คำถาม 
โดย : ประคองขวัญ ถามเมื่อวันที่ 15 ต.ค. 2548

คำตอบในจิต

กราบนมัสการหลวงตาที่เคารพอย่างสูง
    การพิจารณาของลูกมักจะมีคำตอบให้รู้ควบคู่ตลอด  แต่ก็รับรู้แล้วผ่านไป    เมื่อมีสิ่งมากระทบไหม่ก็จะพิจารณาไปเป็นเรื่องๆ     โดยไม่เบื่อ  จากเรื่องนั้นไปเรื่องนี้ อย่างไม่ลดละ ตามค้นไปตามดูจิตไปตลอด  จนบัดนี้ทำไมมันจึงไม่ค้นอีก    
    ลูกขอเล่าถึงการปฏิบัติของลูกโดยย่อๆดังนี้    ลูกได้รู้จักกับพุทโธตอนอายุประมาณ  4-5  ขวบแต่ไม่รู้หรอกว่าพุทโธคืออะไร  พิ่ชายบอกว่า  ถ้ากลัวผีให้ท่องพุทโธไว้  ลูกเป็นคนกลัวผีมากๆจึงท่องพุทโธหลับไปทุกคืน  จนโต  มีครอบครัว(ตอนนี้อยู่คนเดียว) อยู่ไปนานๆมีความรู้สึกว่าทำไมเราจะต้องมาอยู่ในสภาพเช่นนี้  พยายามหาคำตอบให้กับตนเองก็ไม่พบจนกระทั่งได้พบกับพระ  ที่เป็นลูกศิษย์หลวงปู่ชา(ลูกเคยไปกราบท่านตอนท่านป่วย นั่งรถเข็น) ฟังท่านเทศน์  จึงพอได้คำตอบบ้าง  และหลังจากนั้นลูกได้รู้จักกับการภาวนาและได้ทำมาตลอด  แต่ลูกนั่งไม่ได้นาน  ทั้งสวดมนต์และนั่งก็ประมานวันละ2 ชั่วโมงมีความเย็นในใจและสงบดี  ลูกขอเล่าเหตุการณืที่เกิดขึ้นบางตอนพร้อมการปฏิบัติของลูกเป็นข้อๆดังนี้
     1. ลูกกำหนดพุทโธไปกับการทำงาน  และการไปการมาตลอดเวลาที่ระลึกได้  วันหนึ่งชณะลูกเดินอยู่โดยกำกับพุทโธไปด้วย จะปรากฏเป็นภาพ  ผู้คนมากมายนับไม่ถ้วน หัวสลอนเลย   พร้อมกับมีเสียงบอกกับลูกว่า  "ยังมีคนอีกมายมายที่ยังไม่รู้ธรรมเห็นทาง " น่าสงสาร  จากที่เห็นยิ่งทำให้ลูกเชื่อว่าถ้าปฏิบัติจริงต้องเห็นได้จริง
    2. ลูกไปงานเผาศพคนรู้จัก  มองออกไปดูที่โลงศพจิตก็พิจารณาขึ้นเองว่า  คนเราเกิดมาก็ไม่มีอะไร  เกิดมาดิ้นรนแทบตายทำทุกอย่างให้ได้มา  แต่ในที่สุดก็ไม่มีอะไรเหลือแต่ขี้เถ้า
