ภาวะจิตเสื่อม
กราบนมัสการพระอาจารย์ผู้มีธรรมอันบริสุทธิ์ กระผมมีปัญหาอยากให้ท่านพระอาจารย์โปรดชี้แนะตามแต่ท่านพระอาจารย์จะเห็นควร กระผมมีจิตเลื่อมใสในธรรมอยู่เป็นนิสัย หากแต่การปฏิบัติตนไม่ค่อยจะจริงจังนัก ทำตนลุ่มๆ ดอนๆ ปฏิบัติได้ชั่วระยะวันเวลาหนึ่งๆ (ปฏิบัติกรรมฐานในสถานปฏิบัติธรรม) ก็หยุด แต่ทั้งนี้หาได้เกิดความหลงไหลในตนเองว่าได้รู้ธรรมแล้วไม่ เพียงแต่เมื่อออกมาจากสถานที่อันเป็นสัปายะสถานแล้วก็ไม่ได้ทำให้สืบเนื่องกันไป ด้วยจิตมักอ้างเหตุผลต่างๆ นาๆ เพื่อจะเลี่ยงการปฏิบัติอยู่เสมอๆ ตัวกระผมเคยปฏิบัติตนอย่างเคร่งครัดอยู่พักหนึ่งเมื่อตอนอายุ 16-17 ปี (ตอนนี้อายุ 25 ปี) เห็นจะได้ ช่วงนั้นการปฏิบัติตนค่อนข้างดี กินน้อย-นอนน้อย-ทำความเพียรมาก ความสงบ และความเข้มแข็งของจิตมีมาก แต่การปฏิบัติก็เสื่อมถอยบ้างตามเวลาที่มีจำกัด จิตก็ล้มลุกคุกคลานบ้าง แต่ก็พยุงให้จิตยืนหยั่ดต่อสู้กับความอยากฝ่ายต่ำของตัวมาได้เป็นครั้งๆ ไป ทำให้เกิดความประมาทว่าตัวเรานี้แน่นะแม้จะเสื่อมถอยบ้างแต่ก็ไม่เคยตาย จนบัดนี้เวลาล่วงเลยมามากนอกจากจิตจะเสื่อมถ่อยไปมากแล้ว ความแน่วแน่เด็ดเดี่ยวที่เคยมีต่ออรรถต่อธรรมก็ร่อยหรอลงมาก กลายเป็นผู้หาหลักอะไรในใจไม่ได้ ถึงแม้บุคคลรอบตัวจะมองว่าดีเพียงใด แต่ก็ไม่อาจสบายใจได้ว่าในวันนี้หรืออนาคตอันใกล้นี้ จะตกไปอบาย วินิบาต นรกเมื่อใด ในเมื่อวันนี้ยังสร้างเหตุให้นำไปสู่ความฉิบหายอยู่ ถึงแม้ความชั่วจะไม่สร้างให้ปรากฏมากนัก แต่ก็ไม่ได้ทำความดีอะไรพอที่จะเป็นที่ร่มเย็นแก่ตัวได้ เหมือนกินบุญเก่าที่เคยทำมาอยู่แล้วนั้น ซึ่งต้องหมดลงในวันหนึ่งวันใดอย่างแน่นอน ในช่วงที่ผมปฏิบัติธรรมอย่างเคร่งครัดตามศรัทธาที่มีในคำสอนของพระอาจารย์ จิตของกระผมดำเนินมาถึงขั้นที่เมื่อนั่งภาวนาแล้วเกิดทุกขเวทนาอย่างมหันต์ แล้วอาศัยการพิจารณาในความเป็นไปในกายแล้วเวทนาของตนเองจนเห็นความเป็นไปของมันแล้ว จึงเห็นกายเป็นกองหนึ่ง เวทนาเป็นกองหนึ่ง และจิตเป็นอีกกองหนึ่ง เกิดเพียงแต่ตัวรู้ว่าทั้งหลายทั้งปวงนั้นไม่ใช่ของเรา ความเจ็บหรือไม่เจ็บหรือเป็นกลางๆ ไม่ได้รู้สึกแล้ว แต่มันไม่มีอะไร เพราะเห็นเวทนามันกองอยู่ตรงนั้น กายมันกองอยู่ตรงนั้น จิตมันหมุนอยู่ตรงนี้ (จิตกระผมดำเนินมาแบบนี้ ควรไม่ควรอย่างไรพระอาจารย์โปรดเมตตาชี้แนะด้วยครับ) จากนั้นก็ละทิ้งการปฏิบัติไปเสียเฉยๆ อย่างนั้นแหละ แล้วจิตก็ไหลลงสู่ที่ตำเรื่อยๆ จนบัดนี้เกรงว่าจะเลอะเทอะเปรอะเปื้อนไปมากกว่านี้ แล้วล้างออกไม่ได้ จึงขอเรียนถามท่านพระอาจารย์ว่า 1. มีอุบายใดที่จะกำจัดนิสัยจับจดไม่จริงจังนี้ให้พินาศไปได้? 2. จะป้องกันจิตอย่างไรมิให้หลงไปว่าตนเป็นผู้มีธรรมอันวิเศษ? การเรียงร้อยถ้อยความของกระผมอาจไม่เป็นระเบียบนัก อาจทำให้พระอาจารย์อ่านเข้าในโดยยาก ขอพระอาจารย์อโหสิกรรมให้ด้วยครับ และหากคำถามของกระผมควรแก่ประโยชน์หรือไม่ประการใด ก็แล้วแต่ท่านพระอาจารย์จะเมตตาเห็นสมควร ขอกราบนมัสการ
|