาทว่าตัวเรานี้แน่นะแม้จะเสื่อมถอยบ้างแต่ก็ไม่เคยตาย จนบัดนี้เวลาล่วงเลยมามากนอกจากจิตจะเสื่อมถ่อยไปมากแล้ว ความแน่วแน่เด็ดเดี่ยวที่เคยมีต่ออรรถต่อธรรมก็ร่อยหรอลงมาก กลายเป็นผู้หาหลักอะไรในใจไม่ได้ ถึงแม้บุคคลรอบตัวจะมองว่าดีเพียงใด แต่ก็ไม่อาจสบายใจได้ว่าในวันนี้หรืออนาคตอันใกล้นี้ จะตกไปอบาย วินิบาต นรกเมื่อใด ในเมื่อวันนี้ยังสร้างเหตุให้นำไปสู่ความฉิบหายอยู่ ถึงแม้ความชั่วจะไม่สร้างให้ปรากฏมากนัก แต่ก็ไม่ได้ทำความดีอะไรพอที่จะเป็นที่ร่มเย็นแก่ตัวได้ เหมือนกินบุญเก่าที่เคยทำมาอยู่แล้วนั้น ซึ่งต้องหมดลงในวันหนึ่งวันใดอย่างแน่นอน ในช่วงที่ผมปฏิบัติธรรมอย่างเคร่งครัดตามศรัทธาที่มีในคำสอนของพระอาจารย์ จิตของกระผมดำเนินมาถึงขั้นที่เมื่อนั่งภาวนาแล้วเกิดทุกขเวทนาอย่างมหันต์ แล้วอาศัยการพิจารณาในความเป็นไปในกายแล้วเวทนาของตนเองจนเห็นความเป็นไปของมันแล้ว จึงเห็นกายเป็นกองหนึ่ง เวทนาเป็นกองหนึ่ง และจิตเป็นอีกกองหนึ่ง เกิดเพียงแต่ตัวรู้ว่าทั้งหลายทั้งปวงนั้นไม่ใช่ของเรา ความเจ็บหรือไม่เจ็บหรือเป็นกลางๆ ไม่ได้รู้สึกแล้ว แต่มันไม่มีอะไร เพราะเห็นเวทนามันกองอยู่ตรงนั้น กายมันกองอยู่ตรงนั้น จิตมันหมุนอยู่ตรงนี้ (จิตกระผมดำเนินมาแบบนี้ ควรไม่ควรอย่างไรพระอาจารย์โปรดเมตตาชี้แนะด้วยครับ) จากนั้นก็ละทิ้งการปฏิบัติไปเสียเฉยๆ อย่างนั้นแหละ แล้วจิตก็ไหลลงสู่ที่ตำเรื่อยๆ จนบัดนี้เกรงว่าจะเลอะเทอะเปรอะเปื้อนไปมากกว่านี้ แล้วล้างออกไม่ได้ จึงขอเรียนถามท่านพระอาจารย์ว่า 1. มีอุบายใดที่จะกำจัดนิสัยจับจดไม่จริงจังนี้ให้พินาศไปได้? 2. จะป้องกันจิตอย่างไรมิให้หลงไปว่าตนเป็นผู้มีธรรมอันวิเศษ? การเรียงร้อยถ้อยความของกระผมอาจไม่เป็นระเบียบนัก อาจทำให้พระอาจารย์อ่านเข้าในโดยยาก ขอพระอาจารย์อโหสิกรรมให้ด้วยครับ และหากคำถามของกระผมควรแก่ประโยชน์หรือไม่ประการใด ก็แล้วแต่ท่านพระอาจารย์จะเมตตาเห็นสมควร ขอกราบนมัสการ
|
คำตอบ |
|
เมื่อวันที่ 3 พ.ย. 2548 |
เรียนคุณผู้ถาม หลวงตาเมตตาตอบปัญหาธรรมให้คุณ เมื่อวันที่ ๓ พฤศจิกายน ๒๕๔๘ ณ วัดป่าบ้านตาด ดังนี้
หลวงตา : ปฏิบัติอะไร
ผู้กำกับ : เขาเลิกปฏิบัติครับ
หลวงตา : คำว่าเลิกปฏิบัติคือว่ามันปล่อยหมดแล้ว จิตมันลงแล้วนั่น ถึงจะมีอะไรๆ ก็เหมือนไม่มี เข้าใจ เราผ่านมาหมดเหล่านี้นะ เอ้าว่าไป