     3. ก่อนที่จิตจะสงบลงได้  ลูกจะพยายามสวดมนต์เพื่อดึงจิตให้อยู่กับตัวเอง  ( แต่ก่อนลูกเป็นคนเอาแต่ใจตนเอง  ขี้โมโห) เวลาสวดกับหม่คณะที่วัด  สวดๆไปจะนิ่งไปเลยแต่รู้ตัวอยู่จนกระทั่งสวดจบจึงจะลืมตาบางทีไม่อยากจะลืมตาเลย
ปัจจุบันนี้ทำไมจะสวดมนต์ไม่ออก  มักจะเป็นแบบเดิมอีก
แต่ไม่ใช่หลับ  ถ้าได้ฟังเสียงสวดมนต์จะสงบดี
     4. ในวันหนึงหลังจากกลับจากวัดก็มานั่งสมาธิต่อที่บ้านช่วงเวลาไม่ถึง10นาทีปรากฏว่า  มีลมหมุนเป็นเกลียวอย่างเร็วออกมาจากกายพุ่งขึ้นมาทางศีรษะ  แล้วก็แผ่ตัวออกเป็นวงกลมครอบกาย  ในขณะนั้นก็จะมีเสียงผุดออกมาบอกว่า
"ร่างกายนี้เปรียบเหมือนท่อนไม้และท่อนฟืน"ร่างกายจะแข็งเหมือนท่อนไม้จริงๆ  จากนั้นจะไม่รู้สึกว่าห่วงกายอีก
     5. การปฏิบัติของลูกนั้น  นอกจากจะนั่งสมาธิแล้ว  เวลาปกติจะพิจารณาสิ่งที่มากระทบทาง  ตา  หู   จมูก  ลิ้น  กาย  ใจ  พิจารณาทีละอย่าง เช่น  สิ่งที่มากระทบทางตาจะทำให้เราเกิดอารมณ์ ดีใจ  รัก เกลียด  พอใจ เสียใจ โกรธ หรือไม่แล้ว จะตามดู ตามรู้  ตามลด ละ ให้ทันให้ได้ เมื่อกิดอารมณ์ต่าง ๆขึ้น  ใช้เวลาหลายปีกว่าจะทำได้  และเมื่อรู้แล้ว เวลามีสิ่งมากระทบจิตมันจะประมวล รู้แล้วละได้   ตอนแรกจะละได้ช้า แต่ฝึกนานๆเข้าจะละได้ในขณะที่กระทบไม่นาน  ไม่เอามาไว้ในใจปล่อยทิ้งไป  รู้สึกว่าเบาสบาย หลังจากนั้นพิจารณาต่อไปจะมีคำบอกออกมาว่า  "คนเราเกิดมาอายุไม่ถึงร้อยปีก็ตายจากกันแล้ว  จะโกรธเกลียดกันไปทำไม  ให้เมตตากันให้อภัยกัน  "ทำให้เราไม่โกรธใครเกลียดใคร อีกให้อภัยได้เสมอ  แม้เขาทำกับเราหนักแค่ไหนก็ให้อภัยได้
     ทั้งหมดนี้เป็นสิ่งที่เกิดกับจิต  จิตจะบอกให้รับรู้ เมื่อจิตรู้แล้วจะร้องอ๋อ และผ่านไป  ไม่ทราบว่าสิ่งที่เกิดกับลูกนี้ถูกต้องตามแนวทางหรือไม่  ควรจะเจริญต่อไปหรือไม่  ขอได้รับความเมตตาจากหลวงตา  ได้ตอบให้ลูกได้รับทราบด้วยเพื่อนำไปแก้ไขในการปฏิบัติของลูกต่อไป  ขอนมัสการหลวงตามาด้วยความเคารพอย่างสูง ค่ะ

คำตอบ
เมื่อวันที่ 15 ต.ค. 2548

เรียนคุณผู้ถาม
หลวงตาได้เมตตาแสดงธรรมตอบปัญหาให้คุณ
เมื่อวันที่ ๑๖ ตุลาคม ๒๕๔๘

หลวงตา     :     ที่ดำเนินมานั้นถูกต้องแล้ว ให้เจริญเรื่อยๆ ไป ก็ไม่มีอะไรจะพูด ฟังไปไม่มีแง่ใดที่จะให้สงสัย ถูกต้องแล้วแหละ ให้ดำเนินตามนั้นไปเรื่อยๆ 

จิตนี้เวลาเราภาวนา เช่น คำบริกรรม เวลาบริกรรมเข้าไปจิตละเอียดๆ จิตเข้าสู่ความสงบ คำบริกรรมจะไม่ปรากฏเลย นึกไม่ออกเลย จะนึกอย่างไรก็ไม่ปรากฏ เหลือแต่ความรู้ที่ละเอียด ให้สติอยู่กับนั้นเสีย ความหมายว่างั้น คือมันมี เราบริกรรมมาเรื่อยๆ ตีตะล่อมจิตเข้าสู่บทธรรมๆ ติดกันไปๆ มีแต่ธรรมหล่อเลี้ยงจิต ทีนี้จิตได้รับความสงบก็เข้าพักตัวได้ จิตพักตัวได้แล้วตอนนั้นยังไม่ต้องเอาคำบริกรรมมารบกวน คือนึกไม่ออกนะเวลานั้นคำบริกรรม ไปถึงจุดนั้นแล้วจิตเข้าพักตัวแล้วนึกคำบริกรรมไม่ออก ไม่ออกก็ปล่อย ให้สติอยู่กับความรู้ที่ละเอียดนั้น ทีนี้พอมันคลี่คลายออกมานึกคำบริกรรมได้ก็บริกรรมต่อไป นี่เป็นการภาวนา อย่าสงสัย

เวลาบริกรรมไปๆ ถึงจุดมันหยุดหยุดจริงๆ ไม่มี ให้ทราบเสีย นี่จิตจะพักตัวแล้วไม่ใช้กิริยา เช่นอย่างความคิดปรุง พุทโธๆ เป็นต้น ไม่ใช้ เหลือแต่ความรู้ล้วนๆ อยู่ภายในจิตละเอียด แล้วให้รู้อยู่นั้นเสีย ทีนี้พอได้จังหวะแล้วมันจะคลี่คลายออกมา เราค่อยบริกรรมได้ก็บริกรรมต่อไป อย่างนี้เป็นปรกติ ถูกต้อง ให้พากันจำเอาไว้ เหล่านี้เราผ่านมาหมดแล้วไม่ใช่ไม่ผ่าน เพราะฉะนั้นจึงพูดได้ เรียกว่าไม่สงสัยเลย เราผ่านมาผิดก็เป็นครู ถูกก็เป็นครูมาโดยลำดับ ทีนี้เราก็คัดเลือกเอาที่ผ่านมาอันไหนผิดๆ เวลามาสอนก็สอนทั้งทางผิดทางถูกให้ถูกต้องไปโดยลำดับ

เรื่องจิตนี้ไม่มีอะไรอัศจรรย์เกินจิตไปได้ในโลกนี้ อัศจรรย์สุดยอด นั่นละถ้าว่าธรรม จิตเป็นธรรม ธรรมเป็นจิตแล้ว เป็นธรรมไปเลย เวลายังครองขันธ์อยู่จิตกับธรรมก็เป็นอันเดียวกัน มีขันธ์แทรกอยู่ มีสมมุติแทรกอยู่ ท่านจึงเรียกว่าจิตบริสุทธิ์ พอขันธ์พรากไปแล้ว คำว่าบริสุทธิ์หมดปัญหาไปเลย ถ้าเรียกก็เรียกเป็นธรรมธาตุไปเท่านั้นเอง นั่นละเลิศสุดยอดแล้ว นิพพานเที่ยงตรงนั้น ธรรมธาตุนี้จะไม่มีความแปรปรวนตลอดอนันตกาล ตลอดกาลไหนๆ จึงเรียกว่าเที่ยง อนิจฺจํ ทุกฺขํ อนตฺตา เข้าไม่ถึง เพราะอันนี้เป็นสมมุติ อันนั้นเป็นวิมุตติหลุดพ้นจากสมมุติแล้ว เรียกว่าเที่ยงตลอดไป