ผู้กำกับ : จึงขอเรียนถามท่านพระอาจารย์ว่า มีอุบายใดที่จะกำจัดนิสัยจับจดไม่จริงจังนี้ให้พินาศไปได้ (จาก จักรพรรดิ ผลบุญ)
หลวงตา : ไหนกำจัดอะไรอีก
ผู้กำกับ : กำจัดนิสัยจับจดไม่จริงจัง คือตามที่กราบเรียนมา แล้วเขาเลิกปฏิบัติไปเสียเฉยๆ
หลวงตา : ถ้าอย่างนั้นมันเป็นบ้าละคนนี้ พูดทีแรกน่าฟังนะ น่าฟังยังไง พิจารณาทุกขเวทนานี้เวลา... เราพูดตรงๆ เรานั่งสมาธิภาวนาซัดกันนี้ ตัวเรานั่งนี่เหมือนหัวตอ ไฟคือทุกขเวทนาเผาหัวตอ เป็นอย่างนั้นนะ เต็มเหนี่ยวเลย แต่สติปัญญามันไม่ถอย หนักเข้าเท่าไรสติปัญญานี้หมุนติ้วๆ เพื่อหาทางออกและให้รู้ตามหลักความเป็นจริง จากนั้นมันแยกออกเลย มันมีสองอย่าง คือแยกออกแล้วแน่วอยู่ในจิต ทุกขเวทนาอยู่ข้างนอกเข้าไม่ถึงจิตเลย นี่อันหนึ่ง อันที่สอง ดับหมด พรึบหมดเลยโดยสิ้นเชิง เหลือสักแต่ว่า คำว่าสักแต่ว่าคือธรรมชาติที่เลิศเลอ จะพูดอะไรอีกไม่ตรงกับธรรมชาตินั้น จึงว่าสักแต่ว่า สักแต่ว่าปรากฏเป็นความอัศจรรย์นั้นเอง มันหมด กายก็หมดเวลามันพิจารณารอบหมดแล้ว กายหมดแล้วรู้เท่าทันกัน ใจเป็นเกาะ เรื่องทุกขเวทนาทั้งหลายอยู่ข้างนอกไม่เข้าถึงเลย หนึ่ง อันที่สอง ดับไปหมด ภายนอกดับหมด มีแต่ธรรมชาติที่อัศจรรย์ สักแต่ว่า นี่เป็นอย่างนั้นปฏิบัติมา นี่หยุดเอาเฉยๆ มันเป็นบ้าแล้วนะ เราไม่เห็นด้วย
การพิจารณาก็น่าฟังอยู่ แยกนั้นแยกนี้ แทนที่จะลงในจุดนี้ไม่ลง ทิ้งเอาเฉยๆ มันจะเป็นบ้าเอานะ ทิ้งเอาเฉยๆ ก็คือแกจะพูดตามภาษาของแก ความจริงมันไม่ทิ้งเอาเฉยๆ แต่แกไม่ทราบจะเอาคำไหนมาพูดเลยบอกว่าทิ้งเอาเฉยๆ ให้คนทั้งหลายฟังมันงงไปหมดนะอันนี้ ความจริงไม่ได้เป็นอย่างนั้น ถ้ามันลงรอบหมดแล้วมันจะปล่อยของมัน และตัวเองก็ไม่พิจารณาตลอดมานี้ ไม่เอา ไม่ถูก มันพิจารณาของมันเวลานั้น ปล่อยหมดเลย มีเท่าไรก็ไม่เข้าถึงกัน จากนั้นจิตก็ถอนออกมา ก็มีเท่านั้น เขาปล่อยทิ้งไปเฉยๆ ไม่มีปี่มีขลุ่ยอะไรเลย อันนี้มันพูดผิด แต่ที่มันไม่พิจารณาเลยมันจะผิดจริงๆ คนๆ นี้ มีอันหนึ่งที่จะทำเข้าไปให้เป็นความผิดอีกนะ เอา ว่าไป ______
(คุณสามารถอ่านและรับชมรับฟังพระธรรมเทศนากัณฑ์นี้เต็มกัณฑ์ ได้ที่http://www.luangta.com/thamma/thamma_talk_text.php?ID=3659&CatID=2 หรืออ่านคำตอบได้ที่หน้ารวมถาม-ตอบปัญหาธรรม)
|
|
|