จิตดวงนี้ละเวลาภาวนาไปมันหากรู้หากเห็นแปลกๆ ต่างๆ รู้ตรงไหนๆ ไม่ไปถามใครนะ มันหากแน่ใจๆ ไปโดยลำดับ แน่ใจแล้วยังไม่แล้ว ระลึกถึงพระพุทธเจ้าอยู่นี่แล้วๆ อย่างนั้นนะ เรื่องการภาวนาจึงสำคัญมากทีเดียว ที่เรานำมาเทศน์พี่น้องทั้งหลายนี้ก็มาจากภาวนา พูดตรงๆ เลย เรียนก็อย่างนั้นละ ลืมไปหมดแล้วเรียน เดี๋ยวนี้ก็มีตั้งแต่ข้างใน เทศน์นี้ออกเลย ไม่ได้ไปเกี่ยวกับตำรับตำราที่ไหน เรียนมาแล้วตำรับตำรา ไหลเข้ามานี้หมด เข้ามาหมดแล้ว ตำราข้างนอกไม่อยู่ อยู่นี้หมด ออกจากนี้เลย นี่ละใจเวลาเบิกกว้างแล้วไม่มีติดข้องอะไรเลย ติดก็ติดเราอย่างเดียวเท่านั้น พอติดเราก็ติดเขา ติดทั่วโลก ถ้าไม่ติดเราเสียอย่างเดียวปล่อยหมดไม่มีอะไรเหลือ โล่งไปหมดเลย พากันเข้าใจ

นี่ละจิตที่เลยสมมุติแล้วโล่งไปหมด ไม่มีสมมุติใดจะไปกีดขวางได้เลย จึงว่าจิตวิเศษ จึงอยากให้พี่น้องทั้งหลายได้ภาวนา ดังที่หลวงตาสอนมาเป็นเวลาหกเจ็ดปีนี้แล้ว ออกสู่สังคม เทศน์ทุกแบบ ส่วนมากก็แกงหม้อใหญ่ ส่วนที่จะเทศน์เป็นพิเศษเกี่ยวกับเรื่องผู้มีจิตตภาวนามาเกี่ยวข้อง ก็เทศน์ไปตามขั้นๆ หรือตามแง่มุมของธรรมที่มาเกี่ยวข้อง ถ้าเป็นภาคปฏิบัติล้วนๆ นี่มันพุ่งเลยนะ เทศน์ภาคปฏิบัติจิตตภาวนาล้วนๆ นี้คล่องตัวเลย ถ้าเทศน์แกงหม้อใหญ่ไม่ค่อยคล่อง ต่างกันนะ ถ้าเทศน์เกี่ยวกับเรื่องจิตตภาวนาล้วนๆ นี้พุ่งเลยเชียว ดีไม่ดีเจ้าของเหมือนปืนกล ลมหายใจมันจะหมดแต่เนื้อธรรมที่พูดยังไม่หมด รีบสูดลมหายใจดังฟิ้วๆ ในเทปนะ คือมันพุ่งของมันเต็มเหนี่ยว นั่นละธรรมล้วนๆ ออกเป็นอย่างนั้น

จะเผ็ดร้อนขนาดไหนก็ตาม พิษไม่มี แม้เม็ดหินเม็ดทรายก็ไม่มี เป็นธรรมล้วนๆ ท่านจึงเรียกว่ากำลังของธรรม เป็นอย่างนั้น กำลังของกิเลสออกแล้วเผากันเลย ถ้าลงได้ขนาดนั้นแล้วเป็นเถ้าเป็นถ่าน รบราฆ่าฟันกันแหลกเหลวหมด ถ้าเป็นพลังของธรรมเย็นฉ่ำไปหมดเลย นั่นต่างกันนะ

อย่างที่เขาพูดตามเรื่อง เราก็ไม่ได้ถือสีถือสาเขานะที่เขาพูด คือเขาก็พูดตามภูมิของเขา เราจะไปแย่งภูมิของเขามาใส่ภูมิของเรามันก็เป็นแบบเดียวกันเสีย เข้าใจไหม ภูมิของเขาให้เป็นเรื่องของเขาเสีย ถ้าจะตอบก็ตอบเพื่อส่วนรวมจะได้เข้าใจในเรื่องคำตอบนั้น เราถึงตอบออกไป ถ้าหากว่าไม่มีผู้เกี่ยวข้องที่จะได้รับผลประโยชน์จากการเทศน์ของเรา การแก้ปัญหาของเรา เราไม่แก้ เพราะทราบแล้วว่าภูมิใดภูมินั้นๆ มันเป็นวรรคเป็นตอนเป็นคนละฝั่งๆ เป็นลำดับลำดาไป ถ้าเกี่ยวกับเรื่องประชาชนที่จะมีได้มีเสียจากการได้ยินได้ฟังก็ชี้แจงให้ทราบ นี่ละที่แสดงทุกวันนี้ การโต้การตอบอะไรนี้เราตอบเพื่อประชาชนนะ เราไม่ได้ตอบเพื่อเรา เพื่อเรามันออกมาแย็บมันรู้ทันที รู้แล้วๆ ไม่จำเป็นต้องตอบ ขั้นใครขั้นใดของเขาของเรา ขั้นของเขาของเรา ภูมิเขาภูมิเรา มันก็รู้ทันที รู้ไปโดยอัตโนมัติ ไม่ต้องไปคิดไปปรุงไปเทียบเคียงอะไรมาก มันหากรู้ของมันไปอย่างนั้น

การเทศนาว่าการนี่มีทุกแบบ เพราะโลกนี้ความสกปรกมีทุกแบบ คำว่าสะอาดของโลกนี้เราอยากจะพูดว่าไม่มี ถ้าไม่มีธรรมเข้าไปแทรก ความสะอาดไม่มีเลย ถ้ามีธรรมเข้าแทรกตรงไหน ความสะอาดจะมี แต่ธรรมล้วนๆ แล้วสะอาดจ้าไปหมดเลย ไม่มีคำว่าสกปรก ทีนี้เวลามาเทศน์สอนโลก โลกมันสกปรก ธรรมเข้าไปเกี่ยวข้องกันเหมือนว่าธรรมนี้สกปรก ความจริงธรรมนี้เป็นน้ำชะล้างสิ่งสกปรกต่างหาก ทีนี้เขาเอาไปคลุกเคล้ากันเสียก็เลยกลายเป็นดังที่เขาว่า หลวงตาบัวเทศน์สกปรก ตัวสกปรกที่เทศน์จี้มันอยู่นั้นมันไม่ว่า มันมาว่าน้ำที่สะอาดชะล้างไปอย่างนั้น เราก็รู้ ภูมิของเขาของเรา ภูมิโลกภูมิธรรม ภูมิกิเลสภูมิธรรม แน่ะมันก็รู้กัน แต่ถ้าไม่พูดเลยผู้ฟังจะไม่เข้าใจ ก็แยกแยะออกไปๆ อย่างที่เคยพูด กรุณาทราบเอาไว้

โลกมันมีแต่ความสกปรกเต็มโลกเต็มสงสาร ธรรมสะอาดครอบโลกธาตุ ครั้นเวลาเข้าไปเกี่ยวข้องอย่างนั้น ก็เลยกลายเป็นธรรมสกปรกไปตามๆ กัน เช่นอย่างว่าเทศน์หยาบโลนอย่างนี้เป็นต้น คำว่าเทศน์หยาบโลนก็เทศน์ชำระสิ่งหยาบโลนนั่นเองไม่ใช่อะไร แล้วก็บอกว่าเทศน์หยาบโลน อันนั้นกลายเป็นของสะอาดไปเสีย นี่ละกิเลสมันปีนธรรมมันลบธรรมมันลบอย่างนั้น วันนี้ไม่พูดอะไรมาก เพียงเท่านี้ก็พอเข้าใจ เรามีธุระตลอดเวลานะ ช่วยโลกช่วยสงสาร ไม่ได้หยุดได้อยู่แหละ ช่วยจนไม่มีอะไรติดเนื้อติดตัว
                                                ___________

(คุณสามารถอ่านและรับชมรับฟังพระธรรมเทศนากัณฑ์นี้เต็มกัณฑ์ได้ที่
http://www.luangta.com/thamma/thamma_talk_text.php?ID=3636&CatID=2 หรือ หน้ารวมถาม-ตอบปัญหาธรรม)
  

<< BACK

 


หน้าแรก